เรื่องสั้น - ธารธรรม -
เกือบจะสาย


ครอบครัวของฉันเป็นครอบครัวที่มีอันจะกินครอบครัวหนึ่ง พ่อแม่มีลูกสาวคนเดียวคือฉัน ชีวิต ในครอบครัวสุขสบาย พออยู่พอกิน ไม่เดือดร้อน ต่อมาพ่อเสียชีวิตเมื่อฉันอายุย่างเข้าสิบสี่ขวบ แม่รักฉันมาก จนไม่ยอมมีพ่อใหม่ เลี้ยงดูฉัน จนเข้าสู่วัยสาว มีเลือดฝาดสมบูรณ์ ฉันมีข้อเสีย ที่เอาแต่ใจตัวเอง เป็นคนเจ้าอารมณ์ ไม่ว่าจะผิดหรือถูก ก็ไม่ชอบ ให้ใครมาว่ากล่าว ตักเตือนสั่งสอน แม้แต่แม่ผู้บังเกิดเกล้าก็เถอะ มาว่ากล่าวจู้จี้ก็ไม่ชอบ

ฉันยอมรับว่าเอาแต่ใจ ไม่ค่อยหาเหตุผล ความหวังดีหวังร้ายของใคร แต่ชอบคนยกย่องชมเชยว่าดี อย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ชอบ ให้ใครมาติเตียน เพราะถือว่าตัวเองว่าโตแล้ว รู้ดีรู้ชั่ว ไม่จำเป็นต้องให้ใคร มาคอยตักเตือน พูดง่ายๆ ว่าขึ้นต้นก็สั่งสอนแล้ว ต่อให้พูดดีอย่างไร ฉันก็ไม่ชอบ

เมื่อเป็นสาวเต็มตัว ไฟเสน่หาก็เริ่มสุมทรวง มีผู้ชายคนหนึ่งรูปหล่อเอาการมาติดพัน ฉันทุ่มเทความรัก ให้จนหมดใจ คิดฝันไปว่า เราจะใช้ชีวิตร่วมกันได้ ในอนาคต

ความรักทำให้ฉันโหยหาถึงแต่วันชื่นคืนสุขที่ได้อิงแอบแนบสนิทพอดพร่ำแต่คำรัก ความรักทำให้ ตาบอด วันๆ ฉันเอาแต่ ปรนเปรอคนรัก ทั้งที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าด้วยซ้ำว่า เป็นคนชนิดใด มาจากไหน

แม่คงทนดูไม่ไหวที่เห็นลูกสาวคนเดียวไร้ยางอายหอบหิ้วผู้ชายมาร่านถึงบ้านช่อง ผิดจารีตประเพณี อันดีงามของคนไทย เห็นการรักษา พรหมจารี เป็นเรื่องล้าสมัย จึงได้ตักเตือนว่าควรรักนวลสงวนตัว ไม่ใช่ใจง่ายร่านผู้ชาย สักวันหนึ่งจะไร้ค่า แต่ฉันไม่เคยแยแส คำตักเตือนเหล่านี้ กลับเห็นเป็นเรื่อง น่ารำคาญ ขวางหูขวางตาอยากให้หนีไปเสียพ้นๆ คนแก่ขี้บ่นเช่นนี้ จึงได้ใช้วาจา ก้าวร้าวต่อท่าน

"เบื่อเหลือเกิน...แม่สอนหนูมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย จนโตป่านนี้ ไม่รู้ว่าจะสอนไปถึงไหนกัน เป็นคนแก่ ขี้บ่น จู้จี้ ไม่รู้จักจบสิ้น เมื่อไหร่จะหยุด สั่งสอนเสียที จะได้สบายใจบ้าง?"

