โดย ระพี สาคริก คืนวิญญาณความรักให้แผ่นดิน
 

 

 

วิญญาณความรักที่อยู่ร่วมผืนแผ่นดินเดียวกัน

บทนำ

ฉันเคยชี้แจงเหตุผลเกี่ยวกับจิตวิญญาณคน ที่มีความรักหยั่งรากลงสู่พื้นดินมาแล้วในอดีต ดังนั้น จึงใคร่ขออนุญาต ฝากไว้ ณ โอกาสนี้ว่า แต่ละคนควรสำนึกถึงเงื่อนไขดังกล่าวอยู่เสมอ โดยถือเป็นสัจธรรม ที่อยู่ในใจ ซึ่งธรรมชาติ ได้มอบมา ให้ชีวิตทุกคน นอกจากนั้น ยังควรสนใจถ่ายทอดต่อไป สู่ชนรุ่นหลัง จากความรู้สึกรับผิดชอบ ซึ่งมีอยู่ในใจตนเองด้วย

อนึ่ง จุดเริ่มต้นมอบให้ ควรมุ่งความรักจากใจตนเองลงไปยังพื้นดิน และสานเหตุผลถึงชน รุ่นหลังผู้มีใจรักพื้นดิน อีกทั้งมีความซื่อสัตย์ต่อ ตนเองซึ่งมีใจใกล้ชิดตนมากที่สุด

หลังจากนั้น หากรักษารากฐานตัวเองให้มีอิสระอยู่ได้ หากนำปฏิบัติอย่างดี ย่อมสานความรักร่วมกัน ไปถึงเพื่อนมนุษย์ ที่อยู่ห่างไกลรวมทั้ง สรรพสิ่งทั้งหลายได้เอง

อย่างไรก็ตาม หากมองเห็นความจริงซึ่งอยู่ในรากฐานจิตใจตนเอง และนำปฏิบัติจากจุดนี้ ย่อมมีจิตใต้สำนึก ที่หยั่งราก สู่พื้นดิน ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ในเมื่อชีวิตแต่ละคนเกิดมาจากโลกใบเดียวกัน จึงควรมีกระแสความรัก เชื่อมโยงถึงกันได้หมด

สัจธรรมคือความจริงซึ่งมีอยู่ในรากฐาน จิตใจแต่ละคนมาแต่กำเนิดดังนั้นผู้ที่รู้ได้แล้ว ย่อมสามารถปฏิบัติตน ให้เข้าถึง จิตใจทุกคน ได้อย่างลึกซึ้ง จึงหวังได้ว่า น่าจะสร้างสรรค์ทุกชีวิต ให้บังเกิดความสุขได้เอง อย่างเป็นธรรมชาติ อีกทั้งรู้ว่า ผลจากการปฏิบัติดังกล่าว ย่อมสะท้อนกลับมา ทำให้รากฐานจิตใจตนเอง บังเกิดความสุขลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ช่วงหลังๆ เรามักได้ยินคนทั่วไปกล่าวเน้นความสำคัญของคุณภาพชีวิต กันอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงคำกล่าว ซึ่งยังไม่อาจทำให้เชื่อถือเป็นได้ จนกว่าจะมีโอกาสสัมผัส ผลจากการปฏิบัติ ที่มีความมั่นคงจนเป็นที่มั่นใจได้แล้ว

ปัจจุบันนี้ในทางปฏิบัติ คนส่วนใหญ่เท่าที่มีการแสดงออกจากความรู้ความเข้าใจ ของแต่ละคน เกี่ยวกับเรื่อง คุณค่าชีวิต กับคุณภาพชีวิต ยังทำให้อดที่จะรู้สึกสับสนไม่ได้

หากสามารถรู้ความจริงจากใจตนเองได้อย่างชัดเจน ควรจะเข้าใจความหมายของทั้งสองประเด็น ได้อย่างลึกซึ้ง อีกทั้งสามารถ เรียงลำดับความสำคัญ ซึ่งแตกต่างกันที่พื้นฐาน ได้อย่างสอดคล้องกัน กับเหตุและผลด้วย

