ฉบับที่ 189 ปักษ์หลัง 16-31 สิงหาคม 2545

[01] บทนำข่าวอโศก:เก็บกลดเพราะเก็บกด
[02] ธรรมะพ่อท่าน: "จับประเด็นจากหนังสือคนคืออะไร๑"
[03] ข่าวจากสวนสันติคาม:
[04] จับกระแส ตอ.
[05] กสิกรรมธรรมชาติ ; กสิกรรมไร้สารพิษ
[06] สกู๊ปพิเศษ:สัมภาษณ์ สมณะเดินดิน ติกขวีโร
[07] เปิดร้านรวมใจมังสวิรัติ
[08] ศูนย์สุขภาพ: มาตากแดดบำรุงกระดูกกันเถอะ
[09] มหกรรมพลังแผ่นดิน ขบวนการกอบกู้วิกฤติเพื่อประชาชน พัฒนาบุคลากรและสิ่งแวดล้อม
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า:
[11] ข่าว:ผลเสียปรับปรุงเทคโนโลยี่การผลิต คนทำงานเครียดขึ้น จี้แก้โครงสร้าง
[12] นานาสาระ: ลดเกลือ ลดความดัน
[13] ครัวอโศก น้ำข้าวโพด
[14] ข่าวสั้นทันอโศก:พรรคเพื่อฟ้าดิน
[15] นางงามรายปักษ์ :นางน้ำทิพย์ เกษมเศรษฐ์
[16] ข่าว:อุบัติเหตุของ รองเลขาธิการพรรคเพื่อฟ้าดิน
[17] ข่าว:บ้านราชฯ อบรมด้วยวิถีชีวิตจริง พัฒนาทั้งคนในคนนอก โดยการสัมผัสชุมชนที่เรียบง่ายและมีพลัง
[18] ข่าว:รณรงค์คัดค้านการขอขึ้นเงินเดือน ส.ส. ส.ว..




เก็บกลด เพราะ เก็บกด!

คนเราถ้าไม่ตัดกิเลส ย่อมเกิดความกดดัน ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศแบบสังคมนิยม หรือ ประชาธิปไตย (เสรีนิยม)

ประเทศสหรัฐอเมริกา แม้จะได้ชื่อว่าเป็นดินแดนเสรีนิยม กลับมีวัยรุ่นคิดฆ่าตัวตายถึง ๓ ล้านคนในปี พ.ศ.๒๕๔๓

สำนักงานแห่งหนึ่งของสหรัฐฯที่เปิดเผยผลสำรวจในเรื่องนี้ ได้ชี้ถึงสาเหตุหลักของการฆ่าตัวตายว่า มาจาก ความเก็บกด โดยในจำนวนนี้มีเพียง ๓๖% เท่านั้น ที่ได้รับคำปรึกษาหรือรักษาสภาพจิตใจ

จะเห็นได้ว่า แม้เราจะไม่ควบคุมการกินการอยู่ แต่การสนองความต้องการ และการแข่งขันกัน เพื่อให้ได้มา ซึ่งโลกียสุข ย่อมทำให้คนที่ยังไม่มีเสรีทางจิตใจจริง หรือคนที่ยังมีกิเลสตัณหาอุปาทานอยู่ ย่อมเกิด ความเก็บกด จนถึงคิดฆ่าตัวตายได้

มามองดูนักปฏิบัติธรรมที่กำลังบำเพ็ญตบะในช่วงเข้าพรรษานี้ ที่ตั้งใจควบคุมความต้องการ ให้อยู่ในร่อง ในรอย ยังไงๆก็อย่าได้ทำเพียงแค่สมถะ พึงมีวิปัสสนาช่วยด้วย

ใครสงสัยว่าวิปัสสนาทำอย่างไร ก็พึงสอบถามได้จากสมณะและสิกขมาตุ หรือสนทนาธรรม กับมิตรดี สหายดี ให้กระจ่างแจ้ง ออกพรรษาแล้วจะได้ไม่รู้สึกเก็บกด จนถึงขั้นหนีออกจากวัด อย่างบางคนบางท่าน ที่มีสาเหตุ มาจากการเก็บกด ในพรรษา

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


จับประเด็นจากหนังสือคนคืออะไร? (๑)

ธรรมะพ่อท่าน ที่จะนำเสนอท่านผู้อ่านต่อไปนี้ เป็นการจับประเด็น เนื้อหาธรรมะ ที่พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ได้เขียนในหนังสือ "คนคืออะไร? ทำไมสำคัญนัก?"

เป็นการจับประเด็นเป็นตอนๆไป จากลูกพ่อคนหนึ่ง นามว่า พุทธบุตรฯ ซึ่งทางเรา ขอนำเสนอธรรมะ ประเด็นต่างๆ เริ่มตั้งแต่ ฉบับนี้เป็นต้นไป

คนคืออะไร? ทำไมสำคัญนัก?

ข้าพเจ้าพอจับใจความได้ว่า...

สรรพสิ่งบนโลกนี้ ทั้งที่เป็นวัตถุและวิญญาณ กอปรขึ้นจากการสังเคราะห์หรือสังขาร นับตั้งแต่สองสิ่งขึ้นไป

การเกิดด้านวัตถุ...เกิดธาตุทั้งสี่คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ สังเคราะห์ขึ้นมาเป็นรูปร่าง อย่างที่สายตาเรา มองเห็นอยู่ทั่วไป อาทิเช่น เสื้อผ้า ของกินของใช้ต่างๆ ตึกรามบ้านช่อง ฯลฯ แม้กระทั่ง กายขันธ์ของเราเอง ก็เช่นกัน ดังตัวอย่าง ที่ยกมาในบทนี้คือ น้ำโอชะบาน ซึ่งเกิดจากน้ำเปล่า น้ำเชื่อมน้ำปลา มาผสมรวมกัน

การเกิดด้านวิญญาณ...เกิดจากความไม่รู้หรืออวิชชา เพราะเราไม่รู้ การเกิดด้านวัตถุ อย่างเห็นจริง ตามความเป็นจริง ใจหลงเข้าไปยึด ในวัตถุทั้งหลายว่า เป็นสิ่งจริงเที่ยงแท้ วัตถุนั้นๆ จึงมีตัวตน เป็นสัญญา มั่นหมาย ฝังลงในวิญญาณเรา ดังจิตที่ไปสัญญามั่นหมายว่า น้ำโอชะบานมีจริง ทั้งที่มีเกิดจาก การปรุงแต่ง และสมมุติบัญญัติโลก

ผู้ยังไม่เข้าใจการเกิดทั้งวัตถุและวิญญาณ...ยังไม่พ้นอวิชชา ถือว่ายังเป็นคนโง่คนหนึ่ง

หากเห็นแจ้งสัจจะ การเกิดทั้งวัตถุและวิญญาณได้ เป็นวิชชาโดยสมบูรณ์ รู้ได้ด้วยญาณปัญญาตน

ผู้นั้นนับว่ามิใช่คนโง่อีกต่อไป

เป็นคน? เป็นพระ?

พ่อท่านได้ชี้ชัดให้เราได้เห็นถึงสัจจะแห่งพระ อันเป็นพระแท้ของพุทธศาสนากันในบทนี้ แบ่งตามหลักสัจจะ พระในโลกนี้ มีอยู่สองรูปแบบ คือ พระแท้ กับ พระปลอม

พระแท้...มิได้หลายเพียงภิกษุครองผ้ากาสวะเท่านั้น แม้เป็นฆราวาสก็ตามที หากมีภูมิปัญญาถึงขั้น อริยคุณ พ้นความเป็น คนโง่ นับเนื่องเป็นพระในพุทธศาสนาได้เหมือนกัน เรียกว่า...พระอริยบุคคล

พระปลอม...แม้เป็นบุรุษโกนศีรษะครองผ้ากาสวะ หากไร้วัตรปฏิบัติตามธรรมวินัย ไม่มีภูมิปัญญา ถึงขั้นอริยคุณ คนผู้นั้น ไม่นับเนื่องเป็นพระ หากเป็นเพียงสมมุติสงฆ์ เป็นลูกชายชาวบ้าน ในคราบนักบวช ซึ่งมีให้เห็นกันเกลื่อน ในสังคมปัจจุบัน.

พุทธบุตร ลูกหม้ออโศก

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ข่าวจากสวนสันติคาม

กลุ่มญาติธรรม จ.มหาสารคามเตรียมความพร้อมอบรมตามหลักสูตรสัจธรรมชีวิต

เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๔๕ เวลา ๐๙.๐๐-๑๐.๓๐ น. กลุ่มญาติธรรมชาวมหาสารคาม ได้พร้อมเพรียงกันมาประชุม ในโอกาสที่มีสมณะ มาเยี่ยมเยียนที่ สวนสันติคามใหม่ ของอาจารย์ตะวัน เกียรติบุญญาฤทธิ์ ในพื้นที่ประมาณ ๗ ไร่ ติดแม่น้ำชี ซึ่งตั้งอยู่ที่ บ้านทุ่งนาเรา ห่างจากสถาบันราชภัฏมหาสารคาม ประมาณ ๓ ก.ม. ปัจจุบันใช้สวนแห่งนี้ เป็นที่ทำกิจกรรมของกลุ่ม

ที่ประชุมได้ปรึกษากันเรื่อง การเตรียมความพร้อม เพื่อการอบรมหลักสูตรสัจธรรมชีวิต โดยลำดับแรก จะรวมกลุ่มกัน ปลูกผัก ไร้สารพิษ ทำเกษตรธรรมชาติ ขณะนี้ได้มีบ้านพักญาติธรรมฝ่ายหญิง และเพิงพักเป็นหลังๆ สำหรับสมณะ และญาติธรรม ที่มาเยือน จำนวน ๕ หลัง ลำดับต่อไป จะสร้างศาลาส่วนกลาง ไว้ทำกิจกรรมกลุ่ม ขณะนี้มีผู้อยู่ประจำ ๓ คน นำโดย โยมหนูจันทร์ วังทัน จากบ้านวังจาน อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม

จำนวนผู้เข้าประชุมในครั้งนี้ มีผู้ชาย ๑๔ คน ผู้หญิง ๑๙ คน กลุ่มญาติธรรมชาวมหาสารคาม ฝากขอเชิญทุกท่าน โปรดแวะเวียน ไปให้กำลังใจมา ณ ที่นี้ด้วย.

สมณะลั่นผา สุชาติโก รายงาน

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ขอแจ้งข่าวประกาศตามหาส่วนที่ขาดหายไป ของบุคคลดังต่อไปนี้ ที่แจ้งร้องทุกข์ผ่านทีมงานจับกระแสมา

ฉัน

ส่วนที่ขาดหายไป

ป.ล.

