- ชบาบาน -

สัตว์ดูดเลือด


ถึงน้อยจะเข้าใจเรื่องฤดูฝนว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งต่อมนุษย์ สัตว์ และต้นไม้ใบหญ้าแล้วก็ตาม เธอยัง อดคิดไม่ได้ว่าเธอชอบฤดูร้อนมากกว่าฤดูฝน หน้าฝนเดินไปโรงเรียนก็ลำบาก ระหว่างทางก่อนถึง สะพาน ข้ามคลองจะแวะเก็บดอกไม้ป่าไปฝากคุณครูก็ไม่ได้ เก็บลูกเหมลสุกสีม่วงแก่ รับประทานเล่น พอหวานลิ้น ก็ไม่ได้ แค่คอยระวัง เอานิ้วหัวแม่เท้าจิกดินโคลน ไม่ให้ลื่นล้มก็แย่แล้ว บางวันกลับถึงบ้านเสื้อผ้าชื้น จนแม่ต้องตำน้ำพริกตะไคร้ ให้คลุกข้าวรับประทาน เพื่อจะได้ไม่เป็นหวัด

ที่เคยได้วิ่งเล่นตามท้องนา ในป่ายาง หรือเล่นน้ำคลองในวันหยุดหน้าร้อนก็ทำไม่ได้อีกต่อไป เพราะน้ำคลอง ที่เคยใสสะอาด และไม่ลึกนักได้กลายเป็นน้ำลึกเชี่ยวกรากน่ากลัวเป็นที่สุดด้วย

อีกอย่างหนึ่งที่ไม่มีใครค่อยเข้าใจน้อยเลยก็คือ ทุกครั้งที่ฝนตกหนักไม่หยุดทั้งวันทั้งคืนจนมองไม่เห็น ภูเขาหรือป่ายาง เธอจะรู้สึกว้าเหว่ หงอยเหงา พี่แมะว่าเป็นเพราะ เธอออกไปเล่นซนไม่ได้นั่นเอง ไม่ใช่ อะไรหรอก แต่น้อยก็เถียงว่า ไม่จริงสักหน่อย ฝนตกออกอย่างนั้น ใครจะออกไปไหนได้ เธอเพียงแต่รู้สึก เหมือนภูเขากับป่ายาง อยากให้เธอมองมัน แต่เธอก็มองไม่เห็นเอาเสียเลย

ถ้าฝนหนักอย่างนั้นตอนหัวเช้าก็ไม่เท่าไรนัก เดี๋ยวอาจมีแดดบ้าง ถ้าตกตอนมุ้งมิ้ง (โพล้เพล้) ละก็ น้อยไม่ชอบเลยสักนิดเดียว แต่ถึงไม่ชอบเธอก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ นอกจากละสายตา จากม่านฝน ที่บังป่ายาง ป่าสาคู และภูเขามามองดูน้ำฝนที่ไหลเป็นเส้นไม่ขาดสายลงมาตามปลายชายคา อากาศ ข้างนอกดูอ้างว้าง หนาวเหน็บ อย่างไรบอกไม่ถูก

บรื๊อ !! น้อยรู้สึกสั่นสะท้านจนต้องเอามือกอดอก แต่แป๊บเดียวเธอก็เปลี่ยนใจเหมือนคิดขึ้นได้ว่า อยู่ใน บ้านเราไม่เปียกฝน เราไม่หนาว บ้านเราอุ่นสบาย ดีจังเลย

"น้อย มาอาบน้ำเสียลูก เดี๋ยวจะได้กินข้าวกัน" เสียงแม่ร้องเรียกมาจากในครัว ทำให้น้อยละจาก หน้าต่าง ห้องนอน อย่างรวดเร็ว พูดกับตนเองในใจต่อว่า บ้านเราไม่หนาว บ้านเราอุ่นสบาย เดี๋ยวเราก็จะได้กินข้าว ร้อนๆ แล้ว

หลังอาหารค่ำทุกคนมานั่งรวมกันในห้องโถง มีตะเกียงอาละดินของพ่อส่องแสงขาวนวลอยู่กลางวง แสงของมัน ต่างจากแสงตะเกียงกล้อง ที่ใช้ในห้องนอนและในครัว น้อยและพี่แมะ อ่านหนังสือ แข่งกับ เสียงฝน ที่กระหน่ำลงมาไม่หยุด จนจบที่พ่อกะให้

