3
๑๙. อยู่ดี มีสุข
 
 
   
page: 19/21
โรงเรียนกินนอน

๑๙ อยู่ดี มีสุข

นักศึกษาทั้งหลายครับ ผมมาที่นี่บ่อย มาบ่อยจนคล้ายกับว่า ผมจะเป็นคนของวิทยาลัยครู อุดรธานี ไปแล้ว ผมมาพูด ผมมากิน ผมมานอนที่นี่

เมื่อคืนนี้ลงรถ ตอนสองทุ่ม ก็มากางกลดอยู่นอกห้องประชุมนี่เอง นอนหลับสบายผมมีความคุ้นเคย ต่อสถานที่นี้มาก ลงจากรถ ก็เดินดุ่มๆ มาเลย รู้ว่าตัวเอง จะนอนตรงไหน รู้ว่าห้องน้ำ ห้องส้วมอยู่ที่ไหน ไม่ต้องไปทำให้คนอื่น เขาลำบากลำบน เดือดร้อน มีความรู้สึกว่า ที่นี่เป็นบ้านของตัวเอง เพราะฉะนั้น ผมจึงไม่ค่อยมีอะไร ที่จะเดือดเนื้อร้อนใจว่า เอ๊ จะพูดไปนี่ จะถูกอก ถูกใจเขามั้ย ไม่เป็นไรหรอก เพราะผมถือว่า เป็นกันเอง

วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องอยู่ดีมีสุข ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนใฝ่ฝันหา ผมก็หา คุณก็หา ใครๆก็หา ทุกคน อยากอยู่ดีมีสุขทั้งนั้นไม่มีใครหรอกครับ ที่อยากจะ ไม่อยู่สุข มีใครบ้างมั้ยครับ ในที่นี้ที่อยาก จะอยู่ไม่สุข ยกมือซิว่า ผมนี่แหละ หนูนี่แหละ อยากจะอยู่ไม่สุข ไม่มีนะครับ ทุกคนอยาก จะอยู่ดีมีสุข แล้วทำยังไงล่ะ จะอยู่ดีมีสุข ลองตอบนะครับ ตอบในใจก็ได้ ไม่ต้องตอบออกมาดังๆ เดี๋ยวจะพึมไปหมด บ้างว่า ต้องมีของกินของใช้ ให้พร้อมซิ ถึงจะอยู่ดีมีสุข นึกอยากจะกินอะไร ก็ได้กิน นึกอยากจะใช้อะไร ก็ได้ใช้ อย่างนี้ละ อยู่ดีมีสุข

บางคนบอก เอ๊! ไม่ได้นะ แค่นี้ไม่พอ มันจะอยู่ดีมีสุขไปได้ยังไงว่า เรามีกินมีใช้ก็สุขแล้ว ถ้าเกิดว่า คนอื่นอยากจะกิน อยากจะใช้ของ ของเรา เขามาแย่งเรากิน แย่งเราใช้ จะอยู่ดี มีสุขหรือ เดี๋ยวก็มาจี้เรา มาปล้นเรา เอาของของเราไป โดยที่เราไม่ให้ อย่างนั้น ก็ไม่ใช่อยู่ดีมีสุข ขออีกอย่างได้มั้ย ปลอดภัย เอ้า! ตกลง ให้มีของกินของใช้ พรั่งพร้อมบริบูรณ์ มีความปลอดภัยในชีวิต และ ทรัพย์สินด้วย

นักศึกษา อยากจะเป็น อยากจะมีอย่างนี้มั้ยครับ อย่างที่ผมว่า มีของกินของใช้ มีความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินด้วย ถือเป็นการอยู่ดีมีสุข อย่างที่บางคน เขาคิดกัน อยากมั้ยครับ

ถ้านักศึกษาอยากจะมี อยากจะเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องรอให้เรียนจบ วิทยาลัยครูหรอกครับ ประเดี๋ยว พูดเสร็จแล้ว ไปกับผมเลย ที่นั่น มีพร้อมครับ นักศึกษา อยากจะกิน ถึงเวลาได้กิน ทั้งของหวาน ของคาวพร้อม จะนุ่งจะห่มล่ะ เขาก็มีให้นุ่งให้ห่ม เอ๊! ดีแฮะ แล้วไงอีกล่ะ เอ้า! ฝนตกแดดออก ก็ไม่ต้องไปตากแดด ตากฝน มีที่กำบัง มีบ้าน มีช่องให้ เวลาเจ็บเวลาป่วย ไม่ต้องกลัวครับ เขามียา รักษาโรคให้ มีหมอรักษาให้ด้วย โดยที่เราไม่ต้องเสียเงินเลย

ไหนลองพูดถึงเรื่องความปลอดภัยซิ โอ้โฮ! ความปลอดภัยนี่ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ดีกว่าคนอื่นๆ เขาไม่ปลอดภัย เท่าเรา เรามีกำแพงสูงๆ ใหญ่ๆ นะครับ ล้อมรอบ ๔ ด้านเลย แหม ท่าทางเข้าท่านะ มีกิน มีอยู่ มียารักษาโรค มีเยอะแยะไปหมด มิหนำซ้ำ ยังมีคนเฝ้ายามอยู่ ๒๔ ช.ม.อีก ยืนเต็มเชิงเทินหมด มีเครื่องอาวุธพร้อมเลย ไม่มีใครหรอกครับ ที่จะเข้ามา ทำร้ายเรา โจรผู้ร้ายไม่มี เพราะว่าเขากวาดมา อยู่ข้างในหมดแล้ว ที่อยู่ข้างใน ก็ไม่มีปืนผาหน้าไม้ มาทำอันตรายเราได้ อยากมั้ยครับ ที่ว่าอยาก อยู่ดีมีสุข ถ้าอยาก เดี๋ยวไปด้วยกัน ไม่ใกล้ไม่ไกล จากที่นี่ครับ ที่นั่นคือคุก