เมื่อมีเหตุย่อมมีผล

คุณค่าชีวิตน่าจะหมายถึงความจริงที่อยู่ในรากฐานจิตใจ ซึ่งแต่ละคนควรสำนึกถึงความสำคัญได้เอง ทำให้รักษาไว้ อย่างสุดชีวิต ส่วน คุณภาพชีวิต น่าจะหมายถึง ผลการปฏิบัติจาก รากฐานจิตใจตนเอง ที่หยั่งรู้คุณค่าชีวิต เท่าที่ผ่านพ้นมาแล้วในอดีต ได้อย่างชัดเจน จนกระทั่ง ทำให้มั่นใจได้แล้ว

ช่วงหลังๆ เรามักพบความจริงจากการแสดงออกโดยคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในสังคม ซึ่งมักนำเอาเรื่องการมีวัตถุ อย่างพร้อมมูล มาเผยแพร่ เพื่อสื่อให้คนเข้าใจว่า สภาพดังกล่าวคือคุณภาพชีวิต ซึ่งแต่ละคนควรปรารถนา

แม้ว่าบางคนอาจไม่มีเจตนาจะโฆษณาชวนเชื่อ แต่ความคิดดังกล่าวก็เหมือนเจตนาทำ ซึ่งคงทำไป เพราะความไม่รู้ หรืออาจรู้แล้ว แต่อยากทำ เพราะความโลภ เนื่องจากต้องการหาเงินและวัตถุจากผู้อื่น

การเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ ภายในสังคมซึ่งทำให้คนจำนวนมากตกเป็นเหยื่ออิทธิพล โฆษณาชวนเชื่อ โดยที่อีกฝ่ายหนึ่ง หวังผลประโยชน์ทางวัตถุ สำหรับนำไปใช้สนองความต้องการของตน และพรรคพวก อย่างขาดจิตสำนึก รับผิดชอบต่อสังคม

ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีกระแสจากอีกด้านหนึ่ง ซึ่งกำหนดวิถีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของวัตถุ เพื่อต้องการ สร้างอิทธิพลภายนอก ให้มีผลครอบงำจิตใจคน เพื่อหวังผล หวนกลับมาสนอง ผลประโยชน์แห่งตน ส่งผลกระทบ ทำลายรากฐาน การพึ่งตนเอง ของคนในสังคม ยิ่งเป็นเยาวชน ทำให้ไม่อาจรู้เท่าทัน จนกระทั่งจำต้องตกเป็นเหยื่อ อย่างลึกซึ้ง อีกทั้งขยายผลกว้างขวางมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม วิถีการเปลี่ยนแปลงบน พื้นฐานธรรมชาติที่สะท้อนกลับมาชำระล้าง ทุกสิ่งอย่าง ในสังคม ย่อมมีผล ทำลาย ให้จบสิ้นลงไป ทั้งหมดได้ยาก จึงยังคงมีกระแสหมุนวนเป็น วัฏจักรสืบทอดต่อไป

ดังนั้นแม้ว่ายังมีชีวิตซึ่งรักษาจิตวิญญาณความเป็นคนเอาไว้ได้หลงเหลืออยู่น้อยแค่ไหน ในที่สุดย่อมมีวิถีทาง หวนกลับมาสู่อีกด้านหนึ่งได้เอง อีกทั้งสามารถ ขยายขอบข่าย กว้างขวางมากขึ้น ไม่ว่าจะเกิดผลกระทบรุนแรง มากยิ่งขึ้นแค่ไหน

จากประสบการณ์ชีวิตเท่าที่ผ่านพ้นมาแล้ว ทำให้ฉันเชื่อมั่นชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ไม่ว่าชีวิตตน จะผ่านพ้นมานาน มาแค่ไหน แต่ถ้าสามารถ สั่งสมความจริง อันเป็นผลจากการปฏิบัติ เท่าที่ผ่านพ้น มาแล้วในอดีต เอาไว้ในจิตใจตนเองได้ ย่อมมีผลช่วยให้หยั่งรู้ความจริง จากใจเพื่อนมนุษย์แต่ละคน รวมถึงสรรพสิ่งอื่นๆ ได้อย่างลึกซึ้ง

อนึ่ง มักมีบางคนกล่าวว่า ควรใช้เวลาศึกษาไปนานๆ สะท้อนให้รู้ได้ว่ าผู้กล่าวเช่นนั้น ห่างจากความจริง ที่มีอยู่ในใจตัวเอง ไปยึดติดอยู่กับกาลเวลา ไม่ว่ามีมากมีน้อย ทำให้ขาด การรู้เหตุรู้ผล ซึ่งรากฐานจิตใจตนเอง มีอยู่แล้ว

ตามที่กล่าวไว้แล้วแต่แรกว่า ผู้มีโอกาสเกิดมาสู่โลกทุกคนย่อมมีเงื่อนไขแห่งกรรม แฝงอยู่ในรากฐาน จิตใจตนเองมาแล้ว อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าใครมีมากมีน้อย หากรู้ความจริง ณ จุดนี้ได้ ย่อมรู้ประเด็นสำคัญ ของการดำเนินชีวิต อย่างน้อย ๒ ประการ ซึ่งนำไปสู่ความรัก ความเข้าใจ ระหว่างกันและกัน อันหวังได้ว่า น่าจะมีความมั่นคงให้เชื่อมั่นได้

ประการแรก แต่ละชีวิตที่เกิดมา ย่อมเกิดมาจากแผ่นดินผืนดิน ผืนเดียวกัน ส่วนการแบ่งประเทศ รวมทั้งชาติภาษา แม้กระทั่ง การแบ่งแยกลัทธิ ความเชื่อ หาใช่ของจริงไม่ หากเป็นเพียงผล จากการดำเนินชีวิต บนพื้นฐาน ความหลากหลาย ซึ่งนำไปสู่การจัดการ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ประการที่สอง ภายในรากฐานจิตใจแต่ละคน ที่กล่าวถึงความเข้าใจซึ่งกันและกัน จึงควรรู้ว่า คือความจริง จากทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งเข้าไปอยู่ในส่วนลึก ของจิตใจตนเองจากแต่ละฝ่าย ทำให้มีการร่วมใจ เป็นหนึ่งเดียวกันได้

หรืออาจกล่าวอีกด้านหนึ่งว่า ความจริง ซึ่งเข้าไปอยู่ในส่วนลึกของจิตใจแล้ว แม้ปรากฏการณ์ภายนอก จะเปลี่ยนแปลงไป อย่างไรก็ตาม แต่ภายในจิตใจย่อมมั่นคงอยู่ได้ อีกทั้งยังสามารถ รู้เท่าทันผล การเปลี่ยนแปลง จากภายนอก ได้อย่างลึกซึ้ง จึงไม่ย่อมตน ตกเป็นเหยื่อ หากสามารถยอมรับ และปล่อยวางได้อย่างเป็นธรรมชาติ

สภาพดังกล่าว น่าจะถือว่า คือคำนิยามของข้อความซึ่งกล่าวกันว่า ยอมรับความจริงหาก รากฐานจิตใจ บุคคลใด เข้าถึงได้ ย่อมสามารถสร้าง ความรู้ความเข้าใจ ระหว่างกันและกันได้ไม่ยาก

ความจริง ซึ่งพบได้จากชีวิตตนเอง

ฉันเรียนรู้ความจริงจากความจริง ซึ่งเป็นผลจากการที่รากฐานจิตใจมีอิสระ ช่วยให้ตนสนใจสัมผัส ทุกสภาพชีวิต ร่วมกับทุกสิ่งทุกอย่าง เท่าที่ชีวิตผ่านพ้นมาแล้วได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ดังนั้นสิ่งแรกที่ใคร่ขออนุญาตนำมากล่าวย้ำความสำคัญไว้ ณ โอกาสนี้ก็คือ บุคคลใด ผู้มีความทรงจำ ที่ชัดเจน หรืออีกนัยหนึ่ง บุคคลใด ผู้ไม่ลืมอดีต ซึ่งตนสั่งสมไว้ในใจมาแล้วแม้ นานมากแค่ไหน ย่อมไม่เป็นคนลืมตัว หรือหากมองย้อนกลับ ควรจะพบได้ว่า บุคคลใด ไม่ลืมตัว ย่อมมีความทรงจำ ที่มั่นคงอยู่ได้

