บ้านป่า นาดอย - จำลอง -


สมาชิก "เราคิดอะไร" บางท่านคงเคยไปเยี่ยมชุมชนปฐมอโศก จังหวัดนครปฐมมาแล้ว ซึ่งนับ เป็นชุมชน "แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง" ที่แท้จริงชุมชนหนึ่ง ความสำเร็จของการ จัดตั้ง ชุมชน ปัจจัยใหญ่ที่สุด คือ ต้องมีวัดเป็นศูนย์กลาง

บ้านป่านาดอย ตั้งเป็นชุมชนเล็กๆ มา ๑๑ ปีแล้ว ไม่มีวัด ไม่มีพระ บรรยากาศ สภาพแวดล้อม เอื้ออำนวยมาก หลายคนอยากใส่บาตรแต่หาพระรับบาตรไม่ได้ จึงได้สร้างกุฏิพระ ขึ้น ๓ หลัง โดยนิมนต์ "หลวงปู่ชิน" จากพุทธสถานศาลีอโศก ไปชี้ที่ ที่เหมาะสมที่สุด เป็นป่า เงียบสงบ รายล้อม ไปด้วยขุนเขาที่สวยงาม

อย่างน้อยในช่วงนอกพรรษา เราคงมีโอกาสใส่บาตรแน่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ถ้าอยู่ไปโดย ไม่มีศาสนา ไม่มีนักบวช เป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ หาความสุขที่แท้จริงไม่ได้

ตรงข้ามกับความสุขก็คือความทุกข์ วันหนึ่งหลังจากตระเวนช่วยหาเสียง ผมนั่งพักริมทาง ที่มีถนน ๒ สายมาบรรจบกัน สายหนึ่งมีรถจำนวนมากกำลังวิ่งห้อตะบึง จะไปให้ถึง ที่ทำงาน ตรงเวลา สังเกตสีหน้าคนขับ(เจ้าของรถ) เต็มไปด้วยความวิตกกังวล ถนนอีก สายหนึ่ง เป็นทางเข้า หมู่บ้าน รถไม่ใคร่มี มีแต่คนเดิน ชายวัยกลางคน สะพายถุงปุ๋ย เปล่าๆ แต่งตัวขะมุกขะมอม เดินอย่าง หมดอาลัย ตายอยาก เวลาจะทันหรือไม่ทัน ไม่มีค่าสำหรับเขา อาหารมื้อต่อไปต่างหาก ที่เขายิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ คนรวย คนจน ทุกข์กันละคนละอย่าง ทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น

คนป่วย ยิ่งมีความทุกข์เพิ่มขึ้น ป่วยเป็นโรคบางโรคไม่มีเงินรักษา ตัดสินใจกระโดด จากตึกสูงๆ เป็นข่าว อยู่บ่อยๆ ที่ไม่เป็นข่าวก็มีอีกมากมาย

อย่างที่ผมเคยเกริ่นในเราคิดอะไรมาบ้างแล้ว คนป่วยเป็นโรคไตฆ่าตัวตาย ปีละหลายราย เพราะไม่มีเงินล้างไต ในแต่ละปีคนที่มีเงินล้างไตมีเพียงประมาณ ๓,๐๐๐ คน อีก ๒๓,๐๐๐ คน ต้องตาย เพราะไม่มีปัญญาหาเงินมาล้างไต

สถาบันโรคไตและมะเร็งเพื่อการกุศล ได้เปิดขึ้นแล้วเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม แม้จะเป็น การเริ่มต้น จากการล้างไต ได้พร้อมๆ กันทีละ ๔ คน วันละ ๑๐ กว่าคน ก็ช่วยบรรเทา ความทุกข์ยาก เป็นสถานที่ รักษาโรคไต ที่มีเครื่องมือทันสมัยที่สุด ถ้ามีผู้ใจบุญ ช่วยอุปถัมภ์เพิ่มเติม จะรับคนไข้ได้วันละ นับร้อยๆ คน