"น้อยเบื่อฝนจังเลยแม่ พรุ่งนี้วันเสาร์ก็อดไปไหนอีก" น้อยบ่น
"น้อยชวนเพื่อนมาเที่ยวบ้านเราก็ได้นี่ มาเล่นอะไรกันที่นี่" แม่แนะ
"ไม่มีใครมาค่ะแม่ น้อยชวนแล้ว" น้อยตอบ
"ทำไมล่ะน้อย เพื่อนๆ เขาเบื่อฝนเหมือนน้อยเหมือนกันหรือไง?" พ่อถามยิ้มๆ เช่นเคยของพ่อ
"ไม่ใช่หรอกค่ะพ่อ เพื่อนเขากลัวทาก เขาเลยไม่อยากมา" น้อยตอบ น้ำเสียงต่ำ
"น้อยไปเล่นกับมามุก็หมดเรื่อง" พี่แมะว่า "ใครไม่มาบ้านเราก็ช่างเขา"

เป็นความจริงที่ในหน้าฝนทุกหย่อมหญ้าของอำเภอแว้งจะเต็มไปด้วยสัตว์ดูดเลือดสองชนิด ไม่นับยุง ที่มีอยู่ทุกหน้า ทากจะอยู่บนบก ส่วนปลิงอยู่ในน้ำ พอน้อยก้าวเท้า ลงไปบนพื้นดิน ที่เปียกฉ่ำด้วยน้ำฝน มีหญ้าหรือใบไม้ที่ร่วงหล่นเตรียมพร้อมจะเน่าเปื่อย กลายเป็นปุ๋ยปุ๊บ ทากเป็นสิบเป็นร้อย จะคืบกะดึ๊บๆ เข้ามาหาทันที ตัวมันสีน้ำตาล ยาวสักหนึ่งนิ้ว มันกะดึ๊บๆ ได้รวดเร็วราวกับตกลงกันไว้แล้วว่า จะแข่งกัน ดูดเลือดมนุษย์ อย่างนั้นแหละ แล้วมันรู้ได้อย่างไรนะว่า น้อยลงมาหา ให้มันดูดเลือดแล้ว มันคืบเข้ามา หาเธอ รอบทิศทาง พอยกเท้าก้าวไปทางอื่น มันก็พร้อมใจกันหันไปทางนั้นด้วย แล้วกะดึ๊บๆ แข่งกันตาม ไปหา เท้าเธอใหม่ ตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด จะกลายเป็น ตัวตกหลังไป น้อยเคยคิดอย่างนั้นเวลาเพ่งดูพวกมัน

แต่ใครจะไปดูทากแข่งกันอยู่ได้นาน ทุกคนจะรีบก้าวเร็วๆ ไม่ให้มันตามทัน ยิ่งถ้าเป็นกลางคืนด้วยแล้ว ยิ่งต้องจ้ำอ้าว ให้พ้นจากพื้นหญ้า ไปอยู่ตรงที่เป็นดิน ยิ่งเป็นดินทรายยิ่งดี เพราะพวกทากจะไม่ไปตรงนั้น เว้นแต่มีพวกเศษก้าน หรือใบไม้เน่าอยู่ มันจะอาศัยคืบไปตามนั้นได้อีกเหมือนกัน

พอก้าวพ้นจากดินขึ้นไปบนนอกชาน ทุกคนจะกระทืบเท้าให้ใบหญ้าที่ติดมาตามน่อง หลุดออกไปก่อน จะได้เห็นว่า ทากมันเกาะมาหรือไม่ เพราะถึงกระทืบเท่าไร ทากก็จะไม่ยอมหลุด ต้องหาอะไรมาเขี่ย หรือไม่ก็เอานิ้ว ดึงตัวมันออกไป

พี่แมะเขาไม่กลัวทากเลย เขาจะบุกเข้าไปตามที่รกๆ เพื่อเก็บทุเรียนหล่น ทากมันก็ดูจะไม่ค่อยชอบ ขาพี่แมะ เท่ากับขาผอมเก้งก้างของน้อย พอเธอก้าวพ้นขึ้นมา บนนอกชานแล้วทีไร จะมีทาก ติดมาด้วยเสมอ น้อยเกลียดมันเสียจริง พ่ออธิบายว่า ทากมันไม่ได้ชอบเลือดเธอมากกว่าเลือดพี่แมะหรอก ที่เป็นอย่างนั้นเพราะ พี่แมะเขาก้าวไป อย่างรวดเร็วก่อน เร็วกว่าทากที่เพิ่งจับทิศทาง และกะดึ๊บเข้าไปหา ส่วนน้อยก้าวตามพี่แมะ มาอย่างระมัดระวังทีหลัง จึงช้าพอดีกับที่ทาก มันกะดึ๊บมาถึง