อย่างนี้เรียกว่า อยู่ดีมีสุขมั้ย ไม่ใช่ ถ้าใช่ นักศึกษาไม่ต้องมาทนให้เขาขูด เขาเกลาหรอก วันนี้ไหน จะโดนครูขูด โดนพระขูด ยังโดนอีตาคนที่พูดมากๆ มาขูดอีก มันช่างช้ำ เหลือเกิน

แล้วตอนเรียนต่อไปล่ะ ไม่ใช่พูดให้ท้อ เรียนต่อไปนี่ จะต้องหนัก ต้องหนา ถ้าเราเห็นว่า ไม่ต้องเรียนจบ วิชาครู ก็สามารถมีสิ่งที่พูดมาแล้ว ได้อยู่ดีมีสุขแล้ว เราก็ไม่ต้อง เรียนให้จบ เสียเวลาไปเปล่าๆ

ตอนเรียนเขาจะต้องสอบคุณนะครับ ถึงแม้คุณจะเป็นนักเรียนครูก็ตาม ก็ต้องสอบ "เขาสอบฉันท้อ เพราะไม่เที่ยง เสี่ยงบุญกรรม มิเคยจะจำเอาไว้ก่อน เรียน เรียนไป ให้ง่วนนอน ทุกตอนฉันคิดจะนิทรา"

คุณจะต้องพบกับความทุกข์อย่างนี้นะครับ แต่ที่คุณทนพบกับความทุกข์อย่างนี้ เพื่ออะไร เพื่อให้มีอะไร ที่มากมายกว่า ที่อยู่ในคุก คุณถึงได้มา อยู่อย่างนี้ ใช่มั้ยครับ

นักศึกษาบางท่าน อาจจะบอกว่า เอ๊! ไม่ได้นะ ขออีกอย่างได้มั้ย ถ้าขออีกอย่างได้ละก็ ทีนี้แหละ สบายละ อยู่ดีมีสุขละ ขออะไร ขออิสรเสรียังไงล่ะ ขอให้อยู่ดีมีสุข ในลักษณะที่บอกว่า มีปัจจัย ๔ พร้อม มีความปลอดภัย แล้วก็มีอิสรเสรี อิสรเสรีที่ใครๆแสวงหา แม้กระทั่ง ผ้าอนามัย เวลาเขาโฆษณา เขายังบอกเลย "อิสระใหม่ที่คุณใฝ่หา"

ตกลงสมการตอนนี้ อยู่ดีมีสุข เท่ากับ มีอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่ ยารักษาโรค พร้อมพรั่งพร้อมไปด้วย ความปลอดภัย แล้วก็มีอิสรเสรี ที่เราใฝ่หา

คนเรานะครับ เมื่อตอนอยู่ไม่สุข ก็มีการแสดงออกต่างๆนานากัน ได้ยินเขาร้องตะโกน ถามกันปาวๆ ขึ้นรถมาเมื่อวาน ก็ได้ยินครับ "ฉันรักเธอ แล้วทำไม เธอจึงคิดเปลี่ยนใจ ฉันรักเธอ แล้วทำไมเธอ จึงคิดเปลี่ยนใจ" บางคนก็ตะโกน ขายของชำรุด "ใครจะซื้อหัวใจเปล่าเปลี่ยว ดีทีเดียว แต่ว่าอกหัก ใครจะซื้อหัวใจเปล่าเปลี่ยว ดีทีเดียวแต่ว่าอกหัก ดวงใจช้ำรักขายขาด"

มาฟังลูกเศรษฐีบ่นพึมพำอย่างกับหมีกินผึ้งกันบ้าง "ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ" บ่นอยู่อย่างนี้ แหละครับ ทำไมถึงบ่นอย่างนี้ แม้ตัวเอง จะเป็นลูกเศรษฐี ลูกเศรษฐีคนนี้ ชื่อว่าอะไร นักศึกษาบางท่าน ก็ทราบแล้ว ชื่อว่า ยสกุลบุตร เป็นบุตรมหาเศรษฐี มีอะไรพรั่งพร้อมหมดครับ มีมากกว่านักเรียน มีมากกว่าผม อยู่เฉยๆ ก็มีเยอะอยู่แล้ว เพราะว่าพ่อเป็นเศรษฐี จะกินอะไรมี จะใช้อะไรมี อยู่เฉยๆ ก็พรั่งพร้อมไปด้วย ข้าทาสบริวาร เยอะแยะไปหมด แต่แล้วตนเอง ก็เห็นว่า ยังอยู่ไม่สุข ยังไม่อยู่ดีมีสุข อย่างที่ว่าเลย ก็เลยต้องตะโกน บ่นออกมาว่า "ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ"