"โธ่..ลูกเอ๋ย แม่มีลูกสาวคนเดียว ทั้งกำพร้าพ่อด้วยจึงเป็นห่วง เห็นลูกทำไม่ถูกไม่ควรจึงอดพูดไม่ได้ ถ้าลูก คิดดูให้ดีๆ ก็จะเห็นว่า เพราะรักและหวังดีต่อลูก คนอื่นเขารักลูกเท่าไหร่ก็ไม่เหมือนแม่หรอกนะ"

พอได้ยินคำเตือนของแม่ฉันยิ่งหงุดหงิดงุ่นง่าน หมดความเคารพยำเกรง ลืมบาปบุญคุณโทษ ตะคอกแม่ อย่างคนขาดสติ

"แม่ไม่ต้องมาพูด พอที ฉันไม่อยากฟังคำเตือนอีกแล้ว รำคาญนัก ถ้าหนีได้จะไปให้สุดขอบฟ้า เลยทีเดียว"

พอแม่ได้ยินฉันขึ้นเสียงเช่นนี้สีหน้าสลดลงทันใด คงรู้สึกน้อยใจกับลูกสาวหัวดื้อ แถมยังใช้วาจา เหน็บแนม เหมือนไม่ใช่ แม่กับลูก สะอื้นในอกเอ่ยปากเตือนสติส่งท้าย

"ลูกเอ๋ย...ลูกคงไม่รู้ว่าความรักความหวังดีที่แม่มีต่อลูกนั้นมากมายมหาศาลเพียงใด เอาเถอะ สักวันหนึ่ง ลูกจะรู้สึกตัว แต่ก็คงสาย เกินแก้เสียแล้ว แม่คิดว่าได้ทำหน้าที่ของแม่ดีที่สุดแล้ว แต่ลูก ต่างหากที่ไม่ทำหน้าที่ของลูกให้ดี ตอนนี้ลูกนึกรังเกียจแม่ ที่คอยเป็นก้างขวางคอ ลูกจึงกระแทก แดกดันเสือกไส ไล่แม่ทางอ้อม แม่ก็รู้ ที่ทนเอา ก็เพราะห่วงลูก ไม่งั้นแม่ก็คงเข้าวัด ถือศีลปฏิบัติธรรม ไปแล้ว..."

พอฉันได้ยินดังนั้นก็เลยฉวยโอกาส "ถ้าแม่เข้าวัด หนูจะอนุโมทนาสาธุด้วย บ้านนี้คงจะร่มเย็น ไม่มีคนบ่น ให้รำคาญอีกต่อไป"

แล้วเหตุการณ์เป็นไปตามนั้น แม่ทนอารมณ์ฉันได้อีกไม่นานก็เข้าวัดบวชชี ถือศีลภาวนา ไม่ยุ่งเกี่ยวกับ ชีวิตของฉันอีกเลย ตอนนั้น ฉันรู้สึกดีใจ มีอิสระขึ้นมาก เอาคนรักเข้ามาอยู่ในบ้านได้ตามใจปรารถนา ไม่มีคนคอยบ่น ให้รำคาญใจอีก จนกระทั่ง ฉันตั้งท้อง และคลอดลูกสาวน่ารัก

ส่วนสามีนั้นต่อมาก็เอาแต่เที่ยวเตร่ ดื่มสุราและเล่นการพนันเป็นที่ตั้ง ผลาญเงินทองหมดไป ไม่รู้เท่าไหร่ สาเหตุ แรกเริ่มเดิมที เรื่องการเอาแต่ใจของฉันด้วย ทำให้เขาเบื่อหน่าย หาทางออก ด้วยการประชดชีวิต แต่ฉันรักเขามาก เมื่อเขาไม่กลับบ้าน ก็ติดตาม ใช้หนี้สินให้ แต่สุดท้าย เขาก็ต้อง ไปอยู่ในคุก เพราะฆ่าคนตาย ศาลพิพากษาลงโทษ ให้จำคุกยี่สิบปี และต่อมา ยังก่อเหตุเพิ่มโทษ ให้ตัวเองอีก ด้วยการฆ่านักโทษด้วยกัน ภายในคุก

วันหนึ่งฉันได้อุ้มลูกน้อยไปเยี่ยมเขาที่เรือนจำ ในวันพบญาติประจำปี มีการจัดเลี้ยงอาหารระหว่าง ญาติๆ กับนักโทษ เปิดโอกาส ให้ผัวเมีย พ่อแม่ลูก และญาติพี่น้องได้อยู่ใกล้ชิดกันครั้งหนึ่ง มีพระผู้ใหญ่ มาเทศน์ อบรมนักโทษด้วย

