ความรัก มิติที่: 1กามนิยม  2พันธุนิยม  3ญาตินิยม  4ชุมชนนิยม  5ชาตินิยม  6สากลนิยม  7เทวนิยม  8อเทวนิยม  9นิพพานนิยม  10พุทธภูมินิยม
 
มิติที่ 10 พุทธภูมินิยม
page: 17/20
ปล่อยวางอย่างพุทธ

สารบัญ
ความรัก๑๐ มิติ

มิติที่ ๑ กามนิยม

มิติที่ ๒ พันธุนิยม

มิติที่ ๓ ญาตินิยม

มิติที่ ๔ ชุมชนนิยม

มิติที่ ๕ ชาตินิยม

มิติที่ ๗ เทวนิยม

มิติที่ ๘ อเทวนิยม

มิติที่ ๙ นิพพานนิยม

อาริยบุคคล ๔
ตัณหา ๓
กัลยาณปุถุชน
อาริยชน
อมตชน

มิติที่ ๑๐ พุทธภูมินิยม

 วิภวตัณหา ๓ ระดับ

ปล่อยวางอย่างพุทธ
ความมหัศจรรย์
ของอมตชน

คำถามท้ายเล่ม

  ทบทวน วิภวตัณหา ๓ ระดับ  

คงยังไม่ลืมว่า "วิภวตัณหา" คือ ความต้องการที่มีอุดมการณ์ เป็นความต้องการ ที่ตั้งใจสร้าง คุณงามความดี เพื่อความเจริญดีงาม ของตนบ้าง เพื่อผู้อื่นเป็นหลัก

บุคคลที่พยายามตั้งใจสร้างคุณงามความดี หรือบุคคลที่มีอุดมการณ์นั้น ก็มีทั้ง ๑.กัลยาณปุถุชน ๒.อาริยชน ๓.อมตชน เพราะ "วิภวตัณหา" นั้นมีได้ในบุคคลทั้ง ๓ ประเภท สำหรับ "ปุถุชน" สามัญนั้น ยังไม่สามารถมี "วิภวตัณหา" อย่างถูกธรรมหรอก มีสะเปะสะปะ ไปตามกระแส ผีเข้าผีออกเท่านั้น

เช่น กัลยาณปุถุชน ก็มุ่งมั่นสร้างคุณงามความดี ตามภูมิของตน และตั้งใจเสียสละ ให้ได้มากขึ้นๆ เท่าที่สามารถ โดยนับเอา "กรรมกิริยาที่ตนได้เสียสละ" ว่าเป็น "ประโยชน์ตน" นั้น ๑ ซึ่งก็เป็น "ประโยชน์เพื่อผู้อื่นในตัว" ด้วยและนับเอา "การได้ปรับ กรรมกิริยา กายวาจาใจของตน ให้เก่งขึ้น สุภาพขึ้น ดีขึ้น ตามที่ตน มีภูมิปัญญา" ว่า เป็น "ประโยชน์ตน หรือประโยชน์ท่าน" นี้อีก ๑

"กัลยาณปุถุชน" ก็จะสามารถอุตสาหะวิริยะ สร้างคุณงามความดี ได้มากมาย หลากหลาย ให้ท่วมท้น มหาศาล ขนาดไหน ก็พากเพียรไปได้ จนสามารถ เป็นศาสดา ผู้ปลดเปลื้อง ช่วยเหลือมวลมนุษยชาติ ไปทั้งโลก ก็เป็นไปได้

เพียงแต่ "กัลยาณปุถุชน" นั้นยังไม่มี "ญาณ ๗" ที่เป็นอาริยะ เป็นโลกุตระ ซึ่งเรื่องของอาริยะ หรือโลกุตระนี้ ไม่ใช่เรื่องธรรมดา สามัญทั่วไป ในระดับปุถุชน (อสาธารณัง ปุถุชฺชเนหิ)" นั่นหมายความว่า เป็นเรื่อง "พิเศษ" ต่างหาก ไปจากสามัญ ระดับ "ปุถุชน" แน่ๆ ซึ่งจะต่างอย่างไร "ปุถุชน" จึงไม่สามารถจะ "รู้" ได้ด้วยการเดา หรือ การใช้เหตุผลของ สามัญปุถุชน มาใช้เพื่อตรวจสอบ หยั่งรู้ ความเป็น "อาริยะ" ได้เป็นอันขาด ต้องเรียนรู้ จนเกิด "ญาณ ๗" เอง นั่นแหละ จึงจะรู้จริงได้ [ "ญาณ ๗" นี้ ดูได้ในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๒ ข้อ ๕๔๓]

