ชัยชนะของยาย
 
 

 


 

คุณยายดิฉันชื่อ นางเพ็กลั้ง แซ่เอี้ยว อายุ ๘๒ ปี เกิดที่เมืองจีน พ่อของยายมาเมืองไทยก่อน ยายกับแม่ของยาย อยู่ในเมืองจีน จนเมื่อยายดิฉันอายุได้ ๗ ขวบ แม่ของยาย จึงได้พยายามติดตามตาทวด มาเมืองไทย ยายจึงมาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ ๗ ขวบ ยายพูดไทยได้มาก ฟังภาษาไทย รู้เรื่องทุกอย่าง ยายแต่งงาน เมื่ออายุ ๒๐ ปี ยายมีลูกอยู่ ๔ คน แม่ดิฉันเป็นคนโต มีน้าชาย เป็นคนที่ ๒ ปัจจุบันตายไปแล้ว และมี น้าสาวอีก ๒ คน

ดิฉันเป็นหลานคนแรกของยาย ดิฉันอยู่กับยายตั้งแต่จำความได้ ยายของดิฉัน ขยัน แต่บ่นเก่ง ทำงานมาก คุณยายมักโมโหง่าย คุณตาได้เสียชีวิตไป ตั้งแต่แม่ดิฉันอายุ ๑๕ ปี คุณยายดิฉันเป็นแม่ม่ายลูกติด ๔ คน ตั้งแต่อายุ ๓๖ ปี คุณยายทำหน้าที่ เป็นทั้งพ่อทั้งแม่ ทำหน้าที่เลี้ยงดูคนชราอีก ๓ คน ซึ่งเป็นคนแก่ที่ทำงานไม่ได้ แล้วแถมลูกๆอีก ๔ คน ยายต้องหาให้คน ๗ คนกิน โดยมียายที่แข็งแรง ทำมาหากินได้คนเดียว ในสภาพชนบท ห่างจากตัวเมืองนครปฐม ประมาณ ๔ กิโลเมตร

ยายเป็นตัวอย่างของความรับผิดชอบ ยายขยันทั้งมีความกตัญญูต่อผู้เฒ่าผู้แก่ ยายต้องทำงานทั้งวัน ดิฉันจำได้ว่า ยายต้องขุดดินปลูกผัก เก็บผักผลไม้ เดินเท้า หาบของสวนออกไปขายในเมืองทุกวัน บางวัน ยายเดิน ๒-๓ รอบ ฤดูผลไม้มาก ยายเดินหลายครั้ง ยายหาบของไปขายตลาด และหาบข้าวสารกับข้าว กลับไปเลี้ยงดูพ่อสามี, แม่ และปู่ของสามี ยายทำหน้าที่โดยไม่ท้อถอย ยายประกาศต่อหน้าโลงศพของตา ที่ยังตั้งอยู่ในบ้านว่า จะรักษาชีวิตหญิงม่าย โดยจะไม่ข้องแวะเรื่องของผู้ชาย พร้อมกับขอร้องเพื่อนของสามีว่า

"ช่วยกันดูแล อย่ามีใจคิดเป็นอื่น เมื่อเพื่อนของเธอได้ตายไปแล้ว ฉันขอทำหน้าที่ดูแลลูกๆ และเลี้ยงดูคนแก่ ที่ทำงานไม่ได้เหล่านี้"

จากวันนั้นถึงวันนี้ ยายบอกว่า ยายทำได้แล้ว ยายเป็นคนมีสัจจะ ยายพูดแล้วยายต้องทำได้ ยายสอนว่า "เมื่อเราเป็นผู้หญิง ไม่ชายตา ก็ไม่เป็นโอกาสให้ผู้ชาย ผู้ชายก็ไม่กล้ามาแทะโลมเรา หรือมาลวนลามเรา"

ยายบอกว่า "หมาตัวเมียถ้าไม่กระดิกหาง หมาตัวผู้ก็ไม่กล้าเข้าใกล้หรอก" ยายสอนให้ลูกหลานรู้จักระวัง ไม่ปล่อยตัวในการคบหาผู้ชาย จึงทำให้ลูกสาวของยายได้แต่งงาน โดยมีสามี มีลูกอยู่ในฐานะที่ดี