๑. นางสาวผลผลิต ฉลากไม่สมบูรณ์

ตัวเลขต่อท้ายคำว่า วันผลิต หรือ วันหมดอายุ

หายที่ ห้องบรรจุ บรรจุภัณฑ์

๒. นายน้ำหมัก ดื่มประจำ

มูลค่าที่แท้จริงของตัวฉัน

คนทำหาย นายสำนึกดี ลืมบุญนิยม

๓. Mrs.Aspergillus Flavus

My baby "Aflatoxin"

แท้งใน ตู้อบความร้อน

๔. เด็กหญิงชมพูม่วง แชมพูหนืด

สีอัญชันแสนสวย

ขอให้เหมือนเดิม

๕. นางสาวต้อนรับ ขับแขก

รอยแย้มบนริมฝีปาก

หายใน ร้านพลังบุญ และที่ไหนอีก ?

๕. เด็กชายสมุนไพร ยายอดดี

ตัวยา(สารสำคัญ)

หาย หายได้ตลอดทางนะ

๖. ยายละเอียด ประณีตเสมอ

ความประณีต และความละเอียด

หายทั้งตัว (ใครทำหาย)

๗. ตาหน่วย ฐานผลิต

ต.อ.(บาง)ชุมชน

ไม่รู้หายไปไหน !!!

หมายเหตุ ต.อ.กลาง ไม่มีอะไรหาย แต่....ประกาศหาเพื่อนร่วมทางเข็นกงล้อ "บุญญาวุธหมายเลข ๒" ของพ่อท่านเพิ่มจ้ะ

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


กสิกรรมไร้สารพิษ

สูตรไล่แมลง นำพืชที่มีกลิ่นฉุน เช่นยูคาลิปตัส สาบเสือ บอระเพ็ด ดาวเรือง ฯลฯ มาทุบๆแล้วเอาไปแช่ได้ ๓ ลักษณะ
๑. แช่น้ำธรรมดา ๑-๒ ช.ม. (จะใส่น้ำซาวข้าวผสมด้วยก็ได้)
๒. แช่น้ำธรรมดา ๑-๓ คืน (จะใส่น้ำซาวข้าวผสมด้วยก็ได้)
๓. นำพืชหลายๆชนิดที่ไล่แมลงได้ไปต้มรวมกัน (หากต้องการจะใช้เร็ว)
เสร็จแล้วก็เอาไปพ่นใส่ต้นไม้ พืชจะออกดอกออกผลไดดี (สรุปจากคำบรรยายของคุณใจเพชร สวนส่างฝัน)



สูตรปุ๋ยหมัก มี ๒ สูตร ดังนี้

สูตรที่ ๑ มีส่วนผสมคือ แกลบดิบหรือแกลบเผา ๑ ส่วน, รำอ่อน ๑ ส่วน, มูลสัตว์หรือกากถั่ว ๑ ส่วน(หรือทั้ง ๒ อย่างก็ได้) คลุกเข้าด้วยกัน ผสมจุลินทรีย์ลงเข้าไปให้ได้ความชื้น ๔๐-๖๐% อัตราส่วน ๒๕-๒๐๐ กก.ต่อไร่ ถ้าใส่นาข้าว
ใส่มาก-น้อย ขึ้นอยู่ที่ดินของเรา หากดินไม่ดีก็ใส่มาหน่อย

สูตรที่ ๒ มีส่วนผสมคือ แกลบเผาหรือขี้เถ้า ๑ ส่วน, แกลบดิบ ๓ ส่วน, พืชสดสับละเอียด ๑๐ ส่วน และมูลสัตว์ ๑๐ ส่วน (ซึ่งจะใส่ก็ได้ไม่ใส่ก็ได้) คลุกรวมกัน รดด้วยจุลินทรีย์

แกลบเผาหรือขี้เถ้า ทำหน้าที่เป็นด่าง ไปล้างสภาพความเป็นกรดที่เราเคยใส่ปุ๋ยเคมี ถ้าใส่มาก จะเค็มมากทำให้พืชเสียหาย ไม่มีก็ไม่ต้องใช้ก็ได้

แกลบดิบ ทำให้โครงสร้างของดินหลวมๆ ไม่แน่นเกินไป ระบายอากาศได้ดีขึ้น อัตราส่วนปรับเปลี่ยนได้ตลอด

พืชสดสับละเอียด พืชสดที่ดี มีสาบเสือ ถั่ว งา แล้วก็พืชอื่นๆที่เน่าเปื่อยไว นำมาปั่นละเอียด ทิ้งไว้ ๔ วัน จะเปื่อยเน่า จุลินทรีย์ จะเดินเต็ม โดยไม่ต้องใช้น้ำหมักก็ได้

ช่วงที่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยไว ต้องเลือกพืชสดที่เปื่อยไว ข้อดี ถ้าเป็นสาบเสือหรืออะไรฉุนๆ จะไล่แมลงได้ด้วย แล้วเปื่อยไวด้วย แล้วจะมี มูลสัตว์ ๑๐ ส่วนถ้ามี

สูตรนี้ไม่มีรำอ่อน(แต่ถ้ามีรำอ่อนจะใส่ก็ได้) เพราะใช้น้ำซาวข้าวหรือน้ำแช่ถั่วรดกองปุ๋ยแทน และในน้ำซาวข้าวคืนวิตามินออกมาแทนรำอ่อนอยู่แล้ว

ถ้าไม่มีน้ำซาวข้าว ไม่มีรำอ่อน ก็ไม่เป็นไร ใช้น้ำธรรมดาได้

ถ้ามีปัญหา พืชที่ปลูกลงโตช้า วิธีแก้คือ เอาน้ำซาวข้าวหรือน้ำแช่ถั่วไปรดเลย หรือเอาน้ำยูเรีย คือปัสสาวะผสม ๑-๒ แก้วต่อน้ำ ๒๐ ลิตรไปรด พืชจะงาม

วิธีสังเกตว่ากองปุ๋ยใช้ได้หรือไม่ เมื่อคลุกน้ำซาวข้าวเข้าไปแล้ว ๔ วันถึงจะใช้ได้ ดูตรงที่ว่ามันเย็นแล้ว เพราะเราต้องพลิก กลับกองได้ ถ้ามันร้อน จนต้องกระชากมือออก ยังใช้ไม่ได้ ไปลงในพืชจะเฉาหมด เชื้อราจะขึ้นหรือไม่ก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ ราสีขาวจะขึ้นเต็ม ใช้ได้ ถ้าจะให้ดีเอามือไปล้วงดู อุ่นๆก็ใช้ได้ แต่ร้อนใช้ไม่ได้

(หมายเหตุ สรุปจากคำบรรยายของคุณใจเพชร สวนส่างฝัน)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ในช่วงเข้าพรรษา พ่อท่านเน้นข้อปฏิบัติที่สำคัญอะไรบ้าง และสิ่งที่พ่อท่านเป็นห่วง พร้อมนโยบายใหม่ คืออะไร ติดตามได้จาก คำให้สัมภาษณ์ ของสมณะเดินดิน ติกขวีโร ค่ะ...

ในช่วงเข้าพรรษานี้ พ่อท่านเน้นข้อปฏิบัติอะไรที่สำคัญบ้างคะ

ในวันเข้าพรรษา พ่อท่านได้แสดงธรรมให้กับพวกเรา ท่านได้พูดถึงสังคมทุกวันนี้รุนแรง และเลวร้าย ดังนั้น การแก้ไข ปัญหาสังคมทุกวันนี้ จะใช้เพียงสันติวิธีเท่านั้นไม่พอ เราจะต้องเจริญเมตตาวิธีกันให้มาก

โดยเฉพาะการเจริญเมตตาที่สำคัญนั้น คือการทำกับคนที่ใกล้ๆตัวเราก่อน สาเหตุที่ทำให้คนเรา ไม่สามารถเจริญเมตตา ซึ่งกันและกันได้นั้น มีปัจจัยที่สำคัญอยู่ ๒ ประการ ก็คือ

๑.เรามีความเอาแต่ใจตัวเองสูง

๒.ไม่สามารถทนนิสัยเขาได้ แต่วิเคราะห์ให้ลึกๆจริงๆนั้น มันเป็นการทนนิสัยเราไม่ได้ นั่นต่างหาก โดยเฉพาะ นิสัยที่ร้ายๆ ของเรา ทุกๆครั้ง ที่เกิดความไม่ชอบใจ นั่นแหละคือ การทำงานของอัตตาร้ายของเรา บางทีความผิดของเขา เพียงนิดเดียว แต่ความไม่ชอบใจ ไม่พอใจ ที่เป็นอัตตาร้ายของเรา จะบอกความผิดของเขา ขึ้นเป็นภูเขาเลากาจนเกินกว่าเหตุ

เราคงต้องพิจารณาอยู่เสมอๆว่า คนมาวัดหรือมาปฏิบัติธรรมนั้น ก็เหมือนกับมา ที่โรงพยาบาล ต่างก็มีโรคร้ายกันทุกคน รวมทั้งเรา ดังนั้น แต่ละคนต่างก็มีวิบาก ที่น่าสงสารด้วยกันทั้งสิ้น แต่เพราะเราให้ความสำคัญ กับตัวเอง มากจนเกินไป จึงทำให้เราไม่สามารถ เจริญเมตตากับใครๆได้ มีแต่เจริญอัตตาอยู่ตลอดเวลา บางคนนั้นตั้งใจ ที่จะมาอยู่วัดให้ได้ แต่เพียงแค่ใคร ทำขัดหูขัดตา หรือพูดไม่เข้าหูตัวเองหน่อยเดียว ก็พร้อมที่จะออกจากวัดได้ทันที ก็จะเห็นได้ว่า เขามีความตั้งใจ ที่จะมาอยู่วัดน้อยมาก แต่ให้ความสำคัญกับตัวเองนั้น มากมายเหลือเกิน ดังนั้น คงจะต้องลด ความเอาแต่ใจตัวเองลงบ้าง และ พยายามตามล้างนิสัยร้ายๆ ของเราให้ได้ เพื่อจะได้เห็นอกเห็นใจ กับนิสัยของคนอื่น ที่เรารู้สึกว่าทนไม่ได้