และอีกประการหนึ่ง "กัลยาณปุถุชน" คือ ผู้ที่ยังไม่มีญาณหยั่งรู้ ว่า สภาวะความเป็นตัวตน ที่เรียกว่า สักกายะนั้นคือ "สภาวะอย่างไร" ที่ตนหลงติด หลงยึดอยู่ (ไม่พ้นสักกายทิฏฐิ) ยังไม่รู้แจ้ง เห็นจริง เพราะยังคลุมเครือในความเป็น "พระพุทธ" ว่า คือ อย่างไร กันแน่... "พระธรรม" คือไฉนจริงๆ... "พระสงฆ์" ที่พระพุทธเจ้า ทรงรับรองว่าเป็น "สงฆ์สาวกที่แท้" ของพระองค์ อันได้แก่ "คู่แห่ง บุรุษ ๔ หรือ อาริยบุคคล ๘" มีสภาพเช่นไรแท้ๆ (ยังไม่พ้นวิจิกิจฉา)

พุทธศาสนิกชนมากหลายที่เชื่อว่า ตน "ไม่สงสัย ไม่ลังเล ไม่คลุมเครือ (ไม่วิจิกิจฉา)" ในพระพุทธ ในพระธรรม ในพระสงฆ์ นั่นเป็น "ความเชื่อ" (ทิฏฐิ) ของตนเอง ซึ่งเป็นเพียง "ความเข้าใจ" (ทิฏฐิ) หรือเพียงภูมิปัญญา ของตนเอง เท่านั้น ว่า ตน "เชื่ออย่าง ไม่สงสัย" ที่จริงนั้น ผู้ "เชื่อ" ก็เชื่อตามภูมิตน บางคน "เชื่อ หรือเข้าใจพระพุทธ.. พระธรรม.. พระสงฆ์ อย่างงมงาย" ด้วยซ้ำ และ "เชื่อ" อย่างนั้นจริงๆ ถึงขั้นกล้ากล่าวว่า "ตนไม่คลุมเครือ" ทีเดียว เพราะมั่นใจว่า "ตนรู้จัก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์" แล้วอย่างถูกต้องดีที่สุด .. ว่างั้นเลย นั่นเป็นเพียง "ศรัทธา" ที่ยังไม่ประกอบด้วย "อาริยปัญญา" หรือ "โลกุตรปัญญา" แม้ "กัลยาณปุถุชน" ที่มุ่งมั่นในศีลในธรรม อย่างเคร่งครัด ที่เจริญด้วย "คุณงามความดี" ก็เถอะ ก็ยัง "ไม่พ้นวิจิกิจฉา" อยู่ดี เพราะยังอยู่ใน "โลกียภพ"

และ "กัลยาณปุถุชน" ยังไม่สามารถปฏิบัติศีล ประพฤติพรต นั้นๆ จนถึงขั้น บรรลุมรรคผล ได้จริง เพราะปฏิบัติอยู่เพียง ตามประสา "สีลัพพตุปาทาน" หรือแม้จะสามารถ "พ้นมิจฉาทิฏฐิ" แล้ว พ้น "สีลัพพตุปาทาน" ได้แล้ว แต่ก็ปฏิบัติอยู่เพียง ลูบๆคลำๆ ปฏิบัติแค่จับๆจดๆ ยังไม่สามารถ ปฏิบัติศีล ประพฤติพรต จนบรรลุ "มรรคผล" ก็ไม่สามารถข้ามเขตจาก "โลกียภพ" เข้าสู่ "โลกุตรภพ" เป็น "อาริยชน" สำเร็จ (ไม่พ้นสีลัพพตปรามาส)

ดังนั้น จึงไม่สามารถจะสร้าง คุณงามความดี หรือเสียสละได้ แบบ บริสุทธิ์ จากความเป็น ตัวตน บริสุทธิ์จากความเป็น ของตัวของตน ถูกต้องชัดเจน เพราะไม่รู้จัก รู้แจ้งรู้จริง "ตัวตน" (อัตตา, อาตมัน) ด้วย "ญาณ ๑๖" หรือด้วย "วิชชา ๙" อย่างเป็นทฤษฎี แบบวิทยาศาสตร์ จึงไม่สามารถ ลดละ จางคลาย "ตัวต้นเหตุแท้" ลง แบบถูกตัว ถูกตนของมัน ชนิดแม่นตรง คมชัดลึก ถึงที่สุด เพราะยังเป็นทาส "ตัวตน" (อัตตา, อาตมัน) ซึ่งแฝงลึก อยู่ในก้นบึ้งของจิต จะมากหรือน้อย ก็ตามแต่ผู้นั้นๆ จะมีจริงตามภูมิจริง ของแต่ละท่าน เท่าที่ท่าน จะยังมี ความเป็น "เทวนิยม" อยู่จริง

ท่านจึงไม่สามารถ "รู้ตัวรู้ตน" ของตน (รู้"อัตตา"นั่นเอง) ได้ กระจะกระจ่าง เหมือนทฤษฎีของพุทธ ซึ่งสามารถรู้แจ้งเห็นจริง ในความละเอียดลึกซึ้ง สลับซับซ้อนของ "ตัวตน" ต่างๆได้ชัดเจน

สำหรับ "อาริยชน" ก็มุ่งมั่นสร้างคุณงามความดี ตามภูมิของตน และตั้งใจเสียสละ ให้ได้มากขึ้นๆ เท่าที่สามารถ โดยนับเอา "คุณค่าจริง ถึงขั้นปรมัตถ์ ที่ตนได้เสียสละ ตนได้สร้างสรรประโยชน์" ว่าเป็น "ประโยชน์ตน" (อัตตัตถะ) นั้น ๑ [ประโยชน์ตน ก็คือ ตนลดละกิเลสได้ หรือได้สละกิเลสออกไป นี้เป็นปรมัตถ์]

ซึ่งเมื่อตนได้เสียสละแรงงาน หรือวัตถุออกไปให้ ย่อมเป็น "ประโยชน์เพื่อผู้อื่นในตัว" (ปรัตถะ) ด้วยนี้ ๒ [ประโยชน์ผู้อื่น แบบโลกีย์ ก็คือ เขาได้รับแรงงาน ได้วัตถุนั้นไป หรือใจยินดี แบบโลกุตระ ก็คือ แม้เขาจะเป็นผู้รับ เขาก็ยังสามารถ ลดกิเลสได้ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องยาก สูงสุด]

ดังนั้น การเสียสละ ยิ่งสะอาดบริสุทธิ์ จากกิเลส มากเท่าใดๆ ก็ยิ่งเป็นทั้ง "ประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น" (อุภยัตถะ) จริงแท้ บริสุทธิ์ สูงส่ง ยิ่งๆขึ้น เท่านั้นๆ นี้อีก ๓ [ประโยชน์ตน ก็คือ ตนลดกิเลสได้ ส่วนประโยชน์ผู้อื่น แบบโลกีย์ ก็คือ เขาได้รับแรงงาน รับวัตถุนั้นไป หรือใจยินดี แบบโลกุตระ ก็คือ เขาได้ลดกิเลสด้วย]

จึงเป็น "ประโยชน์ที่สะอาดแท้กว่า กัลยาณปุถุชน"

เพราะ "อาริยชน" สามารถรู้แจ้งทั้ง "รูปธรรม-นามธรรม" รู้แจ้งทั้ง "จิต..เจตสิก..รูป..นิพพาน" โดยเฉพาะ รู้แจ้งใน "ตัวกิเลสที่ อยู่ในตน" (อัตตา,อาตมัน) อย่างจริงแท้ และครบครัน ทั้งหยาบกลางละเอียด และรู้แจ้ง ทั้งความละเอียดของ "ประโยชน์" (อัตถะ) ทั้งแบบ "โลกียะ" และแบบ "โลกุตระ" ดังนั้น จึงรู้แจ้งความเป็น "โลกียสัจจะ" ว่า แตกต่างจาก "โลกุตรสัจจะ" อย่างมีนัยสำคัญ ที่เป็นสภาวะ หรือเป็น "ของจริง" ไม่ใช่แค่ตรรกะ