พิธีเปิดทำอย่างเรียบๆ ง่ายๆ เริ่มด้วยการเทศน์ ๒ ธรรมาสน์ ๑ เก้าอี้ ท่านจันทร์ ๑ ธรรมาสน์ หลวงพ่อ ปัญญา ๑ ธรรมาสน์ และคุณหมอเสม ๑ เก้าอี้ หลวงพ่อปัญญา และคุณหมอเสมอายุ ๙๔ ปี เท่ากันพอดี

ผู้ไปร่วมงานในวันนั้นโชคดี ได้ยินได้ฟังเรื่องดีๆ ซึ้งๆ เกี่ยวกับท่านอาวุโส ๒ ท่าน ของบ้านเมือง ซึ่งไม่เคย ได้ยินได้ฟังจากที่ไหนมาก่อนเลย

นอกจากชาวไทยแล้วยังมีชาวญี่ปุ่น บินตรงมาร่วมพิธีโดยเฉพาะ จากมูลนิธิ ที่มีโรงพยาบาล และคลินิก มากที่สุด ในญี่ปุ่น (๒๐๐ แห่ง) และเป็นที่ ๒ ของโลก นำคณะโดยภรรยาของท่าน ประธานมูลนิธิ ตามด้วย ผู้อำนวยการ โรงพยาบาล และผู้เชี่ยวชาญโรคไต

ได้เชิญผมและคุณศิริลักษณ์ไปญี่ปุ่นต้นเดือนกันยายนนี้เพื่อตกลงสร้าง โรงพยาบาล ๕๐๐ เตียง ในกรุงเทพฯ โดยฝ่ายเราไม่ต้องออกเงินเลย ผมแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะอายุ มากแล้ว ไม่อยากจะผูกพัน กับโครงการใด เพิ่มเติม ที่มีอยู่ขณะนี้ก็ทำไม่ไหวแล้ว

เรื่องเกี่ยวกับบ้านเมือง ผมแถลงกับสื่อมวลชนเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม หนังสือพิมพ์ นำไปลงหน้า ๑ เกือบทุกฉบับ แต่บางฉบับ นำไปลงพิมพ์ย่อๆ ผมจึงขอนำมาบันทึกไว้ใน "เราคิดอะไร" ฉบับนี้ เป็นหลักฐาน และเผยแพร่ให้สมาชิกได้ทราบทั่วกัน แม้การเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม.จะผ่านไปแล้วก็ตาม



คำกล่าวของ พลตรีจำลอง ศรีเมือง
"นึกถึงบ้านเมือง ต้องไม่นึกถึงเพียงแค่ กทม."
ที่ร้านอาหารบ้านสวนไผ่สุขภาพ
วันอาทิตย์ที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๗

ความมุ่งหมายของการนัดพบสื่อมวลชนครั้งนี้
ผู้สื่อข่าวหลายคนขอสัมภาษณ์ผม บอกผมว่าที่แล้วมาผมจะออกมายุ่ง เฉพาะเรื่องใหญ่ๆ ที่สำคัญของบ้านเมืองเท่านั้น ผมอยู่ป่าอยู่เขาที่นั่นมีงานทำมากอยู่แล้ว อยากจะสัมภาษณ์ว่า ทำไมออกมายุ่งแค่การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. และผมก็อายุปูนนี้แล้ว น่าจะมีอะไรมากกว่านั้น

ผู้ใหญ่หลายคนที่ห่วงบ้านห่วงเมืองไปพูดกับผมที่กาญจนบุรีนานเป็นชั่วโมงๆ บางท่าน ก็โทรศัพท์ คุยกับผม เตือนผมว่าเมื่อมีอะไรเกิดขึ้น ผมต้องออกมาพูดท้วงติง รัฐบาลบ้าง เพราะท่านเหล่านั้น พูดแล้วไม่สำเร็จ ผมก็เรียนท่านว่า ผมมีหน้าที่ในการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์เท่านั้น ไม่มีน้ำหนัก ในการคัดค้านเรื่องอื่นๆ

เมื่อสามสี่วันมานี้ ผู้ใหญ่อีกท่านหนึ่งพูดโทรศัพท์กับผมติดต่อกันถึงสองวัน ด้วยเหตุผล ทำนองเดียวกัน และแถมด้วยการขอให้ผมออกมาดำเนินงานทางการเมืองอีก ผมเรียน ท่านว่า ตอนนี้ ผมอายุขึ้นเลข ๗ แล้ว ทางการเมือง ผมเคยทำมาสุดๆ แล้ว ตอนนี้ เป็นเรื่องของคนวัยหนุ่มสาว เมื่อเสร็จจากการเลือกตั้ง ผู้ว่า กทม.แล้ว ไม่ว่าผล จะออกมาเป็นอย่างไร ผมก็เหมือนเดิม ไม่มีตำแหน่ง ไม่ได้อะไร และไม่เสียอะไร กลับไปอยู่ที่ โรงเรียนผู้นำ ทำหน้าที่ต่อ แต่ก็ยังช่วยให้คำปรึกษาหารือ ทางโทรศัพท์ ทั้งเรื่อง กทม. และเรื่องบ้านเมืองได้

เมื่อมีการกระตุ้นทั้งผู้สื่อข่าวและผู้ห่วงใยบ้านเมือง ผมก็นึกอยู่นานว่าจะพูด หรือไม่พูดดี ผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว เมื่อพูดไปต้องไม่กระทบ ไม่ทำให้ใครเสียหาย ทบทวนดูแล้ว พูดดีกว่า แม้จะเสี่ยง ต่อการถูกโจมตี เพราะเข้าใจเจตนาผมผิดบ้าง ก็ไม่เป็นไร

สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน เป็นที่น่าสังเกตว่า ระยะนี้มีความพยายามจัดตั้ง พรรคทางเลือกที่ ๓ ขึ้นมาหลายๆพรรค เพราะไม่เชื่อว่าพรรคที่ ๑ (พรรครัฐบาล) และพรรคที่ ๒ (พรรคฝ่ายค้าน) จะนำพา ประเทศชาติไปรอด จึงต้องมองหาพรรคที่ ๓ เป็นวิกฤติการณ์ทางการเมือง ที่นานๆ จะเกิดขึ้นสักครั้ง

พรรคฝ่ายค้าน อ่อนล้าลงอย่างเห็นเด่นชัด ส.ส.เก่าของพรรคย้ายออกไปเข้าพรรครัฐบาล หลายคน คนที่เป็นหลักของพรรค ก็ทยอยกันไปอยู่พรรคอื่นบ้าง ตั้งพรรคใหม่บ้าง จนถึงวันนี้ เลือดยังไหลไม่หยุด

พรรครัฐบาล แม้ ส.ส.จะอุ่นหนาฝาคั่ง การเลือกตั้งใหญ่สมัยหน้าอาจได้ถึง ๔๐๐ เสียง ตามที่ตั้งเป้า ไว้ก็ตาม พรรครัฐบาลยิ่งมี ส.ส.มากเท่าไร แข็งแกร่งเท่าไร ผู้คนก็ยิ่งวิตก มากขึ้นเท่านั้น เป็นความวิตก ที่ห้ามกันไม่ได้เสียด้วย วิตกกันว่าท่านนายกฯทักษิณ จะคุมอำนาจ อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด คิดจะทำอะไร ก็ทำได้ตามอำเภอใจ ไม่มีใคร กล้าคัดค้าน นักวิชาการหลายท่าน กล้าค้านก็จริง แต่ไม่ได้ผล

พรรคทางเลือกที่ ๓ ที่ตั้งขึ้นมาแล้ว และจะตั้งเพิ่มต่อๆ ไปอีกหลายพรรค นอกจาก จะไม่สามารถ จัดตั้งรัฐบาล ได้แล้ว ยังไม่สามารถคัดค้าน ท่านนายกฯทักษิณได้เลย

ท่านนายกฯเชื่อมั่นในตัวเองมาก คิดไว พูดไว ทำไว ซึ่งไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ท่านนายกฯ ใจร้อน ลงไปทำแทน รัฐมนตรีหลายเรื่อง เมื่อทำมาก โอกาสพลาดก็มาก ถ้าไม่มีใครค้าน ตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ ผิดพลาด จะทำให้เกิดความเสียหาย อย่างมหาศาล แก่ชาติบ้านเมืองได้

ผู้ที่ติดตามการเมืองหลายคนรวมทั้งผมด้วย คิดถึงเรื่องนี้ เป็นห่วงเรื่องนี้ กลุ่มต่างๆ ได้มีการปรึกษา หารือกันหลายครั้ง ลงความเห็นว่าท่านนายกฯทำดีมามาก ทำสำเร็จหลายเรื่อง ที่ไม่สำเร็จก็มีบ้าง จะหาวิธีใด ที่สามารถท้วงติงท่านนายกฯได้บ้าง ท่านจะได้ไม่พลาด

ผมจะช่วยอะไรได้บ้าง
ผมเคยเป็นผู้ว่าฯ กทม.มาก่อน รู้ดี แม้ผู้ว่าฯ กทม. จะไม่มีหน้าที่โดยตรงในการคัดค้านรัฐบาล หรือคัดค้านท่านนายกฯก็ตาม แต่ปัจจุบัน ผู้ว่าฯ กทม. เป็นตัวแทนของคนกรุงเทพฯถึง ๓๗ เขตเลือกตั้ง คัดค้านสิ่งที่เห็นแน่ชัดว่า ไม่ถูกต้อง ท่านนายกฯต้องฟัง ต่างจากพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งธรรมชาติ ของพรรคฝ่ายค้าน ต้องค้านทุกเรื่องอยู่แล้ว ท่านนายกฯไม่ฟังแน

คนที่เป็นผู้ว่าฯ กทม. ต้องไม่ใช่คนที่รัฐบาลหนุน ต้องไม่สังกัดพรรคฝ่ายค้าน และต้องไม่ใช่ ผู้สมัครอิสระ ที่คิดจะเข้าไปชนท่าเดียว เขาเลือกเข้าไปทำงาน ไม่ใช่ให้เข้าไปทะเลาะ กับใคร ต้องประสาน กับรัฐบาล และฝ่ายค้านได้ เรื่องหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่อง การอนุมัติเงิน งบประมาณ อุดหนุน กทม. ผู้ว่าฯต้องพึ่ง ต้องประสานกับ ส.ส. ทั้งฝ่าย รัฐบาล และฝ่ายค้านได้

ผู้ที่เหมาะสมจะเป็นผู้ว่าฯ กทม. นอกจากจะอิสระจริงๆ แล้ว ต้องเป็นคนแข็ง คัดค้าน ในสิ่งที่ ไม่ถูกต้อง โดยไม่เกรงกลัวรัฐบาล และจะท้วงติงท่านนายกฯได้ ต้องมีความรู้พอๆ กัน การคัดค้าน จึงจะมีน้ำหนัก

ผมเป็นคนหนึ่งที่หวังดีต่อท่านนายกฯมาตลอด ผมทำให้ท่านต้องลำบาก เพราะไปเชิญท่าน เข้ามาสู่วงการเมือง พรรคพลังธรรม ที่ท่านและผมเคยเป็นหัวหน้าพรรค ก็เป็นกำลังหลัก ในการก่อตั้ง พรรคไทยรักไทย ผมและหลายๆ คนที่สนับสนุนท่าน อยากจะเห็นท่าน ประสบผลสำเร็จ ในการนำพาชาติ ทั้งในช่วงท้ายของสมัยนี้ และ ตลอดสมัย ของการเป็นนายกฯ สมัยหน้า

ผมเห็นว่า การท้วงติงคัดค้านท่านนายกฯ บางเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น และสำคัญ ผมจึงชวน ดร.มานะ มหาสุวีระชัย มาสมัครเป็นผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งในใจลึกๆ ผมหาคน ช่วยคัดค้าน ให้ท่านนายกฯ นั่นเอง ท่านจะได้ไม่พลาด บ้านเมืองจะได้ไม่เสียหาย ถ้าท่านรู้ความในใจของผม ท่านอาจจะเคือง และวิจารณ์ผมแรงๆ ก็ได้ ไม่เป็นไร เป็นความหวังดี และประสงค์ดีของผมจริงๆ

ดร.มานะ มหาสุวีระชัย ถ้าได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม. นอกจากจะแก้ไขปัญหา กทม. ได้แล้ว จะได้ช่วย ทำหน้าที่คัดค้านท่านนายกฯ บางเรื่องได้ด้วย ในขณะเดียวกัน ก็ประสานกับรัฐบาลได้ เพราะดร.มานะ ไม่ได้สังกัดพรรคฝ่ายค้าน

ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ เป็นการยืนยันว่า นึกถึงบ้านเมือง ต้องไม่นึกเพียงแค่ กทม.

สวัสดีครับ
จำลอง ศรีเมือง



หลังจากผมพูดกับผู้สื่อข่าวไปแล้ว หนังสือพิมพ์บางฉบับก็ตามถามเรื่อง พรรคทางเลือกที่ ๓ อีก ผมยืนยันว่า เราได้ช่วยกันตั้งพรรค ดังกล่าวมาแล้วในอดีต คือ พรรคพลังธรรม ซึ่งเป็นพรรค ทางเลือกที่แท้จริง ให้คำมั่นสัญญากับประชาชนไว้เป็นสัญญาประชาคม ที่โดนใจประชาชน แต่ก็เป็นได้แค่ พรรคขนาดกลาง(มี ส.ส. ๔๗ คน) ไม่สามารถ เป็นแกนนำรัฐบาล เพื่อเปลี่ยนแปลง บ้านเมืองได้ดังใจนึก

ผมกล่าวถึงพรรคเพื่อฟ้าดินซ้ำอีก แต่สื่อมวลชนก็ไม่สนใจอีกตามเคย พรรคเพื่อฟ้าดิน เองก็ยังไม่อยาก ให้ใครสนใจ และไม่คิดจะส่งใคร ลงสมัครรับเลือกตั้ง เป็นพรรค ในอุดมคติจริงๆ ที่สามารถ ประสพผลสำเร็จ แต่ต้องอาศัยเวลา นับร้อยปี กว่าสังคมไทย จะพร้อมสนับสนุน

กำหนดไว้ว่า นักการเมืองของ พรรคเพื่อฟ้าดิน ต้องเสียสละจริงๆ เมื่อมีตำแหน่ง ทางการเมือง ก็มีแต่หน้าที่เท่านั้น ต้องไม่รับเงินเดือนเลย

ไม่ต้องหาเสียงให้ลำบาก ไม่ต้องเสียเงินเสียทอง เมื่อพรรคตัดสินใจส่งใคร ลงเลือกตั้งแล้ว เพียงประกาศ ให้ประชาชนทราบเท่านั้น ว่าส่งใคร ประชาชนจะเลือกหรือไม่เลือก ก็แล้วแต่ ในเมื่อหาคน ที่ทั้งเก่งทั้งดี เตรียมไว้รับใช้แล้ว ไม่เอาก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องเหนื่อย ดีเสียอีก

ประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องเป็นอย่างนั้น

ผมประชาสัมพันธ์ให้พรรคเพื่อฟ้าดินเสียยืดยาว เพราะเห็นว่าถึงเวลาที่จะต้องบอกกัน ให้ทราบแล้ว เรียกร้องกันนัก เรียกหา พรรคทางเลือกที่ ๓ บอกให้ทราบว่ามีแล้ว ใจถึงหรือไม่ เท่านั้นเอง ที่จะสนับสนุน และดำเนินงานทางการเมือง เป็นพรรคเดียวกับ "เพื่อฟ้าดิน"

ผมคนหนึ่งละที่หนุนเต็มที่ แต่ขอไม่มีตำแหน่งอะไรในพรรคอย่างนี้ไปตลอด เพราะเข้าวัย ตกกระแล้ว ต้องเป็นหน้าที่ ของคนวัยหนุ่มสาว

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๐ กันยายน ๒๕๔๗ -