๑๓. ร่วมกันสู้ หน้า ๑๕๕

เหมือนอยู่ในสนามรบ

ขณะที่ประชาชนกำลังเคลื่อนที่ ไปบนถนนราชดำเนิน อย่างช้าๆ นั้น พอหัวขบวนของผู้ชุมนุม เดินทางไปถึง สะพานผ่านฟ้า ตำรวจก็เอาลวดหนามมากั้น พร้อมทั้งตั้งแถวยืนขวาง ทุกคนแต่งชุด ปราบจราจล ครบครัน มีทั้งปืน โล่ และกระบอง ผมยืนบนหลังคารถตู้ พูดผ่านเครื่องขยายเสียง ขอให้ประชาชน หยุดตรงเชิงสะพาน ผ่านฟ้า และอย่าได้ไปยั่วยุตำรวจ เราชุมนุมอย่างสันติ ตำรวจกั้นตรงไหน เราก็หยุดตรงนั้น อย่าฝ่าฝืน

ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่า กองหน้าของเรา ไปถึงก่อนหัวขบวน เกือบครึ่งชั่วโมง แล้วก็เกิดการขว้างปา ด้วยก้อนอิฐ กับตำรวจ ตำรวจฉีดน้ำเน่าเข้าใส่ ประชาชนโกรธ เมื่อผมไปถึง จึงควบคุม สถานการณ์ไว้ได้

กรรมการสมาพันธ์ประชาธิปไตย ได้หารือกัน ไม่สามารถจะแบ่ง ประชาชนเป็นกลุ่มๆ ลัดเลาะไปหน้าทำเนียบได้ เพราะทหารตำรวจไ ด้ไปปิดกั้นไว้หมด จึงเปิดการปราศรัย ที่เชิงสะพาน ผ่านฟ้า โดยใช้รถตู้ เป็นเวทีเช่นเคย ส่วนท้ายขบวน ก็มีการเคลื่อน รถเวทีใหญ่ตามมา เปิดการปราศรัยที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตามเดิม

สักพักใหญ่ๆ ก็ได้ยินเสียงระเบิดตูมตามขึ้น ซึ่งเป็นระเบิดขวด และมีแสงเพลิง พร้อมควันไฟ พวยพุ่งขึ้นมา

ผมตะโกนผ่านเครื่องขยายเสียง “เจ้าหน้าที่ทหารตำรวจครับ ที่มีการเผา และการปาระเบิดนั้น ไม่ใช่พวกเรา ไม่ใช่ผู้มาร่วมชุมนุม เรามาอย่างสันติ ไม่ได้พกอะไรมา เป็นการกระทำ ของมือที่ ๓ ขอให้ตำรวจจัดการ โดยเด็ดขาด และพวกเรา อย่าข้ามสะพานผ่านฟ้า ไปสมทบด้วยเป็นอันขาด”

ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ รายงานภายหลังว่า มีชายกลุ่มหนึ่ง แต่งกายเหมือนๆกัน ล้วงสิ่งของจากอกเสื้อ ปาเข้าไป มีการเผา รถดับเพลิง เผาอาคาร ชุลมุนวุ่นวายไปหมด เพื่อสร้างสถานการณ์ ให้ดูเป็นว่า เกิดการจลาจล จะได้ใช้กำลัง เข้าปราบผู้ชุมนุม

การเผาสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง ก็ไม่สมเหตุผลเลย เพราะอยู่ห่างจาก แนวเผชิญหน้ากัน คือ ห่างจาก สะพานผ่านฟ้า ออกไปอีก มีผู้กลับมาเล่าให้ผมฟัง ในคืนนั้นว่า เขาเผากัน อย่างคนมีฝีมือ ซึ่งเคยได้รับ การฝึกมาแล้ว ลำพังผู้ร่วมชุมนุม อย่างพวกเรา ทำไม่ได้หรอก ไฟไม่มีจุด น้ำมันไม่มีเผา จะไปเผาได้อย่างไร สถานีตำรวจนางเลิ้ง ก็ไม่ใช่อาคารร้าง มีตำรวจ อยู่เวรยาม มากมาย อาวุธกระสุนพร้อม แต่ตำรวจไม่ต่อสู้เลย