อ้า! หันมาดูอีกคนหนึ่ง เจ้าชายสิทธัตถะ เป็นรัชทายาท พรั่งพร้อมไปด้วย ทรัพย์ศฤงคาร มากมาย ก่ายกอง บริวารห้อมหน้าห้อมหลัง เยอะแยะไปหมด ก็เป็นคนที่อยู่ไม่สุข มาก่อนนะครับ มีห่วง ๓ ห่วง ยังกับเครื่องหมาย กรมพลศึกษา นักเรียนรู้มั้ย กรมพลศึกษา มีห่วงอะไรบ้าง มีห่วงสีขาว สีเขียว สีเหลือง เจ้าชายสิทธัตถะนี่ มีห่วงพร้อมเลย ๓ ห่วง ห่วงที่รัด ทั้งมือ ทั้งขา ทั้งคอ

วันที่พระนางพิมพาประสูติราชโอรสออกมา เจ้าชายสิทธัตถัไม่ต้องนึกชื่อให้เมื่อยให้เหนื่อย ให้เสียเวลา ตั้งชื่อทันที ทันทีที่ลูกออกมา ตั้งชื่อว่า"ราหุล" แปลเป็นไทยง่ายๆ เรียกอย่าง ภาษาชาวบ้านว่า "เจ้าห่วง" หรือ "เด็กชายห่วง" ว่าแล้วพระพุทธองค์ก็ออกบวช เพราะต้องการที่จะพบว่า ทางใดบ้าง ที่จะพ้นไปจากห่วง ทั้งสามนี้

นักศึกษาลองเทียบกับตัวเองดูซิครับ ไม่ใช่หลับตานึกนะครับ เดี๋ยวจะหลับไปเลย นึกโดยไม่ต้องหลับตา ที่แหละครับ เดี๋ยวจะผิดข้อตกลงกันไว้ว่า เราจะไม่นั่งหลับ ลองคิดเทียบ กับนักศึกษาดูซิว่า ภาวะของ ทั้งสองท่าน คือ ยสกุลบุตร กับพระพุทธเจ้า ก่อนที่จะออกบวช กับเรานี่ ต่างกันแค่ไหน มีพร้อมหมด ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ยังอยู่ไม่สุข ก็ยังต้อง ออกแสวงหา

นักศึกษาล่ะ อยู่สุขอะไรกันนักหนา มีสภาพไม่ต่างกับที่เขาตะโกนร้องกัน "ยากแค้นต้องทนไปจนตาย ชีวิตเป็นนายมุ่งหมายอยากเด่น ฉันพบขีวิตลำเค็ญ ต้องทนยากเข็ญ ชีวิตมันเป็นนายเรา" ใช่มั้ยครับ

นักศึกษามีความรู้สึกอย่างนั้นหรือเปล่าว่า ชีวิตนี้มันเป็นนาย ชีวิตนี้มันบ่งมา มันระบุมาว่า เราจะต้องได้ ต้องมี ต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้นะ เราเป็นบ่าว เราจะทำยังไงล่ะ เราก็กระเสือกกระสน เที่ยวได้ เสาะหามา เสาะหามาเพื่อให้สมใจนายเรา คือนายชีวิต

ที่เราทุกข์ เรายาก อยู่ทุกวันนี้ เพราะว่าเราไม่มีอิสรเสรีแท้จริง เรายังเป็นบ่าวของชีวิต ทำไมเราไม่ร้อง "ข้าขอลิขิตชีวิตข้าเอง ไม่เกรงดินฟ้า" ชีวิตนี้เป็นของเราใช่มั้ย นักศึกษา เรื่องอะไร เราจะต้องมาทนทำ ในสิ่งที่เขาทำกันมา เรื่องอะไรที่เราจะต้องไป เป็นบ่าวของชีวิต อย่างใครๆเขา

เราเป็นนายมันสักทีซิ เกิดมาชาตินี้ ขอเป็นนายชีวิตสักทีได้มั้ย อะไรที่เป็นทางไปสู่อิสรเสรี เราน่า จะเดินไป ถึงแม้ว่า จะไปได้มากน้อย แค่ไหนก็ตาม เราก็น่าจะทำ อย่างนั้น

กองทัพธรรมน้อยๆ ได้ยาตรามาแล้วครับ มีพร้อมทั้งพระ และ ฆราวาส มีทั้งอุบาสก อุบาสิกา ที่ยังนุ่ง กระโปรง นุ่งกางเกง เหมือนกับนักศึกษาทั้งหลาย มาหลายคน หลายผู้ ไปถามดูนะครับ มีเวลา วันนี้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ ในช่วงระยะเวลา ๓ วันนี้ ไปถามดูว่า ทางที่จะไปสู่อิสรเสรี ที่แท้จริง หนูจะต้องทำอย่างไร ผมจะต้องทำอย่างไร ฟังแล้วเอาไปคิด แล้วเอาไปลองทำดู ว่าจริงมั้ย เราอุตส่าห์ยาตรา กองทัพธรรม น้อยๆ มาแล้ว อย่าปล่อยให้วันเวลา ผ่านไปนะครับ

มาพูดถึงวันที่พระพุทธองค์หมดปัญหาของตัวเอง แล้วทำตัวเองให้มีอิสรเสรีที่แท้จริง ได้มานั่ง ทบทวนดูว่า เอ๊! เราพบอะไรแล้ว มีเนื้อหาสาระอะไรบ้าง ทบทวนไปทบทวนมา ครั้งแรก พระพุทธองค์ ท้อนะครับ "โอ้โฮ ! จะเอาไปสอน ใครเขาได้เล่า ที่เราพบนั้น ยากเหลือเกิน สวน ทวนกับกระแสใจ ใครเขาจะทำได้ ครั้งแรกคิดท้อครับ" ไม่เอาหรอกเรา พบแล้วก็เรื่องของเรา เราก็จบแล้วแค่นี้

ต่อมาพระพุทธองค์เห็นว่า "บุคคลผู้มีกิเลสบังดวงตาน้อยนิดมีอยู่ แต่เป็นเพราะมิได้ฟังธรรม จึงพลาดจาก ประโยชน์ส่วนนี้" พระพุทธองค์เห็นว่า ไม่ได้มีแต่ คนที่ตั้งหน้า ตั้งตาฟังธรรม แล้วเอาแต่นั่งหลับ เอาแต่พูดจ้อ เท่านั้น คนที่ตั้งหน้าตั้งตาฟังน่ะ มีเหมือนกัน คนที่มีกิเลส บังดวงตาน้อยนิด มีอยู่ อย่างเช่น นักศึกษา วิทยาลัยครู อุดรธานี ซึ่งนั่งอยู่ต่อหน้าผม ณ ที่นี้ ถือว่า ท่านเป็นผู้มีกิเลส บังดวงตาน้อยนิด

เมื่อกี้ผมท้าแล้วไล่ด้วย ใครอยากจะนอนต่อไป เชิญออกข้างนอก ไม่ต้องมามีอะไรขุ่นข้องหมองใจกัน ใครอยากจะหลับ เชิญออกไป ข้างนอก ท่านก็ยังไม่ไป ทั้งๆที่อนุญาตแล้ว ครูบาอาจารย์ ก็ไม่ว่า เพราะถือว่า ผู้พูดได้อนุญาตแล้ว ท่านก็ยังไม่ไป แสดงว่า ท่านทั้งหลายส่วนใหญ่ หรือทั้งหมดนี้ เป็นผู้มีกิเลส บังดวงตาน้อยนิด พระพุทธองค์ เล็งเห็นข้อนี้ครับ ก็เลยตัดสินใจว่า ต้องสอน จะยากเย็นเข็ญใจ ก็ต้องสอน ด้วยความเมตตา ต่อคนทั้งหลาย

ในครั้งแรกไปสอนใครครับ ปัญจวัคคีย์ใช่มั้ย วันที่ไปสอนวันอะไร วันอาสาฬหบูชา อีกเจ็ดแปดวัน ก็ถึงแล้วครับ วันนั้น เป็นวันที่พระพุทธองค์ ทรงเริ่มแก้ไขปัญหา ของคนอื่น ทรงเริ่มที่จะเปิดเผยว่า อิสระที่แท้จริง ที่จะทำให้ตัวเรา อยู่เหนือโลก อยู่ตรงไหน

ขอเชิญชวน ชี้ชวนนักศึกษาทั้งหลายนะครับ อย่าปล่อยให้วันนี้ เวียนไปเปล่าๆ เราเป็นผู้หนึ่ง ที่อยู่ในวัย แสวงหา เราจะต้องแสวงหา แล้วก็จะต้อง ทำให้เรานี้ พบกับอิสรเสรี เป็นคนที่มีชีวิตเรียกว่า อยู่ดีมีสุขให้ได้

ท่านนักศึกษาอาจจะเชื่อตามๆคนทั้งหลายที่เขาพูดกันนะครับ เขาบอกว่า

"ให้ท้องมันอิ่มก่อนเถิด ถึงไปสนใจศาสนา"

"ปัดโธ่! ศาสนาเป็นเรื่องของคนเฒ่าคนแก่ เรายังหนุ่มยังสาว ไม่ต้องไปสนใจหรอก"

แล้วแน่ใจหรือเปล่าว่า เราจะอยู่จนกระทั่งแก่ ว่าเรานี้จะแก่ตาย ไม่แน่นะครับ โอกาสที่จะไม่แก่ตาย มีเยอะ

ลองนับกันดูนะครับ เข้ามาในวันนี้ แต่ละรุ่น แต่ละภาควิชา มีคนเท่าไหร่ บางทียังไม่ทันจบ วิทยาลัยครูเลย ม่องไปเสียแล้ว แล้วจะรอหรือครับ ให้ถึงโอกาสนั้น อีกกี่ปีกี่ชาติ จะได้เกิดเป็นคน ครบอาการ ๓๒ ได้มาพบพระพุทธศาสนาอีก มันยากนะครับ

ไม่จริงหรอกครับที่บอกว่า จะต้องท้องอิ่มเสียก่อน ถึงมาสนใจ คนที่ท้องหิวอยู่ทุกขณะนี้ เพราะอะไร เพราะไม่สนใจศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธช่วยเสริม ช่วยเติม ทำให้คน ท้องอิ่มขึ้นมา ถ้ายังสงสัย ลองสอบถามดูนะครับ ในช่วงสามวันนี้ เรามีอะไรดีๆ ให้เยอะ มีตัวอย่างจริงๆ นะครับ ไม่ใช่มาพูด มาเพ้อ มาฝัน อ่านมาเยอะแล้วก็มาบอก "อย่างงี้ๆซิ" พอถามว่า "ทำหรือเปล่า" บอก "เปล่าหรอก ผมมีหน้าที่พูด คุณก็มีหน้าที่ฟัง คุณมีหน้าที่เชื่อ เชื่อไป" ไม่ใช่นะครับ เราแต่ละคน ที่ขึ้นมาพูดนี่ ยถาวาที ตถาการี กันทั้งนั้น พูดอย่างไร ทำได้อย่างนั้น