ในสมัยพุทธกาล เมื่อครั้งพระประยูรญาติจะรบราฆ่าฟันกัน เพราะต้องการแย่งชิงเอาน้ำ พระพุทธองค์ ก็ทรงมา ให้เตือนสติว่า เลือดสำคัญกว่าน้ำ ไม่คุ้มที่เราจะมาทำลายความเป็นญาติ หรือ ต้องเสียเลือดเนื้อ เพราะเห็นแก่น้ำเท่านั้น พวกเราเอง ก็เป็นญาติกัน โดยเฉพาะ เป็นญาติที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าญาติทางสายเลือด เป็นญาติทางจิตวิญญาณ หรือ เป็นญาติทางธรรม แต่บางครั้ง พวกเราก็แตกแยกกันได้ง่าย เพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆ เพียงแค่แกงส้ม คนหนึ่งจะใช้ มะขามเปียก อีกคนหนึ่งจะใช้มะนาว แค่นี้เราก็แทบจะเลิกพูดกันแล้ว ดังนั้น ในส่วนนี้ ก็ชี้ได้ว่า พวกเราเอง จะมีความเอาแต่ใจ ตัวเองสูง หรือ ให้ความสำคัญกับตัวเองมากไป เพราะไม่น่าจะมีอะไรยิ่งใหญ่ ความเป็นพี่น้อง ยิ่งใหญ่กว่าธรรมะ ยิ่งใหญ่กว่าการให้อภัยได้ เมตตาได้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า แม้จะขนข้าวขนน้ำ ใส่สำรับกับข้าวถึง ๕๐๐ หม้อเอาไปทำบุญทำทานวันละ ๓ เวลา อาหารที่เอาไปทำบุญทานเหล่านั้น ก็ไม่ได้อานิสงส์ มากเท่ากับ การเจริญ เมตตา เพียงแค่ชั่วลัดนิ้วมือเดียว ก็อยากจะฝากพวกเรา โดยเฉพาะทางแม่ครัว ที่ทำอาหารก็ดี พวกเราที่ช่วยกัน ขายอาหาร มังสวิรัติก็ดี นอกจากจะขายอาหาร เผยแพร่อาหารแห่งเมตตาแล้ว ก็อยากจะให้เจริญเมตตามากๆด้วย ก็จะได้เป็นอาหาร ที่ไร้สารพิษทั้งอาหาร และไร้สารพิษทางจิตใจ อาหารมังสวิรัตินั้น ก็จะเป็นอาหาร ที่เจริญเมตตา และเจริญ คุณค่าอาหารที่สมบูรณ์

ในยุคที่ชาวอโศกกำลังถูกรุมตอม มีอะไรที่ทำให้พ่อท่านเป็นห่วงบ้างคะ

สิ่งที่พ่อท่านเป็นห่วงพวกเราอยู่ทุกวันนี้ก็คือ กลัวกระแสตื่นของผู้คน ท่านเคยพูดอยู่เสมอๆว่า ตื่นช้างตื่นม้าก็ยังไม่น่ากลัว เท่ากับคนตื่น เพราะถ้าคนตื่นมาแล้ว เขาก็จะหลั่งไหลเข้ามาเอาของดีกัน แต่พ่อท่านก็เป็นห่วงว่า ถ้าเกิดคนเขาตื่น ขึ้นมาแล้วนี่ แล้วถ้าคุณภาพของเรา ไม่ดีมากเพียงพอ ก็จะทำให้ผู้คน ที่เขาหลั่งไหลเข้ามานั้นผิดหวัง หรือ ได้ประโยชน์ไปน้อย

ชาวอโศกยุคนี้ จึงต้องถือว่าเป็นยุคเพิ่มคุณภาพ ยุคเพิ่มเนื้อในให้แน่น ปัญหาที่ต้องระมัดระวังก็คือ เมื่องานเราเยอะ งานเรา กว้างขวางขึ้น แต่ถ้าเราปล่อยให้หางเยอะ มีสิ่งของที่ทิ้งๆขว้างๆมากขึ้น ตรงนี้ก็จะเป็นอันตราย แม้เพียงเรื่อง แค่เล็กๆน้อยๆ เช่น ห้องส้วม ห้องน้ำ ไม่มีคนดูแล ปล่อยให้สกปรกเลอะเทอะ แย่ยิ่งกว่าห้องน้ำ ตามปั๊มน้ำมัน ตรงนี้ก็ น่าเป็นห่วง การบริหารใดๆในชุมชนต่างๆ ถ้ามีหางยาว หรือมีหางที่เลอะๆเทอะๆอยู่มาก ย่อมเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า การบริหาร ที่ตรงจุดนั้นเสื่อม หรือ ไม่มีประสิทธิภาพแล้ว

ในยุคที่เรามีงานกว้างออกไปช่วยสังคมมากขึ้นไปเรื่อยๆเช่นนี้ เราจึงต้องมีความชัดเจนมากขึ้น ตามไปด้วย ความชัดเจน ที่สำคัญนั้น น่าจะแบ่งได้เป็น ๒ ประการด้วยกันคือ

๑.ความชัดเจนในเป้าหมายชีวิต หรือความชัดเจนในการปฏิบัติธรรม เราเองควรจะได้ทบทวนทิศทางเป้าหมาย ของชีวิตของเรา อยู่เสมอๆ เราปฏิบัติธรรมแล้วเราได้อะไร สิ่งใดที่เราลดเลิกละ สิ่งใดเด็ดขาดได้บ้าง หรือยังไม่ได้ ในส่วนนี้ เราเองก็ต้องชัดเจน ในการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมแบบสะเปะสะปะ ไม่มีเป้าหมาย หรือ ปฏิบัติธรรมไป ก็ทำตามหมู่ๆไป สุดท้าย แม้อยู่ ๕ ปี ๑๐ ปี ก็ไม่รู้ว่าได้อะไร ตรงนี้ก็เป็นอันตราย ถ้าไม่มีเป้าหมาย ไม่มีทิศทางเช่นนี้ ก็มีสิทธิ์ ที่จะหลุดออกจากขั้ว หรือ เมื่อมีกระแสโลกธรรมมามากๆ กระแสโลกธรรม ก็จะพัดพาให้เรา หลุดออกไปจาก วงจรโลกุตระได้

๒.ความชัดเจนในการงาน กิจกรรมของพวกเราที่มีมาก ก็จะมีจุดอ่อนตรงที่เราไม่สามารถทำอะไรได้ต่อเนื่อง ยาวนาน และสังคมของเรา เป็นสังคมที่เปิดกว้าง ดังนั้น ก็จะมีสิ่งนั้นสิ่งนี้สิ่งโน้น เข้ามาให้พิสูจน์ ทดลองกันตลอดเวลา ไม่ว่าในด้าน การรักษาโรคก็ดี ไม่ว่าในด้านของ เรื่องจุลินทรีย์ก็ดี เราจะเห็นได้ว่า มีกระแส หรือมีสิ่งใหม่ๆ ให้เราทดลอง อยู่ตลอดเวลา ไปๆมาๆ เราก็เลยไม่ชัดเจนว่า อะไรเป็นประโยชน์ที่แท้จริง สิ่งเหล่านี้ ก็เป็นปัญหา ในการสื่อสาร หรือ เผยแพร่ ให้กับผู้อื่น แม้แต่ในเรื่องของกสิกรรมก็ตาม ในเรื่องของปุ๋ยก็ตาม เพราะจริงๆ บางทีหลายๆแห่ง ก็ได้แต่โฆษณา เผยแพร่ออกไป แต่จริงๆแล้ว เราเองก็ไม่มีเวลาพิสูจน์ ทดลองให้เห็นผลสักเท่าไร ดังนั้น น้ำหนัก ที่จะสื่อออกไป ก็เลย มีน้ำหนักน้อย จุดนี้ก็เป็นจุดอันตรายเหมือนกัน ที่ไม่ชัดเจนในการงาน เพราะขาดการทำต่อเนื่อง ยาวนาน จนพิสูจน์ได้เห็นผล

พ่อท่านมีนโยบายอะไรใหม่ๆบ้างหรือไม่คะ

พ่อท่านได้ปรารภว่า หัวหาดต่อไปที่ชาวอโศกจะต้องยึดให้ได้ นั่นก็คือหัวหาดสุขภาพ ต่อไปถ้าจะดูคนที่อายุยืน ต้องให้มาดูที่ สังคมชาวอโศก จะดูคน ๘๐ ปี ๙๐ ปี หรือ ๑๐๐ ปีที่แข็งแรงก็ต้องมาดูคนในสังคมชาวอโศก

ดังนั้นพวกเราเอง คงจะต้องมาคำนึง ถึงเรื่องของสุขภาพกันให้มาก ปัจจัยที่ทำให้สุขภาพของเราเสีย น่าจะได้จำแนกได้ ๒ ประการก็คือ

๑.ทำงานแบบอัตตกิลมถานุโยค คือทำงานโดยทรมานตน ทำงานเอาแต่บำเรออัตตาของตน พวกนี้จะมีเรี่ยวแรง พลังมหาศาลเลย ถ้าทำงานในสิ่งที่ตัวเราเองชอบ ได้สนองตอบอัตตาของตัวเอง แต่ถ้าเมื่อไหร่ ไปเจองานที่ตัวเองไม่ชอบ หรือไม่สนองตอบ อัตตาของตัวเองได้ ก็จะหมดเรี่ยวหมดแรง กลายเป็นคนป่วยไปในทันที การบำเรออัตตาเช่นนี้ เป็นอัตตกิลมถานุโยค และเป็นทั้งกัมมรามตา ความหลงมัวเมา ในการงานอีกด้วย ซึ่งเราควรที่จะทำงาน รับใช้ศาสนา รับใช้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มากกว่าที่จะรับใช้ตัวเอง หรือรับใช้ความคิดของตัวเอง หรืออัตตาของตัวเอง คนที่ทำงาน โดยสนองตอบ อัตตาของตัวเองเป็นหลัก มันก็จะทำให้เราขาดๆเกินๆ ไม่ยอมหยุดยอมพัก ซึ่งก็จะทำให้ชีวิต ขาดความสมดุลไป แล้วงานที่ดุนดัน เอาอัตตาของตัวเองเป็นหลัก ก็จะต้องใช้แรงงกายก็หนัก แรงความคิดก็ต้องใช้มาก เพราะส่วนใหญ่ ก็ไม่ค่อยได้รับความร่วมมือ หรือมีการต่อต้าน จากหมู่กลุ่ม ตรงนี้ก็จะนำไป สู่ความเจ็บป่วย หรือเกิด ความไม่สมดุล ทางร่างกายได้ เป็นปัจจัยที่สำคัญ