เรื่องของความซื่อสัตย์ ยายเล่าให้ฟังว่า หลังจากตาตายไปไม่นาน ก็มีคนมาขอซื้อสวน ที่ยายอาศัยทำกิน ตั้งแต่บรรพบุรุษ จนถึงปัจจุบันนี้ ยายบอกว่าขายไม่ได้ ขายแล้วไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน คนที่จะมาซื้อที่ดิน เมื่อซื้อไม่ได้ จึงว่าจ้างโจรมาปล้นบ้านยาย กวาดเอาหม้อข้าวหม้อแกง เสื้อผ้าของใช้ เก็บจนเกลี้ยง และใช้ปืน ทั้งตีทั้งยิงคนในบ้าน แม่ดิฉันถูกตีหัวแตกจนเป็นแผล ถึงกระทั่งปัจจุบันนี้ ยายถูกยิง จมกองเลือด คนแก่ทวด ถูกตีซี่โครงหัก น้าสาวซึ่งยังเล็กอยู่ ร้องไห้ตกใจ โจรกำลังจะบีบคอ ยายฟื้นจากสลบ ก็ร้องขอชีวิตลูก โดยบอกว่า จะเอาอะไรก็เอาไป โจรขนจนหมดเกลี้ยงเลย

พอเสียงปืนสงบ คนที่อยู่ละแวกนั้น ก็มาหามคนเจ็บส่งโรงพยาบาล หมอบอกว่ายายเกือบตาย ลูกกระสุน เกือบถูกเส้นสำคัญที่ศีรษะเพียงแค่ครึ่งเม็ดข้าวสาร หมอผ่าลูกปืนออกจากศีรษะของยาย พอยายรู้สึกตัวเท่านั้น ยายส่งคนไปดูว่า มีเข่งใส่น้อยหน่า ที่แขวนบนหลังคาบ้าน ยังอยู่หรือเปล่า คนไปดูแล้ว กลับมา บอกว่าอยู่ ยายดีใจมาก เพราะทองของเพื่อนบ้าน ที่ได้เอามาฝากไว้อยู่ในนั้น พอยายกลับจาก โรงพยาบาล คนแก่อายุ ๗๐-๘๐ ปี ที่เป็นคนรู้จักกัน อยู่ห่างจากบ้านยายประมาณ ๒ กิโล มาหา ยายได้เอาทอง คืนให้ คนแก่คนนั้นดีใจ จนทำอะไรไม่ถูก คนแก่คนนั้นบอกว่า "ตั้งแต่รู้ว่าโจรปล้นบ้าน และขนไปเกลี้ยง ขนาดนี้ ซ้ำคนก็ถูกทำร้าย หมดทั้งบ้าน ฉันไม่หวังจะได้ทอง คืนมาหรอก ในสถานการณ์อย่างนี้ ไม่มีใครคืนหรอก ถึงโจรไม่ได้เอาไป เจ้าของบ้านก็ต้องบอกว่า โจรเอาไปหมดแล้ว"

คนแก่คนนั้นไม่มีใครพอที่จะพึ่งพาอาศัยได้ จึงเอาทองมาฝากยาย เพราะทั้งเนื้อทั้งตัวเขา มีสมบัติติดตัวเท่านี้เอง แม้การหาเลี้ยงครอบครัวของยายจะเต็มกลืน แต่ความเป็นผู้ไม่แล้งน้ำใจ สำหรับผู้ตกยาก ยายจึงให้ คนแก่คนนั้น ได้อาศัยกินบ้าง บางเวลาที่เขาหิว และมาขอกินข้าวด้วย

เพราะความที่ยายมีเมตตา ยายเล่าให้ฟังว่า "วันเวลาผ่านไปแล้วหลายสิบปี ยายมีความสุข กับความซื่อตรง ความซื่อสัตย์ ที่ยายแยกแยะได้ว่า ของใครใครก็รัก ของใครใครก็หวง ของของเรา เราก็ควรดูแลรักษา อย่าไปอยากได้ของของคนอื่น"