ทากพวกนี้รู้ที่ซ่อนตัวเก่งเสียด้วย มันชอบเกาะดูดเลือดอยู่ตามซอกนิ้ว ฉะนั้นเวลาล้างเท้า ก็ต้องง้าง ทุกหว่างนิ้วดูด้วย พ่อต้องดูมากกว่าคนอื่นในบ้าน เพราะทากจิ๋ว บางตัว จะแอบเกาะอยู่ ตามขนหน้าแข้ง ของพ่อ กว่าจะเห็นก็เมื่อมันดูดเลือดจนอิ่มหนำสำราญแล้วก็ปล่อยตัวหลุดออก เลือดก็จะไหลเป็นทาง ออกมาด้วย เวลาถูกทากดูด เลือดไหลอย่างนั้น แม่จะเอาน้ำมันพม่า ยาหม่อง (น่าสังเกตว่า คำของ ภาคกลางก็หมายถึง พม่า เช่นเดียวกัน) มาทาให้ แต่มามุบอกว่าให้ลอกเอาเจียะ(คำว่า เจียะ ไม่ปรากฏ ใช้ในภาคไหน จึงน่าจะเป็นคำปักษ์ใต้แท้ หมายถึง เยื่อบางๆ ที่ประกบอยู่กับหลักของใบหรือผลไม้ และมักสามารถลอกออกได้) ใบจากมาแปะ จะดีกว่าน้ำมันพม่า คนมุสลิม เขาทำกันอย่างนั้น เมื่อน้อย ลองทำตามก็ได้ผลดีจริงๆ ด้วย

เรื่องทากนี้พ่อเล่าว่า ถ้าเป็นทากตามภูเขาจะร้ายกว่านี้หลายเท่า ตอนพ่อขี่ช้างขึ้นไปโต๊ะโมะ สมัยเป็น ป่าดงดิบ นั่งอยู่บนหลังช้างแท้ๆ ทากยังไต่ไปเข้าไป ดูดเลือดในรูหูพ่อ ได้อย่างไม่รู้ตัว

แต่น้อยคิดว่าถึงทากจะร้ายแล้วก็ยังไม่ร้ายเท่าปลิงที่มันอยู่ในน้ำ เวลาหน้าร้อนไม่รู้มันหายไปไหนหมด ลงไปวิ่งเล่นกัน ในท้องนาได้สบาย แต่พอถึงหน้าฝน พวกมันก็จะแห่กัน มาทีเดียว ยิ่งน้ำเปี่ยมฝั่ง คูหน้าบ้าน ทั้งสองฟากอย่างวันนี้ มันยิ่งเริงร่า ว่ายน้ำกันเข้ามาหาเหยื่อ อย่างมนุษย์หรือควาย ที่มีเลือด ให้มันดูด มันรวดเร็วกว่า นักว่ายน้ำ อย่างมามุเสียอีก

ปลิงพันธุ์ใหญ่สุดเรียกว่า ปลิงควาย มันชอบเกาะดูดเลือดตามตัวควาย เวลามันดูดจนอิ่มตัวเป่ง ขนาด ของมัน อาจเท่าหัวแม่เท้าหรือใหญ่กว่า น้อยไม่เคย ถูกปลิงพันธุ์นี้เกาะ แต่อีกสองพันธุ์นั้น เธอถูกมันกัด บ่อยมากถ้าไม่ระวัง ปลิงขนาดกลางไม่มีชื่อเฉพาะ ส่วนขนาดเล็ก เรียกว่า ปลิงเข็ม มันว่ายน้ำได้เร็วมาก ทั้งสองชนิด วิธีที่จะไม่ให้ปลิงกัด ก็คือต้องระวัง ไม่ไปในที่น้ำนิ่ง ในคลองแว้ง จะไม่มีปลิงเลย เพราะเป็น น้ำไหล และพื้นคลองเป็นทราย ปลิงมันไม่ชอบน้ำแบบนั้น มันชอบอยู่ในนา และในคูที่พื้นเป็นโคลน และตลิ่งเป็นหญ้า อย่างคูสองข้างถนน หน้าบ้านของน้อย

