หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

เวทีความคิด - เสฏฐชน

ฤาโลกจะแล้งร้าย ณ วันนี้
ระเดี๋ยวเดียว ชั่วลมหายใจเข้า ลมหายใจออกผ่านพ้นไปแล้วอีก ๑ ปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ก็คืบคลานเข้ามา ไม่ต่างจากลมพัดผ่านไป เพียงชั่วครู่ สำหรับความสุข แต่เนิ่นนาน ประดุจดัง พายุกระหน่ำ ให้บ้านเมือง ล่มจมฉิบหาย ดั่งสายน้ำที่ถาโถมมา อย่างท่วมทับ ถึงเมืองพรหม เมืองอินทร์ แผ่นดินโลก บ้านเรือน ไร่นา สูญหายไปชั่วพริบตา ทิ้งไว้แต่พื้นดิน ว่างเปล่า ไกลสุดลิบลับ เห็นแต่ท้องฟ้าฉ่ำฝน เมฆดำทะมึนครึ้ม แผ่อาณาเขตไปทั่ว บรรยากาศ พาความหมองมัว กระจายให้รับสัมผัสได้ ถ้าเป็นบ้านในเมือง ดินโคลน ที่มาพร้อมกับสายน้ำ อันเชี่ยวกราก ยังฝากสิ่งตกค้างไว้ใต้ถุนบ้านเป็นกองพะเนิน คราบสิ่งสกปรก ที่มาพร้อม กับสายน้ำ ยังแสดงตัวอยู่ตามเสาบ้าน กำแพง เพดาน คนเก็บตั๋วข้ามเรือติดเครื่อง รับส่งผู้คน เพื่อข้ามฟาก แม่น้ำเจ้าพระยา ไปอีกฝั่งหนึ่ง บอกเล่าเชิงบ่นว่า ปีนี้น้ำท่วมมากที่สุด เท่าที่เคย เกิดมา ความเสียหาย ที่ชาวบ้านได้รับ โดยเฉพาะเกษตรกร คงต้องอาศัยเวลา ฟื้นตัวอีกนาน

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเหตุการณ์ทำนองนี้ ความทุกข์มากล้นจนเกินจดจำ ใครเล่าอยากเก็บไว้ ทำร้ายจิตใจตัวเอง อยากให้พายุร้าย พัดผ่านเอาความเคราะห์ร้ายต่างๆ ไปให้หมด ไม่อยากให้มี สิ่งตกค้าง หลงเหลือ เป็นเชื้อ ที่ลำบากยากเข็ญนั้น ไว้อีกต่อไป คนจึงต้อง รับภาวะ บีบคั้น จากสิ่งที่เกิดขึ้น ซ้ำซาก ครั้งแล้วครั้งเล่า จนดูประหนึ่ง มีความทนทาน เหลือหลาย ไม่ต่างจากล้อเกวียน ที่หมุนไป เหยียบรอยเดิม มิหนำซ้ำ รอยกลับ ยิ่งลึกขึ้น ด้วยเสียอีก

แต่ก็ยังอดก่อความหวังขึ้นใหม่อีกไม่ได้แม้เป็นเพียงความฝัน จนบางคนกล่าวว่า ขอเพียงได้ฝัน ก็พอแล้ว ดีกว่า ที่จะไม่มีความฝันดีๆ ไว้ปลอบใจเลย เพราะในโลกแห่งความจริง ไม่มีวัน สำหรับเรา แต่ความฝัน เราได้เป็นเจ้าของ เพราะมันอยู่ในหัวใจของเราเอง

จึงเกิดโรงพยาบาลโรคจิตรองรับความจริงของคนประเภทนี้ แม้สังคมจะเดือดร้อน คนจะลำบาก เพียงใด เขาเหล่านั้น ก็ยังยิ้ม ยังหัวเราะ ไม่คำนึงถึงความไม่มีใดๆ ของตน สัจธรรมชีวิตมุมนี้ ทำให้คนฉุกคิด อะไรบางอย่าง ได้เหมือนกัน ถ้ารู้จักนำมาคิด และคิดเป็น จนอาจเป็น แรงบันดาลใจ ให้บางคนคิดได้ นำมาสร้าง ชีวิตใหม่ ทำให้เกิดความจริง ที่อีกคนหนึ่ง ฝันอยู่ ในโลกแห่งความฝัน ที่ทำให้เขาแปลกแยก จากคนส่วนใหญ่ อาจถูกเนรมิต เป็นผลงาน อันมหัศจรรย์ ของอีกคนหนึ่ง ก็เป็นได้