วันนั้นพระเทศน์น่าฟังมาก ฉันเองไม่เคยแยแสเรื่องพระเรื่องธรรมมาแต่ไหนแต่ไร เคยคิดว่าศาสนา เป็นเสมือน กาฝากสังคม ที่คอยเอาเปรียบ คอยถ่วงความเจริญ และอะไรต่อมิอะไรทำนองนั้น

"ให้เราคิดว่า บาปมีจริงกรรมมีจริง สวรรค์หรือนรกก็มีจริง เราอย่าได้ประมาทในสิ่งเหล่านี้เป็นอันขาด

ทุกวันนี้เราเข้ามาอยู่ในคุก เป็นคนคุก ซึ่งตัดขาดจากความสะดวกสบายของโลกภายนอก หมดอิสระ เสรี ทุกอย่าง ที่นี่ก็คือ นรกที่ใครๆ ก็ไม่ปรารถนาจะเข้ามา แต่ทำไมพวกเราจึงได้เข้ามาอยู่ นี่ก็เป็นเพราะ บาป เพราะพวกเรา ทำบาปทำกรรมกัน ที่นี่คือขุมนรก ในปัจจุบัน เป็นขุมนรกบนดิน ไม่ได้อยู่ใต้ดิน ใต้บาดาลที่ไหน อยู่บนดินมองเห็น ไม่ต้องรอโลกหน้า เมื่อตายแล้วหรอก

เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเราจงพยายามทำความดีเพื่อปลดหนี้แห่งกรรมที่ได้กระทำมา จะได้หลุดพ้น จากขุมนรกแห่งนี้เสีย จะได้ออกไปพบกับ ความเป็นอิสระเสรี พบกับสวรรค์บนดินของมนุษย์ เป็นคนดี ของครอบครัว ของสังคม ของประเทศชาติ ต่อไป"

กล่าวแล้วพระท่านก็ลืมตาขึ้นมองไปรอบๆบริเวณขอบเขตอันเป็นหอประชุมของเรือนจำ ซึ่งก็เต็ม ไปด้วย นักโทษ ทั้งชั้นดีและเลว นั่งเป็นแถว เรียงรายลดหลั่นกันไป อย่างมีระเบียบ มีเจ้าหน้าที่ผู้คุม คอยดูแลอย่างใกล้ชิด นักโทษทุกคนนุ่งกางเกงขาสั้น สีน้ำเงินแก่ และสวมเสื้อสีเดียวกัน นักโทษหนัก ต้องเอามือรั้งโซ่ตรวนขนาดใหญ่ ที่สวมใส่ข้อเท้า ขึ้นไว้ตลอดเวลา แล้วท่านก็หลับตา เทศนาธรรม ต่อไป

"น่าเห็นใจในบุพกรรมของพวกเรา ถึงแม้กฎแห่งโทษของบ้านเมืองจะสิ้นสุดลงแล้วในปัจจุบัน แต่กฎ แห่งกรรม จะยังติดตามเรา ต้องชดใช้ในชาติต่อๆ ไปอีก นี่ก็เป็นเพราะทางดีๆ มีให้เดิน แต่เรากลับ ไม่เลือก สวรรค์นั้นเป็นทางพระ ทางเทวดา ส่วนนรกคือ ทางเปรต ทางผี เราไม่เลือกเดินทางพระ แต่ไปเดินทางผี ที่คนใฝ่ดีเขาไม่เดินกัน

แต่เอาเถิดบางคนในที่นี้ไม่ได้ปรารถนาจะทำชั่ว แต่เหตุการณ์บังคับก็ย่อมมี เพราะฉะนั้น เมื่อผิดแล้ว ก็แก้ไขใหม่ เมื่อรู้ตัวว่าเดินทางผิด ก็หยุดพิจารณากลับใจเดินทางถูกคือทางพระ ก็จะพบกับแสงสว่าง สงบ เมื่อชดใช้โทษทัณฑ์ เหล่านี้แล้ว ก็จงตั้งใจสร้าง แต่คุณความดีเอาไว้ เป็นทุนก่อนที่เราจะตาย

