รอยด่างแห่งกาลเวลา (ตอนจบ)
เรื่องสั้น แม่น้ำ ลักขิตะ (ต่อจากฉบับที่ ๑๒๘)

หนังสือพิมพ์ เราคิดอะไร ฉบับที่ 129 เดือน เมษายน 2544

“ความหวังเปิดเปลือกตาแห่งชีวิตคนขึ้นมากับโลก
ความมุ่งหวัง เติมเชื้อไฟแห่งการแสวงหาลุกโชน
ปีกแห่งความหวังสยายออก...แล้วบินไป
มิช้านัก กาลเวลานั้นก็หักปีก
ความหวัง-มักหักหลังคนเราเสมอ”

ตำรวจสองนายวกกลับมา...สีหน้าเครียดถมึงทึงอย่างไม่สบอารมณ์ หลังรู้ว่านางเป็นเมียผู้ตาย "คุณเป็นเมียผู้ตาย แต่ไม่ปริปากสักคำ" ตำรวจพุงพลุ้ยเดือดดาล "บ้าฉิบ...เสียเวลาตามหา เป็นนาน ร้อนตายห่ะ...เสียเวลาเปล่าๆ ปลี้ๆ รู้มั้ย!? " ตำรวจอีกนายยืนจ้องหน้าบอกบุญไม่รับ...

อากาศยามบ่ายร้อนจัด ชวนหงุดหงิดเต็มทน นางยังนั่งเฉย...สีหน้ามะลืดชืด ไม่รับรู้ใดๆ เสมือนเป็นการสุมไฟใส่อกตำรวจเพิ่มขึ้นอีก "อุวะ อีบ้า" เขาเดือดดาลสุดขีด "ทำเฉย ไม่รู้ภาษาคนหรือไงวะ" "ดูท่านังนี่จะบ้า" อีกคนพูด ตาเหม่อลอยแบบนี้ เหนื่อยเปล่า พูดไม่รู้เรื่องหรอก "จริงซีนะ...เรามัวเสียเวลาทำห่ะอะไร กลับเหอะ" "อืมม์...นั่นซี" มองดูนางแล้วถอนใจ "น่าเวทนา ผัวถูกฆ่า เมียก็เป็นบ้าไปอีกคน" ตำรวจทั้งสองผละจากไป ปล่อยนางไว้กับอดีตของตัวเอง...

งานที่หนักหนาสากรรจ์ สังคมคนข่มเหงคน ทำให้กรรมกรขายแรงงาน บันดาลความชิงชังกับชีวิตที่บัดซบ เก็บกด ขมขื่น เคืองแค้น อัดแน่นในอกพวกเขา เลิกงาน ระเบิดมันออกมาในวงเหล้า ถ่มสบถ สำรากคำหยาบคายสู่กัน ดวดเหล้า เมามาย เพื่อให้ลืมความขื่นขมในชีวิต

สามีนางเมาแอ่น หน้าแดง เดินเซแซดๆ เข้าเพิงพักยามดึก... เป็นเช่นนี้ทุกวัน อย่างน่าเอือมระอา สำรากคำหยาบ บ้าคลั่งดุจปีศาจสิงสู่ ทำลายข้าวของ ตาขวางใส่นาง อย่างกินเลือดกินเนื้อ ทุกครั้งที่เมามา นางได้แต่ก้มหน้านิ่ง... ระวังตัวแจ แต่ไม่วายโดนฟาดด้วยฝ่ามือหยาบกร้าน ระบายอารมณ์ นางเข้าใจ และจำทนอดกลั้น วันไหนไม่ตบตี ก็ถ่มถุยสบถรดหน้า ด่าเสียๆ หาย ๆ นางจำกลืนก้อนสะอื้นลงคอ อยากจะร้องไห้ เทความอัดอั้นออกมา... ต้องรอสามีออกนอกบ้านเสียก่อน นั่งน้ำตารินเงียบงัน...หน้าเพิงพัก นางเหม่อ มองน้ำครำเน่าเหม็น ทอดอาลัยในชีวิต

ชีวิตสามีก็เหมือนน้ำเน่า...นางคิด นับวันส่งกลิ่นน่าสะอิดสะเอียน ไม่มีวันกลับ ใสสะอาดได้อีกแล้ว เขาจมชีวิตอยู่กับสังคมโสมม สิ่งแวดล้อมชั่วร้าย มันซึมเข้า ในเลือดเนื้อและจิตวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกับชีวิต มันทำคนให้ชั่วช้ากักขฬะ เกิดรอยด่างดำของความเลวร้ายในใจ ชีวิตที่เคยขาวสะอาด ค่อยตายทีละนิด จนไม่มีเหลือ เมื่อนั้นแหละ... คนก็ไม่ใช่คน! แต่เป็นปีศาจ โหดร้ายอำมหิต เลือดเย็น มันพร้อมทำลายทุกอย่างในชีวิต ทำลายคนรอบข้าง รวมกระทั่งตัวมันเอง...นรก

นางจดจำภาพปีศาจร้าย ที่สิงสู่สามีได้ติดตาตรึงใจ "เร็วหน่อยซีโว้ย!" เสียงแหกปากลั่น "กูหิวจะตาย ชักช้าพิรี้พิไรอยู่ได้" พร้อมตบโต๊ะผาง สำรากคำหยาบไม่หยุด นางรีบยกอาหารมาวาง มือสั่นเทาหวาดกลัว สามีตักแกงราดข้าวใส่ปาก... เคี้ยวไม่กี่คำพลันถ่มถุยลงพื้น สบถพรวด "หมาไม่แดก มึงเอามือหรือใช้ตีนทำ" นางได้แต่ก้มหน้ารับอย่างอกตรม... ต้องรอให้อิ่มเสียก่อน ตัวเองถึงจะได้กิน

สามีกินข้าวเสร็จ นางมิทันลุกไปเก็บ จานบนโต๊ะพลันลอยคว้าง ไปตกกลางห้อง โครมคราม...ไม่เข้าใจ ทำผิดอะไร? เขาถึงหยาบคายกับนางเช่นนี้ รู้สึกเหมือนตัวเอง เป็นกระโถน คอยรองรับอารมณ์โสโครกที่เขาถ่มออกมา นานวันเข้าก็ปลงใจ ชินชา ความสุขมันตายจากใจไปนานแล้ว ยังแต่ความขื่นขมที่ไม่มีวันจบสิ้น

ครั้งหนึ่งนางมีประกายแห่งความหวัง...ปีที่ผ่านมา นางตั้งท้องลูกคนที่สาม ลูกเป็นเสมือนบ่อพลังใจ เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวสุดท้าย ทำให้ปรารถนามีชีวิต ลูกสองคนแรก กลับคืนสู่อ้อมอกแห่งความตาย ก่อนลืมตาดูโลก เพราะนางทำงานหนัก แม้อุ้มท้อง ลูกจึงแท้งก่อนกำหนด

นางเสียใจแทบคลั่ง ที่ฆ่าลูกโดยมิตั้งใจ ท้องที่สาม สู้ประคบประหงมอย่างดี ลูกจะต้องเกิดมามีชีวิต นางหวังเป็นอันมาก แต่สามีมิคิดเช่นนั้น
"ให้มันตายเหมือนพี่ซะยังจะดีกว่า เกิดมาให้อดอยากทำไม" สามีนางพูด "แค่หาเลี้ยงสองปากก็แทบรากเลือด..."
"ฉันจะหาเลี้ยงลูกเอง ไม่ให้อดอยาก"
"โง่...ให้มันเกิดมามีชีวิตบัดซบอย่างพ่อแม่ซี"
"ลูกอาจมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ถ้าได้เรียนหนังสือ"
เขาระเบิดหัวเราะอย่างเย้ยหยัน "มันเกิดในสลัม โตในสลัม...สังคมระยำ ในวันข้างหน้า ไม่เป็นกรรมกรก็เป็นฆาตกร" พูดจบก็จ้องนางนัยน์ตาแข็งกร้าว "ให้มันตายซะ ดีกว่า ให้มันเกิดมาตายทั้งเป็น"
"ไม่!" นางร้อง ส่ายหน้าถอยกรูดห่าง "ฉันจะให้เขาเกิด เป็นลูกของฉัน พี่ไม่เลี้ยงก็ช่าง แต่ฉันต้องการ..." นางยืนกรานเสียงแข็ง
"เอาซี ลูกนี่แหละ จะทำเอ็งเสียใจจนวันตาย มันจะสาปแช่งเอ็ง บัวคำ ที่ให้ชีวิตบัดซบ กับมัน"
"ฉันไม่เชื่อ" นางร้อง

เมื่อรู้ว่าอย่างไรนางก็ไม่ยอมแน่ จึงก้าวเข้าหาหมายจะทำแท้งเถื่อนด้วยตีน นางรีบคว้ามีดทำครัวมาชูหรา "เอาซี เข้ามา กูยอมตายกับลูก" นางพูดเสียงกร้าว "แล้วเอ็งจะเสียใจบัวคำ" เขาชะงักถอยห่าง ผละตัวออกจากห้องไป สามีนางต้องทำงานหนักยิ่งขึ้น เพราะนางอุ้มท้องโย้ ช่วยหาเงินไม่ได้ เขาอารมณ์ร้ายกว่าเดิม วันที่ลูกเกิด ความสุขใจซาบซ่านทั่วกาย เหมือนได้ขึ้นสรวงสวรรค์ แต่สามีนางรู้สึกเหมือนกับว่า ประตูนรกเปิดแล้ว เขาดื่มหนักกว่าทุกวัน

คืนแห่งความโหดร้าย มุ้งหลังเก่ากระดำกระด่าง นางกับลูกหลับใหลอยู่ในนั้น แต่แล้วพลันสะดุ้งสุดตัว! "อีระยำ กูเหม็นขี้หน้ามึงเต็มทน" เขาสำรากอย่างเกรี้ยวกราด ตบตีนางไม่ยั้งมือ ยังไม่หนำใจ ลากตัวถูลู่ถูกัง ออกนอกเพิงพัก นางหวีดร้องโหยหวน ประสานเสียงลูกน้อยร้องจ้า

"ไสหัวมึงไป...อย่าให้กูได้เห็นหน้า" เหวี่ยงนางลงไปกองกับน้ำครำทั้งลูกคาอก น้ำดำกระจาย ส่งกลิ่นเหม็นฟุ้งตลบ แล้วหันกลับเดินปังๆ เข้าเพิงพัก นางสะอึกสะอื้น ปานใจจะขาด ประคองลูกน้อยไว้กับอกน้ำตาไหลพรากหน้าบวมเป่ง... ท้องฟ้ามืดสนิท ดังเวทนา และหม่นเศร้าไปกับนางด้วย

ลากขาไปอย่างไร้จุดหมาย... นางอุ้มลูกก้าวออกจากสลัม ไปตามทางเท้า เหมือนขอทานพเนจร ดึกสงัด แสงไฟรายทางสว่างจ้า รถวิ่งผ่านไปมาประปราย... ฟ้าแลบแปลบปลาบ ส่งเสียงครืนๆ แล้วเม็ดฝนก็หลั่งเทลงมา นางเดินฝ่าสายฝน เปียกปอนชุ่มโชก อากาศเย็นยะเยียบ ทว่าใจนางเหน็บหนาวเจ็บร้าวยิ่งกว่า

ลูกน้อยร้องจ้า แต่หูนางเหมือนอื้ออึง มิได้ยินสรรพเสียงใดเลย...ฝนตกหนักราวฟ้ารั่ว มีต้นไม้แผ่กิ่งใบอยู่ริมทาง นางพาลูกนั่งซุกกาย ใต้ต้นไม้นั้น หนาวสั่น และหวาดกลัว ฟ้าคำรามลั่นครืนๆ แข่งกับเสียงลูกน้อยร้องจ้าไม่หยุด

ฝนหยุดตกเมื่อฟ้าสาง นางอุ้มลูกก้าวออกจากใต้ต้นไม้ เดินโผเผกลับทางเดิม ไม่มีที่พักพิงไหนอีกแล้ว ป่านนี้สามี คงออกไป ทำงานแล้ว ลูกน้อยหลับสนิท นางกอดไว้แนบอก ร่างลูกรักห่อด้วยผ้าห่มผืนน้อย เดินช้าๆ เข้าซอยสลัม... ใบหน้ายังบวมซ้ำ หนาวจนสั่นเทา

หญิงเพื่อนกรรมกรนางหนึ่งเดินสวนทางมา เห็นแล้วตกใจ "ตายล่ะ บัวคำ!" เธออุทาน "หน้าเอ็งทำไมเละแบบนี้ ใครทำๆๆ" ยังมิทันตอบ เธอเสริมอีกว่า "แล้วนี่ไปทำอะไรมา เปียกโชกอย่างนี้ เดี๋ยวปอดบวมตาย"

"ขอบใจที่พี่เป็นห่วงฉัน...เมื่อคืนผัวฉันเมามาก มันตบตี และเหวี่ยงฉันออกจากบ้าน" น้ำเสียงระโหยเศร้าสร้อย ระคนน้ำตา "ฉันอุ้มลูกไปนั่งหลบฝนใต้ต้นไม้ทั้งคืน... นี่พึ่งจะกลับเข้ามา"

"ไอ้นรก..." เธอสบถ "ผัวเอ็งมันชั่วฉิบหาย ทำกับลูกเมียได้ลงคอ เวรแท้ๆ" "เป็นกรรมของฉันน่ะพี่ ทำไงได้" เธอถอนใจลึก รู้สึกสงสารบัวคำจับใจ มองห่อผ้าเด็กน้อยด้วยความห่วงใย "ลูกเอ็งไม่หนาวแย่รึนี่ ตากฝนทั้งคืน" เธอเปิดห่อผ้าดูหน้าเด็ก "คุณพระช่วย! บัวคำ ลูกเอ็งตายแล้วนี่"

นางไม่เชื่อ เอียงแก้มมาแนบกับร่างลูกน้อย "ไม่จริ๊ง...นะลูกแม่ ไม่จริง" นางหวีดร้องสุดเสียง...ร้อง...ร้องปานใจจะขาด แสงสว่างชีวิตดับวูบลงตรงนั้น ดุจเปลวเทียนถูกลมกระชาก เป็นความปวดร้าวสุดชีวิต น้ำตาพรั่งพรู ปานสายฝน เมื่อคืน ความฝัน พลังชีวิต และจิตวิญญาณของนาง ตายไปพร้อมกับลูก ณ ตรงนั้นเอง

ลูกไฟดวงใหญ่ ลับหายไปจากปลายฟ้า รัตติกาลแผ่คลุมทุกซอกมุมเมือง ดุจดั่งสรรพสิ่ง จมดิ่งสู่ความชั่วร้าย ตลอดกาล นางนั่งนิ่งอยู่ที่ขอบประตู หน้าเพิงพักสลัม กรรมกรกลับจากทำงาน เดินผ่านนางไปอย่างเฉยเมย เสียงด่า เสียงสบถหยาบคาย เสียงตบตี เสียงหวีดร้อง ท่วงทำนอง ขื่นขม ดังกังวานอย่างไม่รู้จบ ดุจบทเพลงแห่งสัตว์นรก บนพื้นพิภพนี้

นางยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ที่โสโครกด้วยขยะมูลฝอย น้ำครำดำเหม็น เลื่อนลอย ไม่มีใครรู้ว่า อีกนานกี่ช่วงชีวิต ที่มือแห่งธรรม จะฉุดดึงนาง รวมทั้งผู้คนอีกมากมาย ก้าวพ้นความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน และ มืดมนอนธการได้

 

 
อ่านฉบับ 128   อ่านฉบับ 130

(เราคิดอะไร ฉบับ ๑๒๙ เม.ย. ๔๔ หน้า๔๒ รอยด่างแห่งกาลเวลา ตอนจบ)