ท่านนักศึกษาทั้งหลายครับ อย่ารอเลยครับ รอว่าให้เราเรียนจบเสียก่อน เป็นครูก่อน มีงานทำก่อน มีเงินเดือนก่อน ถึงจะได้เจอกันใหม่นะ กองทัพธรรม อย่าเลยครับ ตอนนั้น เราอาจจะไม่เจอกัน เพราะคุณก็ต่างแยกย้าย ไปที่ต่างๆกัน คุณมั่นใจหรือว่า คุณเป็นนักเรียนครูแล้ว คุณจะได้เป็นครู ไม่มั่นใจหรอก เพราะอะไรครับ นักเรียนครูขณะนี้ มีทั้งหมดกว่า ๗๐,๐๐๐ คน

คุณเป็นหนึ่งในกว่า ๗๐,๐๐๐ ปีหนึ่งเขารับครูกี่คน คุณอาจจะไม่ได้เป็นครูสมกับชื่อที่คุณเป็น นักเรียนครู อยู่ขณะนี้ก็ได้ คุณอาจจะไม่ได้เงินเดือนมากๆ อย่างที่คุณผัดไว้ว่า ขอมีเงินเดือน ขั้นนั้นก่อน ถึงจะไป สนใจ พระศาสนา ไม่จำเป็น นะครับว่า คุณจะต้องเป็นครู หรือไม่เป็นครู คุณจะมีเงินเดือนแค่ไหน ไม่สำคัญนะครับ ขอให้คุณ หันมาสนใจ แล้วคุณ จะพบสัจธรรม คุณจะพบกับ สิ่งที่ยึดเหนี่ยวในชีวิต เป็นเป้าหมาย ในชีวิตคุณ เหมือนกับพวกเรา ที่เคยเสาะแสวงหา มาแล้ว

วัยหนุ่มสาวเป็นวัยแสวงหา ไม่ใช่หนุ่มแสวงหาสาว สาวแสวงหาหนุ่ม ไม่ใช่ ทั้งหนุ่มทั้งสาว แสวงหาสัจธรรม แสวงหาว่า อะไรจะเป็นสัจจะแห่งชีวิต อะไรที่จะเป็น เครื่องช่วยให้พ้น จากความทุกข์ ถึงแม้ว่ าเราจะไม่พ้นทั้งหมด เดินไปเถิดครับ เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง และเป็นประโยชน์ต่อ ประเทศชาติ

พระพุทธองค์ท่านเป็นอะไร ท่านไม่ใช่เป็นพระแล้วก็ให้เราไปเที่ยวขอ ขอให้ลูกช้าง ได้มีความสุข ขอให้ลูกช้าง สอบไล่ได้ ขอนั่นขอนี่ นั่นเป็นศาสนาของ คนขี้ขอ ไม่ใช่ศานาพุทธ

พระพุทธองค์เป็นแต่เพียงผู้ชี้แนะ ได้พบทาง ทางที่ไปสู่อิสรเสรี ทางที่จะไปสู่ชีวิตที่อยู่ดีมีสุข ซึ่งพระพุทธองค์ ได้เอาชีวิตของ พระพุทธองค์ และพุทธสาวก ทดลองมาเรียบร้อยแล้ว เราไม่จำเป็น หรอกครับ ไม่จำเป็นที่จะต้อง เอาตัวเรา ไปเสาะแสวงหา เพราะเราไม่ได้มี บุญมารมี ไม่ได้มีความเก่งกาจ เหมือนกับ พระพุทธองค์ เพียงแค่นี้ ก็จะตายอยู่แล้ว เพียงแต่มาเรียนแล้ว ครูเขาก็เอามาจับใส่เข้าไป อัดเข้าไป ชั่วโมงแล้ว ชั่วโมงเล่า เราก็จะรับไม่ไหว เสียแล้ว นับประสาอะไร จะให้ไปค้น สัจธรรมที่ล้ำลึก เราคงทำไม่ได้แน่

พระพุทธองค์ เป็นผู้ที่ค้นพบความอยู่ดีมีสุขที่แท้จริง แล้วก็มาชี้บอกพวกเราทั้งหลาย เราทำอะไรครับ เราเพียงแต่ ศึกษาตาม รับเอามาลองปฏิบัติตาม ว่าจริงมั้ย พระพุทธเจ้า โกหกหรือเปล่า ถ้าโกหก ก็อย่าไปเชื่อ ก็ไปแสวงหา อย่างอื่นต่อไป นี้คือทางที่จะไปสู่ ความอยู่ดีมีสุขนะครับ

ในช่วงระยะเวลาสามวันสามคืนนี้ ได้มีการโฆษณาแล้วครับว่า เราจะมีหนังเรื่อง มหาตมะ คานธี มาฉาย นักศึกษา เคยดูมาหรือยัง บางคน ก็เคยดูแล้ว บางคน ก็ยังนะครับ มหาตมะ คานธี นับถือศาสนา อะไรครับ นักศึกษา ศาสนาฮินดู ถูกต้อง เก่ง มหาตมะ คานธี มักจะยกย่องชมเชยศาสนาอะไร พุทธหรือ ไม่ใช่ มักจะยกย่องชมเชย ศาสนาคริสต์ แต่ การปฏิบัติตัวของ มหาตมะ คานธีนั้น เหมือนกับที่ปฏิบัติกัน ในศาสนาอะไรครับ เหมือนกับที่ปฏิบัติ ในศาสนาพุทธ ถูกต้องครับ มหาตมะ คานธี ได้พูดเอาไว้ในหลายบท หลายตอน

มีตอนหนึ่ง มหาตมะ คานธี พูดไว้ว่า "ยิ่งข้าพเจ้าเอาสิ่งที่ศิวิไลซ์ ออกจากตัวข้าพเจ้าได้มากเท่าไหร่ ข้าพเจ้ายิ่งมีอิสรเสรี มากขึ้นเท่านั้น ข้าพเจ้ายิ่งมี ความอยู่ดี มีสุข มากขึ้นเท่านั้น" นี้คือคำพูด ของมหาตมะ คานธี อาจจะไม่มีอยู่ในหนังหรอกครับ แต่มีอยู่ในหนังสือ แน่นอน ไปเปิดดูซิครับ

มหาตมะ คานธี แต่ก่อนนี้เป็นใคร เป็นผู้ดีอังกฤษใช่มั้ย อุตส่าห์เดินทางตั้งไกลลิบ จากอินเดีย ไปเรียนที่ ประเทศอังกฤษ ในครั้งนั้น เขาถือว่า วิชาทนายความ เป็นวิชาที่ ยอดที่สุด ทนายความที่ไหน จะเด่นเท่าทนายความ จากอังกฤษเป็นไม่มี เพราะอังกฤษในตอนนั้น ปกครองอินดีย มหาตมะคานธี ก็ดั้นด้นไป ไปถึงประเทศอังกฤษ ไปเรียนวิชา ทนายความ ได้เป็นเนติบัณฑิต ของอังกฤษด้วย

แต่ก่อนนี้ มหาตมะ คานธี แต่งตัวยังไง นักศึกษา อาจารย์ นึกไม่ออกหรอกครับ ถ้านักศึกษา ไม่ได้ดูหนัง หรืออ่านหนังสือมาก่อน

มหาตมะ คานธี แต่งชุดสากลนะครับ มีผ้าผูกคอ นับจำนวนไม่ถ้วนเลย มีสารพัดสี เวลาจะกิน มหาตมะ คานธี บอกว่า ต้องกินด้วยภาชนะ ที่เขาใช้ในอังกฤษ ทั้งช้อน ส้อม ทั้งชาม ให้มันหรูหราอย่างนั้น แต่แล้วมหาตมะ คานธี ก็พบสัจธรรม

มหาตมะ คานธีร้อง ว้า, อย่างนี้ไม่มีอิสรเสรีนี่ จะไปไหน ก็ต้องมีอะไรมาผูกคอ เพียงแต่ว่า ไม่มีใคร มาดึงไป เท่านั้นเอง แต่ผูกคอ เรียบร้อยแล้ว พร้อมที่จะถูกเขาดึง จะกินสักที ก็ต้องมีถ้วยโถ โอชาม เยอะแยะ

มหาตมะ คานธี ถึงได้บอกว่า "ยิ่งข้าพเจ้าเอาสิ่งศิวิไลซ์เหล่านี้ออกจากตัวข้าพเจ้า ได้มากเท่าไหร่ ข้าพเจ้ายิ่งอิสรเสรี มากเท่านั้น" นี้เป็นความจริงนะครับ

นักศึกษาทั้งหลาย ตลอดเวลาสามวันสามคืน ที่พวกเรามาปักกลด อยู่ในที่นี้ ไปสังเกตดูให้ดี ขึ้นเวที ก็สังเกตเห็นแล้วว่า คนพวกนี้ เอ๊ะ ! แปลกแฮะ แต่งเนื้อ แต่งตัว ก็แปลก ของกินของใช้ ก็แปลก การอยู่การหลับ การนอนก็แปลก จะไม่แปลกยังไงล่ะ อดีตเลขาธิการ นายกรัฐมนตรี ที่คนเขารู้จักกัน ทั้งบ้านทั้งเมือง ก็มาปักกลดนอน ตรงที่นักเรียน จอดรถจักรยาน ตรงนี้

ก็อาจจะมีข้อถามว่า เอ๊ะ ! พวกเราปฏิบัติตาม มหาตมะ คานธี หรือยังไง ตอบได้เลยนะครับ ว่าไม่ใช่ แท้ที่จริงแล้ว หลายสิ่งหลายอย่าง เราทำมาก่อน ก่อนที่จะอ่าน หนังสือเรื่อง มหาตมะ คานธี ก่อนที่จะไป ดูหนังเรื่อง มหาตมะ คานธี เราทำมาบ้างแล้ว ถ้าจะถามว่า "ลอกเลียนแบบใคร" ก็ต้องตอบว่า "ลอกเลียนแบบ พระพุทธสาวก และ องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" พูดอย่างนี้ หลายคนหมั่นไส้ เลียนแบบพระพุทธเจ้า เลียนเถิดครับ

แน่จริงหรือเปล่า ว่าคุณตั้งใจจะเลียนแบบพระพุทธเจ้า ถ้าแน่จริงเลียนไปเลย นับตั้งแต่นาทีนี้ต่อไป คุณพยายามเลียนแบบ พระพุทธเจ้าให้ได้ แล้วคุณจะไป เที่ยวป่าวประกาศเลยว่า ผมนี่แหละ หนูนี่แหละ เลียนแบบพระพุทธเจ้า ยิ่งหลายๆคน เลียนแบบพระพุทธเจ้า โอ้โฮ! ยอดเลยครับ ชีวิตนี้จะอยู่ดีมีสุขกัน ทั้งบ้านทั้งเมือง ทั้งประเทศไทย ปัญหาต่างๆ ไม่มีนะครับ ยิ่งเลียนแบบ ได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแก้ปัญหา ได้มากเท่านั้น