ยายได้คืนของไปในวันนั้น มาถึงวันนี้ยายได้รู้จักธรรมะ เมื่อได้ฟังธรรมะของพระ ยายยิ่งมีความสุข ถ้าวันนั้น ยายไม่คืนทอง กับคนแก่คนนั้น ยายโกงของเขามาเป็นของเรา เมื่อยายเกิดสำนึกได้ จะเอาไปคืนที่ไหน เกิดเป็นบาปข้ามชาติ ใครไม่รู้แต่เรารู้

ยายสอนให้หลานซื่อสัตย์ ให้ขยันขันแข็ง อดทนทำงาน ไม่ให้อยากได้ของของใคร ยายเอง ก็ทำเป็นตัวอย่างที่ดี ดิฉันจะให้เงินยายวันตรุษจีน หรือวันพิเศษอื่นๆ ยายไม่เคยรับเงินจากหลานเลย ยายบอกเสมอว่า ยายไม่สะสม ยายมีพอแล้ว ยายเหลือเฟือ ยายต้องการความปลอดภัย ยายอยากนอนสบาย ยามค่ำคืน ไม่ต้องระวัง ไม่ต้องระแวงภัย

ยายเหมือนพระ ยายไม่รับเงินทอง จากพี่น้อง จากลูกหลาน แม้จะมีฐานะร่ำรวยกันแล้ว ยายเก็บมะพร้าวขาย เก็บผลไม้ขาย ยายก็พอแล้ว

คำว่า "พอ" นั้นหายากในความเป็นคน ดิฉันรักยายเป็นห่วงยาย เพราะยายไม่สะสมไว้มีมากๆในตัวยาย เรื่องอาหารการกินนั้น ยายเรียบง่ายมาก ยายกินเจ ตั้งแต่ดิฉันจำความได้ ดิฉันมักนั่งกินข้าวกับยาย ยายกินกับข้าว อย่างเดียว เกือบทุกวัน ยายต้มผักกับซีอิ๊ว ผักต้มของยายดิฉันว่าอร่อยดี ดิฉันชอบกิน กับยาย เพราะยายจะคุยไปกินไป

ยายบอกว่า "อาหารกินเพื่อให้อิ่มท้อง ไม่ใช่กินเพื่ออร่อย ผักต้มกับข้าวสุกก็พอแล้ว ไม่ต้องมีหลายอย่าง"

ยายสอนว่า อย่ากินข้าวหกๆ หล่นๆ อย่ากินทิ้งกินขว้าง ตักมาแค่พอกินก็พอ กินข้าวเหลือ เททิ้งแล้วบาป คนที่อดอยาก ไม่มีกินยังมีอีกมาก การกินข้าวหกๆ หล่นๆ เรี่ยราดก็บาป คนทำนา กว่าจะได้เม็ดข้าว เหน็ดเหนื่อยมาก ต้องเพาะ ต้องตำ ต้องเกี่ยว กว่าจะมาเป็นข้าวสุกที่กินได้ เสียแรงงานมากมาย เราควรจะรู้จัก เก็บออม กินแต่พอดี เมื่อมีข้าวหล่น ๑ เม็ด ยายก็เก็บกินไม่ปล่อยเอาไว้ เวลากิน ก็กินให้เกลี้ยงจาน ไม่ให้ข้าวสุกติดจาน แล้วเอาไปล้างทิ้ง ยายกินข้าวอิ่มแล้วเป็นอันว่าพอ ไม่กินจุบจิบ

ยายบอกว่า เมื่อก่อนนี้ยายจนมาก ยายหาบของเดินเท้าออกไปขายในเมือง เดินวันละ ๒-๓ เที่ยว ถึงจะพอดี เลี้ยงคนในครอบครัว ไม่มีเหลือเฟือ ปู่ทวดอยากจะกินอาหาร ตามความประสงค์ แต่ยายทำให้ไม่ได้ ยายจึงตั้งอธิษฐานจิตว่า "ยายจะกินอาหารหลักที่เป็นข้าวที่จำเป็น จะไม่อยากกินอะไร นอกเหนือจากข้าว ๓ มื้ออีก" เวลาดิฉันซื้อผักผลไม้ไปให้ ยายจะรับไว้นิดหน่อย ยายบอกพอแล้ว ไม่ต้องเอาไว้มากจนเหลือ คนเราต้องรู้จักประมาณ เอาไว้มากเสียของไม่ดี

ยายกินเจ ตั้งแต่ดิฉันยังเด็กๆ ยายมีสุขภาพดีมาก ยายต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัด มดลูก เพราะทำงานหนัก กระบังลมหย่อน ยายหายเร็วมาก แผลก็หายเร็ว และกำลังใจก็ดีด้วย ยายไปโรงพยาบาล เป็นคนแก่ที่น่ารัก เชื่อฟังหมอ ยายรักษาตัวตามหมอบอก หมอก็ชมยาย ยายไม่ได้กลัวการผ่าตัด ยายจะบอกคนไข้ร่วมห้องว่า "ไม่ต้องกลัว เรามาผ่าให้หาย ถ้าตายก็ไม่เป็นไร ไม่ตายก็จะหาย อย่ากลัว ถ้าไม่กลัวจะหายเร็ว ถ้ากลัว หัวใจจะเต้นผิดจังหวะ เหมือนเข็มนาฬิกา ถ้าลูกตุ้มแกว่งผิดจังหวะ นาฬิกาก็จะเดินผิดเวลา อย่ากลัวจะได้หาย" คนไข้ด้วยกัน เมื่อได้ตัวอย่างของยายก็ไม่กลัว ยายจะออกจากโรงพยาบาล คนไข้ร่วมห้อง ก็อาลัยคิดถึง

ยายเป็นคนอดออม ถนอมของใช้อย่างคุ้มค่ามาก เสื้อผ้ายายจะปะแล้วปะเล่า เป็นร้อยๆปะ จนเนื้อแท้ของเสื้อ แทบจะไม่มี ยายบอกว่ายังใช้ได้ พวกเราลูกๆ หลานๆ จะบ่นประท้วงเสมอ เพราะยายมีเสื้อ มีกางเกงใหม่ๆ เยอะแยะ ยายไม่ชอบใส่ ยายชอบใส่ของเก่า ที่ปะแล้วปะอีก ยายบอกว่า ยายชอบ ซักล้างง่ายดี มิใช่นุ่ง เพื่อสวยงาม เพียงใส่กันอุจาด กันแมลงสัตว์กัดต่อย รองเท้าของยาย เป็นรองเท้าฟองน้ำ แม้พื้นรองเท้า จะสึกขาดไปแล้ว ยายก็จะทำการซ่อมแซม เอาพื้นรองเท้า มาต่อร้อยกันจนใช้ได้ โดยไม่ยอมใช้ของใหม่ เสื่อที่ยายใช้ ปูไหว้พระและนอนเล่น เป็นเสื่อกก ยายใช้มา ตั้งแต่หลาน ยังแบเบาะ จนปัจจุบัน หลานที่ยายเลี้ยง ได้เติบโตขึ้นมา จนเรียนจบ ปริญญา และเข้ารับราชการ เสื่อผืนนั้นยายใช้มา ไม่ต่ำกว่า ๒๕ ปี

ยายจะใช้กะลาตักน้ำ ใช้กาบมะพร้าวทำไม้กวาด ใช้กาบมะพร้าวทำสก็อตไบรท์ ถูถ้วยชาม

ยายไม่กลัวความตาย ยายสั่งว่า ถ้ายายตายไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไร ให้นำศพไปเผาวัด ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เผาให้มอด เหลือแต่ผงแล้วเอาไปเทโคนต้นไม้ให้เป็นปุ๋ย ไม่ต้องเซ่นไหว้ ไม่ต้องตั้งกระถางธูป ไม่ต้องส่งข้าวน้ำ ไปให้ตอนตาย ยายบอกว่าร่างกายนี้ เมื่อตายไปแล้ว เราไม่ได้กินข้าวน้ำ หรือใช้สอยอะไรอีกแล้ว วิญญาณ ไปตามกรรม ชาตินี้ยายทำกรรมดีมาพออาศัย ยายได้ทิ้งความโกรธ ทิ้งความอาฆาต ที่เคยโกรธ เคยเคียดแค้น ต่อคนที่มาทำร้าย รังแกแต่หนหลังแล้ว ยายรู้สึกสบาย เมื่อลดความอาฆาตแค้นได้ ทำให้จิตสูงขึ้น ยายบอกว่า เป็นบุญของยาย ที่ละความโกรธแค้นได้ จิตใจเบาสบาย เหมือนกับยายควักเอาไฟนรก ออกไปจากอกได้ฉันนั้น

ยายพูดคุยถึงความตายโดยไม่สะทกสะท้านเหมือนคนแก่ทั่วๆไป ยายเป็นคนเก็บออม ยายจะเก็บฟืน ผ่าไว้ เรียงไว้ เป็นระเบียบเรียบร้อย ยายบอกว่า ถ้ายายแก่มากๆ ยายอาจจะหาฟืน มาหุงกินไม่ได้ ยายก็จะค่อยๆ ทยอยเอาฟืน ที่สะสมไว้มาใช้ ถ้ายายใช้หมดก็หมดไป ถ้ายายใช้ไม่หมด ก็ให้ขนเอาไป ทำประโยชน์ที่วัด

ยายมีศรัทธาต่อพระศาสนา ยายจะเต็มใจถวายของที่ยายรักให้กับพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แม้ว่าของนั้น จะเป็นสิ่งที่ยายหวง และดูแลมาชั่วชีวิต เช่น ไม้ไผ่กอใหญ่อยู่มาเกือบเท่าชีวิตของยาย เมื่อยายรู้ว่าทางวัด กำลังต้องการ ไม้ไผ่ไปทำกลด ยายยินดี เต็มใจยกให้กับวัด เอาไปทำประโยชน์ ทั้งที่มีคนมาขอซื้อ ยายไม่เคย ขายเลย แต่ยายตั้งใจ เพื่อจะเก็บเอาไว้ทำบุญโดยเฉพาะ ยายอิ่มใจ ปีติใจมาก เมื่อได้ถวายให้วัด ยายบอกว่า ยายไม่มีเงิน ที่จะทำบุญมากๆ ยายทำบุญเท่าที่ยายมี ยายเต็มใจถวายสิ่งของที่ยายมี ทั้งมะพร้าว ที่ยายอุตส่าห์ ออกไปหาเก็บในสวน ตอนเช้ายายจะเดินลัดเลาะ หาลูกมะพร้าว แล้วเก็บเอามากองไว้ เมื่อได้มากพอ จะบอกดิฉัน ให้ขนไปถวายที่วัด ยายบอกว่า พระได้สั่งสอนคนให้เป็นคนดี ยายลดความโกรธ เพราะมีพระดีๆ มาสั่งสอน ยายจึงได้ละความพยาบาท ได้รับความเบาสบาย

ยายสอนดิฉันเสมอว่า "การปฏิบัติธรรมต้องทำพร้อมๆกันทั้ง ๓ ส่วน ส่วนที่หนึ่ง คือ ใจ ส่วนที่ ๒ คือ วาจา ส่วนที่ ๓ คือ การกระทำ สรุปแล้วคือ คิด พูด ทำ ต้องสอดคล้องกัน คิดดี พูดดี ทำดี ต้องครบทั้ง ๓ ประการ ไม่ควรขาดตกบกพร่อง ในส่วนหนึ่งส่วนใด จึงจะได้ชื่อว่าปฏิบัติดี"