ผมปราศรัยกับผู้ชุมนุมว่า อย่ายั่วยุตำรวจ อย่าข้ามสะพาน ผ่านฟ้าไป และอย่าไปสนใจ กับเสียงระเบิด ตลอดจน การเผาผลาญ อาคารต่างๆ

ถ้าใครยืนอยู่บนหลังคารถ หรือขึ้นไปยืน บนป้อมพระกาฬ เชิงสะพานผ่านฟ้า จะเห็นได้ชัดว่า ทหาร ตำรวจ รวมกำลังกันอยู่ซีก กรมโยธาธิการ มีรถดับเพลิง รถบรรทุกอาหาร อาวุธ กระสุนพร้อมพรั่ง ส่วนอีกซีกหนึ่ง มีแต่คนมือเปล่า แน่นไปหมด

ต่อมา ทหาร ตำรวจ ได้ยิงปืนกราด เข้าไปยังฝูงชน ผู้ร่วมชุมนุม รีบหมอบลงกับพื้น กระสุนที่ยิงออกมานั้น เป็นกระสุนจริง และบางนัด เป็นกระสุนส่องวิถีด้วย ไม่ได้ยิงขึ้นฟ้าทั้งหมด แต่ยิงจริงๆ ตามแนวราบ เสียเป็นส่วนใหญ่ ใครไม่หลบให้ดี เป็นได้เลือด

ผมหมอบบนหลังคารถตู้ ซึ่งเป็นเป้าที่ค่อนข้างเด่น นึกปลอบใจตัวเองว่า ลำโพงบนหลังคารถตู้ คงช่วยเบี่ยงเบน แนวกระสุน ได้บ้าง หรือปะทะปะทัง ให้หนักเป็นเบาบ้าง เมื่อเสียงปืนสงบลง เราก็เปิดการปราศรัยต่อ

ประชาชนบริเวณสะพานผ่านฟ้า เมื่อถูกกราดยิง ก็เครียดขึ้นทุกที โชคดีมีผู้กล้าหาญ ไปช่วยกันแก้สถานการณ์ พูดไป ร้องไป เล่นกีต้าร์ไป สลับกันระหว่าง แอ๊ด คาราบาว และหัวหน้าวงซูซู หลายเพลงที่ถูกใจมาก ประชาชน เกือบทั้งหมด ร่วมร้องเพลงด้วยกัน ผู้ที่จำเนื้อเพลงไม่ได้ ก็ปรบมือบ้าง ใช้ขวดพลาสติกเปล่าๆ เคาะพื้นบ้าง เข้ากันดีเหลือเกิน

เป็นการชุมนุมที่แปลกที่สุดในโลก เหมือนชุมนุม อยู่ในสนามรบ อีกฝ่ายหนึ่ง จะยิงเมื่อไรก็ยิงไป เพราะเราต่อสู้ อย่างอหิงสา พอยิงเสร็จ เราก็โงหัวขึ้นมา ฟังการปราศรัย หรือฟังเพลงต่อ

ตอนดึก ขณะที่เราชุมนุมกันอยู่นั้น รัฐบาลได้ประกาศ ข่าวด่วนพิเศษ ให้ประชาชนทั้งประเทศทราบ เป็นระยะๆ

เวลาประมาณห้าทุ่มครึ่ง โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ได้ประกาศว่า “เมื่อเวลาประมาณ ๒๒.๐๐ น. จากการชุมนุม โดย พลตรีจำลอง ศรีเมือง ได้ก่อความรุนแรงทางการเมือง โดยผลักดัน ให้ผู้ชุมนุม ไปกระทบ กระทั่ง กับเจ้าหน้าที่…”