ขยายความเพิ่มอีกที ก็คือ "อาริยชน" รู้สภาวะของสัจจะ ที่เป็นปรมัตถ์ คือ รู้กิเลสในจิต -รู้จิตในจิต ชัดเจนแม่นมั่น คมลึก ครบครันกว่า ดังนั้น "คุณค่า" ที่เป็นความสะอาดจริง บริสุทธิ์จริง จึงสูงกว่า และสามารถปฏิบัติตน จนมี "ความจริง" ว่า ไม่มีกิเลส (ไม่มีตัวทำลาย) ไม่มีตัวตน (ไม่มีอัตตา) ไม่หอบหวง ไม่ยึด เป็นของตัว ของตน (ไม่มีของตัวของตน) จึงเสียสละได้สมบูรณ์ บริบูรณ์ยิ่งกว่า

๑. เพราะผู้ยังมี "กิเลสโลภ" ก็ดี ยังยึดเอาเป็น "ของตัว ของตน" ก็ดี และยังเหลือ "ตัวตน" ก็ดี อันเป็น"ความจริง" ที่จะต้อง "สละออกให้เกลี้ยง" ถึงขั้น "จิตในจิต" ทีเดียว ดังนั้น แม้จะจ่ายแรงงาน จ่ายวัตถุออกไป "ให้"ผู้อื่น แต่ในใจยัง "ต้องการ"เอาเปรียบ "ต้องการ"ได้เปรียบอยู่ ยังค้ากำไร กับแรงงาน กับวัตถุนั้นๆอยู่ ยังคิด"เอาคืน" หรือคิด "แลกค่า" คืนมาให้ตน ชนิดที่ "ต้องได้เปรียบ" อยู่ [ตามที่ลัทธิ 'ทุนนิยม' ทำกันอยู่เป็นปกติ] จึงเป็น สภาพที่ "ไม่ได้สละออกไป" ให้แก่ใคร แถมยัง "ต้องได้กลับคืนมา มากกว่าที่ตนได้ให้ ออกไปเสียอีก" [หมายเอาสภาวะทางจิต]

๒. หรือแบบที่ยังไม่จางคลายความยึด เป็นของตัวของตน ยังหอบหวงเป็น "ของตัวของตน" (อัตตนียา) จิตยังยึดเอามา เป็นของตัว ของตนอยู่ แม้ "ให้" ก็ให้ชนิดที่ใจ "เป็นเจ้าเข้าเจ้าของ"

๓. ที่สุด ยังไม่ปล่อยวาง "ตัวตน" (อัตตา) แม้.. "จิต" จะชำระกิเลส และอุปกิเลสได้แล้ว จนหมดสิ้นเกลี้ยง เป็น "จิต" บริสุทธิ์สะอาด สัมบูรณ์แล้ว จากอาสวะทีเดียว แต่ "จิตวิญญาณ" นั้น ก็ยังคงมีอยู่ ยังคง "ความเป็นตัวมีตน" อยู่ แต่เจ้าตัวยังปล่อยวาง "ตัวตน" ไม่เป็น หรือยังปล่อยวาง ไม่ได้สำเร็จจริง เป็นที่สุด เด็ดขาดเท่านั้น

สำหรับ "อมตชน" คือผู้ปล่อยวางได้แล้ว สัมบูรณ์เท่านั้น จึงจะชื่อ อมตชน ซึ่งเป็นผู้มีฐานะ "อรหันต์" ขึ้นไป

พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ .. "ปล่อยวาง" แม้แต่ "นิพพาน" ก็มิใช่ ของเรา ซึ่งพระองค์ตรัสไว้ชัด ในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๒ ข้อ ๔,๕, ๖,๗,๘,๙ มีกล่าวอธิบายไว้ชัด ในทุกข้อ ที่อ้างถึงนั้น และหากดู "จูฬสุญญตสูตร" เพิ่มเติมอีก ในเล่ม ๑๔ ตั้งแต่ข้อ ๓๓๓ เป็นต้นไป ก็จะยิ่งเข้าใจ ได้ชัดยิ่งๆขึ้น

ในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๒ "มูลปริยายสูตร" ตั้งแต่ ข้อ ๑ ไปจนถึง ข้อ ๙ นั้น พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ชัดว่า ปุถุชนในโลกนี้ ไม่ได้สดับ ไม่ได้เห็นพระอาริยะ ไม่ฉลาดในธรรม ของพระอาริยะ ไม่ได้รับแนะนำ ในธรรมของพระอาริยะ ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรม ของสัตบุรุษ ย่อมรู้อะไรต่ออะไร ไปตามภูมิ แล้วก็สำคัญหมาย ในสิ่งเหล่านั้นทั้งหลายว่า เป็นนั่นเป็นนี่ ที่สุดก็สำคัญ (มัญญติ) เอาว่า "เป็นของเรา" หลงยินดี ในสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไปทั้งหมด ถือว่า เป็นเรา เป็นของเรา ไปทั้งนั้น ต่อให้เข้าถึง "นิพพาน" ได้ ก็สำคัญหมายเอาว่า นิพพาน "เป็นของเรา" อยู่นั่นเอง [ปุถุชน ยังไม่สามารถรู้ "นิพพาน" ตามสัจจะได้แน่] นั่นคือ ภูมิของปุถุชน ก็สามารถรู้แจ้ง ไปตามฐานะ "ปุถุชน" และหลงติดหลงยึด ไปตามฐานะ ที่เขายังไม่ได้ "ละล้างจางคลาย" ก็ย่อมจะ "ปล่อยวาง" ไม่เป็น

แม้พระเสขบุคคล ได้แก่ "อาริยบุคคล" ทั้ง ๓ ฐานะ พระองค์ก็ทรงสอนให้ อย่าหลงสำคัญ หมายสิ่งทั้งหลาย เหล่าใดว่า เป็น "ของเรา" แม้แต่ "นิพพาน" ก็อย่าหลงว่าเป็น "ของเรา" ต้องศึกษา ฝึกฝน ละล้าง และปล่อยวาง ให้ได้ด้วย "ความหยั่งรู้" หรือที่ คำบาลีว่า "ปริญญา" นั่นเอง [ปริญญา ๓ ได้แก่ ญาตปริญญา, ตีรณปริญญา, ปหานปริญญา]

มีก็แต่..ภูมิอรหันต์ขึ้นไป และที่สุด พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านั้น ที่ปฏิบัติด้วย "ปริญญา ๓" ละล้าง กำจัดราคะโทสะโมหะ ได้หมดสิ้นเกลี้ยง ครบครัน จนบรรลุ "วิชชา ๙" พ้น "อวิชชา" ทั้งปวงได้แล้ว จึงไม่สำคัญ (น มัญญติ) เอา "นิพพาน" ว่า เป็น "ของเรา" เพราะตัณหาต่างๆ สิ้นไป (ขย) ละล้างคลายไป (วิราค) ดับไป (นิโรธ) สละไป (จาค) และสลัดคืน หรือมีสัจจะย้อนสภาพ ได้จริง (ปฏินิสสัคค) สัมบูรณ์

ธรรมะบทนี้เป็นเรื่องลึกล้ำ และลำบากยิ่งสุดๆ ที่จะเข้าใจ ซาบซึ้งกันได้ง่ายๆ ขนาดพระพุทธเจ้า ตรัสแสดง "มูลปริยาย" บทนี้จบลง ภิกษุทั้งหลาย ที่รับฟังอยู่นั้น มิได้ชื่นชมยินดีภาษิต ของพระผู้มีพระภาค เป็นไปได้ ถึงปานฉะนี้ ก็คิดดู ว่าลึกแค่ใด

ดังนั้น กว่าจะ "ปล่อยวาง" อย่างเป็นจริง ไม่เหลือ "ตัวเรา ของเรา" สูงสุดได้นั้น จึงมิใช่เรื่องฉวยเอาแค่ "รู้ภาษา" แล้วก็หลงเข้าใจว่า "ปล่อยวาง" กันด้วย "ภาษา" ที่รู้นั้นแหละ เป็น "คาถา" มาใช้ฝึก "ปล่อยวาง" แล้วก็จะเป็น ผู้บรรลุธรรม สู่ภูมิ "หมดสิ้นตัวเราของเรา" ได้ง่ายๆ


 
มิติที่ 10 พุทธภูมินิยม
page: 17/20
ปล่อยวางอย่างพุทธ
   Asoke Network Thailand