๒.กามสุขัลลิกานุโยค คือการใช้ชีวิตแบบบำเรอกาม ซึ่งในสังคมปัจจุบัน เป็นยุคบริโภคนิยม คนพากันกินจนตาย มีทั้งแบบ ตายหวาน ตายเค็ม หรือตายมัน เพราะกินน้ำมันมากไป กินเค็มมากไป หรือ กินหวานมากไป แม้แต่ผลไม้หวานๆ หมอก็จะไม่ค่อย สนับสนุนเท่าไหร่ เพราะทั้งความหวาน ความเค็ม หรือความมันก็ตาม ล้วนแล้วแต่ เป็นสิ่งที่ทำให้ ภูมิต้านทาน ในร่างกายของเราต่ำทั้งนั้น ข้อสังเกต จากคุณหมออารีย์ ได้เคยแนะนำกับพวกเราว่า ชาวอโศก เดินมา ถูกทางแล้ว แต่ถ้าให้ดียิ่งกว่านั้น ก็คือว่า น่าจะลดเรื่องเค็ม ลงมาได้อีกมาก เรื่องหวาน ก็ยังลดลงมาได้อีกมาก หรือเรื่องมัน น้ำมันก็จะลด ลงมาได้อีกมาก ถ้าพวกเราไม่บำเรอ ลิ้นกับปากด้วยความเค็ม ความมัน ความหวานมากเกินไปแล้ว แล้วสามารถ ที่จะทำความสมดุล มีการพักผ่อนได้เพียงพอ ลดการขัดแย้งทางความคิด ซึ่งกันและกัน พยายามลด ความสำคัญกับความคิดของตัวเอง พยายามที่จะทำตาม ความเห็นของหมู่เป็นหลัก ก็จะทำให้เราไม่ต้องเสีย พลังงานมาก โดยฟังนโยบายของพ่อท่าน นโยบายของส่วนกลาง นโยบายของหมู่ ว่ายังไง เราก็ทำตามอย่างนั้นไป ก็จะทำให้เรา ใช้ชีวิตแบบสนุกสนาน มีปีติที่ได้รับใช้ พระพุทธศาสนา รับใช้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ใช่เป็นทาส รับใช้ความคิด ของตัวเรา หรือ อัตตาของเรา

ถ้าชีวิตที่ไม่ทรมานตนเป็นอัตกิลมถานุโยค หรือไม่บำเรอกามด้วยอาหารการกินมากเกินไป ด้วยปัจจัย ๒ ประการนี้ ก็น่าจะทำให้เรา มีสุขภาพจิตที่ดี เรื่องอาหารก็เป็นเครื่องชี้ให้เห็นอย่างหนึ่งว่า ถ้าคนกินอาหารขยะมากๆ กินอาหาร ที่ไร้สาระมากๆ วิถีชีวิตหรือความคิดของเขาไร้สาระ ก็จะสัมพันธ์กับอาหาร ที่เรากินด้วย อย่างที่มีคำกล่าวไว้ว่า YOU ARE WHAT YOU EAT เธอเป็นเช่นที่เธอกิน ถ้าเรากินในสิ่งที่เป็นแก่นสาร ก็จะทำให้ชีวิตเรา เข้าถึงมรรคผลแก่นสาร ตามไปด้วย สิ่งเหล่านี้ คงเป็นปัจจัยอีกส่วนหนึ่ง ที่จะทำให้เรามีสุขภาพดี ยาวนาน เพื่อช่วยกันเข็ญกงล้อธรรมจักร ให้อยู่ไปได้ถึง ๕ พันปี

การเจริญเมตตาทำให้หมดปัญหา แต่หากเผลอเจริญอัตตา ปัญหาย่อมเกิดขึ้นแน่นอน ดังนั้น การมองตน และพยายาม ปรับปรุงตน จะทำให้หมดปัญหา และเข้าถึงโลกุตระ อันเป็นเป้าหมายของการเข้ามาปฏิบัติธรรม

ทีมข่าวพิเศษ

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ร้านรวมใจมังสวิรัติ

เมื่อวันที่ ๑๕ ส.ค.ที่ผ่านมา ญาติธรรมชาวกาฬสินธุ์ได้รวมตัวกันเปิดร้านมังสวิรัติอีกครั้ง โดยได้นิมนต์ สมณะ ๒ รูป คือ สมณะนึกนบ ฉันทโส และสมณะมือมั่น ปูรณกโร เป็นประธาน

จากความพยายามหลายครั้งหลายคราของญาติธรรมที่อยากให้มีร้านมังสวิรัติเกิดขึ้นใน จ.กาฬสินธุ์ (ถิ่นไดโนเสาร์) ซึ่งเคยเปิด มาแล้ว ๒-๓ ครั้ง ก็อยู่นานบ้างไม่นานบ้าง ส่วนตัวบ้าง ของกลุ่มบ้าง มาบัดนี้ ก็ได้รวมกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง แม้กลุ่มจะกระซ่าน กระเซ็น แต่ก็พอรวมกันได้อยู่บ้าง โดยมีกุนซือเจ้าเก่า ที่เคยเปิดร้าน มาแล้ว ๒ ร้าน แม้ตอนนี้ สังขารจะร่วงโรย แต่ยังมีไฟ ที่จะปั้นดินปั้นดาว ให้เป็นจอมยุทธ มังสวิรัติ จากที่เคยถ่ายทอด วิชาเพลงยุทธ ช่วยให้หลายสำนัก ประสบความสำเร็จมาแล้ว

เป้าหมายเพื่อญาติธรรม จะได้ร่วมกันทำกิจกรรม เพื่อสังคมและเผยแพร่ อาหารมังสวิรัติ และเป็นจุด เชื่อมสัมพันธ์ กับญาติธรรม ที่ผ่านไปมาได้แวะเวียนพัก หรือท่านสมณะ จะได้มาเยี่ยมเยียน ชาวกาฬสินธุ์บ้าง ร้าน "รวมใจมังสวิรัติ" จึงเกิดขึ้น อีกครั้งหนึ่ง ก็คิดว่าคงเป็นไปได้ จากการเปิดร้านมาได้ ๑ อาทิตย์ ก็มีจุดส่งพอสมควร

สำหรับร้านรวมใจมังสวิรัติ สถานที่กว้างขวาง สะอาด มีที่จอดรถสะดวกสบายตั้งอยู่ที่ ๔๐๕/๔ ข้างฉางข้าว ร้านใต้ฟ้า (เลยบ้านสวน RCA ประมาณ ๓๐๐ เมตร) ถ.ทุ่งศรีเมือง อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ โทร.๐๑-๗๔๙๘๒๗๖, ๐๑-๐๕๑๖๓๒๑ ให้บริการจัดส่งอาหารปิ่นโต ขายอาหารตามสั่ง และรับจัดอาหาร ทั้งใน และนอกสถานที่ ก็ขอเชิญผู้สนใจ แวะเวียนไปใช้บริการได้.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


มาตากแดดบำรุงกระดูกกันเถอะ

ดร.ไมเคิล โฮลิค นักวิจัยชาวสหรัฐ แห่งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบอสตัน ค้นพบว่า แสงแดด ปริมาณเล็กน้อย เป็นผลดีต่อสุขภาพ เขาได้ทำการศึกษาผลกระทบ ของดวงอาทิตย์ ต่อร่างกายมนุษย์ มาเป็นเวลานานกว่า ๑๐ ปี ได้ระบุว่า รังสีอัลตราไวโอเลต-บี หรือ ยู-วี-บีจากดวงอาทิตย์ ช่วยกระตุ้นร่างกาย สร้างวิตามินดี ทำให้กระดูกแข็งแรง และยังกระตุ้น สารพันธุกรรม (ยีน) ให้ทำหน้าที่ ควบคุมการเติบโต ของเซล ทำให้เซลไม่แบ่งตัว อย่างไร้การควบคุม จึงไม่เสี่ยงต่อการ เป็นมะเร็ง ดร.โฮลิค บอกว่า แสงแดด ทำให้ร่างกาย ได้รับวิตามินดี มากกว่ารับประทานเข้าไป และเป็นวิตามินดี ที่อยู่กับ ร่างกาย ของเรา ได้นานกว่า การกิน

ผลการวิจัยพบว่า คนที่อายุ ๕๐ ปีขึ้นไป ๔๐-๕๐% มักจะขาดวิตามินดี ทำให้เป็นโรคเกี่ยวกับไขข้อ และ กล้ามเนื้อ คนที่มีผิวคล้ำ มันจะขาดวิตามินดีมากกว่าคนผิวขาว เนื่องจากรังสียู-วี-บี ซึมเข้าใต้ผิวหนัง ได้น้อยกว่า เขาแนะนำว่า ในสัปดาห์หนึ่งๆ ควรให้ศีรษะ ใบหน้า และแขนขา รับแสงอาทิตย์ ๒-๓ ครั้งๆ ละ ๕-๑๐ นาที จึงจะพอเพียง ต่อการทำให้ ร่างกาย สะสมวิตามินดี สำหรับคนผิวคล้ำ ดร.โฮลิค แนะนำ ให้หมั่น ให้ผิวหนังได้รับแสงแดด มากกว่าคนผิวขาว ๑๐-๒๐ เท่า จึงจะทำให้ร่างกาย สร้างวิตามินดี ได้อย่างเพียงพอ

คำว่านี้มีประโยชน์จริงๆนะคะ ไม่ว่าจะเป็นวิตามินดี ก็ยังช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง การทำความดี ก็เช่นกัน ช่วยบำรุงตนเอง และสังคมให้เข้มแข็งได้ ฉะนั้น เรามาช่วยกันทำอะไรที่ดีๆ มาสร้างวิตามินดี ในจิตใจ เพื่อให้จิตใจแข็งแรงทนทาน เหมือนกระดูก ซึ่งเป็นส่วนที่แข็งที่สุด ของร่างกาย แต่ถ้าจิตใจ แข็งแรง ก็จะแข็งแรงยาวนาน ขนาดข้ามภพข้ามชาติ ทนทานกว่ากระดูกหลายเท่านัก จึงน่าจะมาสะสม สิ่งดีๆ ไว้ในใจกันให้มากๆนะคะ

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


หกรรมพลังแผ่นดิน
ขบวนการกอบกู้วิกฤติเพื่อประชาชน
พัฒนาบุคลากรและสิ่งแวดล้อม

จัด ๓ งานพร้อมกันคึกคัก ได้ฝึกเรียนภาคพิเศษ

ชุมชนปฐมอโศกได้รับเกียรติจากกองทุน SIF ภาคตะวันตก ซึ่งมีเครือข่าย ๗ จังหวัด คือ นครปฐม, ราชบุรี, กาญจนบุรี, สมุทรสาคร, สมุทรสงคราม, เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์

ขอใช้สถานที่ชุมชนปฐมอโศก จัดงานมหกรรมพลังแผ่นดิน ต้นกล้าประชาชน ฅนตะวันตก ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๕ ส.ค. ๒๕๔๕ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสรุปการทำงาน ๔ ปีที่ผ่านมา ของกองทุน SIF และ ทิศทาง ในการทำงาน ก้าวต่อไป ยอดสมาชิก ที่มาร่วมงานครั้งนี้ ๔๒๕ คน ทั้งนี้ไม่รวมสมาชิก ของชุมชน ปฐมอโศก

