ฉบับที่ 186 ปักษ์แรก 1-15 กรกฎาคม 2545

[01] บทนำข่าวอโศก: พรรษานี้ทำอะไรกันดี
[02] ธรรมะพ่อท่าน: "ทำงานอย่างมีมรรคผล"
[03] บันทึกปัจฉาสมณะ:
[04] เครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษอุบลฯ ร่วมกับกองทุนเพื่อสังคม ช่วยเหลือเกษตรกรที่เข้ารับการอบรม
[05] กสิกรรมธรรมชาติ โทษภัยของมูลสัตว์ ประโยชน์ของฟาง พืชตระกูลถั่ว ปุ๋ยสูตรดินหมัก
[06] ชายงามรายปักษ์ นายปิ่น บัวมาศ
[07] ข่าวการศึกษา : ครูไม่รับเงินเดือนผิด ก.ม.หรือไม่, ขออนุญาตจัดตั้งวิทยาลัยชุมชน
[08] ศูนย์สุขภาพ: การกดจุดและนวดบนฝ่าเท้า
[09] ข่าวชมร.เชียงใหม่แจกอาหาร เผยแพร่บุญนิยมครั้งที่ ๔
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า:
[11] หมออารี์บรรยายที่สันติอโศษก มนุษย์เป็นสัตว์กินพืชผักผลไม้ และอายุจะยืนยาวประกอบด้วย ๖ อ.

[12] นานาสาระ: อาสาสมัครหนุ่มสาวกรีนเวย์ เรียนรู้การทำกสิกรรมไร้สารพิษที่บ้านราชฯ
[13] บทกวีวิถีธรรม:เข้าพรรษา
[14] ข่าว ชุมชนดินหนองแดนเหนือ จัดงานวันโฮมพลังแผ่นดิน จำหน่ายสินค้าราคาถูก
[15] ข่าว :บ้านราชฯ ทำคลอดเด็กครั้งแรก ฟื้นฟูผสมผสานภูมิปัญญาพื้นบ้าน
[16] สัมภาษณ์คุณสุนีย์ การเอาพิษออกจากร่างกายด้วยการสวนน้ำกาแฟ



พรรษานี้ทำอะไรกันดี

อีกไม่นาน ก็จะถึงวันเข้าพรรษา

หลายครั้งที่ผ่านมา ในช่วงเข้าพรรษา จะเป็นช่วงที่ชาวพุทธจำนวนมากตั้งใจทำความดีให้ยิ่งๆขึ้น

บางคนตั้งใจเลิกดื่มเหล้า
บางคนตั้งใจเลิกสูบบุหรี่
บางคนตั้งใจเลิกกินเนื้อสัตว์
บางคนตั้งใจกินอาหารให้เป็นมื้อ ไม่กินจุกจิกนอกมื้อ
บางคนตั้งใจไม่ดูทีวี

ถ้าฟุตบอลโลกแข่งขันในช่วงเข้าพรรษา ก็คงมีผู้ใฝ่ดี แต่ติดฟุตบอล คงตั้งใจบำเพ็ญงดดูฟุตบอลโลกที่ถ่ายทอดสดทางทีวีกันหลายคน

บางคนตั้งใจฟังเทปธรรมะวันละ ๓๐ นาทีเป็นอย่างน้อย
บางคนตั้งใจเข้าวัดฟังธรรมอย่างน้อยสัปดาห์ละ ๑ ครั้ง
บางคนตั้งใจใส่บาตรทุกเช้า
บางคนตั้งใจถือศีล ๕ ให้บริสุทธิ์
บางคนตั้งใจถือศีล ๘ ให้บริสุทธิ์
บางคนตั้งใจไม่แสดงความโกรธทางกายและวาจา
ฯลฯ

ขณะนี้ก็ยังพอมีเวลาที่ท่านทั้งหลายจะพิจารณาว่า ในช่วงเข้าพรรษานี้จะทำอะไรดี เพื่อเป็นการเพิ่มความดี หรือศึกษาในอธิศีลให้ยิ่งๆขึ้น ตลอดช่วงเข้าพรรษา ๓ เดือน หรืออาจมีบารมีถึงขั้นทำได้ตลอดไป ก็ไม่แน่ ใครจะรู้ได้ แต่ที่แน่ๆก็คือ หากเราตั้งใจทำดีเมื่อ ๓ เดือนที่ผ่านมา ป่านนี้ก็คงมีอะไรดีขึ้นในชีวิตแน่ๆ แล้วนี่เราจะปล่อยให้เวลาอีก ๓ เดือนผ่านไปอย่างเลยๆอีกหรือ?.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ทำงานอย่างมีมรรคผล

ในยุคนี้ซึ่งเป็นยุคที่ชาวอโศกช่วยกันอบรมลูกค้า ธ.ก.ส. ที่เป็นชาวไร่-ชาวนา เป็นคนของแผ่นดิน โดยในขณะที่เราทำงาน เราเองก็ควรที่จะต้อง หมั่นทบทวน มองตนอยู่เสมอๆ ธรรมะพ่อท่านฉบับนี้ขอถือโอกาสนี้นำ "คาถาธรรม" ของพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ ที่ได้แสดงไว้เมื่อวันที่ ๑๒ เม.ย.๒๗ ซึ่งแนะนำ ให้เรารู้ถึงวิธีทำงาน อย่างมีมรรคเกิดผล ว่า

"...แต่ว่าเราก็มักจะกระทำกันยังไม่ได้อยู่เสมอ ก็คือ หลักใหญ่ หลักสำคัญของการปฏิบัติ ในการก้าวย่างไปสู่หลักชัยนั่นเอง ซึ่งก็คือ โพชฌงค์ ๗ ที่เราจะต้อง สังวรระวัง ให้มีสติรู้ตัว มีธัมมวิจัย มีวิริยะอย่างแท้จริง การมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม และมีธัมมวิจัย เป็นผู้ตื่นอยู่นั้น ไม่ใช่การมีสติรู้ ธรรมดา สามัญ

การมีสติรู้ธรรมดาสามัญ คือ รู้ว่า เรากำลังทำอะไร แล้วเราก็ทำอะไรไปตามอำเภอใจ ส่วนเราจะวิริยะ พยายามใช้ความเพียร ซึ่งความเพียรนี้ เป็นสิ่งที่เราจะต้องเพียร เพื่อธรรมะ และมีธัมมวิจัยให้จริงๆ ตรวจตรา พยายามวิจัยกาย พยายามวิจัยจิต กายใน-กายนอก สิ่งที่แวดล้อม สัมพันธ์อยู่ และ พฤติกรรมของเรา แม้กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมนั่นเอง วิจัยให้เห็นกุศล อกุศล หรือสุจริต ทุจริต แท้จริงให้ได้ เท่าที่เราจะมีความเพียร มีปัญญา โดยความจริงใจ แล้วพยายามปรับตัวเอง จริงๆเสมอๆ ผู้ใดได้พากเพียรดังนี้จริง และได้กระทำได้มาก ผู้นั้นย่อมมีผลมาก เพราะการก้าวเช่นนี้นั้น เป็นหลักธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น จะเป็นผู้ค้นพบ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่อุบัติ หลักโพชฌงค์ ๗ จะไม่เกิดในมนุษย์โลกเลย เมื่อยังไม่ถึง ที่สุดของทุกข์ ก็ไม่ควรหยุดบำเพ็ญ".

ก็หวังว่าชาวเราจะได้เก็บคาถาธรรมเรื่องนี้ไว้เตือนตนเสมอๆ เพื่อให้การทำงานใดๆที่ทุกท่านลงทุน-ลงแรงไปนั้น จะก่อประโยชน์ตน และท่านได้ อย่างครบพร้อม โดยไม่ทำให้ท่าน ต้องตกอยู่ในกับดัก ที่แฝงมากับงาน.

โพธิ

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


สดจากปัจฉาสมณะ

ต้องขออภัยอย่างยิ่งกับฉบับที่แล้วที่ผิดพลาดมาก อาจมาจากเร่งรีบเขียนต้นฉบับด้วยลายมือ แล้วส่งโทรสารด่วน ที่เสียหายมากก็คือ การพิมพ์ไปว่า...คนในระบบบุญนิยม ไม่มีประโยชน์ต่อสังคมเลย ทั้งๆที่เขียนไปว่า..คนในระบบทุนนิยม ไม่มีประโยชน์ต่อสังคมเลย

การตรวจดวงตาของพ่อท่าน ล่าสุด(๖ ก.ค.) พ.ญ.สุขุมา วรศักดิ์ ว่า ตาขวาที่เคยเลเซอร์นั้น เรียบร้อย แห้งดีกว่าที่คิด ไม่มีเลือดออกอีก ส่วนตาซ้ายวุ้นลูกตาเสื่อมตามวัย จอรับภาพยังไม่มีปัญหาอะไร และพบมีต้อกระจกทั้งสองข้าง แต่ไม่ขุ่น เตือนให้ระวังตาซ้าย หากผิดปกติให้รีบหาหมอ

งานคอนเสิร์ต "ธารน้ำใจสู่วัชราภรณ์" ๒๐ ก.ค.นี้ ที่สันติอโศก เป็นครั้งที่สองที่พ่อท่านเอื้อให้จัด เพื่อกระตุ้นสำนึกความมี "น้ำใจ" ของผู้คนในสังคม โดยอาศัยความเจ็บป่วย ของคุณวัชราภรณ์ เป็นเหตุด้วยคุณวัชราภรณ์ สุขสวัสดิ์ เป็นศิษย์คนหนึ่ง ที่พ่อท่าน เคยสอนการร้องเพลงให้ ตั้งแต่พ่อท่าน ยังทำงานโทรทัศน์ จัดรายการ "ขวัญดาว" เมื่อพ่อท่านบวชได้ หลายปีผ่านมา คุณวัชราภรณ์ ได้มาช่วยร้องเพลง สัจจะชีวิต ให้หลายชุด เมื่อคุณวัชราภรณ์เจ็บป่วย ด้วยโรคไต พ่อท่านได้อาศัย ความเกี่ยวโยงนี้ ช่วยเหลือ ขณะที่พวกเราหลายคน ข้องใจว่า ทำไมพ่อท่าน จึงเอื้อช่วย คุณวัชราภรณ์ ถึงขนาดนี้ ทั้งๆที่ เขาเป็น คนนอก คนในยังไม่เห็นมีใคร ได้รับการช่วยเหลือขนาดนี้ ผู้เขียนเข้าใจว่า พ่อท่านจะไขข้อข้องใจนี้ ในวันงาน คอนเสิร์ตนั้น หรือ อาจจะเป็น หลังงานแล้ว ก็ได้...

๕ ก.ค.ที่เพิ่งผ่านไป นายเทพพงษ์ อักษรศรี หรือที่ชาวสันติอโศก เรียกขานเขาว่า "น้อย" ได้เสียชีวิตอย่างสงบที่บ้าน ข้างโรงพิมพ์ ฟ้าอภัย "น้อย" เป็นคนปัญญาอ่อนที่น่ารัก มีปกติชอบเล่นสนุกสนาน ทักทายใครต่อใครไปทั่ว เป็นที่รัก ของคนทุกวัย ตั้งแต่เด็ก จนถึงคนสูงวัย "น้อย"ไม่มีสมบัติใดๆ นอกจากบ้านชั้นเดียวเล็กๆ ที่โยมบุญธรรม แม่ของ "น้อย" ได้ยกมอบ ให้มูลนิธิฯหลายสิบปีแล้ว เมื่อ "น้อย" เสียชีวิตในช่วงบ่าย ค่ำวันนั้น พ่อท่านรับแสดงธรรมหน้าศพ ให้ทันที และให้เวลา ไปร่วมเผาศพ ที่ปฐมอโศก (๗ ก.ค.)ด้วย ทั้งๆที่ต้องเดินทางไปราชธานีอโศก วันรุ่งขึ้น(๘ ก.ค.) ก่อนหน้านี้ พระนิสิตปริญญาโท จากสถาบันมีชื่อแห่งหนึ่ง ติดต่อจะไปดูชุมชนปฐมอโศก (๗ ก.ค.) และขอสนทนา กับพ่อท่านด้วย แต่พ่อท่าน ขอเลื่อนเป็นวันเวลาอื่น นี่เป็นเรื่องจริงที่เกิดแล้ว และนำมาอธิบายแก้ต่างได้ส่วนหนึ่ง ถึงข้อข้องใจข้างต้น กรณีคุณวัชราภรณ์ จากกรณีการตายของ "น้อย" บอกให้เรารู้ว่า คนนอกที่มีเกียรติยศ มีความยอมรับ ในสังคมมากกว่า คนในที่ปัญญาอ่อน ช่วยเหลืองานอะไร ก็ไม่ได้มากนัก แถมเป็นภาระ ให้หมู่ต้องเลี้ยงดูด้วยซ้ำ แต่มีคุณธรรมบางส่วน ที่พวกเรา สัมผัสได้ พ่อท่านจะให้ค่ากับคนในอย่างนี้ มากกว่าคนนอก ขณะที่คนในหลายคน ที่ช่วยเหลืองานส่วนกลาง ก็มาก เมื่อเสียชีวิต พ่อท่านก็ยังไม่ได้ไปเทศน์หน้าศพ ไม่ได้ไปร่วมเผาศพด้วย อย่างกรณีของ "น้อย" แม้คนในที่ยังมีชีวิตอยู่ หลายคน เมื่อเจ็บป่วย ก็ยังไม่เคยได้รับการเยี่ยมเยียน เอาใจใส่ ดูแลช่วยเหลือ อย่างกรณีของ "น้อย" เรื่องนี้ผู้เขียนเข้าใจว่า เป็นเรื่องของ จังหวะเวลา และบุญบารมี ที่เกื้อหนุนกันมา และคงสรุปไม่ได้ทันทีว่า ถ้าเป็นคนใน แล้วพ่อท่านจะเอื้อ ให้มากกว่าคนนอก หรือคนใน ที่ขยันช่วยเหลืองานส่วนกลาง จะได้รับการเอื้อเอาใจใส่ดูแล มากกว่าคนในอื่นๆ