เช้าวันรุ่งขึ้นแดดทอแสงสีเหลืองสาดเต็มท้องนาหน้าบ้าน ฝนได้ตกลงมาจนน้ำเต็มท้องนา เหลือแต่ คันนา เป็นรูปสี่เหลี่ยมถัดๆกันไป จนถึงป่าสาคู น้ำนั้นเมื่อโดนแดด ก็เกิดประกายระยิบระยับ น่ามองยิ่งนัก

น้อยกินข้าวต้มกับไข่เค็มที่แม่ทำเองเสร็จแล้วก็ออกมานั่งคล้องแขนคลอพ่อที่กำลังอ่านหนังสืออยู่หน้าบ้าน อาการนั่งคลอพ่อนี้ มีแต่น้อยคนเดียว ที่ทำประจำในตอนเช้า ก่อนไปโรงเรียน และจะนั่งอย่างยาวนาน มากขึ้นในวันหยุด จนกว่าพ่อจะอ่านหนังสือพิมพ์เสร็จ หรือไม่ก็มีคนมาหา เธอจึงจะลุกออกไป ตามมารยาท ให้พ่อได้คุยกับแขก

วันนี้น้อยนั่งมองดูความงามของธรรมชาติหน้าบ้านอยู่จนพ่อปิดหนังสือจึงพูดขึ้นว่า

"หน้าบ้านเราสวยจังเลยพ่อ ฝนก็ไม่ตก ไม่เหมือนเมื่อวานนี้ที่ฝนตกทั้งวัน"

"ฝนก็อย่างนี้แหละลูก จะตกมากแค่ไหนพอหมดฟ้าก็ต้องหยุด เวลาฝนตกหนักมองอะไรไม่เห็น น้อยก็ ไม่ชอบฝน ว่าหน้าบ้านเราไม่สวย พอฝนหาย แดดออก น้อยก็ชอบ ว่าหน้าบ้านเราสวย เราถึงต้องอดทน ไงเล่า ฝนตกหนัก ดูอะไรก็ไม่สวย ออกไปไหนก็ไม่ได้ เราเลยไม่ชอบ ก็ต้องทนหน่อย เดี๋ยวแดดก็จะออก ให้เราชอบอีก ท้องฟ้าหลังฝน สวยเสมอแหละลูก แต่น้อยก็ต้องเตรียมใจ คอยดูฝนตกอีก พ่อว่าตอนนี้ เรามาดูอะไรที่สวยๆ กันดีกว่านะ" พ่อพูดกับลูกสาวคนเล็ก

"สวยหมดเลยค่ะพ่อ ต้นซาเมาะ(ซาเมาะเป็นภาษามลายู เรียกชื่อต้นหว้าชนิดหนึ่ง) ของน้อยก็สวย ป่าสาคู ก็สวย บูเก๊ะนาซิ (ชื่อภูเขาในเขตรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย มองจากอำเภอแว้ง เห็นรูปร่างเหมือน ภูเขาไฟ) ก็ซ้วยสวย สวยหมดเลย แน่ะ มามุมาแล้ว เอาเบ็ดมาด้วย น้อยจะชวนเขาไปที่บ้านต้นซาเมาะค่ะ น้อยไปนะคะ"

บ้านต้นซาเมาะของมามุและน้อยอยู่ตรงหน้าบ้านพอดี แต่ต้องเดินเลียบริมคูอีกฟากหนึ่งของถนนไป คูจะหักเลี้ยว ตรงกอเตย ตรงเข้าป่าสาคู ที่ขึ้นหนาทึบ เป็นสีเขียวแก่ ถ้าเดินตามคันนา อ้อมป่าสาคูนี้ ไปอีกด้าน ก็จะเป็นทุ่งนาใหญ่อีกแห่ง ก่อนที่จะถึงป่ายาง ไปออกหมู่บ้านชื่อบางขุดได้ ต้นซาเมาะ ของเด็กทั้งสอง อยู่ก่อนถึงป่าสาคู จึงไม่ไกลจากบ้านนัก พอที่พ่อหรือแม่หรือพี่แมะ จะกู่เรีย ได้ยิน ซาเมาะ ต้นนี้ขึ้นบนคันนา และแผ่กิ่งก้าน ข้ามคูน้ำเชี่ยวข้างล่าง บ้านต้นซาเมาะที่น้อยเรียกนั้น เด็กบ้านนอก ทั้งสอง ช่วยกันสร้างโดยเอากิ่งไม้มาพาดเข้าเป็นแคร่ กว้างพอที่จะนั่งเล่น หรือแม้แต่ลงนอนได้สบาย มีกระแชงเย็บด้วยใบสาคู ขนาดพอเหมาะ วางไว้บนกิ่งที่สูงกว่า เป็นหลังคาบังแดด