อีกหลายต่อหลายท่านนะครับ ผมคิดว่าท่านไม่ได้ไปกรุงเทพฯ นานแล้ว ท่านอาจจะมีปัญหาในใจว่า เอ๊ ! ไหนว่ากรุงเทพฯ ตอนนี้เจริญ ไปมากแล้วไงล่ะ ไหนว่า มีทางด่วนพิเศษ ที่เขาว่ากันว่า มีการสร้างสะพาน ข้ามหลังคาบ้าน ไปตั้งเยอะแยะ เป็นร้อยๆ หลังคาเรือน ซึ่งเกิดมา ไม่เคยได้ยิน เดี๋ยวนี้กรุงเทพฯ มีแล้วจริงๆด้วยครับ สร้างสะพาน ข้ามหลังคา บางจุดข้ามกันไป ข้ามกันมา ไม่รู้กี่ชั้น ต่อกี่ชั้นนะครับ เจริญรุ่งเรือง อย่างกับเมืองนอก ตึกสูงๆ เวลามอง ต้องแหงนคอตั้งบ่า ก็มากมายก่ายกอง จนนับไม่ถ้วน เจริญมาก เจริญอย่างกับเมืองนอก

ศูนย์การค้า ก็โอ้โฮ! มากมายก่ายกองเลย บางแห่งทำถึงขนาดว่า มีลิฟท์ขึ้นลง แบบโปร่งใส ไม่มีอะไรบัง สร้างอยู่ข้างนอกตึก วิ่งขึ้นไปปรู๊ด ลงมาปร๊าด มองเห็นหมดเลย เห็นทัศนียภาพ รอบๆ ที่สวยสด งดงามไปหมด ศิวิไลซ์ยังกับ เมืองนอกแน่ะ

ทำไมคนจากเมืองกรุง กลับมาแต่งตัวง่ายๆอย่างนี้ แบบนี้ มันกลับตาลปัตรนี่ คนกรุง กลับเป็น คนบ้านนอก คนบ้านนอก กลับเป็นคนกรุง การกินน้อย ใช้น้อย สิ่งอย่างนี้แหละครับ เป็นการเดินทางไปสู่ การอยู่ดีมีสุข

การที่จะอยู่ดีมีสุขนี่ ต้องเดินตามรอยพระพุทธองค์ หลายคนบอกว่า "ไม่ไหวหรอก ผมยังบวชไม่ได้ ผมยังตัดกิเลสไม่หมด" คนที่พูดอยู่ขณะนี้ ก็ยังบวชไม่ได้เช่นกัน กิเลสก็ยังมี อีนุงตุงนัง ไปหมด แต่สามารถ ท้าทายได้เลยว่า ในกระบวนนักศึกษา ที่นั่งอยู่ต่อหน้าผม ณ ขณะนี้ กับผมนี่น่ะ ผมมี น้อยกว่าคุณ เพราะฉะนั้น เดินไปเถิดครับ อย่าไปกลัวว่า กิลสมันจะหมด บางคนบอกว่า ไม่เอาละ หนูไม่เอา เดี๋ยวกิเลสหมด แล้วมันไม่สนุก อย่าไปคิดอย่างนั้นนะครับ

เดินตามไปแล้วจะรู้ว่า เราสามารถมีชีวิต ที่อยู่ดีมีสุขกว่านี้ การที่จะมีอาชีพใหญ่โตแค่ไหน มีเงินเดือน แค่ไหน ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่า เรามีธรรมะ หรือเปล่า เราเดินตามรอย พระพุทธองค์ ไปสู่ความอยู่ดีมีสุข หรือเปล่า ถ้าเราเดินนั่นแหละครับ เราจะมีความสุข มากกว่าคนอื่นเขา

ในขณะนี้ผมมีความสุขมากกว่านายก ไปที่ไหน ผมก็พูดยกตัวอย่างอยู่เรื่อยว่า นายกไม่มีโอกาส ได้มีเวลา มาฟังธรรมอย่างนี้ ทุกนาที เป็นนาทีระทึกใจ ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ท่านอยู่ดีมีสุขแล้ว ท่านมีอะไรที่เหนือกว่านายก ตั้งหลายอย่าง ทำไม ท่านไม่เสาะแสวงหา เพื่อจะให้มัน เพิ่มพูนมากขึ้นๆ ในขณะที่เรา ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว

ผมเห็นนักศึกษาแล้ว ผมอิจฉาครับ ย้อนคิดไปถึงเมื่อตอนที่ผมอายุ ๒๐ กว่าๆ ทำไมผมไม่ได้เจออย่างนี้ ทำไมผมไม่ได้เจอ ของจริง ที่มีคนสามารถ จะยืนยัน กับผมได้ว่า อย่างนี้แหละ เป็นการอยู่ดีมีสุขละ ไม่ว่าพระ ไม่ว่าฆราวาส ไปที่ไหน ก็เห็นแต่สอนไปเรื่อยๆ ไม่เห็นมีตัวอย่าง ให้เห็นสักที