เคยมีคนตั้งคำถามว่าความดีช่วยคนได้จริง หรือ ความดีเป็นทรัพย์ อันประเสริฐจริงหรือ? ในเมื่อสิ่งที่เขาเห็น ดูไม่สอดคล้องกับ สำนวนนี้เป็นส่วนใหญ่ คนดีมักตายเร็ว คนชั่วมักอายุยืน แม้ถูกแช่งชัก หักกระดูกเพียงใด ก็ยังเห็น เดินเหินอยู่ อย่างสง่าผ่าเผย แม้โกงกินเอาเปรียบ โหดร้ายเพียงใด ก็เห็นอยู่จนรุ่นลูก รุ่นหลาน เหลนโหลน จนมีคนตอบคำถาม เชิงให้ฟังขำๆ ว่าก็เพราะคนชั่วไม่ดี ไม่มีคนต้องการน่ะสิ แม้นรกก็ยังเมิน สวรรค์ก็สาปส่ง คนชั่ว จึงต้องมีชีวิต อยู่ในโลก ที่แสนเส็งเคร็งนี้ต่อไป

เป็นคำตอบเชิงปฏิภาณดีแท้ๆ พอชะลอความเหนื่อยหน่ายอ่อนล้าของผู้ถามไปได้บ้าง แต่ไม่นาน ความสงสัย ก็เกิดขึ้นอีก อดประท้วงออกมาไม่ได้ในคำพูดเดิมๆ เพราะสุขทุกข์ อยู่ที่ใจคน ผู้รู้สึกจริงๆ จนอดสะท้อน คำตอบนั้น เข้าหาตัวเอง อีกมุมมองหนึ่งว่า ถ้างั้นเราก็คง ไม่ดีกว่า คนจำพวกนั้นเท่าไหร่! เราจึงต้องอยู่ในโลกนี้ ร่วมกับเขาด้วยเหมือนกัน เออ! เป็นคำตอบ ที่กระตุ้น ต่อมสติปัญญา ได้ไม่น้อยเลย ชักเข้าท่าสมน้ำสมเนื้อกันดีแท้ๆ

หนังสือพิมพ์ลงข่าวความคืบหน้าของนักแสดงชายคนหนึ่ง ที่เคยทำความดี ช่วยเหลือคน ให้พ้นภัย จากท้องถนน จนกระทั่งตัวเองพิการ ไม่อาจคืนสู่ สภาพเดิม เมื่อพ่อเขาให้สัมภาษณ์ ที่ถามว่า หากย้อนเวลา คืนไปได้ เขาคิดอย่างไร กับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ทั่วบ้านทั่วเมือง ก็ยกย่องสรรเสริญ วีรกรรมของลูกชายปานนี้

พ่อดาราชายคนนั้นตอบว่า "ไม่ขอตอบ" คำถามนี้ เพราะว่าเขาได้รับเงินสงเคราะห์ จากหน่วยงานรัฐ มาเพียง ๒ หมื่นบาท ซึ่งก็คือภาษีของเขาเอง ที่จ่ายให้แก่ทางรัฐบาล ถ้าเป็น ต่างประเทศ เขาจะได้รับการดูแล ช่วยเหลือ สิทธิพิเศษไม่ต้องทำงาน ตลอดชีวิตเลย แต่ตลอด ระยะเวลา ที่ลูกเขาได้รับอุบัติเหตุมานี้ ๓-๔ ปีแล้ว เขาต้องทุ่มเทเงินทอง ที่มีอยู่ จนหมดสิ้น แม้จะได้รับความช่วยเหลือ จากบางท่าน บางแหล่งอยู่บ้างก็ตาม

ผู้หญิงคนหนึ่งถูกแย่งชิงกระเป๋า ขณะกำลังเดินผ่าน กลุ่มผู้ชายจำนวนมาก กลางวันแสกๆ แม้เธอจะร้อง ขอความช่วยเหลือ ก็ได้รับแต่เพียงการยืนดู มองเฉยๆ ผู้ชายกลุ่มนั้น ไม่มีปฏิกิริยา เคลื่อนไหว เข้าช่วยใดๆ ทั้งสิ้น