แต่เช้าวันนี้ไม่มีทั้งฝนและแดดจึงช่วยกันยกกระแชงออกไปวางไว้ข้างหนึ่งเหมือนเป็นฝาบ้าน สายลม สดชื่นตอนเช้า พัดเอื่อยพาเอากลิ่นหอมอ่อนๆ ของต้นไม้ใบหญ้า ที่เพิ่งแตกระบัดมาด้วย เสียงน้ำในคู ไหลดังจ๊อกๆอยู่ข้างล่าง

มามุนั่งถือเบ็ดทำเองด้วยไม้ไผ่คันยาวอยู่เป็นเวลานานจนเมื่อยจึงเปลี่ยนเป็นเอาสอดไว้กับพื้นบ้าน ทำเหมือน ทงเบ็ด (ทง เป็นคำกริยา ใช้กับเบ็ดคันสั้น ที่ปักกับคันนา ไว้ตอนกลางคืน) ตอนกลางคืน จากนั้นต่างก็เหยียดตัวลงนอนเล่น น้อยพลิกตัวคว่ำ มองดูเบ็ดของมามุ ที่สายเบ็ดถูกแทงไปตามน้ำในคู พูดเป็นภาษามลายูว่า

"อัยย์ดึฆะห์ฆีนิงตะเดาะอิแก (น้ำเชี่ยวอย่างนี้ไม่มีปลาหรอก) ถึงมีมันก็ว่ายทวนน้ำมากินเบ็ดของเธอไม่ไหว"

"ถึงไงตรงใต้น้ำก็ต้องมีพวกปลาดุกปลาช่อนตัวโตๆ บ้างแหละ ก็เธอพูดเสียงดังปลามันก็ไม่มาซี บ้านนี้ก็สูง ดีดน้ำ เรียกปลาไม่ถึง ช่างมันเหอะ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เสียดาย แต่ตอนนี้ ต้นซาเมาะของเราไม่มีลูก ไม่งั้น เราเก็บมานอนกินเล่น กันให้สนุกไปเลยนะ" มามุพูดบ้าง

"ปะห์ บูเวาะห์กึลูบียือโฆะเหาะโต๊ะบูเละห์มาแกเดาะห์ก๋อเดาะ (แล้วส้มหลุมพี (ต้นไม้ชนิดหนึ่ง ในตระกูล ปาล์ม ผลเป็นทะลาย ลักษณะคล้ายผลระกำ รสเปรี้ยวจัด) ดองของยาย กินได้แล้วหรือยังล่ะ)?" น้อยถามต่อ รู้สึกเปรี้ยวปากจิ๊ดขึ้นมาทันทีที่เอ่ยถึงส้มชนิดนี้

"เดาะห์ลาฆี บาเญาะฮารีลาฆี (ยัง ยังอีกหลายวันแหละ)" มามุตอบพลางมองไปที่ป่าสาคู พูดต่อเป็น ภาษามลายูว่า "ฉันนึกได้แล้วหละ ต้นสาคูตรงชายนาตรงนั้น จำได้ไหมที่เราเห็นลูกมันเป็นทะลาย จวนสุกแล้วน่ะ?"

"จำได้ซี วันนั้นที่เราฉุบ (ฉุบ เป็นคำใช้ในการละเล่นหรือการพูดของเด็กเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของก่อน เห็นจะ ตรงกับคำว่า อุบ ของภาคกลาง) กันไว้แล้วใช่ไหม ก็ไหนเธอว่า มันยังไม่สุก กินเข้าไปฝาดตายเลย หรือว่าตอนนี้ มันจะสุกแล้วก็ได้ ไปดูกันไหม ถึงฉุบไว้แล้ว คนเขาไม่รู้มาพบเข้า จะตัดเอาไปเสียนะ เราไปดู กันเหอะ เธอเอาปาแฆ (พร้า เป็นภาษาถิ่นของภาษามลายู ภาษามลายูกลางว่า ปารัง (parang)) มาหรือเปล่าล่ะ?" น้อยนึกเรื่องสนุก ขึ้นได้

"เอามาซี เป็นผู้ชายไม่มีปาแฆได้ไง แต่ไม่คมหรอก โต๊ะไม่ชอบให้เล่นของคม" มามุตอบอย่างภาคภูมิใจ ในการมีอาวุธประจำกาย แบบคนมุสลิม ที่เป็นผู้ใหญ่ แม้เขาเพิ่งจะแปดขวบ เท่าน้อย

"ฆีกึเละห์เว้ ตูฆงมารีลา (ไปดูกันไป ลงมาเถอะ)" มามุชวนก่อนที่จะถอดเบ็ดที่สอดไว้กับกิ่งไม้ มาหมุนคัน ให้สายเบ็ดพันเฉลียง เข้ากับคันเบ็ด เสร็จแล้ว จึงไต่กิ่งต้นซาเมาะลงไป อย่างรวดเร็ว โดยมีน้อยไต่ตาม ลงไปติดๆ

มีเพื่อนรักร่วมซนคนเก่งเช่นมามุมาด้วยอย่างเช้าวันนี้ทำให้น้อยลืมเรื่องกลัวทากกลัวปลิงไปเสียสนิท ออกเดินตามหลังเพื่อน ไปอย่างสนุกสนาน เบิกบานเต็มที่ พอมามุขึ้นเพลง รองเง็ง (การเต้นรำ มีหลายท่า ปัจจุบันเป็นที่รู้จักของคนไทยมากขึ้น) เพลงไหน น้อยก็ร้องด้วย พอน้อยขึ้นเพลง 'เดินรีบเดิน ไปสมรภูมิ' ที่คุณครูโรงเรียนแว้ง เพิ่งสอนให้เด็กนักเรียนทั้งโรงเรียนร้องกัน มามุซึ่งร้องเป็นแล้วก็ร่วมร้องด้วย เสียงเพลง ของเด็กทั้งสอง ดังสะท้อนกลับไปมา ลั่นทุ่งและป่าสาคู ดังมาถึงบ้าน

ตามปรกติป่าสาคูค่อนข้างทึบระเกะระกะไปด้วยทางแก่ที่ตกร่วงลงมาหรือไม่คนเขาก็มาตัดเอาใบ ไปเย็บจาก วันนี้ต่างออกไป เพราะฝนที่ตกหนักลงมาหลายวัน ทำให้น้ำท่วมโคนของมัน จนเหมือน ป่าสาคูลอยอยู่กลางน้ำ สองสหายมองเห็นทะลายลูกสาคู ที่ตนฉุบไว้แล้ว สีเปลือกที่เป็นเกล็ด ได้เปลี่ยน จากสีเขียว เป็นสีน้ำตาลแล้ว มามุร้องลั่น ด้วยความดีใจ ตะโกนว่า

"มาเสาะเดาะห์ มาเสาะเดาะห์ บูเละห์มาแกบูเวาะห์ซาฆูยืโฆะเดาะห์ลาปัวะกีตอสกาลีนิง (สุกแล้ว สุกแล้ว ได้กินลูกสาคูดองแล้วซีพวกเรา ทีนี้)"

"ป๊ะห์ กีตอเนาะมาโสะฆีอาเมะบึละห์มานอ (แล้วเราจะเข้าไปเอาอย่างไรล่ะ)?" น้อยถาม ตามองดูน้ำ ที่ท่วมโคนสาคู

"น้อยโดะซีนิงเดะห์ กีตอเนาะมาโสะฆีอะเมะมาฆีสดีฆี (น้อยอยู่ตรงนี้แหละนะ ฉันจะเข้าไปเอาเอง)" มามุออกคำสั่ง ซึ่งน้อยก็ทำตามทันที เพราะรู้ดีว่า เรื่องอย่างนี้ตนสู้มามุไม่ได้เลย

มามุเหน็บพร้าทื่อของเขาขัดเข้ากับผ้าโสร่งแบบที่ผู้ชายผู้ใหญ่เขาทำกัน จากนั้นก็เลื่อนตัวลงจากคันนา ลุยน้ำเข้าไป ที่โคนสาคูต้นนั้น น้ำลึกกว่าที่คิด น้อยลงนั่งยองบนคันนา หลังจากที่ตรวจตราแล้วว่า ไม่มีทากหรือปลิง อย่างน้อยก็ในตอนนั้น เธอเห็นมามุเข้าไป ถึงทะลายสาคูนั้นแล้ว และดึงพร้าออกมา ฟันลงไปที่ขั้วทะลาย เขาฟันอีกๆๆ อยู่นานเพราะความทื่อของพร้า