ถ้าผมได้รู้ ได้ยิน ได้ฟังอย่างนักศึกษาอย่างนี้ ถ้าผมมีบุญเหมือนอย่างนักศึกษา ในทุกวันนี้ละก็ ป่านนี้ ผมทำประโยชน์ ให้กับประเทศชาติ ไปเยอะแล้วแหละครับ ผมมาเริ่ม ทำจริงๆ อายุ ๔๐ กว่าแล้ว มิเช่นนั้น คงเริ่มมานาน จะเป็นประโยชน์ตน - ประโยชน์ท่าน มากมายกว่านี้

นักศึกษาทั้งหลายครับ ไม่ใช่ยอว่าคุณมาฟังจำลองพูดแล้วคุณมีบุญ ไม่ใช่นะครับ อยากจะบอก กับคุณว่า จะอย่างไร ก็แล้วแต่ คุณนี่มีบุญ มากกว่าผม เมื่อเทียบอายุ ด้วยกันแล้ว ผมนี่มีบุญ น้อยกว่าคุณ เพราะฉะนั้น ก็อย่าปล่อย ให้ช่วงระยะเวลานี้ ผ่านไปอีกล่ะครับ ต้องตักตวง ให้ได้ประโยชน์

เราหวังเหลือเกินว่า เมื่อกองทัพธรรมน้อยๆนี้ยาตราผ่านอุดรธานีไปแล้ว นักศึกษาหลายต่อหลายคน จะมีแนวความคิด จะมีแนวทาง ที่ไปสู่ความเป็นผู้ อยู่ดีมีสุข มากขึ้นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ เราหวังเหลือเกิน

ในสมัยพุทธกาล เมื่อกองทัพธรรมเคลื่อนที่ผ่าน โรงบูชาไฟเทพเจ้า ก็กลายเป็นโรงต้มน้ำ โรงหุงหา อาหาร ขี้เถ้าอันศักดิ์สิทธิ์ ก็กลับกลายเป็น เครื่องขัดภาชนะ อันวิเศษ สิ่งไม่ดีไม่งาม ทั้งหลายแหล่นั้น ก็อันตรธานหายไป

เราชื่อว่าเมื่อกองทัพธรรมน้อยๆ เคลื่อนที่กลับไปแล้ว จะต้องมีสิ่งที่ดีเกิดขึ้นในตัวนักศึกษา ทั้งหญิง และชายบ้าง ดังที่เราได้อุตส่าห์ ดั้นด้นมาจาก กรุงเทพฯ

นักศึกษาครับ ผมก็ได้เรียนให้นักศึกษาทราบมาแล้วเพียงย่นย่อนะครับว่า การที่จะอยู่ดีมีสุขได้นั้น ไม่มีทางอื่นละครับ ท้าทายได้เลย มีอยู่ทางเดียว เท่านั้น คือ เดินตามรอย พระพุทธองค์ เดินตามรอยยังไง ศึกษาพุทธประวัติ เล่มไหน ก็บอกไว้ชัด

พุทธประวัติทุกเล่ม เขียนเหมือนกันหมด แม้ว่าจะผ่านมา ๒,๕๐๐ กว่าปี นมนานกาเล แล้วก็ตาม เขียนเหมือนกันหมดว่า พระพุทธองค์นี้ มาจากความเป็นผู้มี ทุกสิ่ง ทุกอย่าง แล้วก็ละลด มาเรื่อย จนกระทั่ง ถึงกินมื้อเดียว นอนพื้นแข็งๆ นอนโคนต้นไม้ พระพุทธองค์ ก็มีความสุขมากขึ้นๆ แต่พวกเรานี่ เดินสวนทาง เราจึงมีความทุกข์ มากขึ้นๆ

เพราะฉะนั้น ทางไปสู่ความอยู่ดีมีสุข ก็คือ การละลดของกินของใช้ กินน้อยลง ใช้น้อยลง แต่ทำงาน มากขึ้นนะครับ ไม่ใช่ทำงานน้อยลง"เพราะว่า ผมกินน้อย ผมใช้น้อย ผมทำมันแค่นี้" แบบเดียวกับสามล้อ ที่อุดรธานีบางคัน เราถาม "ลุงทำไมกลับบ้านแต่วัน ไม่ขี่อีกแล้วเหรอ" แกก็บอกว่า "พอกินแล้ว เอาแค่นี้" ไม่ใช่นะครับ

ศาสนาพุทธไม่ได้สอนอย่างนี้ แต่สอนว่า มีมากใช้น้อยนะ ไม่ใช่มีมากใช้มาก มีมากก็ใช้น้อย มีน้อย ก็ใช้น้อย เสร็จแล้ว ทำงานให้มากขึ้น ที่เหลือ ไม่ต้องกลัวนะครับ แจกจ่าย เจือจาน ให้คนอื่น ที่ยังยากไร้อยู่ โดยบริจาคผ่านทางมูลนิธิ เพื่อสาธารณกุศล ทำตนเป็นประโยชน์ แก่ส่วนรวมต่อไป และแล้ว เราก็จะไปสู่ชีวิต ที่อยู่ดีกินดี แน่นอนครับ

(คำบรรยายของ พ.อ.จำลอง ศรีเมือง เรื่อง "อยู่ดีมีสุข" ที่วิทยาลัยครูอุดรธานี ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๒๖)

อ่านต่อ ตอน ๒๐

ทาง ๓ แพร่ง เล่ม ๒ ตอน ๑๙ อยู่ดี มีสุข