อย่าลืมว่ากรรมที่เรากระทำไว้ยังไม่สิ้นสุดลงเท่านี้ ไฟนรกโลกันต์ยังรอเผาเราอยู่อีก ถ้าเราไม่ประกอบ คุณความดี อาตมาเสียดายเวลาอันมีค่า ที่ต้องมาถูกขัง จองจำ ให้เวลาผ่านไปโดยไม่ได้ทำประโยชน์ ให้แก่ตัวเอง ครอบครัว และประเทศชาติ เราได้นำสมบัติอันล้ำค่า มาหมกไว้ในแดนคนบาป อย่างน่าเสียดาย สมบัติอันล้ำค่า ของมนุษย์นั้น ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทองหรืออำนาจวาสนา แต่เป็น "เวลา กับ ปัญญา" สิ่งนี้มีค่าสูงสุดเมื่อนำมาใช้คู่กัน เมื่อเวลาถูกจำกัด ปัญญามี ก็ใช้ประโยชน์อะไร ไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้น เวลาและปัญญา ของพวกท่านมีค่ามากมายนัก เมื่อได้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ แต่กลับ นำกลบทิ้ง อยู่ในแดนนรกแห่งนี้ อย่างน่าเสียดายนัก"

จริงสิ ฉันได้ข้อคิดเมื่อพระท่านเทศน์มาถึงตรงนี้ ฉันได้เหยียบย่างเข้ามาอยู่ภายในขอบเขตประตูเหล็ก บานใหญ่มหึมา ปิดเปิดกั้นเขตแดนอิสระกับแดนที่หมดอิสระ นึกเสียดายเวลาอันมีค่าของนักโทษ เหล่านี้เป็นยิ่งนัก ที่ถูกกักขังให้เวลาผ่านไป โดยไม่ได้ทำประโยชน์อะไร นักโทษพวกนี้หากอยู่ภายนอก ก็เป็นภัยแก่สังคม จึงต้องถูกจองจำ ให้อยู่ในเขตจำกัด มิให้ติดต่อ กับโลกภายนอก น่าเสียดาย พวกที่ ถูกจำกัดเขตไว้เอา เวลาของชีวิตมาจมปลัก อยู่แดนคนบาป อย่างไม่มีคุณค่าใดๆ เลย

ก่อนที่พระจะเทศน์ ก็ได้ฟังคำบรรยายของผู้บัญชาการเรือนจำชี้แจงการลดหย่อนผ่อนโทษตาม พระราชกฤษฎีกา พระราชทาน อภัยโทษ ในวาระต่างๆ ว่า นักโทษที่ปฏิบัติตนดี ประพฤติดีชั้นเยี่ยม เคยได้ลดกำหนดโทษลง ๑ ใน ๒ หรือครึ่งหนึ่งของโทษ ที่จะได้รับต่อไป นักโทษชั้นดีมากก็ได้ลดลง ๑ ใน ๓ และนักโทษชั้นดีก็ได้ลด ๑ ใน ๔ ชั้นกลาง ๑ ใน ๕ ส่วนนักโทษ ปฏิบัติตนชั้นเลวได้ลด ๑ ใน ๖ ชั้นเลวมากก็ได้ลดเหมือนกัน ๑ ใน ๗ ผัวของฉันก็อยู่ในรายการสุดท้ายนี้ คือเป็นนักโทษ ชั้นเลวมาก นี่เอง พอโทษเบาบาง ก็เพิ่มโทษให้กับตัวเองภายในคุกขึ้นมาอีก เป็นระยะไป

วันนั้นกว่าฉันจะกระเตงลูกขึ้นรถโดยสารประจำทางมาถึงบ้านก็ประมาณสามทุ่ม รู้สึกอ่อนเพลียมาก จึงพาลูกเข้านอน พอตื่นเช้า ปรากฏว่าลูกตัวร้อนจัด อาการซึม ไข้สูง ฉันตกใจมาก รีบพาไปหาหมอ ที่คลินิกหมอใหญ่ ในเมืองทันที ฉันกลัวว่า ลูกจะป่วยหนัก แล้วเป็นอะไรไป จึงได้คอยเฝ้าระวัง ไม่ยอมห่าง แม้แต่คนใช้ก็ไม่ไว้ใจ ยิ่งเห็นลูกนอนซึม ไม่ได้สติด้วยแล้ว ฉันต้องร้องไห้ ด้วยความสงสาร ฉันรักลูกมาก กลัวว่าจะจากไป

"โธ่เอ๋ยลูกรัก ลูกอย่าจากแม่ไปนะ ไม่มีลูกแล้วแม่จะอยู่กับใคร แม่อยู่ไม่ได้" ฉันเพ้อกับลูกอยู่อย่างนั้น จนกระทั่ง หมอขึ้นมาตรวจอาการ

"คุณหมอขา ช่วยลูกหนูด้วยนะ เป็นอะไรมากไหม?..." ฉันพร่ำวอนถามหมออยู่อย่างนี้ พอหมอบอกว่า ไม่เป็นอะไรมาก ฉันก็อุ่นใจขึ้นมาบ้าง

"คุณอย่าห่วงให้มากนักเลยนะ รออีกสองวันอาการก็คงจะดีขึ้น หมอตรวจแล้วเป็นไข้เลือดออก" หมอกล่าว

"ไข้เลือดออก!.." ฉันอุทาน

"ใช่แล้ว เป็นไข้เลือดออก ช่วงนี้ไข้เลือดออกกำลังระบาด แต่คุณอย่าวิตกไปเลย หากไม่มีโรคแทรก หมอรักษา ไม่กี่วันก็หาย"

"หายแน่นะคะ?" ฉันขอความมั่นใจ

"หายแน่ครับ.." หมอตอบยืนยันพร้อมหัวเราะอย่างเมตตา

ถึงกระนั้นก็ตาม เห็นลูกนอนซมไม่ได้สติ ฉันก็ไม่เป็นอันกินอันนอน สติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ฉันต้อง เฝ้าอยู่ตลอดเวลา คอยเอาผ้า ชุบน้ำเช็ดตัวให้ พอเข้าวันที่สองลูกเริ่มฟื้น พอจะพูดได้บ้าง หัวใจฉัน พองขึ้นมาทันที "แม่จ๋า..." ฉันรีบกุมมือแกไว้ "ลูกจ๋า แม่อยู่นี่ แม่อยู่กับลูกแล้ว"

เด็กไม่เดียงสาลืมตามองดูรอบห้อง "แม่จ๋า หนูอยู่ไหนจ๊ะแม่"

"หนูไม่สบายจ้ะ อยู่โรงพยาบาล นอนนิ่งๆนะลูกนะ"

ฉันดีใจที่ลูกฟื้น และเพิ่งรู้ค่าความรักของแม่มีต่อลูก ถ้าลูกไม่ป่วยก็คงจะไม่ได้คิด เมื่อก่อนฉันประเมิน ค่าความรัก ที่แม่มีต่อลูกต่ำไป ปรามาสคุณของแม่หลายประการ ถึงขนาดพูดกับแม่ว่า การที่ฉัน เข้ามาอยู่ในท้องแม่เก้าเดือน ถือเป็นการ มาพักโรงแรม แม่จะคิดค่าห้องพักเท่าไร ก็ว่าไปซิ มันจะได้ หมดบุญคุณ

พอคิดถึงตรงนี้ น้ำตาก็ไหลพรากอย่างไม่รู้ตัว น้ำตาของคนบาป น้ำตาของคนอกตัญญู "แม่จ๋า ลูกผิด ไปแล้ว ลูกหมิ่นค่า ความรักของแม่ แม่จ๋า..."