หนังสือพิมพ์สัมภาษณ์นักศึกษามหาวิทยาลัยทั้งชาย-หญิง ทั้งที่เป็นของเอกชน และรัฐบาล เรื่อง รู้สึกอย่างไร กับวัฒนธรรม การยกมือไหว้ทักทายกัน หรือ แสดงความเคารพกัน ซึ่งเป็นประเพณีเดิมๆ ที่ยอมรับว่าดี โดยตลอดมา เธอ-เขาเหล่านั้น แทบจะทุกคน ให้คำตอบว่า ไม่มีผลทำให้รู้สึกว่า ต้องทำ เช่นนั้น แม้จะรู้ว่า เป็นค่านิยมที่ดี หรือจะถูกกำหนด ให้คนนิยม ทำตาม

เพียง ๓ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ คงเพียงพอให้นำมาฉุกใจคิดว่าอะไรกำลังเป็นอะไรอยู่ในสมัยนี้ คนเขาคิด อะไรกันอยู่ เขาทำอะไรกันอยู่ เขามองอะไรกันอยู่ เขาต้องการอะไรกันอยู่

เพราะเขาคิดเฉพาะตัว เขาจึงไม่คิดเผื่อคนอื่นๆ

เพราะเขาทำเฉพาะตัว เขาจึงไม่ทำเผื่อคนอื่นๆ

เพราะเขามองเฉพาะตัว เขาจึงไม่มองเผื่อคนอื่นๆ

เพราะเขาต้องการเฉพาะตัว เขาจึงไม่ให้เผื่อคนอื่นๆ

เทศกาลปีใหม่แล้วคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าน่าจะมีอะไรๆ ดีขึ้น จึงมีการไปสะเดาะห์ เคราะห์ ลอยบาป ตรวจสอบชะตากรรม ทำบุญ ด้วยวิธีต่างๆ นานาที่ตนเชื่อถือ มั่นใจว่า เป็นวิธีที่จะนำมาซึ่งความสุขปีใหม่ พอกันที ความเศร้า หมดกันทีความโศก เลิกกันทีความซวย ...ฯลฯ ทั้งหลาย ขอให้ปีใหม่เป็นชีวิตใหม่ ได้รับสิ่งใหม่ๆ ที่ดีกว่าเก่าด้วยเถิด การอวยพร กันและกัน จึงเป็นของกำนัล ที่ให้แก่กัน ได้ง่ายที่สุด แม้เป็นเพียง แผ่นกระดาษเล็กๆ เขียนตัว หนังสือ ขยุกขยิก สักสองสามประโยค ก็ชื่นใจแล้ว จึงทำให้ตามร้าน ขายสิ่งเหล่านี้ ตื่นตัว เสนอสิ่งตื่นตา ตื่นใจ ด้วยสีสัน นานาให้คนเลือก

ยิ่งตามร้านค้า โรงแรม ร้านอาหาร แหล่งบันเทิงเสพติดทั้งหลาย เตรียมประชาสัมพันธ์ โฆษณาคุณสมบัติ เยี่ยมยอด แข่งขันกันล่วงหน้าเป็นเดือน วันหยุดที่ติดต่อกันเกือบอาทิตย์ ทำให้คนมีโอกาส เตรียมแสวงหา ความสุขกันเต็มที่ ไม่ว่าความสุขนั้น จะมาโดยวิธีดู วิธีดื่ม วิธีเข้าไปสัมผัสแตะต้อง จนมีอิทธิพลแรงพอ ที่จะทำให้ ลืมความทุกข์ ความวุ่นวายในแต่ละวัน ที่ต้องเจอะเจอไปชั่วขณะ ความหวังเสพสุข ในวันใหม่ ข้างหน้า เป็นสิ่งหนึ่ง ที่กลบเกลื่อน ความทุกข์ ที่เกิดอยู่ขณะนี้ ที่คนนิยมใช้อยู่เสมอ จึงมีเพลง ประโลมใจ ที่มีเนื้อ ตอนหนึ่งว่า "สุขกันเถอะเรา เศร้าไปทำไม อย่ามัวอาลัย คิดร้อนใจไปเปล่า...ฯลฯ" ก็จริงของเขา เหมือนกัน