ในที่สุดขั้วทะลายสาคูก็ถูกฟันจนเยินกว่าจะขาด น้อยที่เป็นลูกคู่ตะโกนให้กำลังใจเพื่อนทุกครั้ง ที่ได้ยิน เสียงฟันดังฉับทื่อๆ ร้องตะโกนด้วยความดีใจ มามุออกแรง ลากทะลายสาคูนั้น ลงมาในน้ำ แล้วลากต่อ มาถึงที่น้อยยืนอยู่ หอบแฮ่กด้วยความเหนื่อย เหงื่อเต็มหน้า ทั้งที่อากาศเย็นสบาย

"มารีกีตอตูลง (มา ฉันช่วย)" น้อยพูด รู้สึกเห็นใจเพื่อนอย่างยิ่งจึงรีบตรงเข้าช่วยลากสาคูทะลายใหญ่ นั้นขึ้นมาบนคันนา

รู้สึกเหมือนนานหนักหนากว่าจะช่วยกันลากเอาทะลายสาคูทวนน้ำในคูมาถึงบ้านโต๊ะซารีได้สำเร็จ แต่ภาพ ลูกสาคูดองก็ลอยเด่น อยู่ในตาของเด็กทั้งสองคน

สองชั่วโมงต่อมาเสียงโต๊ะซารีมาตะโกนลั่นอยู่ที่ถนนหน้าบ้าน ถึงฝนไม่ได้กระหน่ำลงมาอย่างเมื่อวาน แต่เสียงที่ละล่ำละลักของโต๊ะ ก็บอกให้รู้ว่า กำลังเกิดเหตุไม่ดี อะไรสักอย่าง ที่บ้านของแก พ่อ แม่ พี่แมะต่างลงจากบ้านออกไปหาโต๊ะที่ถนน

น้อยออกวิ่งตื๋อไปที่บ้านโต๊ะซารีโดยไม่หยุดฟังโต๊ะ อะไรบางอย่างบอกกับเธอว่าต้องเป็นมามุแน่ กำลัง เกิดเหตุกับมามุเพื่อนของเธอ และมันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

ในห้องโถงกลางของบ้านโต๊ะซารี น้อยเห็นมามุนอนอยู่ที่นั่น เธอชะงัก บอกตนเองว่า มามุยังไม่ตาย ไม่เป็นไร แต่เขาเป็นอะไรแน่ แช (ตา) กำลังพยายามทำอะไรสักอย่าง อยู่กับหัวของมามุ ที่พิงอยู่กับเข่า ของแช โต๊ะซารีนำแถวทุกคนขึ้นมาบนบ้าน มีชาวบ้านที่บังเอิญจะไปตลาด ตามขึ้นมาด้วย อีกหลายคน

"อัลเลาะห์ลา ลีเตาะห์ แมะเว้ มาโสะตึลีงอดียอ บือซาบือละห์ตู แชดียอปงเตาะตาฮูเนาะอะเมะตูเบะ บึละห์มานอ เตาะตูเบะลาฆี (พระเจ้าช่วยด้วยเถิด ปลิง คุณนาย ปลิงเข้าหูหลาน ตัวโตเบ้อเริ่มเลย ตาเขาพยายามเอาออกก็ยังไม่ออก)" โต๊ะซารีผู้รักหลาน ดังแก้วตา บอกทุกคนด้วยอาการตระหนก "ตูลงลา แท เนาะบูวะบือละห์มานอ (ช่วยด้วยเถิดท่าน จะทำอย่างไรดี)" โต๊ะหันมาพูดกับพ่อ

พ่อก้าวขึ้นไปดูมามุ ทุกคนตามเข้าไปรุมดูด้วย น้อยที่ใจสั่นเป็นตีกลอง เธอปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้ว

นั่น!ในรูหูของมามุ นั่น! ปลิงตัวโตคงจะดูดเลือดเพื่อนของเธอเข้าไปจนตัวมันเป่ง อัดแน่นอยู่ในนั้น มันน่าจะออก เมื่อกินเลือดมามุจนอิ่มแล้ว แต่ปลิงตัวนี้ มันไม่ยอมออก