งานนี้ถือว่าเป็นมหกรรมจริงๆ เพราะมีการอบรมซ้อนกันถึง ๓ งาน คือ งานอบรม ธ.ก.ส. รุ่นที่ ๑๓, งานอบรม พลาภิบาล การแพทย์แผนไท (ซึ่งได้เปิดบริการ รักษาพยาบาล เป็นครั้งแรก) และ งานมหกรรม แผ่นดินฯ โดยมีนร.สส.ฐ. หยุดเรียน ภาคปกติ มาเรียนภาคพิเศษ ช่วยกันจัดงาน จนสำเร็จด้วยดี

บรรยากาศในวันแรก สมาชิกเริ่มทยอยมาลงทะเบียน แล้วชมวิดีโอ แนะนำปฐมอโศก เสร็จแล้วพาเดินชม ของจริง พร้อมกับ ชมนิทรรศการ ที่จัดเป็นซุ้มความรู้ต่างๆ ตอนเย็น รับประทานอาหาร พร้อมกับชม สาระ บันเทิง ภาคค่ำทีม ธ.ก.ส.สนทนาธรรม กับสมณะ-สิกขมาตุ ส่วนเวทีของ SIF เป็นการแสดง ศิลปะพื้นบ้าน ของชาวเขา จากเยาวชนบ้าน ต้นมะพร้าว ต.แม่กระบุง อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี และดนตรีไทย ของชมรม ผู้สูงอายุ ประสาทสิทธิ์ เป็นที่ชอบอกชอบใจ ของผู้ชมเป็นอย่างมาก

๒๔ ส.ค. ทำวัตรเช้า "ชีวิตจะมีพลังได้อย่างไร" โดย สมณะเพาะพุทธ จันทเสโฐ จบแล้วออกกำลังกาย พร้อมกับทีม ธ.ก.ส. แล้วรับประทาน อาหารเช้า ๐๘.๓๐ น. พิธีเปิดงานโดย หลวงพ่อ วัดพระศรีอารย์ แล้วฟัง บรรยายพิเศษ "คนของแผ่นดิน กับโลกาภิวัตน์" โดยคุณหนึ่งแก่น จบแล้วสรุปบทเรียน เรื่อง กระบวนการ เพื่อประชาชน การกอบกู้วิกฤติ มีการเสวนา ปัญหา สิ่งแวดล้อม และการแก้ไข โดยคุณเอนก นาคะบุตร ผู้อำนวยการกองทุน SIF

ภาคบ่าย รายการทอล์คโชว์ "การพึ่งตนเอง บทบาทของสมาชิก ในครอบครัว และวิกฤติของชาติ" โดยชมรม เยาวชน วัดพระศรีอารย์ ชนะเลิศวาทะศิลป์แห่งประเทศไทย แล้วเสวนาโต๊ะกลม เรื่อง พลังปัญญา พลังแผ่นดิน, แผนแม่บท, พัฒนาคน, องค์ความรู้ท้องถิ่น และสื่อ

ภาคค่ำ สาระบันเทิง บริเวณเวทีธรรมชาติ โหมโรงด้วย วงดนตรีฆราวาส ต่อด้วยขับลำนำ ความคิด จิตวิญญาณ คนตะวันตก, วงดนตรี คีตาญชลี, การแสดงของกลุ่มยุทธศาสตร์ ต่างๆ, กลุ่มสื่อวิทยุชุมชน และ นร.สส.ฐ.

 

วันสุดท้ายของงาน ทำวัตรเช้า โดยพ่อท่านสมณะ โพธิรักษ์ "คนจนผู้ยิ่งใหญ่" โดยสมาชิกของงานอบรมทั้ง ๓ ร่วมฟัง ด้วยความประทับใจ มีนักข่าวจาก น.ส.พ.กรุงเทพ ธุรกิจ มาสัมภาษณ์พ่อท่านด้วย เสร็จแล้ว ฟังบรรยายพิเศษ "โลกาภิวัตน์ กับความยากจน" โดยคุณโสภณ สุภาพงษ์

 

รายการสุดท้ายของงานครั้งนี้ เป็นการเสวนาทิศทางการเสริมสร้างองค์กรชุมชนเข้มแข็ง ภาคตะวันตก ในอนาคต โดย น.พ.พลเดช ปิ่นประทีป ปิดท้ายด้วยโอวาท จากสมณะนาไท ให้มีกำลังใจ และช่วยกัน พัฒนาสังคม เหมือนต้นกล้า พร้อมรับต้นกล้าไม้ และเสื้อม่อฮ่อม เป็นของฝากกันถ้วนทั่ว ปิดงานเวลา ๑๒.๓๐ น.

ตลอดงานมีการสาธิตและนำเสนอ ผลงานจากเกษตรกรกลุ่มต่างๆ เช่น กลุ่มเกษตรธรรมชาติ และ พลังงานยั่งยืน มหาวิชชาลัยภูมิปัญญา สมุทรสงคราม มีการสาธิตห่อข้าวต้มมัดจากใบไผ่ สาธิตการทำสบู่ การเคี่ยวน้ำตาล จากมะพร้าว การทำขนมเทียนแก้วจากวุ้น มะพร้าว

สมณะกรรมกร กุสโล ผู้ร่วมจัดงานได้ให้ความคิดเห็นว่า "สนุกดี บรรยากาศ คึกคัก ครึกครื้น เราได้ช่วยเป็นศูนย์กลาง แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ความรู้ต่างๆ และเป็นศูนย์รวม ของคนดี คนมีอุดมการณ์ ได้มีโอกาส แจกเท็ปธรรมะด้วย"

นายทิวเมฆ นาวาบุญนิยม ผู้ประสานงาน "ได้ฝึกตัวเองในการประสานงาน ปรับวิกฤติเป็นโอกาส โดยไม่ใช้อารมณ์ งานนี้ถือว่าผมสอบผ่าน"

นายพรภิรมย์ ดิศกัมพล เจ้าหน้าที่ประสานงาน SIF ภาคตะวันตก "งานนี้เราได้เน้นเนื้อหามาก บรรยากาศ มุ่งวิชาการมาก ทำให้คนมาร่วมงาน รู้สึกเครียด การนำเสนอ และการสร้างแรงจูงใจ ให้คนมาร่วมงาน ยังไม่ค่อยดี ทำให้คนมาน้อย ประชาชน ที่มาแล้ว จะรู้สึกอึดอัดบ้าง ที่จะต้องทำตัว ให้เข้ากับวัฒนธรรม ชาวอโศก เช่น ให้งดสูบบุหรี่ ถ้าใครจะสูบ ต้องเดินออกไป นอกพุทธสถานก่อน แต่คิดว่า ถ้าจัดงานคราวหน้า ต้องมีการชี้แจง ให้ประชาชนเข้าใจ มากกว่านี้ ข้อที่ดีมาก คือ ประชาชน ที่มาร่วมงาน ได้มาเห็นรูปแบบ ของชุมชนอโศก ซึ่งเป็นชุมชน เข้มแข็ง ด้วยตาของตนเอง ได้ซึมซับตัวอย่างดีๆไป".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

 

เจริญธรรม พบกับข่าวคราวความเคลื่อนไหวในแวดวงพี่ๆน้องๆชาวอโศก กับ น.ส.พ.ข่าวอโศก หนังสือพิมพ์ภายในองค์กรเรา ฉบับที่ ๑๘๙(๒๒๒) ปักษ์หลัง ๑๖-๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๕

กำลังใจ...ได้รับจดหมายจากคุณใบ งามอนันต์ สมาชิกท่านหนึ่งแจ้งว่า ได้อ่านข่าวอโศกแล้ว ทำให้ทราบข่าวคราว ความเคลื่อนไหว ของชาวอโศกได้ดีเยี่ยม พร้อมเนื้อหาสาระ ต่างๆมากมาย... จิ้งหรีดฟังแล้ว ก็ต้องขอขอบพระคุณ ที่ส่งข่าวคราวกันเข้ามา อ่านแล้วก็ยังแอบปลื้ม ที่มีส่วนเล็กๆกับงาน(บุญ)นี้เหมือนกัน ส่วนใครมีความคิดเห็นอะไรๆดีๆ ทั้งติและชม ก็ส่งกันเข้ามา(ดีกว่าปล่อยให้คนทำเหงานะฮะ) ถือว่าช่วยกันสร้างสรรงาน ข่าวอโศก จะได้ทำหน้าที่ เป็นสื่อของชาวเรา อย่างแท้จริงไงฮะ และที่ขาดแคลน เหนืออื่นใดก็คือ นักข่าว ฉะนั้น ญาติธรรมท่านใด พร้อมจะเสียสละ เวลาส่วนตัว เป็นกระบอกข่าวของชุมชน ก็ยินดีหลายๆเด้อ ข่าวสารจะได้ไม่มีพรมแดน ระหว่าง(บาง)จังหวัด...จี๊ดๆ

อนุโมทนา...ขณะนี้กองทัพธรรมชาวอโศกได้นักรบ(ทางธรรม)ผู้กล้าเพิ่มอีก ๒ รูป ได้แก่ สามเณรสู่สูญ เผอิญดี (ศิษย์เก่า นร. สัมมาสิกขา สันติอโศก) บวชเมื่อวันที่ ๑๙ ส.ค.๔๕ ที่สันติอโศก และ สามเณรชุบดิน ปานเกษม อายุ ๖๑ ปี ซึ่งมีกำหนด บวชวันที่ ๒ ก.ย.๔๕ โดยเป็นนักบวช(สามเณร)รูปแรก ที่บวชที่โบสถ์น้ำ(เรือ)บ้านราชฯ...จี๊ดๆ

เจ้าใบ้เสียงดัง...รายงานจากญาติธรรมเก่าแก่ ทำให้เห็นคุณค่าของหนังสือธรรมะ ที่ชาวเราเผยแพร่ไป นี่เป็นเพียง ๑ ตัวอย่าง รายละเอียดมีดังนี้

"ดิฉันอ่านหนังสือ "ความรัก ๑๐ มิติ" จบเล่ม ก่อนที่จะได้เจอกับนักบวชชาวอโศก (ไม่ทราบว่าหนังสือนี้ มาอยู่ในบ้านได้อย่างไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เป็นหนังสือธรรมะของอโศก) อ่านแล้วก็รู้สึกประทับใจ และเข้าใจความรัก ที่จะต้องเกื้อกว้างออกไป ตามมิติ ที่สูงขึ้นๆ

แม้เข้าใจแต่ก็มิใช่จะปฏิบัติได้ง่าย ต้องใช้เวลาและเหตุปัจจัยหลายอย่างที่สั่งสมและสะสมกัน เป็นเวลานาน จนเกิดบุญบารมี ของตัวเองจริงๆ จึงจะสามารถ ปฏิบัติธรรมะข้อนี้ มีจริง-เป็นจริง ในตัวเองได้