เพียงแต่ว่าสุขที่เขาว่าน่ะ เป็นสุขชนิดไหนกัน? สุขเพราะได้มาสนองความอยากของตน หรือสุข เพราะได้ทำ ให้คนอื่น มีความสุข สุขเพราะรู้เท่าทันทุกข์ของตน สามารถแก้ทุกข์ตน ด้วยการ ทำลายทุกข์ และสร้างสุข ให้คนอื่น หรือสุขเพราะดิ้นรนหนีทุกข์ตน จนต้องไปทำร้าย ทำลายสุข ทั้งเพิ่มทุกข์ให้คนอื่น เงื่อนไขเหล่านี้ มีอยู่ในความคิดเขาด้วยหรือไม่?

ก่อนถึงวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๖ เมื่อสื่อมวลชนไปถามแหล่งประกอบธุรกิจต่างๆ เกี่ยวกับ รายได้ ฐานะการเงิน ลูกค้าที่มาซื้อ-ขายเป็นอย่างไรบ้าง คำตอบจะเหมือนๆ กันว่า ปีนี้ เศรษฐกิจแย่ นั่นหมายถึง การขาย ทั้งกำไร น้อยกว่าที่เคยได้ สังเกตได้จาก มีร้านสินค้า ชนิดเดียวกัน ในหมู่นั้นมากขึ้น จำนวนลูกค้า ที่เข้าออก ในร้านน้อยลง เพราะต้องเฉลี่ยไป ตามจำนวนร้าน ที่ขยายออก มิหนำซ้ำ ยังต้องมี การแถม แจก ชิงโชคเข้าช่วยเสริม ผู้ซื้อ จึงจะยินดี จ่ายเงินซื้อ เพราะต้องการ ของแจกแถม มากกว่าซื้อของจริงๆ

หากปีใหม่แล้ว ยังมีข่าวการฆ่าทุกรูปแบบ ออกสู่สังคมอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าสัตว์ ฆ่าคน อะไรล่ะที่ใหม่?

หากปีใหม่แล้ว ยังมีข่าวโจรกรรม ทุกรูปแบบให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นการโจรกรรมวัตถุสิ่งของ หรือ แรงงาน ความคิด อะไรล่ะที่ใหม่?

หากปีใหม่แล้วยังมีข่าวก่อกรรมชำเรา ข่มขืนให้ได้ยินกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการข่มขืนวิธีใดกับใคร แบบไหน อะไรล่ะที่ใหม่?

หากปีใหม่แล้วยังมีข่าวอันธพาลเสเพล ขี้เหล้าเมายา อาละวาดให้เดือดร้อนกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็น การเสเพล แบบไหน เมายาอะไร อะไรล่ะที่ใหม่?

หากปีใหม่แล้วยังมีข่าวสามีภรรยาทะเลาะกันเพราะความเจ้าส่ำส่อนทางเพศ ไม่มีจริยธรรม ในชีวิตคู่ ไม่ว่าจะเป็น ความส่ำส่อนทางใด กับเพศใด แบบไหน อะไรล่ะที่ใหม่?

หากปีใหม่แล้วยังมีข่าวหลอกลวง ปลิ้นปล้อน คดโกงกันและกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการคดโกง หลอกลวง คนกันเอง หรือคนนอกๆ ไกลๆ ข้ามน้ำข้ามฟ้าไปที่ไหนๆ อะไรล่ะที่ใหม่?

หากปีใหม่แล้วยังมีข่าวการแย่งชิงตำแหน่ง ความใหญ่โต ความมีอำนาจกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็น คนต่อคน ต่อครอบครัว ต่อประเทศชาติ ต่อโลก จนทำให้หญ้าแพรก ต้องแหลกลาญ อะไรล่ะที่ใหม่? ...ฯลฯ

ตราบเท่าที่วงจรเลวร้ายเหล่านี้ยังวนเวียนอยู่ ก็คงเพียงการยอมรับว่าความชั่วเก่าๆ ได้รับ การพัฒนา ให้ชั่วได้หนักขึ้นใหม่ เท่านั้นเอง

มีสักกี่คน ที่จะคิดแก้นิสัยไม่ดี ของตัวเองให้ใหม่

เคยอดทนฟังคำพูดขัดหูไม่ได้ ก็หมั่นฝึกฝนให้รับฟังให้ได้มากขึ้น

เคยอดทนดูสิ่งที่ไม่ถูกตา ต้องใจของใครบางคนไม่ได้ ก็น่าจะลองหันมามองเขา ให้เต็มๆตา เสียบ้าง