เวลาประมาณสองยาม ประกาศว่า “เมื่อเวลา ๒๔.๐๐ น. พลตรีจำลอง ศรีเมือง ได้ปลุกระดม ให้ประชาชน บางส่วน เข้ายึด สถานีตำรวจ ดับเพลิงภูเขาทอง และได้ทำลายทรัพย์สิน ของทางราชการ หลายรายการ ทางราชการ มีความจำเป็น ต้องดำเนินการ อย่างเด็ดขาด เพื่อมิให้เสียหาย มากไปกว่านี้ จึงขอให้พี่น้อง ประชาชนทั่วไป ซึ่งมิได้เห็นด้วย กับวิธีการอันรุนแรง ของพลตรีจำลอง ศรีเมือง ได้เข้าใจ ในความจำเป็น ของทางราชการ ในครั้งนี้ด้วย”

ต่อมาในเวลาสองยามครึ่ง พลเอกสุจินดา ก็ประกาศภาวะฉุกเฉิน ในเขตท้องที่ กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล

และเวลาตีหนึ่งครึ่ง ได้มีประกาศตามออกมา อีกฉบับหนึ่ง เป็นประกาศของ กระทรวงมหาดไทย ห้ามชุมนุม ตั้งแต่ ๑๐ คนขึ้นไป

เวลาประมาณตีสาม โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ประกาศ “ขณะนี้พลตรีจำลอง ศรีเมือง และผู้ก่อการจลาจล ได้เผาทำลาย ยานพาหนะ ของทางราชการ และประชาชน ไม่น้อยกว่า ๑๐ คัน และมีเจ้าหน้าที่ บาดเจ็บ จำนวนหนึ่ง นอกจากนั้น ยังได้เผา สถานีตำรวจ ดับเพลิงภูเขาทอง กองกำกับการ สวัสดิภาพเด็กและเยาวชน และเข้ายึดสถานีตำรวจ นครบาลนางเลิ้ง ปล่อยผู้ต้องหา ทำลายทรัพย์สิน ของทางราชการ และมีแนวโน้ม จะทำลายสถานที่ราชการอื่นๆ ต่อไป”

ต่อจากนั้นอีก ๕ นาทีได้ประกาศว่า “กลุ่มก่อการจลาจล ภายใต้การนำของ พลตรีจำลอง ศรีเมือง ที่เข้ายึด กองกำกับการ สวัสดิภาพเด็กและเยาวชน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ มิได้ต่อสู้ ได้เข้ายึดอาวุธ บังคับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ถอดเครื่องแบบ กราบขอชีวิต ต่อผู้ก่อการจลาจล”

ตั้งแต่ตอนกลางคืน จนถึงเช้ามืด ซึ่งผมและผู้ร่วมชุมนุม อยู่ด้วยกัน ที่เชิงสะพานผ่านฟ้า ตลอดเวลานั้น นับการกราดยิง ของทหาร ตำรวจ ได้ถึง ๔ ครั้ง บางครั้ง ยิงติดต่อกันนานมาก ไม่ได้ยิงทีละนัด แต่ยิงแบบปืนกล จากปืนเอ็ม ๑๖ ร้อยๆ กระบอก จนสงสัยว่า ขนลูกปืนไปทั้งหมด กี่คันรถ ทหารชั้นผู้น้อย เล่าให้ฟังภายหลังว่า ขนอาวุธกระสุนไปเพียบ มากกว่าการซ้อมรบ ครั้งใหญ่ๆ หลายเท่านัก!