หวนนึกถึงเมื่อฉันยังเล็กๆ จำความได้ยามเจ็บป่วย แม่จะคอยพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจอยู่ใกล้ชิด คำพูด ของแม่ ไม่มีเสแสร้ง เป็นคำหวานที่บริสุทธิ์

"ลูกจ๋า หนูกินยานะจ๊ะ จะได้หายเร็วๆ หายป่วยแล้วแม่จะพาไปเที่ยว แม่จะซื้อขนมให้กิน จะซื้อของเล่น ที่หนูชอบ ทูนหัวของแม่" และสารพัดที่แม่จะสรรหามาปลอบประโลม ด้วยความรัก และห่วงใย

เมื่อลูกทุเลาแล้ว หมออนุญาตให้กลับบ้านได้ ฉันร้อนใจและคิดถึงแม่อย่างไม่เคยเป็น รีบหาซื้อข้าวของ ที่แม่ชอบ ที่แม่เคยกิน แล้วพาลูกสาว ไปหาแม่ที่วัดทันที ด้วยความสำนึกผิด ฉันเดินร้องไห้ตลอดทาง "แม่ร้องไห้ทำไมลูกหายดีแล้ว แม่อย่าร้องไห้เลยนะ" ลูกสาวไร้เดียงสาแปลกใจ ที่เห็นแม่ร้องไห้ ฉันยิ้ม ทั้งน้ำตาชุ่มชื่นใจ และมีความสุข ในความช่างพูดของลูก

"ลูกจ๋า แม่ดีใจที่ลูกหายแล้ว ทูนหัวของแม่ เดี๋ยวลูกก็จะได้พบกับยายนะ"
"ยายอยู่ที่ไหนจ๊ะแม่?..."
"ยายอยู่ที่วัดจ้ะ"
ทำไมยายต้องมาอยู่วัดด้วยล่ะ?..."

ยิ่งลูกช่างพูด ช่างถามทำให้ฉันยิ่งสะอื้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ภาพที่ฉันโต้เถียงกับแม่ ภาพที่แม่น้อยใจ ยิ่งปรากฏชัดขึ้น ในมโนภาพ ชัดเจนขึ้นมาเรื่อยๆ ขณะฉันรีบร้อนเดิน แล้วสติของฉันก็ดับวูบ รู้สึกฟื้นคืนอีกครั้ง บนเตียงของโรงพยาบาล

"รู้สึกตัวแล้วหรือลูก?...อย่าขยับนะลูกยังเจ็บอยู่" เสียงแรกที่ฉันได้ยินและมืออุ่นๆ ที่สัมผัสอยู่ที่แขน ด้วยความห่วงใย อย่างลึกซึ้งเช่นนี้ จะเป็นใครอื่นไม่ได้ นอกจากพรหมของลูก

"คุณแม่..." ฉันสะอื้นด้วยความปีติ ตื้นตันใจจนลืมความเจ็บปวดจากอุบัติเหตุอย่างหมดสิ้น จะชั่ว จะเลว อย่างไร สุดท้ายแล้ว ไม่มีแม่คนไหนทิ้งลูกได้ ยามนี้แม่ไม่มีร่องรอยความน้อยใจอยู่ในแววตา แม้แต่น้อย แต่เต็มไปด้วย ความห่วงใยลูก ดูเหมือนแม่จะเจ็บปวด มากกว่าฉันเสียด้วยซ้ำ ถึงเวลาอาหาร แม่จะป้อนอาหารอ่อน อย่างกับว่า ฉันยังไร้เดียงสา ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่น เหมือนกับ อยู่ในอ้อมอกแม่อีกครั้ง

อุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้ฉันต้องพักอยู่ที่โรงพยาบาลหลายวัน แขนขาถูกใส่เฝือก จับต้องอะไรไม่ได้ เคราะห์ดี ที่ลูกสาวไม่เป็นอะไร ไม่เช่นนั้น แม่จะต้องดูแลทั้งลูกทั้งหลาน ในคราวเดียวกันเป็นแน่แท้

หลังจากหมอตัดเฝือกแล้ว และให้กลับมาพักฟื้นอยู่ที่บ้าน แม่ในชุดแม่ชี ถือศีล ปฏิบัติธรรม ยังต้อง คอยเฝ้า ดูแลฉันกับลูกสาว อย่างใกล้ชิด จนฉันหายสนิท แม่จึงขอกลับไปอยู่วัด ตามปณิธานเดิม ว่าจะบวชชี ถือศีล ปฏิบัติธรรมตลอดไป