เคยอดกลั้น ต่อความจุ้นจ้าน ของเพื่อนบางชนิด จะหัดร่วมคิดร่วมมือกับเขาบ้างเป็นไร

เคยรำคาญความเจ้าเหตุผลของผู้น้อยบางครั้ง ลองทำใจให้สบายๆ ยอมรับเหตุผลเขาหน่อย

เคยคิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องหลายๆ อย่าง น่าปล่อยเลยตามเลย สุดแท้แต่เจ้าเถอะนะ ฯลฯ

สารพัดลีลา บทบาทที่ต้องผัสสะ เจอะเจอ สัมพันธ์อยู่กับสังคมคน หัวใจใหม่ๆ จะเกิดขึ้นได้ จากวิธีอื่นไหม? นอกเหนือจาก วิธีการเหล่านี้?

ยุคที่ "ทองแดง" ฟูเฟื่องลือเลื่องยิ่งกว่า "ทองคำ" เมื่อวัดกันตรงคุณค่า คุณประโยชน์ คุณธรรม ธาตุทองคำ จะก่อเกิดอะไรดีๆขึ้นมาได้ หากเป็นชนวน นำมาซึ่งความโลภ ความโกรธ ความหลง การยื้อแย่ง การพิฆาต ฆ่าฟัน เพื่อครอบครอง ในเมื่อทองแดงนั้น เป็นตัวอย่าง ของความดีงาม ความมักน้อย เจียมตัว สันโดษ และ มีระเบียบวินัย กตัญญู กตเวที ที่หาได้ยากยิ่งขึ้นทุกวัน

แต่กว่าที่ทองแดงจะมีค่ามากมายเช่นวันนี้ ก็ต้องผ่านการขัดสีฉวีวรรณ ฟูมฟัก อบรมสั่งสอน มาไม่น้อย หากไม่มี "ธาตุรักดี" มาเดิม ก็คงจะไม่แวววาวฉายแสงขึ้นมา

คนที่ได้รับการกำหนดค่าว่าประเสริฐกว่าสัตว์อื่นๆ ทั้งผอง จะไม่พากเพียรเพิ่มค่าในตน ให้ยิ่งๆ ขึ้น หรืออย่างไร การเพิ่มค่าคุณงาม ความดีให้สังคม นั่นแหละคือการเพิ่มค่าแก่ตน โดยปริยาย ต่างจาก การแสวงหาวิธีเพิ่มค่า โดยการไปทำลาย ค่าของคนอื่น ยิ่งหากทำลายค่าของความดี ก็ยิ่งทำให้คนนั้น ด้อยค่าลงไปเท่านั้นๆ

มีอะไรหลายๆ อย่างที่คนอยากเป็นเจ้าของ เพราะคิดว่าสิ่งนั้นมีค่า ซึ่งย่อมคู่กับราคา อย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่คน กลับตีราคาไม่เป็น ให้ค่าไม่ถูกต้อง คนจึงยังสับสน ในค่าของความดี แม้บางคน จะทำความดีนั้น ไปแล้ว แต่อดหวั่นไหว ต่อการตอบรับ ปฏิเสธของสังคมไม่ได้ เมื่อโลกนี้ ยังมีคนสองค่าย อยู่ร่วมกัน คือผู้รักดี และ ผู้รักชั่ว จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่เราจะต้องช่วยกัน เชิดชูความดี ส่งเสริมคนดี เพิ่มพูนความดี ล้างโลกให้ใหม่ สร้างโลกใบใหม่ ด้วยหัวใจใหม่ๆ นี่คือพร ความประเสริฐ ที่คนทุกคนมีสิทธิ์ มีโอกาสได้รับ หากไม่ปล่อยตัว ปล่อยใจให้เก่า คร่ำคร่าอยู่อย่างเดิมๆ โลกจะไม่แล้งร้าย ถ้าคนไม่แล้งน้ำใจ โลกจะสุข สดใส ถ้าคนจิตใจสะอาด ปราศจากมลทิน ที่ทำให้เศร้าหมองนั่นเอง

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๑ เดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖)