>เราคิดอะไร

บ้านป่านาดอย - จำลอง -

อยู่ดงอยู่ดอยก็ดีไปอย่าง ไม่ต้องกลัวว่าจะมีเหตุเภทภัยอะไรเกิดขึ้น ฝนจะตกหนักแค่ไหน น้ำก็ท่วมไม่ถึง เพราะอยู่บนที่สูงมาก ถ้าในอนาคตการก่อการร้ายจะมาเกิดที่เมืองไทยบ้าง ก็ไปไม่ถึงในป่าในดอยแน่นอน

ผู้คนในหลายประเทศกำลังหวาดวิตกเรื่องการก่อการร้าย การก่อวินาศกรรมด้วยการบังคับให้เครื่องบิน ชนอาคาร เวิร์ลด์เทรด เมื่อสองปีก่อน ยากลำบากแค่ไหน ก็ทำได้อย่างน่าอัศจรรย์ แล้วการก่อการร้าย รายย่อยๆ กว่านั้น ทำไมจะเกิดไม่ได้

สมัยก่อนคิดว่าเป็นเรื่องยาก เพราะผู้ก่อก็ต้องกลัวตายเหมือนกัน ตอนนี้พิสูจน์ได้ชัดว่า ยังมีคนอีก จำนวนมาก พร้อมที่จะ ก่อการร้าย พร้อมที่จะตายได้ทุกเวลา "ระเบิดพลีชีพ" จึงเป็นยุทธวิธีที่ป้องกัน ยากที่สุด ทำให้สหรัฐอเมริกา และพันธมิตร ปวดหัวอยู่ในเวลานี้

คาดการณ์กันมาก่อนล่วงหน้านานแล้วว่า ถ้าอเมริกาถือคติ "เวรย่อมระงับด้วยการจองเวร" ตัดสินใจ ส่งกำลังทหาร เข้าบดขยี้ อิรัก สามารถเอาชนะได้จริง แต่จะเกิดการแก้แค้นจองเวรต่อไปไม่สิ้นสุด ตอนนี้ เริ่มเป็นจริงแล้ว ไม่เฉพาะแต่ ประเทศอเมริกาและพันธมิตร ที่ร่วมรบกับอิรักเท่านั้น ประเทศอื่น พลอยมีเรื่องพัวพัน อาจเดือดร้อนไปด้วย

กลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ไทยตกเป็นข่าวดังไปทั่วโลก เมื่อจับผู้ก่อการร้ายคนสำคัญได้ที่จังหวัดอยุธยา ชื่อนาย "ฮัมบาลี" เป็นชาวอินโดนีเซีย หัวหน้าขบวนการเจไอ (เจมาห์ อิสลามิยาห์) เครือข่ายเดียวกันกับ ขบวนการก่อการร้ายสากล "อัลเคดา" ของ นายบิน ลาเดน ผู้ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการก่อวินาศกรรม อาคาร เวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ ประเทศ สหรัฐอเมริกา การระเบิดสถานบันเทิงในเกาะบาหลี และโรงแรม มาริออท ประเทศอินโดนีเซีย

ไทยกำลังจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค (การร่วมมือทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเอเซีย-แปซิฟ็ค) ครั้งที่ ๑๑ ในวันที่ ๒๐ และ ๒๑ ตุลาคมที่จะถึงนี้ รัฐบาลไทยเร่งประชาสัมพันธ์เป็นการใหญ่ว่า เตรียมการ ไว้พร้อม จะไม่มีการก่อการร้ายแน่ เพื่อให้ ประเทศสมาชิกทุกประเทศมั่นใจ

ในขณะเดียวกันรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ให้สัมภาษณ์ที่ประเทศ ออสเตรเลียว่า แม้ไทย จะจับนาย "ฮัมบาลี"ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่า การก่อการร้าย ในการประชุมเอเปค ที่กรุงเทพฯ จะหมดไป เพราะยังมีสมาชิก ของขบวนการเจไอ อีกจำนวนมากที่พร้อมจะก่อเหตุ