เมื่อเดือนที่แล้ว นักร้องรุ่นคุณวัชราภรณ์ ซึ่งเป็นศิษย์ของพ่อท่าน อีกคนหนึ่งชื่อ คุณวีระ ไชยสุขุมาร ได้มานมัสการพ่อท่าน หลังจากพูดคุย กับพ่อท่านแล้ว ผู้เขียนได้พาเดินชม บริเวณสันติอโศก คุณวีระได้บอกเล่าเรื่องในอดีต เกี่ยวกับพ่อท่านให้ฟัง ด้วยความชื่นชม ศรัทธาความมีน้ำใจเสียสละ การเป็นผู้ให้มาตลอด ตั้งแต่ทำงานอยู่สถานีโทรทัศน์ กับใครต่อใคร หลายครั้ง หลายเหตุการณ์ แม้แต่กับคุณวีระเอง พ่อท่านก็ช่วยสอน การร้องเพลงให้ จนทุกวันนี้ คุณวีระได้รับการยกย่อง จากหลายๆคน ให้เป็นอาจารย์ คุณวีระยังคงระลึกถึง บุญคุณของพ่อท่านได้จึงมา ทราบภายหลังจากพ่อท่านว่า คุณวีระนับถือ ศาสนา อิสลาม สิ่งนี้แสดงว่า การช่วยเหลือคน เป็นปกติวิสัย ของพ่อท่าน เป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่ใช่แค่ญาติพี่น้อง ไม่ใช่แค่ พรรคพวก ไม่ใช่แค่ญาติธรรมคนใน หรือคนนอกเท่านั้น แม้ต่างศาสนา พ่อท่านก็ช่วยโดยไม่เกี่ยง หวังใจว่า หลายคนที่ข้องใจ คงได้คิด มองการช่วยเหลือคน ของพ่อท่าน ในมิติที่กว้างขึ้น.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


เครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษ อุบลราชธานี ร่วมกับกองทุนเพื่อสังคม (SIF)
ช่วยเหลือเกษตรกร ที่เข้ารับการอบรม

หลังการอบรมลูกค้าเกษตรกรของ ธ.ก.ส.ของหมู่บ้านราชธานีอโศกเมื่อปี ๒๕๔๔ ที่ผ่านมา ซึ่งในการอบรม ได้ให้ความรู้ เรื่องการทำกสิกรรมไร้สารพิษ และเพื่อรองรับการทำกสิกรรม แก่เกษตรกร ที่เข้ารับการอบรมแต่ละรุ่น ทางบ้านราชฯ ได้จัดเตรียมสถานที่ไว้ เป็นตลาดพืชผักผลไม้ ไร้สารพิษที่ใต้เฮือนไท อุทยานบุญนิยม ฝั่งเมือง จ.อุบลราชธานี โดยได้รับ การสนับสนุน จากกองทุน เพื่อสังคม (SIF)

โดยเมื่อวันเสาร์ที ๖ ก.ค.๔๕ ผู้สื่อข่าวของเราได้เดินทางไปสัมผัสบรรยากาศ ของตลาดพืชผัก ผลไม้ไร้สารพิษ ดังกล่าวข้างต้น ซึ่งทราบมาว่า ผู้ที่จะนำสินค้ามาขายที่นี่ จะต้องผ่านการอบรม หลักสูตรสัจธรรมชีวิต จากเครือข่ายชาวอโศก หรือ เป็นสมาชิก เครือข่ายกสิกรรม ไร้สารพิษ ของชาวอโศก หรือเป็นญาติธรรมชาวอโศก ปลอดอบายมุข และจะต้อง เข้าร่วมฟังการประชุม ทุกวันเสาร์ ที่อุทยานบุญนิยม เพื่อรับทราบนโยบายด้วย

 

สำหรับตลาดแห่งนี้ เปิดจำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันศุกร์ที่ ๓๑ พ.ค.๔๕ ที่ผ่านมา มีการประชาสัมพันธ์ทางวิทยุ จ.อุบลฯ และมีการแจกใบปลิว ซึ่งใน ๒ ครั้งแรก ได้เปิดจำหน่าย ทุกวันศุกร์ และต่อมา เพื่อความเหมาะสม ในหลายๆด้าน ได้ย้ายมา เปิดบริการ ในทุกวันเสาร์ จนถึงปัจจุบัน นับเป็นครั้งที่ ๖ แล้ว โดยเริ่มจำหน่าย ตั้งแต่เวลา ๐๖.๐๐-๑๔.๐๐ น.

สำหรับบรรยากาศของตลาดในครั้งนี้ คึกคัก มีผักมากมาย ส่วนมากจะเป็นผักพื้นบ้าน มีมุมจำหน่ายผ้าฝ้าย มีผลไม้ไร้สารพิษ เช่น เงาะ ทุเรียน แตงโม มะม่วง กล้วยน้ำว้า กระทกรก น้อยหน่า มีประชาชน ที่ผ่านไปมา หรือทราบข่าว แวะมาซื้อสินค้า ที่ตลาด มากมายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

สำหรับกรรมการและผู้ประสานงานในครั้งนี้ ตลอดจนลูกค้าที่มาซื้อสินค้า ได้ให้แสดงความคิดเห็น ดังนี้

น.ส.ดาวแพงขวัญ ชาวหินฟ้า กรรมการเครือข่ายฯ "เท่าที่ผ่านมา ลูกค้าพอใจมาก เรียกร้องให้เปิดทุกวัน หรืออย่างน้อย ๓-๔ วันต่อสัปดาห์ แต่เนื่องจากการผลิตยังไม่มากพอ จึงเปิดได้เพียงอาทิตย์ละ ๑ วันไปก่อน ถ้าสินค้ามากพอ ก็จะเพิ่ม วันอาทิตย์อีก ๑ ลูกค้าเพิ่มขึ้น รายได้เพิ่มขึ้น ทั้งๆที่ราคาเดิม โดยมากจะเน้นผักพื้นเมือง เพราะไม่ต้องดูแลมาก และเป็นยา ไปในตัวอยู่ในแล้ว มีการควบคุมราคา จะขายถูกกว่าท้องตลาด ในลักษณะที่ ต้นทุนต่ำ"

น.ส.ดาวพร ชาวหินฟ้า ผู้ประสานงานฯ "ได้ทำงานกว้างขึ้น ต้องเสียสละมากขึ้น เขาดีใจที่มีตลาด ช่วงแรกเรื่องราคา ยังมีปัญหา เราพยายามไม่ให้ผักซ้ำกัน เราประชุมสรุปงานทุกครั้งว่า ครั้งต่อไป ใครจะนำผักอะไรมาขาย มีการวางแผน ในการปลูกผัก ไม่ให้ซ้ำกัน ไม่ให้นำมามากเกินไป ให้พอขายหมด ๒ นัดแรกช่วยค่าเดินทาง เป็นงบประมาณของซิฟ (SIF) ช่วงหลัง ผลผลิตเขาดีขึ้น เราก็ไม่ได้ช่วยแล้ว สินค้าบ้านราชฯ มีผัก เต้าหู้ ถั่วงอก สาธิตการทำถั่วงอก ให้ความรู้ และ ขายกระถางด้วย ซึ่งขายดีมาก กระถางละ ๒๐ บาท สามารถเก็บกินได้หลายวัน

ครั้งที่แล้วเอาน้องเลี้ยงที่มางานอบรม เพื่อให้เขาเห็นตลาด แล้วกลับไปปลูก ยิ่งตอนงานเจ ต้องใช้ผักเยอะ เริ่มวางแผน ให้สมาชิกปลูก"

 

นางปนัดดา ทำประโยชน์ สมาชิกเครือข่ายฯ บ้านหนองหว้า จ.อุบลฯ "ทำงานกับสมาชิกในเครือข่ายมา หลายปีแล้ว มาช่วยขาย เพราะยังรับราชการอยู่ บรรยากาศเป็นกันเอง ไม่มีการแก่งแย่งชิงดี ช่วยเหลือกันดี ชอบมาก ผักที่นี่ ขายไม่แพง อยากให้มี ตลอดไป น่าจะขยายตลาด ออกไปให้ใหญ่กว่านี้"

นางเพ็ง สายเบาะ อายุ ๖๐ ปี สมาชิกเครือข่ายฯ "เริ่มมาขายตั้งแต่ครั้งที่ ๒ เอาของมาก็ขายหมด ของที่นำมาขาย ปลูกเอง หมดเลย ใช้แต่จุลินทรีย์ ขี้วัว-ขี้ควายรด ส่วนผักติ้ว เก็บเอาตามป่า มาขายแล้วดี อบอุ่น เห็นญาติธรรม เหมือนเห็นพี่ เห็นน้อง จะได้เงินหรือไม่ก็ช่าง บางครั้งขายไปแจกไป แจกพี่แจกน้อง แลกเปลี่ยนกันกิน อยากให้มีทุกวัน"

นางพร รุ่งเรือง ลูกค้า "มาทุกวันเสาร์ แปลกๆดี ของถูก ไร้สารพิษ ชอบมาซื้อแตงโม และซื้อผัก ไม่ต้องคิดมาก ปกติจะเป็นคน ไม่กินแตงโม ตามท้องตลาดเลย แต่ที่นี่มั่นใจมาก คนที่นี่เขามีศีล ข้างนอกบอกว่าไร้สารพิษ ไม่เชื่อ แต่ที่นี่เชื่อ

ผักราคาไม่แพง ถูกกว่าตลาด เอาผักที่นี่ไปผัดให้ลูกกิน แล้วไม่คิดมาก บางผักก็ไม่รู้จัก กินไม่เป็น ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร เป็นผักพื้นบ้าน น่าจะมีตลอดไป อย่ายุบนะ"

นายเศษดิน กีตา ผรช.อุทยานบุญนิยม "ประชาชนให้การต้อนรับดีมาก เมื่อก่อน เราเอาผักจากบ้านราชฯ มาขาย ก็ไม่พอ

ดีใจที่คนได้กินของไร้สารพิษ สุขภาพดี จะได้ช่วยเครือข่าย ที่ผลิตออกมาด้วย มีตลาดรองรับ เป็นความต้องการ ของประชาชน ด้วย ที่ต้องการรักษาสุขภาพ"

คุณอรชร ธานี ลูกค้า "ไม่ทราบว่ามีตลาด เคยแต่มาทานอาหารที่อุทยานฯ เห็นมีอะไรขายเยอะแยะ ก็เลยแวะเข้ามา มั่นใจว่า ไร้สารพิษ เพราะดูแล้วไม่สวย ราคาก็ถูกกว่าท้องตลาด มั่นใจได้"

คุณนาวิน โชคฤทัย ลูกค้า "มาซื้อแตงโม น้ำผึ้ง ขนม มั่นใจว่าไร้สารพิษมาก ปกติก็มาทานอาหารที่นี่ เป็นประจำอยู่แล้ว ราคาไม่แพงเลยครับ มั่นใจมาก เพราะคำว่า ราชธานีอโศก อยากให้มีตลาด อย่างนี้ทุกวัน".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


โทษภัยของมูลสัตว์

มูลสัตว์ที่เป็นอันตรายที่สุดคือ มูลไก่ โดยเฉพาะไก่พันธุ์เนื้อ เมื่อก่อนเขาเลี้ยงไก่ ๔๕ วัน ต่อมาเหลือ ๔๐ วัน บางตัวแค่ ๓๕ วันเท่านั้น โดยเอาสารเร่งใส่กับหัวอาหารให้ไก่กิน เพื่อให้เนื้อไก่มีไขมันน้อย และเมื่อไก่เป็นหวัด เขาก็ฉีดวัคซีนเข้าไป บางครั้ง ไก่ไม่สบาย เขาก็ฉีดยาเข้าไป คนที่ฆ่าไก่ เขาจะไม่กินตับไตของมันเลย หัวไก่เขาตัดทิ้งไปเลย เพราะยาฉีดมาก เมื่อเราเอามูลไก่ มาใส่พืชผักจึงงาม เราคิดว่ามูลไก่ดี ยกเว้น ว่าเป็นไก่ที่เราเลี้ยงเอง แต่ใส่ไปสักระยะ ผักก็จะเปื่อย และเกิดราเน่า ๔-๕ วัน เพลี้ยก็จะขึ้นใบผักหมด

มูลหมูก็เหมือนกัน ทุกวันนี้มีสารเร่งให้หมูเจริญเติบโต และสารไปเร่งสกัด ให้หมูเป็นเนื้อแดง และ ฉีดยาเข้าไปอีก

มูลวัว-ควายก็อันตราย เพราะมันไปกินหญ้าที่เขาฉีดยา หากเอามาใส่พืชผักโดยตรง จะเป็นสื่อให้แมลงต่างๆ ทำให้เกิด โรคราเน่า พวกแมลงเพลี้ยต่างๆ จะมากินผัก เราก็เอาสารเคมีมาใส่เพื่อฆ่าเพลี้ย พิษจึงมีรอบด้าน แม้แต่น้ำที่ไหล มาจากภูเขา ก็ไม่ปลอดสารพิษ ร้อยเปอร์เซ็นต์

หากจำเป็นต้องเอามูลสัตว์ไปใส่ผัก ก็ให้หมักเสียก่อนจะปลอดภัยกว่า อันตรายก็จะไม่มี

ประโยชน์ของฟาง-พืชตระกูลถั่ว

ฟางให้ธาตุฟอสฟอรัส โปแตสเซียม ไนโตรเจน เมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จ ก็โน้มฟางลงดินปล่อยน้ำเข้า ประมาณ ๓ เดือน ฟางก็จะไส้เน่า ฟางที่เน่าย่อยสลาย อยู่กับดินไปเรื่อยๆ มันจะไปปรับดิน จากดินเค็ม เป็นดินที่มีความสมดุล

พืชตระกั่วถั่วที่ดีที่สุดคือ ต้นก้ามปู(จามจุรี) ต้นบก หรือต้นอะไรก็ได้ที่เป็นฝัก ให้พยายามปลูกไว้ ตามไร่ ตามนา จะให้แร่ธาตุ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม หากมีถั่วและฟางจะให้แร่ธาตุ NPK ซึ่งอยู่ในปุ๋ยเคมี ที่เราไปซื้อ ตามท้องตลาด

ปุ๋ยเคมีทำลายดิน-วิธีแก้

เมื่อเอาปุ๋ยเคมีไปใส่กับดินที่เป็นธรรมชาติ พวกสัตว์ต่างๆที่อยู่ในดินจะตายหมด ดินก็จะกลายเป็นกรด ปุ๋ยเคมีที่เราใส่ไป ๑๐๐ % จะไปทำหน้าที่ ช่วยพืชเพียง ๔๐ %เท่านั้น อีก ๖๐% จะละลายไปกับน้ำหมด แล้วไปตกค้างที่พื้นดิน เมื่อเราใส่ ปุ๋ยเคมี บ่อยๆ ทำให้ดินเสื่อม แล้วก็เป็นดินป่วย คือเป็นดินแข็ง ปีต่อไปเราก็ใส่เพิ่มไปเรื่อย สุดท้าย ดินก็จะเกิดอาการน็อค ปลูกอะไร ก็ไม่ขึ้นอีกเลย

วิธีแก้ ในช่วง ๖ เดือนให้หว่านถั่วมะแฮะและโสนลงไป หว่านถี่ๆทุกปี พอเดือนที่ ๑๐ ก็ไถกลบ ดินก็จะปรับฟื้นขึ้นมา

หัวใจการปลูกผักไร้สารพิษ

หัวใจการปลูกผักไร้สารพิษอยู่ที่ดินดี คือต้องประกอบด้วยจุลินทรีย์และอินทรีย์วัตถุ

อินทรีย์วัตถุ คือเศษซากพืช ซากสัตว์

เมื่อเราใช้ดินไปจนเสื่อมหมดแล้ว แล้วก็ใส่สารเคมีลงไป อินทรีย์วัตถุก็จะไม่เหลือ วิธีแก้ไข คือเอาจุลินทรีย์ และ อินทรีย์วัตถุ ไปใส่ ใช้จุลินทรีย์อย่างเดียวไม่พอ ที่เราใช้จุลินทรีย์แล้วได้ผล เพราะตรงนั้น มีอินทรีย์วัตถุอยู่มากแล้ว

น้ำหมัก

น้ำแม่จากผักหมัก จะไปบำรุงต้นอ่อน

น้ำพ่อจากผลไม้หมัก จะไปบำรุงต้น ดอก ต่อมาใช้ถั่วเหลืองแทนผลไม้(ของ อ.สมหมาย หนูแดง) เร่งได้ประสิทธิภาพดี ก่อนที่ข้าวจะตั้งท้อง เอาไปพ่นใส่

แต่ถ้าเอาน้ำแม่ไปพ่นใส่ ก็จะยิ่งเฝือใบ ต้องรู้หลักการใช้

ปุ๋ยสูตรดินหมัก

เอาดินที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มีซากพืชซากสัตว์ คือใบทับถมกันมาหลายปี ส่วนมากเอาจากต้นไผ่ ๑ กก. ผสมกับรำอ่อน ๑ กก. คลุกเข้าด้วยกัน ใส่น้ำตาลทรายแดง ๒ ช้อน เอาไปคลุก พรมน้ำให้ได้ความชื้นหมาดๆ แล้วคลุมผ้าทิ้งไว้ ใต้ต้นไม้ ที่เอามาไว้ ในที่ร่ม ๓ วัน เสร็จแล้วผสมกับน้ำ ๒๐ ลิตร น้ำตาล ๑ กก. หมักไว้ ๗ วันก็ใช้ได้.

(สรุปจากการบรรยายเรื่อง กสิกรรมไร้สารพิษ ของ อ.อุดม ศรีเชียงสา)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ชื่อ นายปิ่น บัวมาศ
เกิด ๑๓ มี.ค.๒๔๖๘
อายุ ๗๘ ปี
ภูมิลำเนา นครปฐม
การศึกษา ป.๔
สถานภาพ แต่งงาน บุตร ๔ คน
ส่วนสูง ๑๖๘ ซ.ม.
น้ำหนัก ๔๖ กก.

คุณตาปิ่นเคยเป็นพระของชาวอโศก แต่ลาสิกขาหลังจากบวชได้ ๑ พรรษา ปัจจุบันคุณตาทำสวนลำไยไร้สารพิษ อยู่ที่เชียงใหม่ คุณตาได้ฝากข้อคิด เกี่ยวกับชีวิตนักบวช ไว้น่าสนใจทีเดียวค่ะ

ก่อนบวช
ปี ๒๕๒๓ ผมทำงานอยู่ที่ธนาคารไทยทนุ เป็นพนักงานรับฝากเงิน และตรวจธนบัตรปลอม ผมสนใจ และปฏิบัติธรรม อยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพฯ ต่อมาเพื่อนที่ทำงานบอกว่า วัดที่ผมไปปฏิบัติธรรมอยู่นั้น ชิดซ้ายไปเลย ที่สันติอโศกดีกว่า พระที่นี่ ฉันมังสวิรัติ มื้อเดียว ได้ยินแค่นั้น จิตผมพุ่งเลยทีเดียว สนใจมาก คิดว่าอย่างนี้ หาไม่ได้อีกแล้ว จึงบอกให้เพื่อนพาไป แต่เขาไม่มีเวลา จึงเขียนแผนที่ให้ผม

อามิสบูชา
พอวันเสาร์ผมก็จัดแจงซื้อดอกไม้ธูปเทียนเตรียมไปถวาย พอไปถึงได้สนทนา กับพระรูปหนึ่ง และถวายดอกไม้ ธูปเทียน ที่เตรียมไป ท่านได้อธิบายให้ผมเข้าใจ ในข้อวัตรปฏิบัติของที่นี่ และการไม่รับ ดอกไม้ธูปเทียน จนผมเข้าใจ ท่านชักชวน ให้ผมมาฟังธรรม ในวันเสาร์หน้า

พอวันเสาร์ผมก็ไปฟังธรรมอีก วันนั้นพ่อท่านเทศน์ เรื่องอาหารมังสวิรัติ เสาร์ต่อมา ผมก็มาฟังอีก พ่อท่านเทศน์ เรื่องอาหารมังสวิรัติอีก ผมฟังแล้วเข้าใจ กลับไปก็เริ่มต้น กินอาหารมังสวิรัติ และรักษาศีล ตั้งแต่นั้น เป็นต้นมา จนถึงทุกวันนี้ ส่วนแม่บ้าน และลูกๆเข้าใจ ไม่ขัดขวาง แต่ไม่ได้ปฏิบัติ ผมก็ทานมังสวิรัติ ของผมคนเดียว ทำอาหารกินเอง

ชีวิตหมองในผ้าสีหม่น
ปฏิบัติอยู่ปีกว่า ก็มาสมัครบวช ตอนนั้นอายุ ๕๘ ปีแล้ว เป็นปะ-นาค-เณร ใช้เวลา ๑ ปี ปี ๒๕๒๕ จึงได้อุปสมบท เป็นพระภิกษุ ของชาวอโศก และปี ๒๕๒๗ ก็ลาสิกขา สาเหตุเพราะ อัตตามานะของผมเอง

คือในงานปลุกเสกฯ ผมได้เป็นพระเกจิฯ แล้วเทศน์น้อย อาวุโสรูปหนึ่งก็พูดกับผมว่า เป็นถึงพระเกจิฯ ทำไมถึงเทศน์น้อย ผมก็ตอบไปว่า ความรู้ผมมันน้อย ก็เทศน์ได้น้อย ท่านก็บอกว่า อย่างนี้ควรสึกดีกว่า ผมเกิดอัตตามานะทันที ไปหาพ่อท่านขอสึก พ่อท่านก็ไม่สึกให้ เทศน์โปรดผมอยู่นาน ไปหาท่านอนุตตโร ท่านก็ไม่สึกให้ เทศน์โปรดผมอยู่นาน จนผมคลายใจ

บอกลาสิกขา
ต่อมาถึงงานมหาปวารณา ภันเตรูปหนึ่งพูดว่า ผมเคี้ยวอาหารเสียงดังจับๆ ตอนนั้น ผมอ่านกิเลสไม่ออก จึงเกิดอัตตามานะ จะสึก แม้พ่อท่าน จะเทศน์โปรดถึง ๒ ช.ม. ก็ไม่สำเร็จ จิตมันต้าน คิดว่าเขารังเกียจเรา เราแก่แล้ว ตอนนั้นพระแก่มี ๒ รูป คือ ท่านพหุลีกโต และท่านปาตุภูโต แต่ท่านมีมานะน้อยกว่าผม ส่วนผมทนไม่ได้ ตอนนั้นพระพี่เลี้ยงคือ ท่านพรหมจริโย ก็ไม่อยู่ ไม่รู้จะปรึกษาใคร จึงตัดสินใจสึกในที่สุด

ค่ายกลชีวิตพรหมจรรย์
ให้ระวังตัวมานะ เพราะจะเกิดได้ทุกขณะ จิตจะผลัก ควรอดทน อย่าวู่วาม ทุกคนเขาล้วนหวังดีต่อเรา ถ้าย้อนเวลากลับได้ จะไม่สึก จะอดทน เพราะสึกไปแล้วทุกข์หนัก ไม่ว่าเรื่องครอบครัว ไหนจะเรื่อง ทำมาหากินอีก

สึกแล้วผมก็ไปทำน้ำตาลปี๊บส่งชมร.สาขาจตุจักร กทม.อยู่ ๓ ปี แล้วย้ายมาอยู่เชียงใหม่ ทำสวนลำไย ๑๒ ไร่ ทำแบบ ไร้สารพิษครับ

ไม่ท้อถอย คอยสร้างสิ่งที่ควร
ผมก็มาเข้ากลุ่มลานนาอโศก และไปที่ภูผาฟ้าน้ำ ต่อมาผมผ่าตัดกล้ามเนื้อหัวใจ เส้นเลือดอุดตัน เดินทางไม่ค่อยสะดวก จึงไม่ค่อยไปไหน ที่ต้องนั่งรถนานๆ ปวดหลังครับ ก็อาศัยฟังเท็ปเอา ตอนนี้กิน ๒ มื้อ เพราะต้องทานยา ที่หมอให้ตลอดชีวิต

ทุกวันนี้อยู่ ๒ คนตายาย ผมจะไปที่ลานนาอโศก ทุกวันเสาร์ อยู่กลุ่มผู้อายุยาว ดีครับ อบอุ่น มีอะไรก็พูดคุยกัน ช่วยเหลือกัน มีเวลา ผมก็ไปช่วยที่ ชมร.เชียงใหม่ ด้วยครับ

ฝากข้อคิด
ผู้มีศีลที่ยังไม่มาก็ขอให้เข้ามา ผมคิดว่าอโศกเป็นเส้นทาง ที่นำจิตวิญญาณ ให้พ้นโลกอเวจีได้ ทางอื่นไม่สามารถ พาเราพ้นได้

ค่ะ...หลายครั้งที่เราขาดความอดทน บางสิ่งเราก็ไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้ จึงขอฝากข้อคิดที่จดจำมาว่า

ชั่วขณะชีวิตจิตอดทน ก็พาพ้นพินาศภัยอันใหญ่หลวง

ชั่วขณะละลดทนทั้งปวง ก็อาจร่วงรินพังทั้งชีวิน

บุญนำพา รายงาน

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ครูไม่รับเงินเดือนผิดก.ม.หรือไม่
ขออนุญาตจัดตั้งวิทยาลัยชุมชน เพื่อรองรับเด็กที่จบ ม.๖ สัมมาสิกขา

เมื่อวันที่ ๑๓ มิ.ย. ๔๕ ตัวแทนคุรุจากสัมมาสิกขาหินผาฟ้าน้ำ ศีรษะอโศก ปฐมอโศกและสันติอโศก ได้เข้าพบ รมช. กระทรวงศึกษาธิการ ดร.ศิริกร มณีริน ที่กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่เวลา ๑๐.๐๐-๑๕.๐๐ น. ได้รับการต้อนรับ อย่างอบอุ่น เกี่ยวกับเรื่องนี้ คุรุฟังฝน จังคศิริ ครูใหญ่ ร.ร.สัมมาสิกขาสันติอโศก ได้เล่าถึงบรรยากาศให้ฟังว่า

"ห้องที่ไปนั้นเป็นห้องเดียวกันกับครั้งที่แล้ว ที่ดำเนินการเรื่อง ครูไม่ขอรับเงินเดือน กับ รมว.ชุดที่แล้ว แต่บรรยากาศต่างกันมาก วันนั้นตึงเครียดมาก แต่วันนี้อบอุ่นมาก

ไปคุยเกี่ยวกับเรื่อง กรณีครูไม่รับเงินเดือน ผิดกฎหมายหรือไม่ เราไม่ส่งเงินสมทบได้หรือเปล่า เงินอุดหนุนจะได้ไหม อันนี้เป็นเรื่องของ ครูสัมมาสิกขา ซึ่งเป็นนโยบายของพ่อท่าน ที่จะจัดการศึกษา แบบบุญนิยม การที่มาทำงาน เป็นครู สัมมาสิกขา จะต้องเสียสละ ไม่มีเงินเดือน น่าจะเป็นตัวอย่าง ให้กับสังคม เราก็เดินเรื่องนี้มาตลอด

เรื่องที่ ๒ เรื่องการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชน ว่าเราจะจัดตั้งอย่างไร หมายความว่า พอเด็กจบ ม.๖ จากสัมมาสิกขาแล้วต่อยอด คือ อนุปริญญา เราจะทำได้ไหม

เรื่องที่ ๓ คือเรื่องของหลักสูตร ต่อไปเขาจะให้สถานศึกษาทำเอง เพียงแต่ว่า เขากำหนดกรอบให้เรากว้าง เช่น ภาษาไทย เขาต้องการ ให้เด็กอ่านออกเขียนได้ มาตรฐานแค่นี้ คุณจะทำอย่างไร ให้เด็กอ่านออกเขียนได้ จะเอาเรื่องอะไรไปสอน จะจัดกิจกรรม อย่างไรก็ได้ ให้เด็กมีความสามารถ ในการสื่อภาษาได้ มีมารยาท อ่านวิเคราะห์ข้อมูลได้ จึงเป็นการเปิดกว้าง มากกว่าเดิม ถ้าเป็นเมื่อก่อน กระทรวงฯจะสั่งมา เราทำตามอย่างเดียว ชุมชน-วัด-นักเรียน-ผู้ปกครอง เขาให้องค์กร เหล่านี้ คิดเอง พอคิดเองแล้วก็ทำเอง แล้วก็ประเมินผลเอง เขาดูเพียงแค่ว่าถึงมาตรฐานหรือเปล่า

เรื่องเงินเดือนครู กรณีครูไม่รับเงินเดือนจะได้หรือไม่ เพราะกฎหมายไม่ได้เขียนไว้ ถ้าครูไม่รับเงินเดือน ถือว่าผิดระเบียบ ซึ่งพ่อท่านเห็นว่า ทำไมคนเสียสละ กลับต้องการเป็นทำผิดกฎหมาย และไม่ได้รับการสนับสนุน

ตอนนี้ทางสำนักคณะกรรมการการศึกษาเอกชนที่เขาดูแลเราอยู่ กำลังเสนอเรื่องนี้ ให้กับรัฐมนตรีอนุมัติ การที่เราจะไม่ขอรับ เงินเดือนทำได้ แต่ต้องได้รับความยินยอม จากครู ทายาท พ่อแม่เพื่อไม่รับสวัสดิการใดๆ จากกระทรวง ต้องทำเรื่อง ยินยอม ไปเลย แล้วเขาจะอนุมัติให้เป็นรายๆไป แล้วทางโรงเรียน จะต้องทำหนังสือยืนยันอีกว่า ได้จัดสวัสดิการให้ ไม่ด้อยกว่า ที่ทางราชการให้ ทำไป ๒ ประเด็น คือ ๑.ครูทำหนังสือยินยอม ๒.โรงเรียนแจ้งไป แล้วเราจะทำเรื่องนี้ ส่งไปในวันจันทร์ที่จะถึง เพื่อให้ รมช.ศิริกร มณีริน ดำเนินการต่อไป

เรื่องวิทยาลัยชุมชน ตอนนี้เขาจะให้เราเป็นสาขา ของวิทยาลัยชุมชนบุรีรัมย์ เรากำลังมาศึกษา ในกฎระเบียบ ของพระราชบัญญัติต่างๆว่า มีผลต่อการดำเนินงาน ของพวกเราขนาดไหน ถ้าหากว่าขัดขวาง เกี่ยวกับการดำเนิน ของพวกเรามาก เราก็จะไม่ขอจัดตั้ง แต่ถ้าหากดูแล้ว เป็นไปได้ด้วยดี ก็จะขอจัดตั้งเป็นสาขา ก่อนที่เราจะกลับ จากการเข้าพบ ดร.ศิริกร มณีริน ในครั้งสุดท้าย เราพบว่า การจัดตั้งวิทยาลัยชุมชน เอกชนก็สามารถจัดได้ ไม่จำเป็นต้องเป็น ของหน่วย งานราชการ หรือไปเป็นสาขา ของหน่วยงานราชการ ตอนนี้อยู่ในระหว่างการศึกษา กฎระเบียบต่างๆว่า เราจะเอาหรือไม่ เกี่ยวกับการจัดตั้ง วิทยาลัยชุมชน

วิทยาลัยชุมชนของศีรษะฯที่ส่งเรื่องไปแล้วล่าช้า เพราะว่าผู้ที่ทำเรื่องนี้ทำไม่ต่อเนื่อง พอมีคนใหม่มารับ เรื่องก็เลยตกไป ก็เลยไม่ดำเนินการต่อ ทีนี้ที่ปรึกษาของ รมช.ศิริกร คือ ดร.บุญนำ ทานสัมฤทธิ์ ท่านก็ตามเรื่องนี้ให้ และพยายาม ทำให้เรา เป็นสาขา ของวิทยาลัยชุมชนบุรีรัมย์ เราไม่สามารถทำได้ เพราะงบประมาณของรัฐมีจำกัด ตอนนี้เขาตั้งมา มีประมาณ ๑๐ แห่ง ให้แห่งละ ๕ ล้าน และท่านนายกรัฐมนตรี อยากให้ทั้ง ๑๐ แห่ง ดำเนินการไปอย่างมีคุณภาพก่อน

แต่ของเราไม่ต้องการงบประมาณ เราเพียงแต่ขอรับการรับรอง ที่ถูกต้อง ตามกฎหมายจากรัฐ เมื่อเด็กจบ อนุปริญญาแล้ว เด็กสามารถ ไปสอบต่อ มสธ.หรือมหาวิทยาลัยรามคำแหงได้

เรื่องที่ ๓ เกี่ยวกับเรื่องหลักสูตร ทาง ดร.บุญนำ ได้นำผู้เชี่ยวชาญมาให้เราเลย ชื่อ ดร.สุชาติ จากกรมวิชาการ เพื่อมาแนะนำ ให้เรารู้จักว่า ต่อไปเราต้องจัดหลักสูตรแบบไหน เราได้รู้ กับผู้ที่ทำเรื่องนี้โดยตรง เป็นนิมิตหมายใหม่ กับเรามากที่ว่า กฎหมายใหม่ ที่ออกมานั้น สอดคล้องกับชุมชนของเรา เพราะชุมชนเรา นำร่องไปแล้ว กับการทำแบบนี้ เพราะจริงๆแล้ว การจัดการศึกษา ต้องชุมชน-วัด-ผู้ปกครอง-นักเรียน ไม่ใช่มาจากข้างบน เพราะฉะนั้น จึงคิดว่าตรงนี้ เป็นโอกาสอันดี ของเรามาก ที่เราจะจัดทำตรงนี้ และน่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด ของประเทศก็ว่าได้ ทาง ดร.บุญนำบอกว่า ถ้าเราอยากจะทำ ก็ให้ปรึกษา ในเครือสัมมาสิกขาว่า หลักสูตรแบบสัมมาสิกขาเป็นอย่างไร เราก็กำหนดออกมา ถ้าเราสงสัยอย่างไร เขาจะให้ ผู้เชี่ยวชาญ มาช่วยเรา มาให้คำแนะนำเราได้ ซึ่งตรงนี้ ดิฉันคิดว่าเราโชคดี ที่ได้ผู้เชี่ยวชาญ เฉพาะด้าน ที่เขาพร้อม จะช่วยเหลือเรา เอกสารต่างๆ เขาพร้อมจะให้เรา ตรงนี้ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากจะมี ร.ร.สัมมาสิกขา ในทุกเครือ มารวมกัน เราก็จะมีพ่อท่าน ซึ่งท่านจะมีวิสัยทัศน์ การศึกษาของเราเป็นอย่างไร เราก็สามารถโชว์วิสัยทัศน์ ออกไปได้เลย ในหลักสูตร ใครมาดู ก็จะเห็นตรงนี้ชัดว่า สัมมาสิกขาเป็นอย่างนี้ ต่างจากโรงเรียนทั่วไป มีพ่อท่าน มีนักเรียน มีผู้ปกครอง ก็คล้ายๆ กับที่เราทำอยู่ขณะนี้

ในเรื่องของครูไม่ขอรับเงิน ไม่ส่งเงินสมทบ จะได้รับเงินอุดหนุนหรือไม่นั้น กำลังดำเนินเรื่องต่อ แล้วเรื่องวิทยาลัยชุมชน ซึ่งเราได้มาศึกษา ระเบียบแล้วว่า เราจะเอาหรือไม่เอา ซึ่งในวันนี้ สามารถสอบถามได้ทุกเรื่อง มีปัญหาถามได้ทุกเรื่อง"

สำหรับผลจะเป็นอย่างไรนั้น ข่าวอโศกจะนำเสนอในโอกาสต่อไป

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


 

อีกทางเลือกหนึ่ง...เพื่อดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง... กิ่งธรรม

การกดจุดและนวดบนฝ่าเท้า

วิธีนี้มีกำเนิดในประเทศจีนมากว่า ๕,๐๐๐ ปีแล้ว แต่เพิ่งถูกนำมาเผยแพร่เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๑๓ โดยแพทย์ชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นแพทย์ หู คอ จมูก ในความคิดส่วนตัวของข้าพเจ้า คิดว่า พระพุทธเจ้าท่านนำมาเผยแพร่ เมื่อกว่า ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้ว ด้วยการให้พุทธสาวกของท่าน เดินไม่สวมรองเท้า ซึ่งถือได้ว่าเป็นการนวดฝ่าเท้า โดยธรรมชาติอย่างดี นอกจากจะช่วย รักษาสุขภาพแล้ว ยังเป็นการฝึกสติ ในการเดินให้สำรวมระวัง เรียกว่าได้ทั้ง ทางกายและใจ ในยุคนี้ พ่อท่านก็นำพา ลูกๆปฏิบัติต่อ

นักกดจุดบนฝ่าเท้าเชื่อว่า ส่วนต่างๆบริเวณฝ่าเท้า มีความสัมพันธ์กับอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เช่น นิ้วหัวแม่เท้า สัมพันธ์ กับศีรษะ และสมอง เป็นต้น กล่าวกันว่า การนวดบนฝ่าเท้า สามารถช่วยให้ร่างกาย ซ่อมแซมตัวเองได้ ยังสามารถ รักษาอาการต่างๆ ได้ เช่น เครียด ปวดกลัว ไมเกรน ไซนัสอักเสบ ระบบย่อยอาหารผิดปกติ เป็นต้น ส่วนประสบการณ์ ของผู้เขียน เคยเป็นผู้ถูกนวด และนวดให้ผู้ รู้สึกว่าที่แน่ๆ คือ ช่วยลดความเครียดได้ ผู้ป่วยชื่นชอบ และพึงพอใจ รู้สึกสบายขึ้น ส่วนตัวเอง ก็รู้สึกอย่างนั้นเช่นกัน

จุดต่างๆบนฝ่าเท้า
ที่สัมพันธ์กับอวัยวะ (จุดสะท้อนกลับ)

จุดสะท้อนกลับที่สำคัญบนฝ่าเท้า
(จุดต่างๆบนฝ่าเท้าที่สัมพันธ์กับอวัยวะ)

นักกดจุดฝ่าเท้าจะใช้แผนภูมิรูปเท้านี้ เพื่อแสดงจุดสำคัญบนฝ่าเท้าที่สัมพันธ์กับอวัยวะส่วนต่างๆในร่างกาย และเชื่อว่า เมื่อกดพบจุด ที่ไวต่อการกระตุ้นแล้ว ก็จะสะท้อนให้เห็นถึง การเจ็บป่วยของอวัยวะ ส่วนที่สัมพันธ์กับ จุดสะท้อนกลับนั้น เนื่องจาก อวัยวะส่วนใหญ่ ในร่างกาย มีความสัมพันธ์ กับจุดต่างๆ ที่ฝ่าเท้าแต่ละข้าง ดังนั้น การกดจุดนวดฝ่าเท้า ตรงตำแหน่ง ที่มีปัญหา จึงสามารถใช้บำบัดโรค ได้เกือบทุกชนิด


ส่วนบนของศีรษะ/สมองด้านข้างของศีรษะ/สมอง

ไหล่

กลุ่มเส้นประสาทของช่องท้อง(Solar plexus)

ตับ

ตับอ่อน

สำไส้ใหญ่

ลำไส้เล็ก

เส้นประสาทไซแอติก

ต่อมใต้สมอง

โพรงไซนัส

ตา

คอ

หู

หัวใจ

ปอด

กระเพาะอาหาร

ม้าม

ต่อมหมวกไต

ไต

กระเพาะปัสสาวะ

ฉบับหน้าเราลองมากดจุดฝ่าเท้าด้วยตัวเองกันนะคะ.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ชมร.เชียงใหม่แจกอาหาร เผยแพร่บุญนิยม ครั้งที่ ๔
ญาติธรรมจากหลายชุมชนมาดูการแจกให้เห็นกับตาว่า ทำได้อย่างไร

เมื่อวันพุธที่ ๒๖ มิ.ย.๔๕ ชมร.ช.ม.ได้แจกอาหารฟรีเป็นครั้งที่ ๔ ตั้งแต่เวลา ๐๖.๐๐-๑๔.๐๐ น. โดย ๓ ครั้ง ที่ผ่านมานั้น กำหนดแจก ทุกวันศุกร์สุดท้าย ของเดือน แต่เนื่องจากมีผักและข้าวของ ที่ญาติธรรมนำมาร่วมงาน เหลือเป็นจำนวนมาก และวันเสาร์-อาทิตย์ ก็เป็นวันหยุดของร้าน เพื่อการบริหารจัดการผัก และข้าวของที่เหลือ ที่ประชุม จึงมีมติย้ายมาจัด ในทุกวันพุธสุดท้าย ของเดือนแทน

และเช่นเคย การแจกฟรีครั้งนี้ ไม่ได้ประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าทราบล่วงหน้า เพื่อให้ลูกค้าประหลาดใจ ทำให้ลูกค้าหลายคน สอบถามว่า ทำไมถึงแจกฟรี พวกเราจึงได้อธิบายว่า เป็นการเผยแพร่ระบบบุญนิยม ระดับที่ ๔ (แจกฟรี) ว่าสามารถทำได้จริง มีญาติธรรมบางท่าน ที่เพิ่งทราบข่าว ได้ซื้อผักจากตลาด มาร่วมบุญด้วย ก็ได้รับคำอธิบาย จากทางร้าน จนเป็นที่เข้าใจว่า พืชผักผลไม้ ที่ทางร้านนำมา ปรุงอาหารแจกนั้น ต้องเป็นผักไร้สารพิษเท่านั้น

ในครั้งนี้ นอกจากจะมีผักป่าจากดอยแพงค่า และญาติธรรม นำผักไร้สารพิษ มาร่วมบุญ เหมือนเช่นเคยแล้ว ได้มีสิ่งใหม่ เกิดขึ้นคือ มีการแจกขนมปังโฮลวีททาครีมงาม น้ำเต้าหู้ ไอศกรีม (ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของทุกเพศทุกวัย) และเมนูพิเศษ พิซซ่าปล่อยวาง ซึ่งหลายคนบอกว่า พิซซ่าเจ้าไหนๆ ที่ว่าดังๆ ชิดซ้ายไปเลย เพราะนอกจาก จะปรุงด้วยผักป่า ไร้สารพิษแล้ว ยังอร่อยด้วย พิเศษสุด มีการสาธิต การทำเห็ดกะทะผักป่า พร้อมแจกสูตรฟรี แก่ผู้ที่สนใจ เรียกว่าอิ่มอร่อย สุขภาพดีแล้ว ยังสามารถ กลับไปทำทานเอง ที่บ้านได้ด้วย

ญาติธรรมมาร่วมแจกในครั้งนี้มีมากถึง ๑๑๘ คน บางคนมาจากเชียงราย แม่ฮ่องสอน และกลุ่มญาติธรรม ที่มาเข้าค่าย หลักสูตรมหัศจรรย์ บอกว่าอยากมาเห็น และร่วมแจกโรงบุญ กับชมร.ช.ม.ด้วย บางส่วนมาช่วยเตรียมงาน ตั้งแต่เย็น วันอังคารกันเลย บรรยากาศในครั้งนี้ จึงอบอวลไปด้วยรอยยิ้ม และมิตรไมตรี ที่มีต่อกัน อาหารก็มีมากมาย โดยเฉพาะ มุมผักป่าชุบแป้งทอด ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ หมดก่อนตั้งแต่ ๔ โมงเช้า หลายคนเพิ่งทราบว่า ดอกไม้ก็กินได้ ไม่ว่าจะเป็น ดอกเข็ม ดอกลั่นทม (ลีลาวดี) ดอกกระดุมเงิน ใบโกศล นอกจากสวยแล้วยังกินได้ และวันนี้ก๋วยจั๊บผักป่า หมดไปถึง ๓ หม้อเบอร์ ๕๐ ทีเดียว รับประทานเสร็จแล้ว ก็มีมุมล้างจานล้างใจ ชุดเล็ก-ชุดใหญ่ สำหรับลูกค้า ที่อยากร่วมบุญด้วย นอกเหนือจาก การช่วยเช็ดโต๊ะ อันกลายเป็นวัฒนธรรม อันดีงาม ของลูกค้าที่นี่ไปแล้ว

ประมาณ ๔ โมงเช้า สมณะ ๘ รูปจากภูผาฯ และปฐมอโศก นำโดยอาจารย์ ๑ สมณะบินบน ถิรจิตโต ได้มาฉันภัตตาหาร เป็นกำลังใจ ในการจัดโรงบุญฯ และอยู่ร่วมสรุปงานด้วย

บ่าย ๒ โมงช่วยกันเก็บหาง ร่วมสรุปงาน แล้วร่ำลากัน พุธสุดท้ายของเดือนอย่าลืม มาร่วมบุญกันอีกนะจ้าว...

ทีนี้มาฟังความในใจของผู้มาร่วมงานกันดูบ้าง

น.ส.วชิรนที วงศ์ศิริอำนวย เชียงใหม่ "ไม่ทราบว่าแจกฟรี คิดว่าเป็นงานทำบุญของที่นี่ ขอสนับสนุนเรื่องผักป่า ผักพื้นบ้าน เพราะเป็น ผักไร้สารพิษ ที่อื่นบอกว่า ปลอดสารพิษ แต่ยังใส่ปุ๋ยเคมี แต่ที่นี่รู้สึกมั่นใจค่ะ ขอให้กำลังใจ และขออนุโมทนา"

นางกาญจนา โชคถาวร เชียงใหม่ "ไม่ทราบว่าแจกอาหาร อาหารอร่อยค่ะ รู้สึกเกรงใจที่จะทานเยอะ"

สมณะมองตน เมตตจิตโต ปฐมอโศก "ปลื้มใจที่ได้มาเห็นโรงบุญฯที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้ สมควรเผยแพร่ ไปยังเครือข่าย ประทับใจ การให้ลูกค้า นำภาชนะมาใส่อาหาร ที่จะซื้อกลับบ้าน ไม่เคยเห็น เพิ่งมาเห็นที่นี่"

นางรัตนา บุญยัง ผรช.ชมร.ช.ม. "แจกครั้งที่ ๓ ก็ว่าอบอุ่นแล้ว ครั้งที่ ๔ ยิ่งอบอุ่นกว่า พี่น้องมาช่วยกันมากมาย ข้าวของมาร่วม ก็มีมากมาย และมีญาติธรรม ที่มาเข้าค่ายหลักสูตรมหัศจรรย์ ก็มาช่วยด้วย งานลงตัวมาก ทุกคนมีหัวใจ ที่จะมาทำบุญ โดยส่วนตัวแล้ว แจกเดือนละ ๒ ครั้งก็ไหว แต่ทุกอย่างแล้วแต่หมู่ค่ะ"

นายภานุพงศ์ พิทักษ์ชลเดช นิสิต ม.วช.เขตปฐมอโศก "มาร่วมงานโรงบุญฯที่นี่เป็นครั้งแรก ยินดีที่ชาวชมร.เชียงใหม่ ทำได้ อยากให้ที่อื่นทำได้ด้วย มหัศจรรย์จริงๆครับ ผมมาช่วยเก็บภาพบรรยากาศ ของโรงบุญฯครับ".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจริญธรรม สำนึกดี พบกับ น.ส.พ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๑๘๖(๒๑๙)ปักษ์แรก ๑-๑๕ ก.ค.๔๕

ฉบับนี้ หน.ฝ่ายอาร์ตแจ้งว่า พื้นที่จำกัดม๊ากมาก จิ้งหรีดก็ขอรายงานเลยแล้วกัน

เริ่มแล้วค่ะ...อุทยานบุญนิยม บ้านราชฯ เริ่มใช้ผักไร้สารพิษในการปรุงอาหาร เมื่อเสาร์ที่ ๖ ก.ค. ๔๕ เป็นครั้งแรก และต่อไป ทุกวันเสาร์ - อาทิตย์จะใช้ผักไร้สารพิษ เพราะมีผักจากเครือข่ายฯที่ขายในวันเสาร์รองรับอยู่ วันอังคาร-ศุกร์ อาจจะใช้ผัก จากตลาดบ้าง แต่จะใช้ผักจากบ้านราชฯเป็นหลัก ๗๐ เปอร์เซ็นต์ และที่สวนไวพลังและวังไพร ดินดีสามารถปลูกผักได้ดี สามารถส่งผักให้อุทยานฯได้ คาดว่าในอนาคตจะสามารถปรุงอาหารจากผักไร้สารพิษได้แน่นอน สาธุ...จี๊ดๆ

ยาขนานเอก...เมื่อหลายวันก่อนจิ้งหรีดแวะไปที่ปฐมอโศก ได้ยินข่าวว่า คุณหมอฟากฟ้าหนึ่ง ถูกน้ำร้อนลวก ขณะที่ทำงาน อยู่ที่โรงยาสมุนไพร สม.บุญแท้ ผู้อยู่ในเหตุการณ์ จึงรีบคว้าจักรยานปั่นด้วยความเร็วสูงสุด(ซึ่งไม่ได้ขี่ มาหลายปีแล้ว) ไปตัดว่าน หางจระเข้ มาทำเป็นยาพอกแผล ที่ถูกน้ำร้อนลวก เพียงชั่วข้ามคืนเดียวเท่านั้น ไม่มีอาการปวดแสบ ปวดร้อน หลงเหลืออยู่เลย

งานนี้ต้องยกความดีความชอบให้ว่างหางจระเข้กับความกรุณาของ สม.บุญแท้ ที่ทำให้คุณหมอ ไม่ต้องป่วยเจ็บ นานวัน นะฮะ...จี๊ดๆ

ได้ทำบุญครบรอบ ๑ ปี พอดีเป๊ะ!?...จิ้งหรีดที่ ชมร.เชียงใหม่ รายงานว่า เมื่อวันที่ ๒ ก.ค.๔๕ เป็นวันครบรอบ ๑ ปี ของตลาด ขายพืชผักผลไม้ ไร้สารพิษ โครงการกู้ดินฟ้า ที่ชมร.เชียงใหม่ นับว่าเป็นมงคลอันอุดม ในวันนี้ที่ได้มีโอกาส ทำบุญ ถวายอาหาร สิกขมาตุ ๘ รูป จาก ๔ พุทธสถานที่ ชมร.ช.ม.เป็นครั้งแรก คือ สม.หยาดพลี อโศกตระกูล, สม.เทียนคำเพชร อโศกตระกูล จากศาลีอโศก สม.บุญจริง พุทธพงษ์อโศก, สม.ผาแก้ว ชาวหินฟ้า จากสันติอโศก สม.ต้นข้าว อโศกตระกูล, สม.สร้างฝัน อโศกตระกูล, สม.เป็นหญิง อโศกตระกูล จากราชธานีอโศก สม.พูนเพียร ชาวหินฟ้า จากปฐมอโศก หลังฉัน ท่านได้ไปเยี่ยมโยมแม่ สมณะดวงดี ฐิตปุญโญ ที่ ร.พ.สวนดอก ตอนบ่าย ก็ขึ้นไปพุทธสถาน ภูผาฟ้าน้ำ เพื่อเข้าคอร์สมหัศจรรย์ หลักสูตรอริยมรรค จิ้งหรีดเห็นแล้ว รู้สึกซาบซึ้งประทับใจ ที่สิกขมาตุ ท่านไม่หยุดอยู่ ในกุศลธรรม ฝึกปฏิบัติ "ธรรมอันไม่ทำให้เสื่อม" หมั่นเข้าหาสัตบุรุษ ไม่ละเลย การฟังธรรม ศึกษาในอธิศีล ฯลฯ

สิกขมาตุทั้งแปดทำให้ชาวชมร.ช.ม.ท่านหนึ่งนึกไปถึงมรรคมีองค์แปด ที่พวกเราชาวชมร.เชียงใใหม่ปฏิบัติหน้าที่ อยู่เป็นประจำ จะได้มรรคผล มากน้อย ก็ตามแต่พละอินทรีย์ ของแต่ละคน ที่จะสะสมเอา ชาวชมร.เชียงใหม่ วันนี้ได้ทำบุญ ถวายอาหาร นักบวชชาวอโศก และมีโอกาส ต้อนรับญาติพี่น้อง ของเราชาวอโศก ที่มาจากต่างถิ่น ฉะนั้นหากมีข้อบกพร่อง ประการใด ชาวชมร.เชียงใหม่ เขาฝากให้ช่วยชี้แนะด้วยเน้อเจ้า...จี๊ดๆ

ปิดทองก้นพระ...คุณภูหิน(สุเทพ) หายหน้าไประยะหนึ่ง เพราะไปช่วยแบกกระสอบถั่วเหลืองไร้สารพิษที่ จ.เชียงราย ขึ้นรถ ๑๐ ล้อ เพื่อขนมาที่ บจ.พลังบุญ และตามมาช่วยขนลงด้วย เพราะทนไม่ได้ ที่ทางกลุ่มจะต้องจ้างคนขน กระสอบละ ๗ บาท เมื่อประมาณ กำลังตัวเองแล้ว เห็นว่าหุ่นของเขานี่แหละ ใช่เลย ตอนนี้กลับไปช่วยทำนา ที่ภูผาฯ เรียบร้อยแล้ว...จี๊ดๆ

ทำบุญครบรอบ...เมื่อวันที่ ๓ ก.ค.๔๕ คุณป้าส้มจีน พรหมพิทักษ์ ซึ่งเป็นโยมป้าของพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ ได้มาทำบุญ ครบรอบวันเกิด ๘๕ ปี ที่สันติอโศก โดยมีพ่อท่าน เทศน์ก่อนฉัน สาธุ...จี๊ดๆ

ธารน้ำใจฯ ครั้งที่ ๒...ขอเชิญญาติธรรมทั้งเก่า-ใหม่ ร่วมงานคอนเสิร์ต "ธารน้ำใจสู่คุณวัชราภรณ์" ที่จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ ๒๐ ก.ค.๔๕ ที่สันติอโศก ตั้งแต่เวลา ๐๘.๓๐ น.เป็นต้นไป...จี๊ดๆ

ก่อนจากฝากกันด้วยคติธรรม-คำสอนของพ่อท่านที่ว่า

ถ้ากิเลสไม่หยาบมาก ไม่ต้องไปใช้สมถะ ให้ใช้วิปัสสนาเลย ถ้ายิ่งใช้สมถะ จะยิ่งข่มมันให้ลึกลงไปพบกันใหม่ฉบับหน้า.

จิ้งหรีด

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


หมออารีย์ บรรยายที่สันติอโศก มนุษย์เป็นสัตว์กินพืชผักผลไม้ และอายุจะยืนยาวประกอบด้วย ๖ อ.

หลังจากที่ข่าวอโศกได้เสนอข่าวเกี่ยวกับคุณหมออารีย์ จากไร่มะขามเปรี้ยว จ.นครพนม มาบรรยายเรื่อง อาหารของมนุษย์ ที่ราชธานีอโศก เมื่อวันที่ ๔ มิ.ย.๔๕ ซึ่งตัวคุณหมอเอง เจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มาเป็นเวลา ๑๐ ปี เมื่อหันกลับมา รักษาแบบธรรมชาติ รับประทานอาหารมังสวิรัติ ภายใน ๓ เดือนก็หายขาดจากโรคร้ายนี้ มีผู้สนใจติดตามฟังเท็ป อยากจะซักถาม ปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับสุขภาพ และความรู้ จากคุณหมอมากมาย จึงได้เชิญคุณหมอ มาบรรยายอีกครั้ง เมื่อวันที่ ๓๐ มิ.ย. ที่สันติอโศก และ ๑ ก.ค.๔๕ ที่ปฐมอโศก ซึ่งผู้สื่อข่าวของเรา ได้ติดตามบรรยากาศ และรายงานเข้ามาดังนี้

เมื่อวันที่ ๒๙ มิ.ย. คุณหมอได้เดินทางมาถึงสันติอโศก และพักค้างคืนที่ บจ.ฟ้าอภัย ในเช้าวันอาทิตย์ที่ ๓๐ มิ.ย. มีญาติธรรม และประชาชน ที่ได้ทราบข่าว ได้เดินทางมาร่วมฟัง การบรรยายของคุณหมอ ในครั้งนี้มากมาย

ก่อนเริ่มบรรยาย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ได้กล่าวแนะนำประวัติของคุณหมอ ให้พวกเราได้ทราบเล็กน้อย และคุณหมอ เป็นผู้ที่สนใจ พันธุ์มะขามเปรี้ยว และมีพันธุ์ต่างๆมากมาย ที่น่าสนใจคือ ได้นำมะขามจากไร่ และรูปภาพ มาโชว์ให้ดูด้วย เป็นมะขามเปรี้ยว ฝักใหญ่ บางพันธุ์ ๔ ฝัก มีน้ำหนักถึง ๑ กก.ทีเดียว ท่านใดสนใจ สามารถติดต่อขอซื้อ พันธุ์มะขามดังกล่าว ติดต่อได้ที่ เลขที่ ๑ หมู่ ๑๒ ต.นางัว อ.นาหว้า จ.นครพนม ๔๘๑๘๐ โทรศัพท์ ๐-๑๒๖๐-๖๙๔๓

หลังจากนั้น คุณหมอได้เริ่มบรรยาย ถึงวิวัฒนาการของมนุษย์เมื่อ ๔,๖๐๐ ล้านปี และเราได้หลงทาง ในเรื่องอาหารมานาน จริงๆแล้ว สรีระของมนุษย์นั้น เป็นสัตว์กินพืช ผักผลไม้เท่านั้น สาเหตุของการเกิดโรคมากมาย เพราะวิถีชีวิตของเรา ผิดจากธรรมชาติ หันไปกินเนื้อสัตว์ เพราะก่อนที่สัตว์จะตาย ได้หลั่งสารอะดีนารีน ซึ่งเป็นสาร ที่สัตว์ทุกตัว จะหลั่ง เมื่อเกิดความเครียด เมื่อเรารับประทานเนื้อสัตว์เข้าไป จึงเป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ โดยเฉพาะ โรคมะเร็ง นอกจากนี้ น้ำย่อยของมนุษย์ เหมาะสำหรับย่อย พืชผักผลไม้ ไม่ใช่เนื้อสัตว์ การรับประทานอาหารที่เค็มเกินไป จะทำให้อายุลดลงไป ๓๒ ปี หากสูบบุหรี่ ๑ มวนอายุจะสั้นลง ๕ นาทีครึ่ง และความหวานจากน้ำตาล ทำให้ภาวะของอารมณ์ไม่ปกติ หงุดหงิด โมโหง่าย

คุณหมอได้เล่าถึงประสบการณ์ที่ได้ไปอยู่อาศัยกับเผ่า Hunza ที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ของปากีสถาน และ อีกหลายๆ เผ่า ที่มีอายุยืนยาวถึง ๑๒๐ ปี โดยคนเหล่านี้ จะรับประทานอาหาร ที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติ ไร้การปรุงแต่ง และการจะมี อายุยืนยาว และแข็งแรง ต้องประกอบด้วย

๑.อารมณ์ ต้องไม่เครียด มีรอยยิ้ม-เสียงหัวเราะ และการให้อภัยเป็นปกติ

๒.อาหาร รับประทานแต่อาหารของมนุษย์จริงๆ คือ พืชผักผลไม้วันละ ๑ มื้อเท่านั้น งดเกลือ-น้ำตาล - ผลไม้รสหวานจัด

๓.ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอด้วยการเดินดีที่สุด

๔.เอาพิษออกจากร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นอุจจาระ ปัสสาวะ เหงื่อ อย่าให้ท้องผูก ควรทำดีท็อกซ์ เพื่อเอาพิษ ออกจากร่างกาย เป็นประจำ

๕.อากาศ อยู่ในที่มีอากาศบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ ได้รับพลังจากดิน น้ำ ลม แสงแดด

๖.เอนกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ๗-๘ ช.ม. กลางวันทำงาน กลางคืนพักผ่อน

คุณหมอได้บรรยายจนถึงเวลา ๑๑.๐๐ น. พักรับประทานอาหาร และบรรยายและตอบปัญหาต่อในเวลา ๑๓.๐๐ น. จนถึงเวลา ๑๖.๐๐ น. และในวันจันทร์ที่ ๑ ก.ค. คุณหมอได้เดินทางไปบรรยายต่อ ที่ศาลาฟังธรรม พุทธสถานปฐมอโศก โดยเริ่มบรรยาย ตั้งแต่เวลา ๐๘.๐๐ น.จนถึง ๑๑.๐๐ น. มี นร.สัมมาสิกขาปฐมอโศก และญาติธรรม ที่สนใจมาร่วมฟัง มากมาย นอกจากนี้มีประชาชน ที่เจ็บป่วยด้วยโรคภัยต่างๆ ทราบข่าว ติดตามมาฟัง และปรึกษา เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ ที่เป็นอยู่ กับคุณหมอ หลังการบรรยาย

๑๒.๐๐ น. คุณหมอได้ให้คำแนะนำด้านสุขภาพ กับสมณะ-สิกขมาตุที่บนโบสถ์

๑๓.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. เป็นการตอบคำถามแก่ทุกๆคน ที่ห้องประชุมชั้น ๒ ศาลาาเจาะวิจัยฯ ซึ่งมีทั้งเขียนถามและถามสด น่าสนใจมากมาย และเดินทางกลับนครพนม ท่านใดสนใจเกี่ยวกับสุขภาพ ไม่ควรพลาด ติดตามหาเท็ปได้จาก ห้องเผยแพร่เท็ป สันติอโศก หากเราหันกลับมาดูแลสุขภาพตามหลัก ๖ อ.ของคุณหมอ ชีวิตคงยืนยาวถึง ๑๒๐ ปีกันถ้วนหน้า.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


อาสาสมัครหนุ่มสาวกรีนเวย์
เรียนรู้การทำกสิกรรมไร้สารพิษที่บ้านราชฯ

อาสาสมัครหนุ่มสาวกรีนเวย์ ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ จากสหรัฐอเมริกา ๕ คน เบลเยี่ยม ๓ คน ฝรั่งเศส ๑ คน กรีซ ๑ คนและไทย ๑ คน ซึ่งเป็นผู้นำทีม รวม ๑๑ คน มาเรียนรู้วิถีชีวิต ชุมชนราชธานีอโศกอีก เป็นครั้งที่ ๔ หลังจากที่เคยมา ครั้งแรก เมื่อ พ.ย.๔๓, มี.ค.๔๔, มิ.ย.และ ก.ค.๔๕ โดยในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เป็นช่วงเดือนที่ ชาวบ้านราชฯ ไปร่วมงาน อโศกรำลึก ที่สันติอโศก จึงค่อนข้างเงียบเหงา

กรีนเวย์มีทั้งหมด ๑๓ แคมป์ทั่วประเทศ บ้านราชฯเป็น ๑ ใน ๑๓ แคมป์ของกรีนเวย์ คนที่ชอบทำเกษตร จะเลือกมาที่นี่ และ จะขอมาที่นี่ เดือนละครั้ง หรือ ๒ เดือนครั้งเป็นประจำ

 

ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นครั้งที่ ๔ กลุ่มกรีนเวย์ได้เข้าพื้นที่ ตั้งแต่วันที่ ๑ ก.ค. และจะใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านราชฯ จนถึงวันที่ ๑๓ ก.ค.๔๕ รวม ๒ สัปดาห์ ก็จะแยกย้ายกันไป โดยกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ เพิ่งมาเมืองไทยเป็นครั้งแรก จึงไม่สามารถพูด ภาษาไทยได้เลย รู้จักชาวอโศก ทางอินเตอร์เน็ต ที่ทางกรีนเวย์ส่งไป

ขณะเดียวกัน เควิน หนุ่มน้อยจากสหรัฐอเมริกา ได้มาเยือนบ้านราชฯ ในนามของกลุ่มกรีนเวย์ ในช่วงเดือน มิ.ย. เมื่อครบ ระยะเวลา เพื่อนๆในกลุ่ม ได้แยกย้ายกันไป แต่เควินก็สมัครใจ ที่จะอยู่บ้านราชฯต่อไป เพื่อเรียนรู้ การทำกสิกรรม ไร้สารพิษ โดยเฉพาะ เรื่องทำปุ๋ย ซึ่งเขาคิดว่า จะนำกลับไปทำที่อเมริกา และเขาประทับใจ ในวิถีชีวิตที่นี่ และจะอยู่จนกว่า จะครบ กำหนดวีซ่า จึงได้อยู่ร่วม กับกลุ่มกรีนเวย์กลุ่มนี้ด้วย

นอกจากนี้ยังมี สตีเฟ่น จากอเมริกา ผู้เคยมาเมืองไทยหลายครั้งแล้ว และไปใช้ชีวิตในประเทศลาว ระยะหนึ่ง จนสามารถ พูดภาษาไทย ลาวได้ ได้เดินทางมาเรียนรู้ วิถีชีวิตที่บ้านราชฯ เช่นกัน การสื่อภาษากับสตีเฟ่น จึงสามารถ ใช้ภาษาอีสาน ได้อย่างสบาย โดยสตีเพ่น ตั้งใจจะอยู่ที่บ้านราชฯ ให้นานที่สุด เท่าที่สามารถจะอยู่ได้

ดังนั้นในทีมของกรีนเวย์จึงรวมเควินและสตีเฟ่นไปด้วย รวมเป็น ๑๓ คน ร่วมกันทำงานในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นการถอนกล้า ทำปุ๋ย ไปช่วยสอนภาษาอังกฤษ กับเด็กนักเรียน และช่วงนี้ ชาวบ้านราชฯ อบรมลูกค้า ธ.ก.ส. กลุ่มกรีนเวย์ จึงได้ร่วมทำงาน กับผู้เข้าอบรมฯด้วย

 

สำหรับกลุ่มกรีนเวย์ ได้เปิดใจกับข่าวอโศก ดังนี้นายโสภณ พรหมศรี อายุ ๒๐ ปี ผู้นำทีม "ดีใจมากที่ได้มาบ้านราชฯ เป็นครั้งแรก ของผมเหมือนกัน ผมไม่นึกว่า ชุมชนที่นี่จะสมถะ ไม่ยึดติดกับวัตถุ ช่วยกันทำงาน เวลาทานข้าว ก็มาร่วมกิน ที่ศาลา ไม่แบ่งแยกกัน การไม่ใส่รองเท้า ทาน ๒ มื้อ ไม่เคร่งครัดหรอกครับ ผมอยากใช้ชีวิต เหมือนชาวบ้านที่นี่ หากมีโอกาส ผมจะมาอีก

ประทับใจการทำเกษตรที่นี่ ทุกอย่างไม่พึ่งสารเคมี ทุกคนร่วมกันทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ ทำงานเสร็จ ผลผลิต ส่งเข้ากองกลางหมด ไม่มีเป็นของส่วนตัว

ข้อบกพร่องที่ควรปรับปรุง ไม่มีเลยครับ ก็ดีอยู่แล้ว ตื่นแต่เช้า กิน ๒ มื้อ ดีมากสำหรับคนอยากจะมาฝึก ไม่เข้มหรอกครับ เพื่อนๆในกลุ่ม ยังไม่เข้าใจ เรื่องศาสนาเท่าไหร่

ผมติดบุหรี่มาด้วย ก็หักดิบเลยครับ ตอนเช้าก็ปั่นจักรยานออกกำลังกาย กลับไปคิดว่าจะเลิกสูบ เลิกมาได้ ๗ วันแล้ว รู้สึกดีขึ้น ทานอาหาร มังสวิรัติมา ๖ เดือนแล้ว เพราะที่กลุ่มกรีนเวย์ ก็ทานอาหารมังสวิรัติ เพราะอาหารเนื้อสัตว์ เดี๋ยวนี้ ใช้สารเคมี เลี้ยงสัตว์ ซึ่งอันตรายมาก

ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่าง ที่พักที่อาศัย การร่วมทำงาน ทุกคนให้ความร่วมมือดี ชอบที่นี่มาก"

MR.Kevin Blake อายุ ๒๕ ปี จาก Budd Lake รัฐนิวเจอร์ซี่ สหรัฐอเมริกา "ผมชอบทำงานที่นี่ แม้บางครั้งจะเหนื่อยบ้าง ที่นี่เป็นเพื่อนกันทั้งหมด แต่ข้างนอก ทำงานเพื่อตัวเอง ผมอยากเป็นชาวนา อยากเรียนเพิ่ม เกี่ยวกับการทำปุ๋ย ๑๐ กก. ผมจะกลับอเมริกา เพราะสุขภาพไม่ดี และจะกลับมาที่นี่อีก

ผมชอบคนที่นี่ ทำงานร่วมกัน สนุกด้วยกัน เป็นชุมชนที่มีความสุขสามัคคี มีศาสนายึดเหนี่ยว ครอบครัวของผม เป็นคริสต์ แต่ผมนับถือพุทธศาสนา ผมพยายามจะเข้าใจ ศาสนาพุทธ ผมคิดว่าที่นี่ดีมาก คนที่นี่หน้าตาสดชื่น เพราะทานอาหาร มังสวิรัติ อยู่ในศีลในธรรม ไม่ทำงานเพื่อเงิน ไม่เครียด ไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย คนข้างนอก ค่าใช้จ่ายเยอะ จะเครียด ผมเคยเจอสังคมที่อิสราเอล คือ ชุมชนคิบบุช แต่เขายังใช้เคมี สูบบุหรี่กินเหล้า สิ่งบกพร่องของที่นี่ไม่มี".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


เข้าพรรษา

เข้าพรรษาสามเดือนมาเยือนแล้ว
ตั้งตบะเพ่งเพียรภาวนา
จดบันทึกสภาวะปฏิบัติ
พิจารณาอารมณ์ทุกเหตุการณ์
ตั้งสติตื่นเต็มอย่างเข้มข้น
ปฏิบัติเอาจริงทุกคืนวัน
การกินอยู่หลับนอนค่อนข้างเคร่ง
สั่งสมบุญวาสนาบารมี



ใจแน่แน่วมุ่งมั่นเข้าพรรษา
ล้างกิเลสตัณหาอุปาทาน
ได้ฝึกหัดอ่านจิตคิดฟุ้งซ่าน
จิตเบิกบานหดหู่รู้เท่าทัน
สำรวมตนทุกเวลาอย่าหุนหัน
สังวรมั่นในศีลอย่างยินดี
ต้องรีบเร่งฝึกใจให้เต็มที่
พรรษานี้บรรลุจริงทั้งหญิงชาย.

แด่ธรรม คนึงสัตย์ธรรม

 

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ชุมชนดินหนองแดนเนหหนือ จัดงานวันโฮมพลังแผ่นดิน จำหน่ายสินค้าราคาถูก
สาธิตการทำกสิกรรมไร้สารพิษ จุลินทรีย์ น้ำหมักชีวภาพ

เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๒ มิ.ย.๔๕ ชาวชุมชนดินหนองแดนเหนือ ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ได้ร่วมแรงร่วมใจจัดงาน วันโฮมพลังแผ่นดิน ซึ่งงานดังกล่าว ได้รับงบประมาณ จากกองทุนเพื่อสังคม (ซิฟ) เป็นเงิน ๘๙,๐๐๐ บาท โดยใช้เวลา ประมาณ ๒ เดือน ในการเตรียมงาน ซึ่งการประชุมเตรียมงานมีบ่อยมาก คือประชุมหลังทำวัตรเช้า ทุกวันเสาร์ และช่วงอื่นๆอีก แล้วแต่โอกาส งานค่อนข้างมาก แต่คนค่อนข้างน้อย ต่างก็ได้บุญหนักๆไปตามๆกัน งานบางอย่าง เพิ่งจะเสร็จเอาตอนเช้า ของวันงาน เช่น ศาลาแยกขยะ แต่ถึงคนน้อย แต่ก็มีพลัง มีคนภายนอก มาช่วยเอาภาระดีมาก นักเรียนก็มาช่วยงาน ก็ล้วนประทับใจ ด้านการเงิน ค่อนข้างล่าช้า เงินเข้าบัญชีก่อนงานแค่ ๑ วัน แต่ดีที่มีเทวดาใหญ่น้อย ให้ยืมก่อน

ธงบุญนิยมและคนของแผ่นดิน ติดตามแนวถนนสร้างบรรยากาศเป็นงานเป็นการ คล้ายกับงานปีใหม่

วันศุกร์ที่ ๒๑ มิ.ย.ญาติธรรมทยอยมาจากที่ต่างๆ คุณแก่นเกื้อ จากขอนแก่นอโศก มาโดยบังเอิญ ก็เลยอยู่ต่อ เพื่อช่วยงาน จนเสร็จ

สมณะมือมั่น ปูรณกโร นำนร.สัมมาสิกขา ม.วช.และชาวสีมาฯ มาช่วยงาน รวม ๕ คน อ.ชะลอ จาก จ.สิงห์บุรี วิทยากร จากชัยนาท (เรื่องน้ำมันจากสบู่ดำ) เดินทางมาถึง ช่วงบ่าย-เย็น

การตั้งเต็นท์ เสร็จสิ้นก่อนเที่ยงของวันนี้ โดยความอนุเคราะห์จาก เทศบาลนครอุดรธานี

วันที่ ๒๒ มิ.ย. สมณะที่มาร่วมงานคือ สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ สมณะดาวดิน ปฐวัตโต สมณะมือมั่น ปูรณกโร สมณะลั่นผา สุชาติโก และพระอาคันตุกะ ๒ รูป

ผู้ร่วมงานทยอยเดินทางมาตั้งแต่ ๗ โมง การลงทะเบียนได้แจกแบบสอบถามด้วย

ท่านจันทร์เดินทางมาถึงประมาณ ๐๘.๐๐ น. ทักทายญาติโยมแล้ว ก็จัดรายการวิทยุ ผ่านระบบโทรศัพท์มือถือ เวลา ๐๘.๓๐ น. ดำเนินรายการเทศน์ก่อนฉัน ด้วยลีลาที่สร้างความประทับใจเช่นเดิม ช่วงแรกของการบรรยาย ประมาณ ๑๐ นาที ได้มีการบันทึก เทปวิดีโอ เพื่อนำไปออกอากาศ รายไอทีวี จนถึงเวลา ๑๐.๓๐ น. จึงยุติ ซึ่งปิดท้ายด้วยการให้โอกาส ผู้ฟังขึ้นมา ประกาศสัจจะ ว่าใครจะเลิกอบายมุข ปรากฏว่ามีผู้ฟัง ๑๙ คน ลุกขึ้นมาที่หน้าเวที ประกาศสัจจะ ตามท่านจันทร์ ผู้ที่ฟังอยู่ทุกคน ก็ประกาศสัจจะตามไปด้วย นับว่าเป็นกุศโลบายที่ดีมาก

เมื่อท่านจันทร์เทศน์จบ ช่วงต่อไป อ.ชะลอ ขึ้นบรรยายเกี่ยวกับกสิกรรมไร้สารพิษ น้ำผลไม้พลังชีวภาพ การตอนมะละกอ ฯลฯ ด้วยลีลา ท่าทาง ที่น่าสนใจ จนถึงเวลา ๑๒.๒๐ นาที นายอำเภอเมืองอุดรธานี นายพิสุทธิ์ โฆษิต ซึ่งเป็นประธาน ในพิธีเปิดงาน เดินทางมาถึง และกล่างเปิดงาน ประมาณครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้น อ.ชะลอ ก็บรรยายต่อ

ระหว่างนั้น ท่านนายอำเภอได้เดินชมนิทรรศการทั่วทั้งงาน สนใจชมและซักถาม เรื่องต่างๆทุกเต็นท์ จนถึงเต็นท์อาหาร ได้ร่วมรับประทาน อาหารด้วย ก่อนกลับ ทางแม่ครัวได้ทำอาหารฝาก ให้กับคณะนายอำเภอด้วย สร้างความประทับใจ เป็นอย่างยิ่ง ชาวชุมชน พานายอำเภอ ไปชมสถานที่ ป่าไม้สวนผัก ท่านแนะนำ ให้ปลูกไม้ผลเพิ่ม

ฐานงานที่เตรียมไว้ได้แก่ กสิกรรมไร้สารพิษ จุลินทรีย์ น้ำหมักชีวภาพ การแปรรูปอาหารถั่ว เช่น เต้าเจี้ยว ซีอิ้ว สปริงเกอร์ (ฝนเทียม) แบบพื้นบ้าน ซึ่งชาวชุมชนผลิตเอง (คนสนใจมาก ทำไว้ขาย แต่ไม่พอขาย เพราะคุณวันชัย ซึ่งเป็นผู้ออกแบบ ไม่มีเวลา พอที่จะทำ เนื่องจากต้องเป็นตัวหลัก ในการเตรียมสถานที่ หลายๆด้าน) การแสดงผลงาน และจำหน่าย สินค้าของ นร.สัมมาสิกขา สีมาอโศก การจำหน่ายสินค้า ร้านค้าชุมชนดินหนองแดนเหนือ โดยซื้อสินค้า มาจาก เครือข่ายอโศก และมีกลุ่ม ญาติธรรมจาก อ.วังสามหมอ (ขึ้นกับภูพานอโศก จ.สกลนคร) มาจำหน่ายสินค้าด้วย ศูนย์วิศวกรรม การเกษตร จังหวัดชัยนาท มาจัดนิทรรศการ เรื่องน้ำมันพืชทดแทนโซล่า (สบู่ดำ) ซึ่งน่าสนใจมาก เมื่อเสร็จงาน ก็มอบพันธุ์สบู่ดำ ไว้ให้ชาวชุมชน เพื่อปลูกด้วย

เครื่องสีข้าวแบบพื้นบ้านของชาวชุมชน และมีเครื่องใหม่ ของเกษตรกรจาก อ.น้ำโสมที่มาอบรม ธ.ก.ส. ได้ทำมาวางจำหน่าย และแสดงในงานอีก ๒ เครื่อง การเพาะถั่วงอก สมุนไพร (หมอวิเชียร) มีน้ำสมุนไพรแจกฟรี เครือข่ายน้ำโสม ลูกค้า ธ.ก.ส. มีผลไม้ เช่น กล้วย มะเขือพวง ลำไย ขายราคาถูกมาก

เต็นท์อาหารที่เตรียมการไว้ต้อนรับผู้มาร่วมงานมีอาหารบริการทั้งในงานและนำกลับบ้าน ส่วนเต็นท์ล้างจาน ก็เตรียมไว้ อย่างสมบูรณ์แบบ

อ.ชะลอบรรยาย ๒ ช.ม. ผู้คนสนใจแทบทุกเรื่องที่พูด ต่อจากนั้นผู้มาร่วมงานทยอยกลับเพราะติดภารกิจ คนจึงเหลือ ไม่มากนัก ผู้มางานส่วนหนึ่ง ก็มาซื้อสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง น้ำตาล, N70 ฯลฯ

มีการประชุมสรุปงานเย็นวันนั้น แบบสอบถามมีส่งกลับมาไม่ถึง ๑๐๐ ใบ ส่วนใหญ่สนใจการเทศน์ ของท่านจันทร์

ท่านมือมั่น กล่าวว่างานนี้ไปได้ดี ส่วนอาหารที่เหลือ ได้นำไปฝากบ้านเด็ก ลูกสาวผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ศรีบุญเรือง ช่วยจนวินาทีสุดท้าย ผญบ. อจ. อบต. ก็มาร่วมงาน ชาวบ้านชุมชนเครือข่ายต่างๆ มากันหลากหลาย จนทักทายแทบไม่ทั่ว นับจำนวน ผู้ลงทะเบียน ๕๐๐ กว่าคน

วันอาทิตย์ที่ ๒๓ มิ.ย.มีการประชุมเตรียมงานอบรม ธ.ก.ส. ศิลปิน คุณแก่นเกื้อและทีมงาน ที่ซ้อมเพลงตั้งแต่ ก่อนวันงาน ไม่มีโอกาส ได้ขับร้อง ก็ใช้เวลาระหว่างพัก ของการประชุมในวันนี้ ขับกล่อมเพลง สร้างบรรยากาศ ที่สนุกสนาน อบอุ่นดีแท้ (ศิลปินของชุมชน ติดภารกิจ มาร่วมงานไม่ได้)

เมื่องานผ่านไปก็เห็นความก้าวหน้าในด้านการพัฒนาวัตถุของชุมชน มีความพร้อมสมกับเป็นศูนย์ฝึกอบรม เป็นชุมชน บุญนิยม อย่างแท้จริง ขณะเดียวกัน ความก้าวหน้า ทางจิตวิญญาณ ก็น่าจะก้าวหน้าไปเช่นกัน เห็นได้จากความลงตัวของงาน ในระดับหนึ่ง แม้คนน้อย แต่ก็เป็นไปได้.

สุทัศน์ ดิศโยธิน รายงาน

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

พึ่งเกิดกับชาวอโศก
บ้านราชฯ ทำคลอดเด็กครั้งแรก
ฟื้นฟูผสมผสานภูมิปัญญาพื้นบ้าน อบอุ่นท่ามกลางชุมชนบุญนิยมชาวอโศก

เมื่อวันพระแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ซึ่งตรงกับวันที่ ๙ ก.ค.๔๕ เวลา ๐๙.๐๓ น. ณ บ้านสุขภาพ หมู่บ้านราชธานีอโศก ด.ช.หล้าฟื้น กีตา (น้องมะขาม) บุตรชายคนที่ ๒ ของนางเดือนแก้ว และนายเศษดิน กีตา (สมาชิกชุมชนราชธานีอโศก ฐานงาน อุทยานบุญนิยม) ก็ได้ลืมตามาดูโลก ด้วยน้ำหนัก ๓,๑๓๐ กรัม นับเป็นเด็กคนแรก ของสังคมบุญนิยม ที่คลอดในชุมชน ของชาวอโศก (ไม่ได้ไปคลอดที่โรงพยาบาล) โดยคุรุน้อมบูชา นาวาบุญนิยม และคุรุพรตะวัน ธนะโภค ที่มีประสบการณ์ ในการทำคลอดมา นับหมื่นราย คอยดูแลอย่างใกล้ชิด และทำคลอดให้

โดยก่อนหน้านี้ คุณเดือนแก้วได้ฝากท้องไว้กับโรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลฯ แต่เมื่อใกล้กำหนดคลอด ได้มอบความไว้วางใจ ให้กับคณะพยาบาลบ้านราชฯ เพื่อพิสูจน์ว่า สังคมนี้นอกจากจะพึ่งแก่ พึ่งเจ็บ และพึ่งตายได้แล้ว ยังพึ่งเกิดได้ด้วย นอกจากนี้ นิสิตพลาภิบาลจาก ม.วช. คณะสาธารณสุขบุญนิยม ๔ คน ได้มาร่วม เรียนรู้ ศึกษาวิธีคลอด แบบธรรมชาติ และได้ถ่ายทำวิดีโอ ตลอดการคลอดครั้งนี้

๘ ก.ค.๔๕ หลังจากฟังพระธรรมก่อนนอน คุณเดือนแก้ว ได้เดินมานอนพักที่บ้านสุขภาพ เพื่อเตรียมตัวคลอด ซึ่งอยู่ไม่ไกล จากบ้านพัก ในตอนเช้า เมื่อปวดท้องก็ได้ขึ้นเตียงคลอด ซึ่งคุรุน้อมบูชา ได้ให้ช่างต่อเติมที่จับ และที่พักขาให้สะดวก ในการคลอดยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ได้เปิดเท็ปธรรมะ ให้คุณเดือนแก้วฟังตลอด ยิ่งใกล้เวลา นร.สมุนพระราม, นร.ส.ส.ธ. และผู้ใหญ่ ในชุมชน ได้ทยอยมาเยี่ยมให้กำลังใจ ช่วยกันออกเสียงเบ่ง ร่วมกับคุณเดือนแก้ว จนคลอดสำเร็จ และหลังการคลอด ทางบ้านสุขภาพ ได้เตรียมน้ำดื่มสมุนไพร น้ำอาบสมุนไพร เตาอบสมุนไพร และเตียงย่าง สมุนไพร แบบโบราณ เพื่อสุขภาพของคุณเดือนแก้ว นับเป็นการพึ่งเกิด ที่อบอุ่น ในสังคมบุญนิยมแห่งนี้

หลังจากนั้นญาติธรรมได้กราบเรียนขอชื่อจากพ่อท่าน ซึ่งพ่อท่านได้ตั้งชื่อให้ว่า ด.ช.หล้าฟื้น {(หล้า=โลก) หล้าฟื้น แปลว่า มาฟื้นโลก} และเวลาประมาณ ๐๙.๑๕ น. พ่อท่านได้เมตตามาเยี่ยมทั้งแม่และลูก ที่บ้านสุขภาพ ท่ามกลางเด็กๆ และผู้ใหญ่ พ่อท่านได้กล่าวว่า "ก็ดีแล้ว เริ่มต้น ดูเป็นเรื่องครื้นเครง ดูมีทุกรุ่น ตั้งแต่ตัวเล็ก ตัวน้อย มาเป็นกองเชียร์ พี่น้องคึกคักกัน เหลือเกิน เครื่องมือเราก็เตรียม ในเรื่องของภาคธรรมชาติ ซึ่งเป็นวัฒนธรรม เป็นเรื่องธรรมชาติ เราจะต้องรู้ คนโบราณ คนแต่ก่อนเก่า ที่เขาเคยใช้ความรู้ เป็นภูมิปัญญาพื้นบ้าน เราก็ฟื้นฟูขึ้นมา แล้วมาใช้ร่วมผสม นี่เด็กคลอดออกมา ก็เห็นคนโน้นคนนี้ เขาก็รู้ มนุษยสัมพันธ์เยอะ ถ้าอยู่โรงพยาบาล ตอนนี้หนาวแล้ว เพราะเขาเปิดแอร์ แต่นี่อากาศธรรมชาติ"

สำหรับการคลอดครั้งนี้ คุรุพรตะวัน เปิดเผยกับข่าวอโศกว่า "ก่อนคลอด ได้ไปเยี่ยมที่บ้านทุกวัน จัดเตรียมห้องคลอด และยืมเครื่องมือทำคลอดจาก ร.พ.วารินฯไว้ล่วงหน้า ทางโรงพยาบาล เมื่อทราบก็สนับสนุน เพราะเป็นการลดงานของ ร.พ.ไปด้วย ฝากบอกถึงญาติธรรม ชาวอโศกทุกท่าน หากต้องการมาคลอดที่บ้านราชฯ ก็ยินดีที่จะทำให้ ไม่ต้องเกรงใจ เพราะสังคมของเรา พึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตาย กันได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น (บุญนิยมระดับ ๔ ทำคลอดให้ฟรี)"

คุรุน้อมบูชา เปิดใจว่า "มาจากปฐมฯ เพื่องานคลอดนี้โดยตรง ก็คิดว่าเป็นประวัติศาสตร์นะ เพราะคลอดกับชาวอโศก เป็นรายแรก ที่มีวัฒนธรรมไทยๆ และให้เด็กพลาภิบาลได้เรียนรู้ ถือว่าเป็นคนไข้วีโอพีนะ เพราะคลอดครั้งนี้ มาตรฐานโรงพยาบาล บริการระดับ วีไอพี"

คุณเดือนแก้ว กล่าวว่า "รู้สึกเต็มร้อยที่จะเป็นครูให้นิสิตได้เรียนตรงนี้ มั่นใจในสังคมนี้ เกิดแก่เจ็บตายพึ่งกันได้ ปลื้มใจ และประทับใจมากเลยค่ะ ที่พ่อท่านมาเยี่ยม เสียงเชียร์ก็ทำให้มีพลังมาก รู้สึกอบอุ่น คลอดออกมา พอรู้ว่าเป็นผู้ชาย ก็อยากให้บวชเลยค่ะ ก็พยายามรักษาสุขภาพนะคะ เพราะอยากทำงานต่อ อยากทำงานศาสนา ช่วยพ่อท่านค่ะ".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

สัมภาษณ์คุณสุนีย์

ช่วงนี้กระแสเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ กำลังเป็นที่นิยมของหลายๆคน โดยเฉพาะการทำดีท็อกซ์ หรือการเอาพิษ ออกจากร่างกาย ด้วยการสวนน้ำกาแฟ ทีมข่าวอโศก ได้พบกับคุณสุนีย์ วงค์รัตนลาภ อายุ ๖๑ ปี ผู้มีประสบการณ์ ในการทำดีท็อกซ์มาแล้ว ๙ ปี จนเป็นที่รู้จักของหลายๆคน มีหมอ พยาบาล คนไข้ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ มาขอคำแนะนำ การทำดีท็อกซ์ มาแล้วเป็นร้อยๆคน จึงได้ขอสัมภาษณ์ มาฝากสมาชิกทุกท่านค่ะ

เหตุที่สนใจการทำดีท็อกซ์
เมื่อก่อนเปิดร้านอาหารมังสวิรัติ มีลูกค้าที่เป็นโรคมะเร็งมาทานอาหารที่ร้าน เขามาเล่าอาการของโรค และวิธีการรักษา ให้ฟัง แต่ตัวเขา ไม่สามารถทำได้หมด เพราะขาดกำลังใจ ดิฉันมีความเข้าใจ และเห็นใจเขามาก

หลังจากนั้นเริ่มศึกษาเรื่องการทำดีท็อกซ์ การดื่มน้ำอาร์ซีเพื่อรักษาสุขภาพ การออกกำลังกาย หารายละเอียด และผลข้างเคียง ของการทำ ก็ศึกษาอยู่นาน และทดลองทำด้วยตัวเอง ไม่มีผลเสียมีแต่ผลดี ร่างกาย ผิวพรรณ การขับถ่าย โรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีปัญหา ก็ทำมาแล้ว ๙ ปี

ข้อพึงสังวรและการเตรียมตัว
ไม่ใช่ว่าทุกทคนจะทำได้เหมือนกันหมด และเป้าหมายของแต่ละคนแตกต่างกัน เราจะทำเพื่ออะไร ๑.อ้วน ๒.การขับถ่าย ผิดปกติ ๓.เป็นโรคภัยไข้เจ็บ เช่น มะเร็ง ไมเกรน ถ้ามีโรคทำอย่างไร ถ้าผ่าตัดมาแล้ว ทำอย่างไร โดยมีขั้นตอนในการทำ ดังนี้

๑.ดื่มน้ำอุ่นก่อนทำ ๑ แก้วในเวลา ๐๕.๐๐-๑๐.๐๐ น.และหลังทำทุกครั้ง หากเป็นน้ำผลไม้ หรือน้ำอาร์ซีจะดีมาก ถ้าเป็นน้ำ ผลไม้ ที่ผสมน้ำตาล จะทำให้คลื่นไส้ ไม่ควรทำตอนเย็น เพราะจะทำให้นอนไม่หลับ ท้องจะว่าง ในเวลากลางคืน จะไม่มีผลต่อสุขภาพ

๒.การเตรียมน้ำกาแฟ ใช้กาแฟ ๒ ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ ๓๐๐ ซี.ซี. และน้ำต้มอุ่น ๗๐๐-๙๐๐ ซี.ซี. หลังจากนั้น นำมาผสมกันใส่ถุง

การเตรียมตัวในห้องน้ำ
ปูผ้าในห้องน้ำ นอนตะแคงขวา เหยียดขาขวาให้ตรง ดึงขาซ้ายเข้าหาตัว ก่อนปล่อยน้ำกาแฟ ให้เปิดสายสวน ปล่อยน้ำกาแฟ ไหลออกเล็กน้อย เพื่อไล่ลม ทาวาสลินที่สายสวนประมาณ ๒ นิ้วสำหรับคนปกติ และ ๓ นิ้วสำหรับคนที่เป็นโรคริดสีดวง หรือ ผ่าตัดริดสีดวง และใช้มือช่วยถือไว้ แล้วสอดเข้าทวารหนักเบาๆ เอานิ้วโป้งและนิ้วชี้จับที่ล็อค ค่อยๆปล่อยน้ำลง อย่าให้ไหลเร็ว เมื่อน้ำกาแฟหมด ในครั้งแรก คงค้างสายไว้ที่ทวารหนักก่อน เพื่อช่วยในการอั้น (ครั้งต่อไปก็เอาสายสวนออกได้เลย) แล้วนอนหงาย นวดท้องตั้งแต่ ใต้หน้าอกลงมา ให้ทั่วท้องประมาณ ๕ นาที เมื่อมีอาการปวดท้องถ่าย อย่าเพิ่งถ่ายให้อั้นไว้ก่อน น้ำจะขึ้นมาที่สาย ให้ผ่อนลมหายใจ เอาลมออกทางปาก น้ำที่ค้างในสาย จะไหลลงสู่ทวารหนัก ประมาณ ๒-๓ ครั้ง เมื่อน้ำลง จากสายหมดแล้ว จึงถอดสายออก แล้วนั่งถ่าย ห้ามเบ่งเด็ดขาด ให้ถ่ายตามสบาย

อุจจาระจะมีกลิ่นเหม็นและออกมามาก อย่าตกใจ เพราะนั่นคือได้ขับพิษออกจากร่างกาย ครั้งแรกให้ทำ ๒ วันติดต่อกัน ต่อไปอาจเป็น สัปดาห์ละครั้ง หรือ ๒ สัปดาห์ต่อ ๑ ครั้ง หรือเดือนละครั้ง

ในกรณีที่เป็นโรคมะเร็ง หรือโรคเรื้อรัง ควรทำทุกวัน ถ้าเคยผ่าตัด ต้องให้พ้น ๖ เดือนก่อนจึงค่อยทำ ส่วนกรณีที่ล้างไต ผ่าตัดไต ห้ามทำเด็ดขาด ในกรณีผ่าตัดไส้ติ่ง ควรใช้น้ำ ๘๐๐ ซี.ซี. และหากท้องผูก ก็ทำก่อนถ่ายได้ แต่ให้ฝึกถ่ายก่อน จะดีที่สุด เมื่อปฏิบัติ ตามข้อแนะนำ อย่างเคร่งครัด ก็จะประสบผลดีต่อสุขภาพ

ข้อควรระวัง
น้ำที่ทำต้องเป็นน้ำต้มสุก น้ำดิบใช้ไม่ได้ สามารถใช้น้ำกาแฟ น้ำมะนาว น้ำมะขาม ที่มีรสกร่อยๆ หรือลูกใต้ใบ สำหรับผู้มี ไข้หวัด หรือมีไข้เชื้อไวรัส เช่น งูสวัด เริม อายุ ๓๕ ปีขึ้นไป ไม่ควรเคี้ยวทานผลไม้พร้อมกาก ควรดื่มน้ำผลไม้ ที่แยกกากออกแล้ว จะดีกว่า

วิธีทำน้ำอาร์ซี แบ่งข้าวเป็น ๓ ชุดและควรเป็นข้าวไร้สารพิษ

ชุดที่ ๑ มีเม็ดบัว (ไม่ต้องเอาสีเขียวในเม็ดบัวออก) ลูกเดือย ข้าวบาเลย์ ข้าวสี ข้าวฟ่าง(เม็ดเล็ก) อย่างละ ๑ กำมือ ล้างซาว ๒ ครั้งแล้วพักไว้

ชุดที่ ๒ มีข้าวแดงมันปู ข้าวเหนียวกล้อง ข้าวกล้อง อย่างละ ๑ กำมือ ล้างซาว ๒ ครั้งแล้วพักไว้

ชุดที่ ๓ ข้าวโอ๊ต ๑ กำมือ

วิธีทำ เอาข้าวชุดที่ ๑ ใส่หม้อเคลือบหรือแสตนเลส ใช้น้ำ ๒ ลิตร ปิดฝาต้มไฟแรง พอเดือดครั้งแรก ให้รีบใส่ข้าวชุดที่ ๒ ทันที พอชุดที่ ๒ เดือด หรี่ไฟอ่อนที่สุด เติมข้าวโอ๊ต แล้วปิดฝา ปิดไฟ ทิ้งไว้ ๑๐ นาที เพื่อให้ข้าวตกตะกอน แล้วกรอง เก็บไว้ดื่ม ห้ามค้างคืน หากเย็นก็เอาไปอุ่นได้ แต่ห้ามเดือด

ข้าวที่เหลือ มีไฟเบอร์สูง เอาไปหุง หรือทำข้าวต้มได้ หาซื้อได้ที่ บจ.พลังบุญ บึงกุ่ม กทม.(ใกล้สันติอโศก) หรือร้าน เพื่อสุขภาพทั่วไป

อ่านถึงตรงนี้แล้ว หากยังข้องใจ หรือมีปัญหาใดๆ สามารถโทรศัพท์สอบถามรายละเอียด จากสุนีย์ ได้ที่ ๐-๒๓๓๔-๑๗๖๖ หรือไปที่ ลัลลี่วิลล์ ถ.แพรกษา ซ.มังกร สมุทรปราการ.

ทีมข่าวอโศก รายงาน

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
67/1 ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. 10240 โทร.02-3745230 ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ 1,500 ฉบับ

[กลับหน้าสารบัญข่าว]