ปัจจุบันนี้ดิฉันรู้สึกว่า ตัวเองสบายใจและพอทนทุกข์ได้กับปัญหา-ความวุ่นวาย- ความไม่เข้าใจ กับคนที่ต่างจริตได้ ทำให้รู้สึกวางใจ กับเรื่องต่างๆ โดยยึดธรรมะข้อ รู้ความจริง ตามความเป็นจริง ค่ะ"

จิ้งหรีดในพรรษานี้ใครจะตั้งตบะอ่านหนังสือธรรมะวันละหน้า ก็น่าจะเป็นอธิศีล ที่จะช่วยให้เราเกิดอธิจิต อธิปัญญา ได้เหมือนกันนะฮะ...จี๊ดๆ

อนุมัติแล้ว...ขณะนี้ที่ดิน ๒๐๐ ไร่ของกรมพันสัตว์ต่าง อ.วารินชำราบ จ.อุบลฯ ที่ทางบ้านราชฯ เคยเสนอขอไป เพื่อทำ เกษตรธรรมชาติ บัดนี้ได้รับการอนุมัติแล้วโดยการประสานงานของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อยู่ ถ.รอบเมือง สายเดชอุดม ไปพิบูลมังสาหาร ห่างจากบ้านราชฯประมาณ ๑๐ ก.ม. เป็นที่นาเก่า ตอนนี้ไปขุดหลุมผสมปุ๋ย เพื่อปลูกกล้วยแล้ว ได้แรงงาน ของชาวบ้านราชฯ-นักเรียนที่มาอบรมฯ โดยมีนิสิต ม.วช.เป็นพ่อฐานและมี นร.สัมมาสิกขาฯเป็นลูกฐาน และชาวบ้านราชฯ ร่วมรับผิดชอบอยู่

บ้านราชฯมีพื้นที่ทำเกษตรธรรมชาติภายในชุมชนประมาณ ๘๐ ไร่ เป็นพืชล้มลุก ส่วนภายนอกชุมชนมีที่ สวนวังไพร ๗ ไร่ ปลูกผักพื้นบ้าน-ไม้ยืนต้นและสมุนไพรเล็กน้อย และที่สวนวัยพลัง ๒๐ ไร่ ปลูกไม้ผลนานาชนิด ไม้ยืนต้น ส่วนที่ของญาติธรรม ที่ให้ชาวบ้านราชฯ ไปทำนาและทำเสร็จแล้ว คือ ที่หนองหว้า ๖๐ ไร่และที่ห้วยขะยุง ๒๐

ในอนาคตอาจจะมีเทศกาลชิมผลไม้ที่บ้านราชฯ เพราะลำพังชาวบ้านราชฯเองคงกินไม่ไหวแน่ อาจต้องขอร้อง ให้พี่น้องของเรา มาช่วยกินก็ได้ (มีเมื่อไรจิ้งหรีดขอสมัครเป็นแนวหน้า) หากเหลือ จึงค่อยจำหน่ายต่อไป

สำหรับงบ ๗ ล้าน เพื่อต่อเติมงานด้านสถาปัตยกรรมของศูนย์ฝึกอบรมฯ หรือเฮือนศูนย์สูญ คราวที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร มาเยือนบ้านราชฯเมื่อปีที่แล้ว ขณะนี้ผู้บังคับกองร้อยทหารช่างที่ ๑ กองพันทหารช่างที่ ๖ ค่ายสรรพประสิทธิประสงค์ จ.อุบลฯ ประสานงานกับ รองผู้บังคับกองพัน ทหารช่างที่ ๖ จ.ร้อยเอ็ด ได้เข้ามา สำรวจพื้นที่ ที่จะต่อเติม เรียบร้อยแล้ว โดยการประสานงานของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ข่าวคืบหน้า จิ้งหรีดจะรายงานให้ทราบต่อไป

บ้านราชฯได้รับอนุมัติจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้เป็นศูนย์บริการ และถ่ายทอดเทคโนโลยี การเกษตรหลัก ต.บุ่งไหม อ.วารินฯ จ.อุบลฯ เป็นสถานที่ศึกษาเรียนรู้ ด้านการเกษตรของ จ.อุบลฯโดยตรง โดย จ.อุบลฯมีศูนย์ดังกล่าว ๒ แห่ง คือ ที่บ้านราชฯ และที่ อ.เดชอุดม ส่วนจังหวัดอื่นๆ จะมีเพียง แห่งเดียวเท่านั้น

นอกเหนือจากเป็นแหล่งข้อมูลด้านการเกษตรแก่ประชาชนผู้สนใจแล้ว ต่อไปจะมีหน้าที่ พิจารณางบประมาณ ด้านเกษตร ของอำเภอต่างๆ ในจ.อุบลฯอีกด้วย

วิทยุชุมชนบ้านราชฯ โดยงบประมาณของซิฟ(SIF) ชื่อ สถานีเสียงแม่มูล ที่คลื่น FM ๙๓.๒๓ MHz มีห้องส่งชั่วคราว อยู่ที่ชั้น ๓ เฮือนศูนย์สูญ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการ ต้นเดือน ก.ย.นี้...จี๊ดๆ

อบต.ชาวอโศก...อบต.ดาวธรรม สิทธิสงค์ มาอยู่บ้านราชฯตั้งแต่ยุคแรกๆ ทำงานด้านธุรการ และเป็นตัวหลัก ในการ ประสานงาน กับส่วนราชการ - องค์กรซิฟ - การก่อสร้างอาคารสถานที่ - การติดต่อขอทุนต่างๆ ฯลฯ งานของเธอหนักเอาการ หลักการทำงานของเธอคือ ทำตาม ORDER (คำสั่ง) แล้วแต่หมู่จะสั่ง ไม่ได้คาดหวัง แต่ทำเต็มที่ อาศัยผู้ใหญ่คอยแนะนำ งานเยอะ จนไม่มีเวลาปวดหัว เอ! ชาวอโศกเรานี่ ทวนกระแสจริงๆ ก็เขามีแต่งานเยอะแล้วปวดหัว แต่นี่กลับตรงข้ามแฮะ...จี๊ดๆ

น้ำจะท่วม?...ได้รับความสนใจถามไถ่พ่อท่านฯ ในการประชุม ๘ พาณิชย์ที่สันติอโศก เมื่อวันก่อนว่า ปีนี้น้ำจะท่วม บ้านราชฯ อีกหรือเปล่า จิ้งหรีดก็ขอรายงานสถานการณ์(น้ำ) ที่บ้านราชฯว่า ระดับน้ำ ค่อยๆขึ้นอย่างสุภาพ (เหมือนปีก่อนเลย) ขณะนี้ระดับน้ำในแม่มูล สูงกว่าในชุมชนแล้ว ดีแต่ว่า ชาวบ้านราชฯ มีเขื่อนแถวลานเดิ่นฟ้าช่วยไว้ คาดว่า หากสถานการณ์ ไม่มีการหักเห(น้ำ)ไปทางอื่น คงจะได้มีการฉลองน้ำกันอีก (เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสแบบชาวเรา)ไงฮะ...จี๊ดๆ

เตรียมความพร้อม...ข่าวล่าขณะนี้ น้องมะขาม หรือ ด.ช.หล้าฟื้น กีตา อายุได้เดือนเศษแล้ว คุณเดือนแก้ว คุณแม่ เลือดอโศกเข้มข้น ขนาดไว้ใจว่า สังคมนี้พึ่งเกิดกันได้ ตอนนี้ขยับตัวอีกครั้ง ด้วยการเตรียม ความพร้อมเต็มที่ อย่างตอนเช้าๆ จะเห็นคุณแม่อุ้มน้องมะขาม ไปเข้าแถวกับพี่ๆ สมุนพระราม ตอนเย็น ก็อุ้มไปฟังพระธรรมก่อนนอน ซึ่งคุณแม่เปิดเผย กับจิ้งหรีดว่า "จะได้ใส่ข้อมูลดีๆให้เขาไปเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลา เขาจะได้หยิบออกมาใช้เอง เหมือนที่พ่อท่านบอกไง" แหม! เล่นฝาก ธนาคาร(บุญ) กันตั้งแต่ตัวน้อยๆ ขนาดนี้ สงสัยโตขึ้น ในสมุดฝาก คงเยอะทั้งต้นและดอก อย่างนี้ต้องยกให้ เป็นยอดคุณแม่ ประจำปี อีกคนก็คง ไม่ผิดกติกานะฮะ...จี๊ดๆ

จิตในจิตเด็กอนุบาล...ด.ญ.ชวนฟ้าชม นาวาบุญนิยม หรือน้องวิว อายุ ๖ ขวบกว่าๆ อยู่กลุ่ม หิ่งห้อยริมมูล (อนุบาล ที่บ้านราชฯ) เล่าสภาวะจิต ให้แม่เรียวฟ้าฟัง ถึงความรู้สึก อยากไปซื้อดินสอกด เมื่อพี่ๆสมุนพระราม ซื้อจากร้านปันบุญ มาอวดกันว่า "วิว...อยากไปซื้อ จนเกือบทนไม่ได้ แต่วิวก็อดทน จนชนะ ไม่ไปซื้อได้" นี่ขนาด ๖ ขวบรู้จักตั้งตบะ ไม่ซื้อของ แล้วยังจับ สภาวะจิตได้ขนาดนี้ แล้วโตขึ้น จะขนาดไหน...จี๊ดๆ

เน้นเนื้อ...เพื่อป้องกันสมองไหลออกจากบ้านราชฯ ที่อาจจะเพิ่มจำนวนขึ้นได้เรื่อยๆ หากคุณภาพ ไม่คับแก้วพอ เพราะงาน ที่ประเดประดังกันเข้ามา จนหลายคนตั้งตัวไม่ติด พรรษานี้ จึงมีการปรับ ขบวนการกลุ่มใหม่ มีทั้งทำวัตรเช้าและเย็น เพื่อเคี่ยวภายใน ให้ชาวบ้านราชฯ ฉะนั้น ใครไปใครมา บ้านราชฯยามนี้ จะเห็นท่านเดินดิน ติกขวีโร เป็นประธานเคี่ยวภายใน ให้เข้มข้นตลอดทั้งวัน สาธุ! ส่วนชุมชนอื่น จะทำตามบ้าง ก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์นะฮะ...จี๊ดๆ

ก่อนจากขอฝากคติธรรม-คำสอนของพ่อท่านที่ว่า

เพิ่มบุญให้แก่ตนเอง ด้วยการเพิ่มเมตตาเพิ่มความขยัน

พบกันใหม่ฉบับหน้า

จิ้งหรีด

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ผลเสียปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิต
คนทำงานเครียดขึ้น-จี้แก้โครงสร้าง