ฉันขอร้องเพื่อให้แม่กลับมาอยู่ที่บ้านกับลูกอีกครั้ง เพื่อฉันจะได้ดูแลท่านอย่างใกล้ชิด ให้สุขสบาย เท่าที่ ฉันจะทำได้ แม่ยกมือขึ้นลูบศีรษะ ของฉันอย่างแผ่วเบา ด้วยความรักเอ็นดู และเมตตาปรานี ที่หลั่งไหลออก ด้วยสัมผัสอันนิ่มนวล จากฝ่ามือ และสายตาของแม่

ก่อนที่แม่จะจากไปสำนักปฏิบัติธรรม แม่ยังให้วาจาอันเป็นธรรมจารึก ที่ฉันจะต้องจดจำ และนำมาปฏิบัติ ไปตลอดชีวิต

"ลูกรักของแม่ เมื่อลูกรู้สึกสำนึกผิด และกลับจิตกลับใจใหม่ นับว่าเป็นบุญกุศลของลูกแล้ว แม่มีความสุข และยินดี ที่ลูกรอดพ้นอันตราย และกลับมาเป็นลูกของแม่ที่สมบูรณ์ทั้งกายและใจ

ตลอดเวลาที่เลี้ยงลูกมา แม่ก็ปรารถนาเพียงแต่ให้ลูกมีกตัญญูรู้คุณไม่เห็นผิดเป็นชอบ แม่ก็สุดแสน จะภูมิใจแล้วลูกเอ๋ย เรื่องในอดีต ที่ผ่านมาแล้ว ลูกอย่าเอามาคิดเลย แม่ไม่เคยคิดจะลงโทษ โกรธเคือง อะไร ตอนนั้น ลูกยังเด็กยังเล็กอยู่ ยังไม่รู้จักถูกผิด แต่ตอนนี้ลูกโตเป็นผู้ใหญ่พอตัวแล้ว ลูกรับผิดชอบ ตัวเอง ได้แล้ว หน้าที่ของแม่ ก็เบาบางลง ผิดไปแล้วเป็นครู รู้ตัวแล้วรีบแก้ไขเช่นนี้ ปราชญ์ย่อมยกย่อง ชมเชยเสมอ

ต่อไปนี้จงตั้งหน้าเลี้ยงลูกให้การศึกษาอบรมศีลธรรมให้แกได้ดีเติบโตไปเบื้องหน้า จะได้เป็นพลเมืองดี ของชาติ ปฏิบัติตน มีศีลธรรม กตัญญูรู้คุณ ไม่ให้นอกแบบนอกเบ้าเหมือนที่เคยเป็นมา หมั่นพาลูก เข้าวัด อบรมตน มีศีล สมาธิ ปัญญา จำไว้นะลูก ถ้าอยากให้ลูกเราเป็นคนดีก็อย่าพาลูกห่างจากวัด จากคำสั่งสอน ของพระพุทธองค์

สำหรับแม่เวลานี้ก็ปฏิบัติตนในกฎเกณฑ์ของศีลของธรรม มีความสุขอยู่ด้วยความสงบเหมาะกับชีวิต บั้นปลาย ของแม่แล้ว ขอลูกอย่าได้ ห่วงแม่เลย ความสุขสงบและความสบายในจิตใจ ซึ่งอยู่ใน ขอบเขตของศีล และธรรมนั้น เป็นความสุขที่บริสุทธิ์ ยากที่เราจะหาสุขอื่นใด มาเปรียบได้ ส่วนลูก อยู่ทางนี้จงหมั่นฝึกฝน อบรมตนให้เป็นคนมีศีลมีธรรม เมื่อลูกมีกตัญญูอยู่ในหัวใจ ก็มีแม่อยู่ด้วย ตลอดไปนั่นเอง"

คุณแม่ไปถือศีลปฏิบัติธรรมอยู่ด้วยความสุขสงบ ส่วนฉันพาลูกไปเยี่ยมคุณยายและพักค้างคืน เป็นประจำ อาทิตย์ละครั้ง ส่วนลูกสาว พอถึงวันเสาร์ก็รบเร้า ให้พาไปหาคุณยายไม่เคยขาด

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๖ เดือน มีนาคม ๒๕๔๘ -