ช่วงที่ชีวิตฉันได้รับโอกาสให้เข้าไปทำหน้าที่เป็นผู้บริหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นับว่ามีโอกาสดี ส่วนหนึ่ง ซึ่งช่วยให้ตน เรียนรู้ความจริง จากใจชนรุ่นหลังอย่างกว้างขวาง แม้ขณะนั้น ยังมีปริมาณจำกัดตัวเอง ไว้ด้วยรูปแบบ ที่เป็นทางการ ไม่ถึงหนึ่งหมื่นคน แต่การเรียนรู้ธรรมชาติ จากของจริง ถ้ารากฐานจิตใจ มีอิสระอยู่ได้ย่อมรู้ว่า หาใช่มีจำนวนตัวเลข เป็นกรอบจำกัดไว้ ไม่ว่ามีมากมีน้อย

แต่เนื่องจากรากฐานจิตใจฉันไม่ยึดติดรูปแบบมากไปกว่าการมองเห็นทุกคนเป็นคน จึงไม่มีอิทธิพล จากสิ่งที่มีอยู่ ในรั้วสถาบัน เข้ามาครอบใจไว้ ทำให้ตนรู้ คุณค่าชีวิตคนทุกคน ในสังคม ได้อย่างกว้างขวาง การปฏิบัติ จึงไม่ยอม ตกเป็นเหยื่อรูปแบบ ซึ่งหากตกอยู่ในความประมาท ย่อมพร้อมที่จะล้อมกรอบใจฉัน แม้สิ่งที่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย โดยที่รู้ว่า หากยึดติด ย่อมมีแนวโน้ม ส่งผลทำให้รากฐานจิตใจตนเอง เรียวแคบมากขึ้น

วิญญาณความรักและรู้คุณค่าตนเองที่หยั่งลงสู่พื้นดินอย่างลึกซึ้ง มีผลทำให้การปฏิบัติจากใจฉัน มุ่งทิศทาง ลงสู่พื้นดิน เหนือกว่าการมุ่งขึ้นไป สู่ด้านบน หากใครคิดว่าฉันทวนกระแส น่าจะเกิดจาก การปฏิบัติทวนกระแส ด้านบน หากใครคิดว่า ฉันเดินตามกระแส คงสืบเนื่องมาจาก การที่มองเห็น ความจริงแล้วว่า ฉันมีวิญญาณ เป็นตัวของตัวเอง ที่หยั่งรากลงสู่พื้นดิน อย่างลึกซึ้ง โดยที่รู้ว่า ภูมิปัญญาท้องถิ่น เกิดจากการมีโอกาส สัมผัสพื้นดิน

กรณีหลังนี้ หากสามารถแยกแยะเหตุผลออกจากกันให้เห็นชัดเจนถึงระดับหนึ่ง น่าจะ เข้าใจได้ว่า ฉันไม่ได้เดิน ตามกระแส หรือทวนกระแส ใครทั้งนั้น หากเป็นเพราะ อิสรภาพ ซึ่งอยู่ในรากฐากตนเอง มีผลกำหนด ความมั่นคง ภายในจิตใจ ร่วมกับทิศทางความคิด ที่มุ่งลงสู่ด้านล่างมากกว่า

ดังนั้นหากมองภาพอย่างผิวเผิน อาจทำให้เข้าใจว่าฉันเดินทวนกระแส แต่แท้จริงแล้วคือ วิถีทางที่อิสระ ทำให้มีรากฐาน มั่นคง อยู่กับการรู้เหตุรู้ผล ซึ่งธรรมชาติ ได้ชี้ให้เห็นความจริง ไว้อย่างชัดเจนว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง คงไม่มีเพียง หนึ่งเดียวเท่านั้น แต่สามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้ สอดคล้องกันกับเหตุผล ซึ่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้ว่า พระพุทธเจ้า ไม่ได้มีพระองค์เดียว

สถานที่เกิดของชีวิต ผูกติดอยู่กับความคิด ของตัวเองหรือเปล่า?

ช่วงชีวิตที่ผ่านมา มีบางคนถามฉันด้วยความรู้สึกสงสัยว่า ท่านอาจารย์เกิดในเมืองกรุง หรือในชนบทกันแน่?

ฉันตอบคำถามดังกล่าวอย่างมั่นใจว่า ร่างกายฉันเกิดกลางใจเมืองกรุงเทพ แต่จิตวิญญาณตนเอง อยู่ในชนบท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หยั่งราก ฝังลึกลงสู่พื้นดิน อย่างมีความสุข

คำตอบดังกล่าวสะท้อนให้เห็นความจริงว่า หากรากฐานจิตใจอิสระ ย่อมไม่นำความแตกต่างจากภายนอก มาผูกติดกันไว้ ทำให้เกิด ภาวะสับสนขึ้น ในรากฐานจิตใจตนเอง

ซึ่งแท้จริงแล้ว ชีวิตคนเราจะเกิดที่ไหน และสถานที่เกิจะเป็นอย่างไรย่อมไม่ใช่เรื่องสำคัญ หากจิตใจสามารถรู้ ความจริงได้ว่า ชีวิตตนเอง มีพื้นดินเป็นฐานรองรับ อีกทั้งเป็นครูผู้ซื่อสัตย์ต่อตนไปตลอดชีวิต

หวนกลับไปนึกถึงความจริงซึ่งอยู่ในอดีตของชีวิตฉัน ตั้งแต่ยังมีอายุไม่มากนัก มีบางสิ่ง บางอย่าง จากพฤติกรรม ของคน ในสังคม ที่สะท้อนออกมา ทำให้ใจฉันรู้สึกสับสนโดยที่คิดว่า สิ่งซึ่งตนพบเห็น ไม่น่าจะสอดคล้องกันกับ เหตุผลที่ควรจะเป็น

สภาพดังกล่าวมีผลจุดประกายใจ ทำให้ฉันรู้สึกท้าทายที่จะลุกขึ้นยืนหยัด เดินทวนกระแสสังคม ซึ่งแท้จริงแล้ว ตนไม่คาดคิด มาก่อนว่า ความกล้าหาญ ในการปฏิบัติ จะมีผลช่วยให้รู้ความจริง จากรากฐานจิตใจคน ในสังคมได้อย่างกว้างขวาง

แต่ฉันเป็นคนมีนิสัยมุ่งมั่นต่อสู้กับสิ่งซึ่งอยู่ในใจจากการนำปฏิบัติโดยไม่ยอมเปลี่ยนใจ อีกทั้งสนใจ เรียนรู้ผล ที่ติดตามมา ซึ่งสภาพจิตใจ ดังกล่าว อาจเรียกได้ว่า เป็นคนมีนิสัย รู้จักประเมินตัวเอง หรือรู้จักประมาณตน เป็นช่วงๆ มาโดยตลอด

ในที่สุด จากวิถีทางดังกล่าว สิ่งซึ่งเป็นผลติดตามมาภายหลังอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ฉันรู้ความจริง ซึ่งอยู่ในใจคน ลึกซึ้งยิ่งขึ้น อีกทั้งมีผล หวนกลับมารู้ความจริง จากใจตนเอง ซึ่งมีอยู่เพียงหนึ่งเดียว ได้อย่างลึกซึ้งร่วมด้วย

จากประเด็นดังกล่าว ทำให้ฉันมั่นใจได้ว่า หากมุ่งมั่นปฏิบัติจากความจริงซึ่งมีอยู่แล้ว ในจิตใจตนเอง อีกทั้งรักษา สิ่งนี้ไว้ ให้มั่นคงอยู่ได้ ผลอันพึงได้รับ ย่อมหวนกลับ มาสอนให้หยั่งรู้ เหตุและผล ทั้งจากใจตนเอง และเพื่อนมนุษย์ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ในกรณีที่เกี่ยวกับกล้วยไม้ซึ่งเขียนโดยคนในกลุ่มประเทศวัฒนธรรมตะวันตก ที่ระบุถึงกล้วยไม้ชนิดหนึ่ง ว่าเป็น กล้วยไม้อินเดีย แต่มีคนไทย บางคนแย้งว่า เป็นกล้วยไม้ไทย

ความขัดแย้งซึ่งอยู่ในใจระหว่างคนซึ่งอยู่คนละชาติเท่าที่กล่าวมาแล้ว มีผลช่วยให้ฉันมองเห็น ความจริง ลึกลงไป อีกระดับหนึ่ง ตนจึงสามารถแยกพื้นฐาน ซึ่งทำให้สับสน ออกจากกัน ช่วยให้เกิด ความเข้าใจ ชัดเจนยิ่งขึ้น

ฉันกล่าวกับหลายคนเป็นช่วงๆ ว่า การแบ่งประเทศ เหตุเกิดจากการที่คนแบ่งพรรคแบ่งพวก อันเป็นผล สืบเนื่อง มาจาก ความรู้สึกหวาดระแวง ซึ่งกันและกัน เกี่ยวกับผลประโยชน์ ของแต่ละพวก ส่วนการแบ่งแยก แหล่งกำเนิด อันมีธรรมชาติของชีวิตพันธุ์ไม้ ร่วมกับธรรมชาติ ของแต่ละท้องถิ่น เป็นพื้นฐาน ธรรมชาติ เป็นฝ่ายแบ่งเอง อย่างมีเหตุมีผล จึงไม่ควรนำมา สร้างความสับสน จนกระทั่ง เกิดความขัดแย้ง

สิ่งที่กล่าวมาแล้ว เป็นกรณีตัวอย่างซึ่งบางคนอาจรู้สึกว่า เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ฉันกลับเห็นว่า ทุกสิ่ง ย่อมมีคุณค่า เท่าเทียมกันหมด ในเมื่อรู้เรื่องเล็ก ผู้ที่ไม่ยึดติด ควรสามารถเชื่อมโยงเหตุผล ไปสู่การรู้ความจริง จากเรื่องใหญ่ได้ไม่ยาก

ในกรณีดังกล่าวก็เช่นกัน หากมองจากเงื่อนปมที่ตนหยิบยกมาพิจารณา ฉันจึงไม่เรียกว่า กล้วยไม้ไทย หากเรียกว่า กล้วยไม้ พันธุ์ธรรมชาติ เนื่องจาก มีอยู่ตามธรรมชาติ ภายในแต่ละประเทศ อีกทั้งมีบางชนิด แม้ชนิดเดียวกัน อาจพบ อยู่ในหลายประเทศก็ได้

หากผู้มองพยายามทำความเข้าใจ โดยไม่ ยึดติดอยู่กับรูปแบบ ย่อมไม่นำเงื่อนไข มาผูกติดกันไว้ จึงสามารถ สร้างความเข้าใจ ให้แก่คน ซึ่งชีวิตยืนอยู่ ต่างแง่มุมกัน ทำให้เกิดความรัก ความเข้าใจ ระหว่างกันได้ไม่ยาก

ดังนั้น ความแตกต่างระหว่างเงื่อนไขซึ่งอยู่ในรากฐานจิตใจคนแต่ละกลุ่ม ถ้าแต่ละคน มุ่งมั่น รักษาความจริง ที่อยู่ในใจตนเอง ไว้ให้มั่นคงอยู่ได้ พฤติกรรมนำปฏิบัติ ย่อมมีผลสร้างความรัก ความเข้าใจ ให้สานถึงซึ่งกันและกัน ได้ไม่ยาก

ชนรุ่นหลังคือครูผู้สอนให้รู้ความจริง

ช่วงชีวิตฉันระหว่างการทำหน้าที่บริหารงานในระดับสูงของมหาวิทยาลัย แต่วิญญาณความรักจากใจตัวเอง มุ่งทิศทาง ลงสู่พื้นดิน อย่างลึกซึ้ง ช่วยให้ฉันมีโอกาสพบชนรุ่นหลังบางคน ซึ่งครูอาจารย์ หลายคน แม้บรรรดา เพื่อนร่วมสถาบัน รู้สึกว่าเป็นคนมีนิสัย ซึ่งไม่มีใครเอาไว้อยู่ ดังที่ ชนรุ่นก่อน เคยกล่าวว่า เด็กเหลือขอ

คนลักษณะนี้เข้ามาหาฉันครั้งแรก จากผลกระทบ ซึ่งได้รับมาแล้วโดยอิทธิพลอำนาจจากผู้อื่น ซึ่งในสายตา หลายคน รู้สึกว่ารุนแรงมาก จนกระทั่งบางคน ถึงขั้นถูกอำนาจ กรรมการ ควบคุมความประพฤติ สั่งลงโทษสถานหนัก และขณะที่มาหา ก็มีแนวโน้ม แสดงออกใส่ฉันอย่างรุนแรง

...อ่านต่อฉบับหน้า...

คืนวิญญาณความรักให้แผ่นดิน โดย ระพี สาคริก เราคิดอะไรฉบับ ๒๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๒