นายสุพจน์ เด่นดวง อาจารย์คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า แต่เดิมแนวคิด เรื่องของ การทำงาน ตามหลักฐาน ของศาสนา และแนวคิดทฤษฎีต่างๆ ถือว่างานเป็นที่มาของความสุข การทำงาน ทำให้คน มีการพัฒนา ทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคม เพราะการทำงานทำให้ร่างกายได้เคลื่อนไหว

แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว เนื่องจากโครงสร้างการทำงานที่เปลี่ยนไป ระบบทุนนิยม ทำให้ตลาดการค้า มีการแข่งขัน กันสูง ดังนั้นผู้ประกอบการ จึงหันมาใช้เทคโนโลยี ที่ช่วยเร่งการผลิต ให้ทันต่อการแข่งขัน ส่งผลกระทบ ต่อคนทำงาน เป็นอย่างมาก

"ร่างกายได้ทำงานน้อยลง บางอาชีพใช้ร่างกายเพียงบางส่วน เช่น กรรมกรมีหน้าที่ หยิบชิ้นส่วนประกอบ ลงในคอมพิวเตอร์ เป็นการทำงานที่ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ร่างกายได้ออกกำลังจุดเดียว และ ไม่ได้ใช้สมอง สร้างสรรค์สิ่งใหม่

การทำงานแบบนี้ เป็นภาวะที่จะหาความหมายทางจิตใจไม่ได้เลย ขณะที่ด้านสังคมก็เกิดปัญหา เพราะเจ้านาย ควบคุม อย่างเข้มงวด เพื่อให้ คนงานทำงานมากๆ เพื่อนร่วมงานแทนที่จะร่วมมือ กลับกลายเป็น ต้องแข่งขันกัน และขัดแย้งกัน

ระบบทุนนิยมนอกจากจะแข่งขันกันผลิต ยังแข่งขันเรื่องราคา บางครั้งต้องมีการลดต้นทุนการผลิต และการตัด สวัสดิการของคนงาน ก็เป็นการลดต้นทุนอย่างหนึ่ง"

"เป็นหน้าที่ของนักวิชาการที่เกี่ยวกับการบริหารองค์กร ที่ต้องหาวิธีการใหม่ที่องค์กรจะสามารถแข่งขันได้ และคนงานมีความสุข สังคมมีความสุข ส่วนนักวิชาการ ด้านวิศวกรรม ควรคิดอะไร ที่คำนึงถึง ความเป็นมนุษย์ มากขึ้น ไม่ใช่เน้นแต่จำนวน การผลิต การสร้าง สุขภาวะ ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพ เช่น การเต้นแอโรบิค หรือการนั่งสมาธิในที่ทำงาน เพราะอันนี้ เป็นการแก้ปัญหา ที่ปลายเหตุ

ส่วนสำคัญ คือโครงสร้างของความสัมพันธ์ในที่ทำงาน" นายสุพจน์กล่าว

(คัดจากบางส่วนจาก น.ส.พ.มติชนรายวัน วันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๔๕)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ลดเกลือ ลดความดัน

ผลการวิจัยใหม่ ตีพิมพ์ ในวารสารแพทย์นิวอิงแลนด์ โดยความร่วมมือ ของสถาบันปอด หัวใจ และเลือด ของสหรัฐฯ และคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบข้อมูลน่าสนใจ ที่ช่วยไขข้อข้องใจ เกี่ยวกับการ ลดการบริโภคเกลือ ลงได้มาก

ผู้วิจัยเปิดเผยว่า การลดการบริโภคเกลือช่วยลดความดันโลหิตสูงลงได้ในระดับที่น่าพอใจ ผู้ที่ป่วย เป็นโรคความดัน โลหิตสูงไม่จำเป็นต้องรับประทานยาที่แพทย์สั่งเลย หากว่าสามารถลด ปริมาณเกลือ ในอาหารที่ รับประทาน และการรักษาจะเป็นที่น่าพอใจมากยิ่งขึ้น หากสามารถ รับประทาน อาหารไขมันต่ำ ควบคู่ไปด้วย

ผู้เข้าร่วมการวิจัยถูกจัดให้รับประทานอาหารชนิดไขมันและเกลือต่ำเป็นเวลา ๓๐ วัน กลุ่มที่รับประทาน อาหารไขมันต่ำ เพียงอย่างเดียว สามารถลดความดันโลหิต ลงได้ถึง ๕ มิลลิเมตรปรอท ส่วนผู้รับประทาน อาหารเกลือต่ำ ลดได้ถึง ๘.๓ มิลลิเมตรปรอท และถ้ารับประทานอาหารที่ทั้งเกลือและไขมันต่ำ มีความดัน ลดลงมากถึง ๑๑.๕ มิลลิเมตรปรอท.

(จากนิตยสาร Health & cuisine เมษายน ๒๕๔๕)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

ครัวอโศก
น้ำข้าวโพด

ต้นกำเนิดของข้าวโพดเป็นพืชตระกูลหญ้า ที่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ ข้าวโพด เป็นอาหารทรงคุณค่า อย่างหนึ่ง ของคนเรา เลยทีเดียว เปี่ยมคุณค่าโภชนาการ แปรรูปเป็นอาหารได้สารพัด รับประทานได้ ทั้งฝักอ่อน และฝักแก่ ถ้าคุณเคยชิน กับรูปแบบเดิมๆ ของการกินข้าวโพด ลองเปลี่ยนมาปั่น น้ำข้าวโพด ดื่มกันดูบ้าง รับรองอร่อยติดใจ จนอาจเป็นเครื่องดื่ม ชนิดใหม่ ที่ต้องมีไว้ติดบ้าน กันเลยทีเดียว

น้ำข้าวโพดประกอบไปด้วย วิตามินเอ ให้ฟอสฟอรัสสูง แมกนีเซียม แคลเซียม แป้งและน้ำตาลเด็กซตริน โปรตีนเล็กน้อย มีสรรพคุณบำรุงหัวใจ ช่วยเจริญอาหาร การทำงานของลำไส้ เป็นอย่างปกติ เพราะอุดมด้วยกากใยสูง

ส่วนผสม
ข้าวโพดสวีทต้มสุก ๑ ถ้วยตวงหรือ ๑ ฝัก
น้ำต้มสุกก ๒ ถ้วยตวง
น้ำเชื่อม ๑/๒ ถ้วยตวง
เกลือ ๑/๔ ช้อนชา
นมสด ๑ ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
นำข้าวโพดมาต้มให้สุก โดยใช้เวลาประมาณ ๑๕ นาที ทิ้งให้เย็น จากนั้นแกะเมล็ดออก แล้วนำมาปั่น ในเครื่อง ปั่นอาหาร เติมน้ำสุก น้ำเชื่อม เกลือ และนมสด ปั่นให้เข้ากัน และค่อนข้างละเอียด แช่เย็นไว้ สำหรับดื่ม หรือชอบดื่มแบบร้อน ก็ย่อมได้ โดยอุ่นให้ร้อนก็อร่อย หรือจะแช่ในช่องแช่แข็ง จนเป็นเกร็ด น้ำแข็งเนียนๆ ก็จะได้ความอร่อย อีกรูปแบบหนึ่ง

เคล็ดลับ
เลือกข้าวโพดสวีทพันธุ์แท้ และสด จะได้น้ำข้าวโพดรสหวานอร่อย, เลือกข้าวโพดที่ไม่แก่เกินไป, ใช้นมสดไขมันต่ำ เพื่อเลี่ยง โคเลสเตอรอล ให้มากที่สุด และควรดื่มวันต่อวัน เพราะเป็นเครื่องดื่มที่บูดง่าย

(จากนิ ตยสาร Health Today พฤษภาคม ๒๕๔๕)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


พรรคเพื่อฟ้าดิน

กทม. เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๕ เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ ได้เดินทางไปรับประกาศนียบัตร หลักสูตร พรรคการเมือง กับการปกครองระบอบประชาธิปไตย สำหรับผู้บริหารพรรค โดยมี ประธานรัฐสภา นายอุทัย พิมพ์ใจชน เป็นผู้มอบ ประกาศนียบัตรให้ สำหรับบรรยากาศในวันนั้น รองเลขาธิการพรรคฯ ได้เล่าให้ ข่าวอโศกฟังว่า "ตอนที่ท่านประธานฯให้โอวาท ท่านได้พูดถึง พรรคเพื่อฟ้าดิน ไปประท้วงคัดค้าน การขอขึ้นเงินเดือนของ ส.ส.และส.ว. ท่านได้กล่าวชื่อ พรรคเพื่อฟ้าดินถึง ๔ ครั้ง ในเวลาประมาณ ๒๐ นาทีถึงการ ไปคัดค้านดังกล่าวฯ ว่าทางพรรคเพื่อฟ้าดิน เห็นตรงข้ามกับท่าน ที่เห็นสมควร ให้ขึ้นเงินเดือน เพราะเป็นความจำเป็นของส.ส." เรือตรีแซมดิน ได้กล่าวกับข่าวอโศก ต่อไปว่า "การพูดถึงพรรค ถือว่าเป็น การประชาสัมพันธ์พรรคเพื่อฟ้าดิน ให้พรรคอื่นๆ ได้รู้จักไปด้วย เมื่อลงไปถ่ายรูป ท่านประธานฯ ก็ดึงเสื้อ เรือตรีแซมดิน แล้วท่านก็ถามว่า" "พรรคนี้ตั้งอยู่ตรงไหน" เรือตรีแซมดินได้ตอบไปว่า "อยู่แถวคลองกุ่มครับ" ท่านก็พูด ต่อไปว่า "แต่อย่างไร ก็ตาม ผมก็มีความเห็นตรงข้ามกับท่าน (เรือตรี แซมดิน)อยู่" ผมก็บอกว่า "ไม่เป็นไรครับ มีความเห็นตรงข้ามได้ ผมก็ยังเห็นว่า ยังไม่ควรจะขึ้นเหมือนเดิม" เพื่อนๆก็ชอบใจ หัวเราะกันใหญ่

วันที่ ๑ ก.ย. ๒๕๔๕ พรรค เพื่อฟ้าดิน สาขาลำดับที่ ๑๐ จะจัดงานบูรณาการด้านนิติบัญญัติ ที่ชุมชน สันติอโศก เริ่มตั้งแต่ ๐๙.๐๐-๑๑.๐๐ น. จะมีการพูดเรื่อง ของ พ.ร.บ. ๑๑ ฉบับ การขายรัฐวิสาหกิจ และขาย สถาบันการเงิน โดยดร.วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ จะมาบรรยาย ขอเชิญสมาชิกพรรค เพื่อฟ้าดิน และผู้สนใจ รับฟังได้ที่ชุมชนสันติอโศก.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

ชื่อ นางน้ำทิพย์ เกษมเศรษฐ์
ชื่อเดิม นางจุ๊ยเซียง แซ่เตีย
เกิด ก.พ. ๒๔๖๗ อายุ ๗๘ ปี
ภูมิลำเนา ปากน้ำ สมุทรปราการ
การศึกษา
ไม่มี
สถานภาพ ม่าย บุตร ๗ คน
ส่วนสูง ๑๔๑ ซ.ม.
ส่วนสัด ๓๖-๓๘-๓๗ นิ้ว
น้ำหนัก ๔๗ ก.ก.