ส่วนนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียมีข้อแม้ว่า หากมีรายงานข่าวกรองว่า การประชุมเอเปคไม่ปลอดภัย ก็จะไม่มา ร่วมประชุม ท่านนายกฯทักษิณบอกกับผู้สื่อข่าวว่า ประธานาธิบดีสหรัฐยืนยันว่า จะมาแน่ เป็นเรื่องน่าคิด เพราะเหลือเวลา อีกนาน เหมือนกัน กว่าจะถึง ๒๐ ตุลาคม อะไรอาจเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น หากประธานาธิบดีบุช ไม่มาด้วยประการใดก็แล้วแต่ คนทั้งโลก จะเหมาเอาว่า เป็นเพราะจะมี การก่อการร้าย ในการประชุมเอเปคแน่นอน ประเทศไทยคงจะเสียหาย เพราะไปยึดติดกับคนๆ เดียว

การก่อวินาศกรรมตึกเวิร์ลด์เทรดที่เขย่าขวัญคนทั้งโลก รวมทั้งการระเบิดในประเทศต่างๆ ที่ตามมา เป็นลำดับ สหรัฐน่าจะ วิเคราะห์ หาสาเหตุและแก้ที่ต้นเหตุมากกว่า

จริงไหมว่าสาเหตุมาจากอเมริกาเอารัดเอาเปรียบ กดขี่ข่มเหง ขูดรีดประเทศต่างๆ กอบโกยผลประโยชน์ ไปบำรุงบำเรอ คนในประเทศของตัว ซึ่งกินดีอยู่ดีอยู่แล้วให้เกษมสำราญยิ่งขึ้น โดยไม่นึกถึงความทุกข์ยาก ของใคร ถ้าจริงก็ต้องยอมรับ และปรับ กระบวนท่าเสียใหม่ "เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร"

ลดระดับ "ทุนนิยม" ลงมา เพิ่มระดับ "บุญนิยม" ให้มากขึ้น ให้ความเห็นใจ ให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ อย่างจริงใจ ถือคติ "พี่มีแต่ให้" ดูซิว่า ใครจะก่อการร้าย ใครจะอยากทำให้ประเทศผู้มีบุญคุณ ต้องเดือดร้อน ง่ายกว่า ดีกว่า การทำลายล้างกัน อย่างไม่สิ้นสุด

เมื่อคนอเมริกันเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากการก่อการร้ายของฝ่ายตรงข้าม แม้ประธานาธิบดีบุช จะยกย่องสรรเสริญ คนตาย สักแค่ไหน วันหนึ่งชาวอเมริกันจะทนไม่ได้ จะบังคับให้รัฐบาลบุชเปลี่ยนนโยบาย เพราะขืนปล่อยให้เป็นเช่นนี้ วงศาคณาญาติของตัว อาจตกเป็นเหยื่อการก่อการร้าย สักวันหนึ่งจนได้

สมาชิก "เราคิดอะไร" บางท่านคงจำได้ เมื่อปลายปีที่แล้ว ผู้สื่อข่าวถามผมเรื่อง "วันหยุดยาว" คิดอย่างไร ที่คณะรัฐมนตรี มีมติ ให้หยุดเพิ่มวันที่ ๓๐ ธันวาคมอีก ๑� วัน จะได้หยุดกันยาวๆ ตั้งแต่วันเสาร์ที่ ๒๘ ธันวาคมเรื่อยไป จนถึงวันที่ ๑ มกราคม รวม ๕ วัน ผมตอบไปตามตรงว่าไม่เห็นด้วย เมื่อครม.มีมติไปแล้ว คราวหน้าต้องคิดใหม่ทำใหม่ อย่าส่งเสริม ให้คนไทยขี้เกียจอีก

ผมทราบภายหลังว่าเมื่อมีข่าวนี้ออกไปคณะรัฐมนตรีหงุดหงิดมาก ผมให้สัมภาษณ์ว่า ข้าราชการ และ พนักงานรัฐวิสาหกิจ มีวันหยุด และวันหยุดชดเชย รวมกันถึง ๑๑๘ วัน ไม่นับวันพักร้อนอีกปีละ ๑๐ วัน หยุดไป ๑ ใน ๓ ก็เท่ากับทำงาน ๒ วัน หยุด ๑ วัน เอาแต่ขี้เกียจอย่างนี้ จะไปสู้คนชาติไหนเขาได้

เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ผมไปรบที่ลาว ตอนเที่ยงถึงบ่ายโมงบ่ายสองโมง จะติดต่อกับใครไม่ได้เลย ป็ดเมือง นอนกันเงียบ ถูกฝรั่งเศส มอมเมาให้เชื่อว่า ถ้าไม่นอนกลางวันจะ "บ่มีแฮง" ลาวจะได้ไม่โงหัวมากู้ชาติ ขณะนี้ ลาวคงพัฒนา เปลี่ยนไป มากแล้ว แต่คนไทยกำลังมอมเมากันเอง

ผมให้ความเห็นว่ารัฐบาลไม่ควรเอาอกเอาใจด้วยการให้หยุดเพิ่มไม่ว่าจะเพียงวันเดียวหรือกี่วัน เพราะสนับสนุนให้คนไทย ที่ขี้เกียจอยู่แล้ว ให้ขี้เกียจยิ่งขึ้น ท่านผู้อ่าน "เราคิดอะไร" บางท่านคงเห็นชัดว่า เอาเข้าจริง ไม่ได้หยุดต่อเนื่อง แค่วันที่ ๒๘ ธันวาคม ถึงวันที่ ๑ มกราคมเท่านั้น ผมคุยกับคนที่ออก ต่างจังหวัด เขาบอกว่า ต้องออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ ๒๘ ธันวาคม เพราะวันที่ ๒๘ ธันวาคม ออกพร้อมๆ กันรถจะติด ขากลับก็ต้องกลับหลัง ๑ วัน กันรถติดเช่นกัน ตกลงปีใหม่ ที่แล้วมา หยุดกัน เต็มๆ ๗ วัน หยุดงานเพิ่ม แต่ไม่ได้ลดเงินเดือนลง เอาเปรียบชัดๆ

สำหรับข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ครม.ให้หยุดเพิ่มก็ต้องหยุดตามนั้น แต่วันทำงานที่เหลือ คือ สองในสามของปี ต้องทำ ให้เต็มที่ ไม่ใช่รับเงินเดือนเต็มที่แล้วทำงานเต็มที ส่วนผู้ที่กำหนดนโยบาย คือ ครม. อย่าทำอย่างเก่าอีก

๑๔ ตุลาคมปีนี้จะครบรอบ ๓๐ ปี มีการเสนอให้ถือเป็น"วันประชาธิปไตย" มีคนถามว่าจะหยุดไหม ท่านนายกฯ ตอบทันทีว่า ปีหนึ่ง หยุดตั้ง ๑๒๐ วัน หยุดมากอยู่แล้ว จะหยุดเพิ่มอะไรกันอีก เท่ากับ ทำงาน สองวันพักวัน มีแต่หาทางจะให้มีวันหยุด น้อยลง ในโอกาสต่อไป

นายพลเอกนอกราชการคนหนึ่งซึ่งเป็นนักเรียนนายร้อยรุ่นเดียวกับผม รีบโทรศัพท์ถึงผมว่า นายกฯ พูดคำเดียวกับผม

เมื่อพูดถึงเรื่องความขยัน ผมเล่าให้นักเรียนผู้นำทราบถึงต้นตอว่าผมรู้เรื่องวันหยุดจากป้ายโฆษณา ตามที่พักรถประจำทาง ในกรุงเทพฯ มีอยู่ช่วงหนึ่ง ใช้คำว่า "๑๑๘ วันใช้มันให้หมดไป" ผมต้องไปคิดถึง ๒ วัน ดูในปฏิทิน จึงรู้ว่าเป็นวันหยุด และ วันหยุดชดเชย ของข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ แห่งสยามประเทศ ประเทศที่รายเฉลี่ยของประชากร ยังขี้เกียจ อย่างเหนียวแน่น

ต้นเดือนสิงหาคม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม คุณพิเชษฐ สถิรชวาล ถูกศาลรัฐธรรมนูญ พิพากษาให้ต้องหลุด จากตำแหน่ง รัฐมนตรี และห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง ๕ ปี ฐานมีความผิด ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๕ จงใจ ยื่นบัญชี รายการทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ ๘ ต่อ ๕ ชนะขาด

คงจำกันได้ว่าก่อนหน้านี้มีนักการเมืองถูกลงโทษทำนองนี้มาแล้ว คือพลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ อดีต รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทย พรรคประชาธิป'ตย์ และ คุณประยุทธ มหากิจศิริ อดีต ส.ส. บัญชี รายชื่อ พรรคไทยรักไทย

เมื่อ ๒๓ ปีที่แล้ว ตอนผมเป็นเลขาธิการของท่านนายกรัฐมนตรี เปรม ติณสูลานนท์ นับเป็นครั้งแรก ที่คณะรัฐมนตรี ต้องแจ้ง บัญชีทรัพย์สิน แต่แทบจะไม่มีผลในการป้องกันการทุจริต เพราะเอกสารที่แจ้ง บัญชีทรัพย์สิน ถือเป็นความลับ ฉบับหนึ่ง เก็บไว้ที่ตู้นิรภัย ของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อีกฉบับหนึ่ง อยู่ที่ ปปป.(ตอนนี้เปลี่ยนเป็น ปปช.) ใครเปิดดูไม่ได้

เมื่อมีเรื่องฟ้องร้องว่ารัฐมนตรีทุจริต จึงจะมีการเปิดเพื่อสอบสวนเทียบเคียงทรัพย์สินก่อนเป็นรัฐมนตรี และ หลังจาก ดำรงตำแหน่ง กฎหมายระบุไว้อย่างนั้น

ตอนผมเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม ได้ปรึกษาหารือกันว่า แม้ไม่มีกฎหมายบังคับ แต่พลังธรรมมีสัญญา ประชาคม ข้อแรกว่า "หวังและรับเฉพาะสิ่งพึงได้โดยชอบธรรม" คือ "ไม่โกงทั้งต่อหน้าและลับหลัง" รัฐมนตรี ทุกคนของพรรค จะต้องแจ้ง บัญชีทรัพย์สินต่อสาธารณชน โดยแจ้งกับสื่อมวลชน และ ปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการพรรค

ช่วงนั้นผมเชิญให้ดร.ทักษิณเป็นรัฐมนตรีว่า-การกระทรวงการต่างประเทศพอดี ผมยังจำคำที่ ดร.ทักษิณ และผม พูดคุยกัน ได้เป็นอย่างดี

"พี่ ผมพร้อมที่จะแจ้งบัญชีทรัพย์สิน แต่ผมมีเยอะนะ"

"ดีแล้วครับ มีเยอะก็แจ้งเยอะ ความร่ำรวยไม่ใช่เรื่องอาภัพ ถ้าแข่งกันยากจน บ้านเมืองจะย่ำแย่"

เมื่อ ดร.ทักษิณพร้อม ผมยิ่งมั่นใจว่าพรรคพลังธรรมแจ้งบัญชีทรัพย์สินแก่ประชาชนได้แน่ พอประกาศ ออกไป เราถูก พรรคอื่นๆ โจมตีว่าเอาใจประชาชน หาเสียงกับประชาชน โดยไม่คำนึงถึง รัฐมนตรีพรรคอื่น ว่าจะเดือดร้อน ไม่มีกฎหมาย บังคับสักหน่อย แจ้งบัญชีทรัพย์สินไปทำไมกัน

หลังเหตุการณ์เดือนพฤษภาคมปี ๓๕ มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่บังคับให้ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินเหมือน กับที่รัฐมนตรี พรรคพลังธรรม ได้ทำจริงๆให้ดูเป็นตัวอย่างมาแล้วในตอนนั้น ด้วยความสมัครใจ ไม่รอ ให้ต้องมีกฎหมายบังคับ

เมื่อมีการคุยกันถึงเรื่องพรรคพลังธรรมในอดีต ผมบอกกับหลายๆ คนที่เคยสนับสนุนว่า เป็นเรื่องที่ดี ที่กาลครั้งหนึ่ง เราช่วยกัน ให้เกิดพรรคแบบนั้น ทำให้การเมืองมีอะไรๆ ดีๆ ขึ้นมาจนถึงวันนี้

"ผู้ว่าฯซีอีโอ" เป็นข่าวต่อเนื่องกันมาตั้งแต่สมัย ดร.ปุระชัย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซีอีโอ.ย่อมาจากคำฝรั่ง แปลว่า ผู้นำสูงสุด ในการบริหาร ต่อมากลัวว่าจะกลายเป็นผู้ว่าฯฝรั่งไป เลยใช้ คำไทยว่า "ผู้ว่าฯ บูรณาการ" ผู้ว่าฯ ที่มีอำนาจ ในการตัดสินใจทุกเรื่อง หรือเกือบทุกเรื่อง ที่เกิดขึ้น ในจังหวัดตัว ในจังหวัดมีเจ้าภาพรับผิด และรับชอบ ไม่ใช่ผู้ว่าฯ เป็นแต่เพียง "ผู้ประสานงาน" เหมือนในอดีต ซึ่งมีหน้าที่เป็นประธานเปิด ปิด แจก รับ ในพิธีต่างๆ เสียเป็น ส่วนใหญ่

อาจยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า ที่ผมเคยเป็นผู้ว่าฯ มา ๖ ปีนั้นเป็นผู้ว่าซีอีโอ ยิ่งกว่าที่กำลังประชุมกัน ในเดือนสิงหา -กันยายน เพราะทำหน้าที่ เป็นนายกเทศมนตรีด้วย มีงบประมาณ มีบทบาท มีอำนาจ ตัดสินใจ เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ต้องรอ รัฐบาล ส่วนกลาง

สามารถตัดสินใจสร้างสะพานให้รถข้ามทางแยก ต่างๆ ๑๗ สะพานเพื่อแก้ไขปัญหาจราจรสร้างรถลอยฟ้า เป็นผลสำเร็จ (ซึ่งรัฐบาลก่อนๆ เตรียมการนานกว่า ๑๐ ปีแล้ว สร้างไม่ได้) สามารถชักชวนให้ชาวกรุง ร่วมมือกัน พลิกฟื้นกรุงเทพฯ จากหน้ามือ เป็นหลังมือ จาก "เมืองหนึ่งในหกเมืองที่สกปรกที่สุดของโลก" มาเป็น "เมืองหนึ่งในสิบเมือง ที่น่าท่องเที่ยว ที่สุดของโลก" สามารถทำอะไรใหม่ๆ ได้มากมาย

ท่านนายกฯทักษิณสั่งการให้ทดลองมีผู้ว่าฯ ซีอีโอ ใน ๕ จังหวัดก่อนทั่วทุกภาคของประเทศ คือภาคเหนือ-จังหวัดลำปาง ภาคกลาง-จังหวัดชัยนาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ-ศรีสะเกษ และภาคใต้ที่ภูเก็ต และ นราธิวาส ต่อมาตัดสินใจ ให้มีผู้ว่า ซีอีโอ ทุกจังหวัด จึงกำหนดการประชุม, การบรรยายไว้ล่วงหน้า ให้พร้อม

ในฐานะที่ผมเคยลงมือทำเรื่องนี้มาก่อน และในฐานะที่ขณะนี้เป็นที่ปรึกษาด้านพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ผมดูกำหนด การประชุม เชิงปฏิบัติการของผู้ว่าฯซีอีโอ (ใช้ภาษาราชการว่า การประชุมเชิงปฏิบัติการ "การพัฒนาผู้นำ การบริหาร การเปลี่ยนแปลง") ๒ วัน ที่กรุงเทพฯ และ ๓ สัปดาห์ที่เกาะสมุย (กำลังจะเปลี่ยน ไปที่หัวหิน) หัวข้อต่างๆ ทั้งหมด ซึ่งจะบรรยาย โดยวิทยากรฝรั่ง และวิทยากรไทยนั้น เป็นเรื่อง เกี่ยวกับวิชาการทั้งสิ้น

ผมจึงบันทึกเสนอท่านนายกฯว่า วิชาการเป็นเรื่องดี แต่น่าจะมีการเสริมสร้างอุดมการณ์ ควบคู่ไปด้วย เพราะที่แล้วๆ มา ผู้ว่าฯ และรองผู้ว่าฯ หากจะบกพร่อง เป็นการบกพร่องทางอุดมการณ์ ไม่ใช่เพราะ ขาดวิชาการ ท่านนายกฯ สั่งการไปยัง คณะผู้กำหนด หัวข้อการประชุม การบรรยาย คือ ก.พ.ร. (คณะกรรมการ พัฒนาระบบราชการ)

ท่านเลขาธิการ ก.พ.ร. และคณะไปหารือกับผมที่บ้านพิษณุโลก และกลับไปหารือกันเองอีก ๒ วันที่ ก.พ.ร. ตกลงจะให ้ผู้ว่าฯ และรองผู้ว่าฯ จำนวน ๑๐๐ คน ไปฝึกอบรมเสริมสร้างอุดมการณ์ ที่โรงเรียนผู้นำ ตั้งแต่วันที่ ๑ ถึง ๔ กันยายน

โรงเรียนผู้นำได้กำหนดหัวข้อการฝึกอบรมไว้พร้อม ผมติดต่อกับวิทยากรผู้ใหญ่ทุกท่าน ซึ่งได้กรุณาเลื่อน กำหนดนัดต่างๆ ออกไปหมด เพื่อการฝึกอบรมผู้ว่าซีอีโอโดยเฉพาะ ทั้งคุณหมอเฉก ธนะสิริ คุณหมอ ประเวศ วะสี, คุณโสภณ สุภาพงษ์, ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ส่วนนายกฯทักษิณ ซึ่งเป็นวิทยากร โรงเรียนผู้นำ ด้วยคนหนึ่ง เราไม่ได้รบกวนเชิญ เพราะต้อง บรรยาย ในวันแรกที่กรุงเทพฯ อยู่แล้ว คุณอนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของแลนด์แอนด์-เฮาส์ ซึ่งสอนที่โรงเรียนผู้นำ มาหลายปี ยินดีที่จะไปช่วยเต็มที่ แต่บังเอิญ จะต้องเดินทางไปอเมริกา ซึ่งได้กำหนดไว้ก่อนล่วงหน้านานแล้ว จึงไปช่วยไม่ได้

โรงเรียนผู้นำผิดแผกแตกต่างจากสถานศึกษาอื่นโดยสิ้นเชิง สอนโดยใช้ประสบการณ์ชีวิต ที่ประสบมา จริงๆ รู้เห็นมาจริงๆ ไม่ใช่เอาตำรามากางซึ่งจะหาเรียนจากที่ไหนก็ได้ เน้นในเรื่องอุดมการณ์ การลด ความเห็นแก่ตัว การสรรสร้าง คุณงามความดี ไม่ได้เน้นวิชาการ

การฝึกอบรม จัดหัวข้อร้อยเรียงสอดคล้องกัน ใช้วิทยากรที่มีประสบการณ์ชีวิตตรงกับหัวข้อนั้นๆ ทุกวัน จะมีการ สอดแทรก เรื่องการรักษาสุขภาพร่างกาย ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ คนเราถ้าเสียสุขภาพ ก็เท่ากับ เสียทุกอย่าง เราจัดการ ฝึกอบรม เป็นปีที่ ๑๗ แล้ว

การฝึกอบรมผู้ใหญ่ในวงอุตสาหกรรมปีที่แล้วและการฝึกอบรมข้าราชการผู้ใหญ่ ระดับรองอธิบดีจาก กระทรวงต่างๆ ทั่วประเทศ ๓ รุ่น ที่เสร็จสิ้นไปแล้วนั้น ยากกว่าการเตรียมการฝึกอบรมผู้ว่าฯ ซีอีโอเสียอีก

การเสริมสร้างอุดมการณ์ที่โรงเรียนผู้นำ ถ้าผู้รับการอบรมนำไปฏิบัติตาม จะเป็นผู้ว่ารองผู้ว่าฯ ที่ดียิ่งขึ้น ด้วยการไม่ ๕ อย่างคือ

ไม่โกง ไม่โง่ ไม่ขี้โรค ไม่ขี้เกียจ ไม่ขี้กลัว

นอกจากชี้แนะเรื่องการพัฒนาตนเอง ครอบครัว และสังคมแล้วยังเน้นเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง การสร้าง ชุมชน ให้เข้มแข็ง และการนิยมไทยด้วยการปฏิบัติอย่างแท้จริง ไม่ใช่ทำให้เป็นผู้ว่าฯ รองผู้ว่าฯ ที่ดีขึ้น เท่านั้น ยังเป็นผู้นำ ของจังหวัด ในการกอบบ้านกู้เมือง ซึ่งเป็นความต้องการสูงสุดของประเทศไทย

กลางเดือนสิงหาคม ซึ่งเหลือเวลาอีกสิบกว่าวันจะถึงกำหนดการฝึกอบรมที่โรงเรียนผู้นำ ท่านเลขาธิการ ก.พ.ร. มีจดหมายถึงผม แจ้งว่าขลุกขลักบางประการ ไม่สามารถให้ผู้ว่าฯ, รองผู้ว่าฯไปโรงเรียนผู้นำได้ ตัวท่านเอง ก็จะต้อง เดินทางไปต่างประเทศด้วย กลับมาแล้ว จะรีบไปพบผมเพื่อหารือกันก่อน

สรุปก็คือ ของดการฝึกอบรมเสริมสร้างอุดมการณ์ที่โรงเรียนผู้นำอย่างสุภาพ นุ่มนวล และแนบเนียน

ผมรีบโทรศัพท์ขอโทษวิทยากรผู้ใหญ่ทุกท่านที่เตรียมสอนเก้อ ซึ่งท่านก็บอกว่า ไม่เป็นไร ที่ยินดีรับคำเชิญ ไปฝึกอบรม ไม่ใช่อยากใหญ่ อยากมีชื่อเสียง แต่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ตกถึงประชาชนส่วนรวมต่างหาก

"เราคิดอะไร" ฉบับที่แล้ว ผมเล่าเรื่องการเจ็บไข้ของผม สมาชิกบางท่านบอกว่าดีเหมือนกัน ผู้อ่านจะได้ ไม่ประมาท ผมเขียน เพราะคุณศิริลักษณ์แนะให้เขียน

เมื่อสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมให้ช่างถอดหม้อน้ำไปซ่อม แล้วบอกคุณศิริลักษณ์ไว้ว่า ให้ช่างซ่อมเสร็จ ติดตั้ง ให้เรียบร้อย จึงจะเอารถไปวิ่ง อีกหลายวันต่อมา ขณะผมอยู่เมืองกาญจน์ คุณศิริลักษณ์อยู่กรุงเทพ ขับรถจาก บ้านราชวัตร ไปบ้านสวนไผ่สุขภาพ (ติดธนาคารกรุงไทยสาขาสนามเป้า) จอดรถเสร็จ คุณศิริลักษณ์ ก็บอก ให้พนักงาน บ้านสวนไผ่ ช่วยเอาน้ำไปเติมรถ รู้สึกว่าเครื่องจะร้อน

คนเติมน้ำรีบกระหืดกระหอบมาบอกว่าหม้อน้ำไม่มี ช่างหม้อน้ำรู้เข้าหัวเราะชอบใจ ซ่อมหม้อน้ำมา หลายสิบปี ยังไม่เคย เจอแบบนี้ แนะว่าน่าจะไปออกรายการโทรทัศน์

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เมื่อแก่ตัวลงอย่าประมาท "แก่มากๆ ย่อมมีความหลงลืมเป็นธรรมดา ไม่สามารถ ล่วงพ้น จากการหลงลืมได้"

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๘ กันยายน ๒๕๔๖)