มีอยู่ระยะหนึ่ง ทหาร ตำรวจ ที่เชิงสะพานผ่านฟ้า หน้ากรมโยธาธิการ พร้อมใจกันหายไปหมด ผมรีบตะโกนบอก ผู้ชุมนุม ผ่านเครื่องขยายเสียงว่า “อย่าตามไป อย่าข้ามสะพานผ่านฟ้าไป จะตกหลุมพรางของเขา อย่าไปครับ ที่นั่นอันตราย เราอยู่ด้วยกันตรงนี้”

ผู้ที่ขึ้นไปช่วยพูดสลับกับผมนั้น นอกจากจะเป็นกรรมการ สมาพันธ์ประชาธิปไตย เช่น หมอสันต์ หมอเหวง และ คุณปริญญา แล้วก็มี ส.ส.ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และ มหาประสิทธิ์ ครองเพชร ส.ส.ไชยวัฒน์นั้น เสียงแหบ เนื่องจากพูดตามจุดต่างๆ ติดต่อกันมานาน ส่วนมหาประสิทธิ์ เสียงยังใส ช่วยได้มาก พูดได้ชัดถ้อยชัดคำ เสียงดังฟังชัด ท่านเตือนสติ ผู้ร่วมชุมนุม ได้ดีเยี่ยม เพราะท่านเป็นมหาเก่า ลูกศิษย์หลวงพ่อ วัดปากน้ำภาษีเจริญ

เมื่อเราถูกกราดยิงหลายครั้ง บางคนเกิดความโมโห รถคันใหญ่ ที่ติดลำโพงเป็นตับ หลายสิบลำโพง ซึ่งใช้ประจำ เวทีปราศรัย ที่อนุสาวรีย์ ประชาธิปไตย เคลื่อนที่ไปยัง สะพานผ่านฟ้า ไปทางด้าน ที่รถผมจอดอยู่ เครื่องขยายเสียง ดังมาก กลบเครื่องขยายเสียงรถตู้หมด เคลื่อนที่ไปพลาง ก็ประกาศไปพลาง “บุกครับ บุก เราจะมาหยุดอย่างนี้ไม่ได้ การชุมนุมคราวที่แล้ว เราก็มาหยุดอย่างนี้ ไม่ได้ผลอะไร”

ผมรีบตะโกนพูดผ่านเครื่องขยายเสียง ของรถตู้ “รถใหญ่ครับรถลำโพงครับ ผม พลตรีจำลอง ศรีเมือง พูด อย่าชวนประชาชนบุก ขอให้หยุด หยุดเดี๋ยวนี้ ถ้าเราบุกข้ามไป จะเป็นอันตราย และเราจะแพ้ ขอให้แล่นรถ เดินหน้า เข้ามาข้างๆ รถตู้คันนี้ เพื่อพูดส่งเสียง ไปยังทหารตำรวจฟากโน้นว่า อย่าทำร้ายประชาชน”

“รถลำโพงครับ รถของท่าน เครื่องขยายเสียงดังมาก มาช่วยกันหน่อย” โชคดีโฆษกประจำรถเชื่อผม
เมื่อแล่นมา เทียบใกล้ๆ รถตู้แล้ว ผมก็ขอให้รถคันนั้น เป็นเวทีปราศรัยแทน คราวนี้เราได้นักพูด ซึ่งเป็นผู้นำนักศึกษา ติดมากับรถคันใหญ่ หลายคน พูดเก่งทั้งนั้น ผมขอให้มหาประสิทธิ์ ไปช่วยพูด ที่คันนั้นด้วย

บนรถคันใหญ่นั้น ข้างหน้ารถ มีลำโพงติดเรียงราย หลายแถวเป็นแผงกั้น ผู้ปราศรัยบนรถคันใหญ่ กล้ามาก ทีแรกๆ เมื่อทหาร ตำรวจยิงมา ยังยืนพูดเฉย ครั้งต่อมา ลำโพงที่กั้นเป็นแผง ถูกยิงกระจุยหมด เศษเหล็ก ที่ฉีกออกไป ยังไปทำอันตราย คนที่อยู่ข้างๆ ผู้ปราศรัย จึงระมัดระวังมากขึ้น เมื่อได้ยินเสียงปืน ที่ทหาร ตำรวจยิงเข้ามา รีบก้มลงหมอบ กับพื้นรถทันที

พอตะวันขึ้น รถใหญ่ก็หมดสภาพ ใช้เป็นรถปราศรัยไม่ได้ ลำโพงรถ ถูกยิงเสียหายหมด จึงต้องกลับมาใช้ รถตู้ ดังเดิม

ผู้ร่วมชุมนุมทั้งชายและหญิง กล้าหาญจริงๆ แม้จะถูกยิงกราดถึง ๔ ครั้ง ๔ หน ก็ไม่ถอย นั่งและยืนประจัญหน้า อยู่ตรงนั้น ตลอดคืน คงมีความรู้สึก เหมือนกับที่ผมรู้สึก คือ แปลกมาก ไม่เพลียเลย อยู่ได้อย่างไร ตลอดคืน ไม่ได้งีบ แม้นาทีเดียว ปกติผมเป็นคน ที่อดนอนไม่ใคร่ได้เลย แล้วคืนนั้น ไม่ได้อยู่เฉยๆเสียด้วย ทั้งพูด ทั้งหมอบ หลบกระสุนปืน

เมื่อตอนกลางคืน ผมต้องทะเลาะกับ หนุ่มใหญ่คนหนึ่ง ที่พยายามเอาตัวเอง มาบังกระสุนให้ผม ขณะที่ผมหมอบ บนหลังคารถ เป็นเป้านิ่ง อย่างดี ถ้าแกถูกยิงเพราะผม ผมก็ต้องทุกข์ ไปกับแกด้วย ผมยอมเสียมารยาท ใช้ทั้งมือทั้งเท้า เขี่ยออกไป แล้วขอโทษภายหลัง

ในเวทีที่เสี่ยงตายทุกขณะ ผมได้เห็นน้ำใจของใครๆ หลายคน ซึ่งผมจะไม่มีวันลืมเลย

เมื่อถูกกราดยิงตอนสว่างอีกที ขืนอยู่บนหลังคารถตู้ จะเป็นเป้า ที่เห็นได้ชัดมาก ผมกับไชยวัฒน์ ก็เหวี่ยงตัวลงไป หมอบกับพื้นถนน ข้างรถตู้ ผมค่อยๆคลาน รอดวิถีกระสุน ไปโทรศัพท์ เรียนให้ผู้ใหญ่ ที่ผมเคารพทราบ คลานผ่านไป ก็มีคนให้ เสื้อลายๆตัวหนึ่ง ใส่ทับเสื้อม่อฮ่อม เป็นการพรางตัว นักข่าวหญิง คนหนึ่งตกใจ นึกว่าผมถูกยิง พยายามคลานเข้าไป ยื้อยุดฉุดแขนผม พร้อมกับถาม “ถูกยิงหรือ ถูกยิงหรือเปล่า” พอบอกว่า เปล่า แกค่อยเบาใจ ไม่คลานตามไป

เสียงปืนสงบ ผมก็ลุกขึ้นเดินต่อ ไปประชุมกับกรรมการ สมาพันธ์ประชาธิปไตย ซึ่งเดิมนัดจะประชุมที่ อนุสาวรีย์ ประชาธิปไตย และรีบโทรศัพท์ แจ้งสถานการณ์ ให้ผู้ใหญ่หลายท่าน ซึ่งอยู่นอกเหตุการณ์ได้ทราบ

เมื่อเสียงปืนเงียบลง ทหารก็ส่งผู้แทนมาเจรจา ตามคำบอกเล่าของ ส.ส.ไชยวัฒน์ เพื่อให้ย้ายไปสนามหลวง

“เช้าวันที่ ๑๘ พ.ค. ทหาร ๒ คน ที่มาเจรจากับผมก็คือ พันเอกนพดล และอีกคน นามสกุล กรานเลิศ เขาก็พูดจาดี ผมก็ขอบคุณเขา ที่กรุณาต่อประชาชน หลังจากนั้น ก็ไม่ได้มีการคุยกันอีกเลย ก็ทราบว่า หลังจากนั้น หน่วยนี้ก็เปลี่ยนไป มีหน่วยใหม่มา มันพอดีหมดกะ หมดเวรมั้ง” ไชยวัฒน์ ตั้งข้อสังเกตต่อว่า “เขาอาจจะได้รับมาจากผู้ใหญ่ ให้มารับข้อเสนออันนี้ แต่เขาอาจจะไม่รู้ว่า สนามหลวงนั้น ถูกล้อมไว้หมดแล้ว ตอนที่ผมออกไปดูพื้นที่ ช่วงสี่แยกคอกวัว ก็มีทหารอากาศอยู่ ทางซ้ายมือก็มีทหารเรือ ตำรวจอยู่ทางด้านขวามือ ฟากโรงเรียนสตรีวิทย์ อีกด้าน ก็ยันไว้กับทหารบก ต้นมะขามต้นหนึ่ง มีทหาร ๓-๔ นาย มีอาวุธครบมือ ยืนล้อมไว้หมด เพราะฉะนั้น มันปฏิบัติไม่ได้”

ครูประทีป คุณปริญญา หมอสันต์ คุณสมศักดิ์ คุณจิตราวดี และผม อยู่ครบหมด ทุกคนปลอดภัย ขาดแต่ หมอเหวง คนเดียว ตอนหลัง ทราบว่าปลอดภัย ทุกคนก็ดีใจ ครูประทีปเล่าว่า ซีกทางด้าน อนุสาวรีย์ ประชาธิปไตย ตอนแรกน่ากลัวมาก ทหารบุกเข้ามาทุกทาง แต่ปรากฏว่า ไม่ได้กราดยิงเข้ามาเลย

แปดโมงกว่าๆ ผมได้โทรศัพท์ไปหา พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรี โดยใช้โทรศัพท์มือถือ เพื่อเรียนให้ท่าน ทราบสถานการณ์ ที่เป็นจริง เกรงว่าท่านจะเข้าใจผิด เพราะวิทยุและโทรทัศน์ บิดเบือนข่าว อยู่ตลอดเวลา

“ป๋าครับ ผมพลตรีจำลอง ศรีเมือง ขอนุญาตรบกวนป๋า” ผมรีบรายงานตัว

“ตอนนี้อยู่ที่ไหนล่ะ จำลอง” ท่านถามด้วยความเป็นห่วง

“ผมอยู่กลางถนนราชดำเนินครับ” ผมตอบทันที

“ป๋าครับ มีมือที่สามมาก่อความวุ่นวาย ประชาชน ชุมนุมอย่างสันติ ตั้งแต่กลางคืน จนถึงเช้ามืด ทหารยิงเข้าใส่ ประชาชน ถึง ๔ ครั้ง สุดแท้แต่ป๋าจะกรุณา ไม่อย่างนั้น วันนี้คงใช้กำลัง บุกเราแน่ เพราะเขาล้อม ทุกด้านหมดแล้ว” ผมรายงาน สถานการณ์ย่อยๆ พร้อมกับขอให้ท่าน ช่วยประชาชน

“ตอนนี้มีคนอยู่เท่าไหร่” ท่านถาม

“ประมาณ ๗ หมื่นครับ เมื่อคืนนี้ร้องเพลง สรรเสริญพระบารมี ยังไม่ทันจบ ทหารก็ยิงกราด เข้าใส่ประชาชน คงมีผู้เสียชีวิต แต่ผมไม่ทราบจำนวน ที่ผมเห็นด้วยตาตนเองนั้น บาดเจ็บ ๔ คนครับ

ป๋าครับ ป๋าช่วยดำเนินการ สุดแท้แต่ป๋า จะเห็นสมควรครับ”

ประมาณ ๙ นาฬิกา เมื่อพวกเราเริ่มหิว อาหารก็มา มาตามมีตามเกิด มีอะไรเราก็แบ่งปัน ของกินได้ เรากินทั้งนั้น ผมต้องปีน ขึ้นไปบนหลังคารถตู้ เพื่อแบ่งปันของ ที่มีผู้นำไปให้ มีสารพัด ตั้งแต่ลูกอม ไปจนถึงผลไม้ ขนม และอาหารทุกชนิด นอกจากนี้ ยังมีแม้กระทั่ง ดอกกุหลาบเป็นหอบๆ ผมทราบทีหลังว่า ทหารปิดกั้น การส่งเสบียงให้เรา อย่างเข้มงวด แต่ประชาชนฉลาด หาทางส่งเข้ามาจนได้

ผู้เข้าแถวรับการแบ่งปันหลายคน ส่งเงินให้ด้วย มีตั้งแต่เหรียญห้าบาท จนถึงธนบัตรใบละ ๕๐๐ บาท ผมนั้น มือหนึ่ง แบ่งปันข้าวของ อีกมือหนึ่ง รับเงินใส่ถุง สนุกดีแท้ เหมือนอยู่ท่ามกลาง วงศาคณาญาติ ที่เห็นใจกัน เป็นมิตรกัน ในยามยาก บางท่าน รับประทานมาบ้างแล้ว ก็นึกถึงคนอื่น ไม่ขอรับแบ่งทั้งข้าว ขนม และผลไม้ ขอเพียงกุหลาบ ดอกเดียว ก็ชื่นใจ และผู้ชุมนุม ยังได้นำดอกกุหลาบ ไปมอบให้ทหารอีก

เดิมทีเดียว เมื่อมีคนขนดอกกุหลาบมาให้ ผมคิดในใจว่า เปลี่ยนเป็นข้าวต้มมัด หรือปาท่องโก๋ โรตี เสียก็จะดี เพิ่งมาทราบ ความสำคัญ ของดอกไม้ตอนหลัง ภายในเวลาชั่วโมงกว่าๆ อะไรๆ ก็แจกหมด ผมดีใจ ที่เห็นพวกเราบริเวณนั้น อิ่มกันทุกคน

ผมและผู้ชุมนุมอีกมากมาย อยู่แนวหน้า มาตลอดคืน ผมอยู่บนหลังคารถ มองเห็นอะไรๆ ได้ดีกว่า เห็นคนเจ็บ ถูกหาม ผ่านไปสี่คน บางคนหัวแตกเลือดไหล บางคนถูกยิง ที่แขนนิดหน่อย ผู้ที่บาดเจ็บสาหัส อาจจะมีตายบ้าง แต่ผมไม่เห็น เพียงแต่ฟังบอกมา

ผู้ที่บาดเจ็บส่วนใหญ่ เป็นเพราะไม่เชื่อกัน ข้ามสะพานผ่านฟ้าไป จึงถูกตีถูกยิง เจ็บกลับมา โชคดีที่เรา มีเครื่องขยายเสียงใช้ ได้อาศัย ประกาศเตือนกัน อยู่ตลอดเวลา มิฉะนั้น คงจะบาดเจ็บหลายคน

 

ฝูงชนนับแสนที่ล้มลุกคลุกคลาน
อยู่บนถนนราชดำเนินนั้น
มองดูแล้วเหมือนมวลดอกไม้
ที่ชูช่อสีสันตระการตา
กำลังถูกเหยียบย่ำ ด้วยฝ่าเท้าของฝูงปีศาจ
จนระเนระนาด อยู่ท่ามกลาง
ความมืดมิดของค่ำคืน

อ่านต่อ ๑๔ นองเลือดหลังถูกจับ

จากหนังสือ ... ร่วมกันสู้ ... พลตรี จำลอง ศรีเมือง * เหมือนอยู่ในสนามรบ * หน้า ๑๕๕