เสียงแชถอนหายใจ เมื่อพ่อรับเอาไม้ไผ่ที่เหลาจนเรียบมาจากมือของแก พ่อบอกให้แชจับหัวมามุตะแคง วางบนเข่า น้อยหลับตาปี๋ เมื่อพ่อเริ่มเอาไม้นั้น กดแนบเข้าไปกับ รูหูของมามุ ไม้ผ่านตัวปลิงเข้าไปแล้ว พ่อค่อยๆพลิกนิ้ว พยายามจะงัดเอาตัวปลิงออกมา น้อยเกือบร้องอื๋ย เมื่อเห็นปลิงยืดตัวมันแล้วหดกลับ พ่อพยายามอีก ปลิงยืดตัว แล้วหดอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พ่อถอนใจ ดึงไม้ออก มามุรู้วิธีลอกเจียะใบจาก มาปิดแผลทากและปลิงกัด แต่ไม่มีใครช่วยเอาปลิง ออกจากหูเขาได้

ที่สุด ชายชาวบ้านผู้แสนฉลาด ผู้ไม่เคยรู้จักตัวหนังสือสักตัว ผู้ยืนดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ คนหนึ่งก็อาสา เข้ามาช่วย เขาเดินถือพร้าประจำกาย ไปตรงที่คูน้ำหักมุมไปบ้าน ต้นซาเมาะ ของน้อยและมามุ ตัดเอา ใบเตยมาหนึ่งใบ มันมีหนามเรียงเป็นแถวอยู่สามแถว สองแถวตรงริมใบ และอีกหนึ่งแถว ตรงสันใบ ตรงกลาง ชายผู้ไม่มีการศึกษาคนนั้น ใช้พร้าลิดเอาสองข้างของใบเตยออก เหลือไว้แต่สันกลาง เขาค่อยๆ เฉือนเอาริมใบที่เหลือ ออกอีกทีละน้อย จนเหลือแต่สันที่เหนียวแข็งแรง มีหนามเตย เรียงติดอยู่ด้วย เป็นแถว

ชายผู้นั้นจับหัวมามุวางบนตัก แล้วเขาก็เอาสันใบเตยนั้นสอดแนบกับรูหูมามุแบบเดียวกับที่พ่อทำ หนามเตย ทุกอันเอาด้านงอลู่เข้าไปได้ อย่างง่ายดาย เมื่อสอดแทรกตัวปลิง เข้าไปได้สักนิ้วเศษ เขาก็พลิกนิ้ว เหมือนพ่อทำ แต่คราวนี้ผลต่างกันลิบ แถวหนามเตยถูกพลิก เข้าจิกตัวปลิงเป็นแถว ตั้งหลายหนาม เขาดึงสันใบเตยออกมาอย่างแรง

น้อยหลับตา มือเย็นเฉียบเมื่อเห็นเลือดกระฉูดออกมาจากตัวปลิงเต็มไปหมด ตัวปลิงที่ลดความเป่ง ด้วยเลือดมามุ ยอมแพ้แก่หนามเตย หลุดออกมาด้วยแล้ว

น้อยออกวิ่งตามคำสั่งของพ่อไปเอาสำลี น้ำยาล้างแผลและทิงเจอร์มาให้พ่อทำความสะอาดแผลให้มามุ เธอเห็นหน้ามามุซีด แต่เขาไม่ได้ร้องไห้ แชและโต๊ะซารี ก็ไม่ได้ด่าว่าอะไรเขาด้วย ผู้ใหญ่ทุกคนรู้ดีว่า ท่านเองก็ได้ผ่านการเรียนรู้ชีวิต ด้วยวิธีที่เจ็บปวดมาแล้ว ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันออกจากบ้านโต๊ะซารี เหลืออยู่แต่น้อยเท่านั้น ที่ยังอยู่ เป็นเพื่อนมามุ โต๊ะซารีเดินถือถ้วย ออกมาจากในครัว พูดว่า
"ลูกหลุมพีดอง ได้ที่พอดี กินกันเสีย เย็นนี้ค่อยช่วยโต๊ะดองลูกสาคูนะ"

หมายเหตุ: เขียนเสร็จเวลา ๑๓.๔๐ น. ๑๖ ก.พ.๔๘ ยังจำเหตุการณ์นี้ได้ เวลาเขียนก็รู้สึกสยองนิดหน่อย ที่ประทับใจคือ ภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่ช่วยตัวเองในธรรมชาติได้เสมอ จนเหมือนเป็นสัญชาตญาณ

เหตุการณ์ทางสามจังหวัดภาคใต้ยังไม่ดีขึ้นเลย รัฐบาลจะทำอย่างไรหนอ

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๖ เดือน มีนาคม ๒๕๔๘ -