ยายสอนดิฉันว่า เราควรพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ เรามีอย่างไรก็ให้พึงพอใจตรงที่เรามี มีอะไรก็ยินดี อยู่กับสิ่งนั้น ไม่ต้องเรียกร้องสิ่งที่ไม่มี แล้วเราจะมีสติดี ไม่เสียสติจนเลื่อนลอย สติจะมีเต็ม อย่างเช่นยายยกตัวอย่างว่า ยายมีลูกชายคนเดียว เมื่อลูกชายยายถูกโจรยิงตาย ยายรู้ว่า ยายไม่มีลูกชายแล้ว ยายก็รู้ว่าไม่มี มีลูก ก็มีแต่ลูกสาว ก็ควรยินดีสิ่งที่มี อยู่กับสิ่งที่มี ไม่ต้องพร่ำเพรียก เรียกหาสิ่งที่ไม่มี ต้องยอมรับโชควาสนา ที่เราสร้างมาเอง

ยายไม่เคยหาหมอดู ยายไม่ได้เชื่อหมอดู ยายไม่เชื่อเจ้าเข้าทรง ยายเชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เบื้องบน ท่านจะรู้เห็น การกระทำของเรา เราทำดีจะได้รับการคุ้มครองดูแล เราคิดไม่ดี เราทำไม่ดี จะได้รับการลงโทษ ยายเป็นตัวอย่าง ของความซื่อสัตย์ อดทน ประหยัด รู้จักพอ ในสิ่งที่มีอยู่

ยายแข็งแรงด้วยอาหารมังสวิรัติ เกือบตลอดชีวิตอันยาวนาน การที่ยายอยู่คนเดียวในสวน ไม่ใช้ไฟฟ้า ทั้งๆ ที่ดิฉัน และน้าสาว พยายามจะต่อไฟให้ใช้ ยายก็ไม่ยอมรับ สำหรับน้ำนั้น ยายยอมจำนน เพราะลูกๆ ไม่ยอม จึงจำเป็นต้อง ขอขัดใจยายจริงๆ เพราะกลัวยายไปตักน้ำ แล้วตกบ่อ ยายจึงยอม ให้ต่อน้ำเข้าไป แต่ก็ใช้น้อยมาก ยังไปตักน้ำคลองมาซักผ้า ไม่ยอมซักผ้าด้วยน้ำประปา ผลไม้ที่ หลานๆ ซื้อมาให้กิน ถ้าเป็นผลไม้ ราคาแพง จะสั่งไม่ให้ซื้ออีก ให้ซื้อผลไม้ตามฤดูกาล ยายรู้ว่า อะไรถูกอะไรแพง แม้อายุ ๘๐ กว่าแล้ว อยู่ในเขตชนบท โดยไม่เคยไปไหนเลย เพราะยายเมารถ จะไปวัด ก็นานๆครั้ง ยายบอกว่า อยู่ที่สวนของยายนี่ สงบดี มีโอกาสดูจิตดูใจ และได้รู้อะไรดีๆ

ยายอายุมาก ๘๐ กว่าแล้ว เป็นคนแก่แต่งตัวปอนๆ สุขภาพแข็งแรง มีสติตื่นเต็ม พูดคุยทั้งธรรมะ และการเมือง รู้เรื่องเป็นอย่างดี ยายศรัทธาเฉพาะหัวหน้าพรรค และพรรคการเมือง ที่เน้นคุณธรรมเป็นสำคัญ ยายเป็นที่รัก และเคารพ ของหลานๆ หลานยายที่ทำงานดีๆ มีหน้ามีตาใน กทม. มักจะมาเยี่ยมเยียนยายอยู่เสมอๆ ยายไม่รับ เงินใคร ทุกคนเข้าไปหายาย เพราะเคารพรัก เข้าใกล้ยาย จะรู้สึกมีความสุข เพราะยายจะให้ ทั้งความรัก และความเมตตา คอยแนะนำให้หลานๆ ทำความดี ยายได้ทำตัวเป็นตัวอย่าง และ พร่ำสอน หลานๆ ให้ทำแต่ความดี ตลอดมา

ปล. เสื่อผืนนั้นใช้เลี้ยงหลานในอดีตสมัยแบเบาะ ขณะนี้หลานคนนี้กำลังเป็นนักกายภาพบำบัด ประจำ โรงพยาบาลรามาธิบดี กรุงเทพฯ จบกายภาพบำบัด จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ปัจจุบัน เสื่อผืนนี้ยังใช้อยู่

file: 2829.ss