คุณยายน้ำทิพย์เป็นญาติธรรมเก่าแก่ของชาวอโศก ขยัน ชอบทำบุญสุนทาน ไปร่วมเข้าพรรษา ตามพุทธสถานต่างๆ ของชาวอโศก อารมณ์ดี เบิกบานแจ่มใส

จากโพ้นทะเล
๒ ขวบกว่าๆ แม่ก็พาฉันกับพี่ชาย จากเมืองจีน มาอยู่กับพ่อ ซึ่งค้าขายอยู่เมืองไทย และมีน้องๆอีก ๘ คน เสียชีวิตไป ๕ คน จึงเหลือ ๕ คน ช่วยพ่อแม่ค้าขาย จึงไม่ได้เรียนหนังสือ

แต่งงานเมื่ออายุ ๒๑ ปี พ่อบ้านเป็นคนที่ผู้ใหญ่จัดการให้ เคยเห็นหน้ากันครั้งเดียว ตอนเขามาดูตัว ไม่ได้รักกันมาก่อน เขาอายุ เท่าฉัน และมาจากเมืองจีนเหมือนกัน แต่งงานแล้วไปอยู่บ้านแม่สามี ซึ่งเป็นครอบครัวใหญ่ ทำงานบ้านสารพัด มีลูก ๗ คน ทั้งเลี้ยงลูก ทั้งทำงานในบ้าน เหนื่อยและทุกข์ด้วย อยู่ได้ ๑๐ ปี ก็แยกครอบครัวออกมาแบบไม่มีอะไรเลย

เริ่มจากศูนย์
ดิ้นรนทำมาหากิน ๒๘ ปีจึงตั้งตัวได้ ฉันโอนกิจการให้ลูกชาย แสวงหาที่พึ่งทางใจ ปี ๒๕๒๔ ฉันมาออกกำลังกาย ที่สวนลุมพินี พบพระ จากสันติอโศก มาปักกลด ฉันได้คุยกับสิกขมาตุจินดา เกิดศรัทธา และเลิกกินเนื้อสัตว์ ในเวลาต่อมา จนถึงทุกวันนี้ รวม ๒๑ ปี

ปี ๒๕๒๖ ฉันมาเข้าพรรษาที่สันติฯเพื่อฝึกตัวเอง ฉันเห็นเด็กหนุ่มๆสาวๆเขาปฏิบัติลดละได้ ทำให้ฉันมีพลัง ที่จะจัดการ กับกิเลส ของฉันไปด้วย ฉันไม่อยากกลับไปอยู่บ้าน ลูกจึงซึ้อทาวน์เฮาส์ หน้าวัดให้ฉันอยู่ ปฏิบัติธรรม ตั้งแต่นั้นมา

นี่แหละพระแท้ๆ
ปี ๒๕๓๒ พ่อท่านและหมู่สงฆ์ถูกจับ ฉันเห็นพ่อท่านยังดูสงบ สบาย เบิกบาน ไม่ทุกข์ร้อน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันร้อง ออกมา จากใจเลยว่า...นี่แหละพระแท้ๆ ขนาดถูกจับทั้งวัด ท่านก็ไม่แสดงอาการทุกข์อะไรเลย กิจวัตร ก็ยังเหมือนเดิม ซึ่งคนธรรมดา ทำไม่ได้หรอก

ต่อมาฉันก็ไปเข้าพรรษา ตามพุทธสถานต่างๆ ปฐมฯ-ศาลีฯ-สีมาฯ-ศีรษะฯ-ราชธานีฯ มีที่สีมาฯจะรู้สึกเหงาๆหน่อย คนแก่ที่นี่ เขาไม่พูดไทยเลย ฉันฟังไม่รู้เรื่อง แต่อยู่ๆไป ก็รักกัน ระลึกถึงกัน

ไปสู่สูญ
พ่อท่านเก่ง เอางานมาล่อกิเลสลูกๆ การทำงานช่วยให้ฉันได้ล้างกิเลส ลูกๆอยากให้ฉันกลับไปอยู่บ้าน ซึ่งสบาย แบบโลกย์ๆ แต่ฉันคิดว่า ชีวิตมันหงอยๆนะ เหมือนรอวันตาย อยู่ที่นี่ ฉันช่วยงานพับหนังสือสารอโศก ดอกหญ้า

เรื่องผัสสะฉันคิดว่าคนเราไม่เหมือนกัน รู้เขารู้เราก็หยวนๆกันไป ต่างคนต่างบำเพ็ญธรรม ไม่ต้องไปรำคาญเขา แต่หากสนิทๆกัน มีอะไรฉันก็บอกเขา

ทุกวันนี้กิน ๓ มื้อ เช้าข้าวต้ม กลางวันข้าวสวย เย็นอาหารเสริม ฉันยังกินข้าวต้มเปล่าๆไม่ได้ ยังติดเค็มๆหวานๆจากเต้าหู้ยี้

มาใหม่ๆฉันฟังธรรมพ่อท่านไม่รู้เรื่อง ต้องฟังจากพระองค์ แต่ตอนนี้ฉันชอบฟังธรรมะจากพ่อท่าน ฟังแล้วรู้เรื่อง เข้าใจดี

พินัยกรรม
ไม่ห่วงอะไร ฉันมีที่พึ่งทางใจแล้ว หลานๆทั้ง ๑๖ คนก็เรียนจบกันหมดแล้ว จะมีก็แต่เมตตาพวกเขา ฉันกลับประทับใจ นักเรียนของเรามากกว่า พวกเขาเก่งนะ มีบุญ ได้มาปฏิบัติธรรม ในสถานที่อาริยะเช่นนี้

ไม่กลัวตาย หากฉันตายลง ช่วยเอาศพฉันไปเผาที่ปฐมอโศกด้วยนะ

ฝากสุดท้าย
ฉันมั่นใจว่าสถานที่แห่งนี้ เป็นสถานที่อาริยะ ใครทำคนนั้นก็ได้

คุณยายน้ำทิพย์มั่นใจว่า สถานที่แห่งนี้ป็นอาริยะ จึงตั้งหน้าตั้งตา สั่งสมกุศล ให้กับตนเอง แล้วทุกวันนี้ สถานที่ที่ท่านอยู่ เป็นอะไร ? แล้วเมื่อไร ท่านจะเข้ามาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ล่ะค่ะ

บุญนำพา รายงาน

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

ข่าวอุบัติเหตุ ของรองเลขาธิการพรรคเพื่อฟ้าดิน

เมื่อวันที่ ๑๖ ส.ค. ๒๕๔๕ ที่ผ่านมา เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ ผู้จัดการบริษัทฟ้าอภัยจำกัด, รองเลขาธิการพรรคเพื่อฟ้าดิน พร้อมด้วย คุณลัดดา(อิสรา) ปิยะวงศ์รุ่งเรือง และคุณกระเดื่องดิน นาวาบุญนิยม พนักงานบ.ฟ้าอภัยจำกัด ได้เดินทางไปเยี่ยม คุณป้าน้อย สุ่มมาตย์ ที่อ.พิมาย จ.นครราชสีมา โดยขับรถปิคอัพ ไม่มี CAB

เวลา ๑๖.๐๐ น. ได้เดินทางกลับ โดยเรือตรีแซมดินและคุณลัดดานั่งอยู่ด้านหน้า ส่วนคุณกระเดื่องดิน นอนอยู่ด้านหลังสุด ของรถ โดยตั้งใจว่า จะมาถึงกรุงเทพฯก่อนค่ำ ระหว่างทางช่วงโคราชมาสระบุรี ซึ่งเป็นทางโค้ง ขณะนั้นขับรถมาด้วยความเร็ว แล้วหักหลบไปทางซ้าย ถือว่าแซงซ้าย ไปเจอกับรถปิคอัพทะเบียนลพบุรี ซึ่งบรรทุกขวดแก้ว และกล่องกระดาษ จอดอยู่ตรงโค้ง ในระยะ ๒-๓ เมตรพอดี เบรกไม่ทัน จึงตัดสินใจชนตรงๆ เพราะหากหักหลบ รถจะพลิกคว่ำ ปรากฏว่ารถของเขา เสียหาย น้อยกว่า ส่วนรถที่เรือตรีแซมดินขับนั้น สภาพรถยนต์ด้านหน้า ยุบเข้าไปถึงเครื่องยนต์

หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้นำบุคคลทั้ง ๓ คนส่งโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ สระบุรี แพทย์ได้ทำการ เอ็กซเรย์ กระดูกของทั้ง ๓ คน ปรากฏว่าไม่เป็นอะไร สำหรับอาการบาดเจ็บในครั้งนี้ คุณกระเดื่องดิน อาการหนักที่สุด เนื่องจาก นอนหลับอยู่ด้านหลัง บริเวณหน้าโดนกระแทก อย่างรุนแรง ฟันด้านบนหัก ๗ ซี่ บริเวณ ริมฝีปากฉีกขาด ดั้งจมูกหัก ขณะนี้พักรักษาตัว อยู่ห้องพิเศษเดี่ยว ห้อง ๓ ชั้น ๒ อาคาร ๕ ร.พ.นพรัตน์ราชธานี กทม. ส่วนคุณแซมดิน อาการเจ็บ บริเวณหน้าอก ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้ว โดยรักษาด้วยการ ย่างสมุนไพร รับประทานยาจีน และยาคลายกล้ามเนื้อ ขณะนี้ มาทำงานตามปกติ ส่วนคุณลัดดา ถูกกระจกด้านหน้ารถบาด ระหว่างตาซ้าย กับดั้งจมูก เย็บ ๑๓ เข็ม ขณะนี้ อาการดีขึ้นแล้ว เช่นกัน

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

บ้านราชฯ อบรมด้วยวิถีชีวิตจริง
พัฒนาทั้งคนในและคนนอก
โดยการสัมผัสชุมชนที่เรียบง่าย และมีพลัง

กิจกรรมหลักของบ้านราชฯเป็นเรื่องของการอบรม ทั้งลูกค้า ธ.ก.ส., นักเรียนจากโรงเรียนต่างๆ บางครั้งวันเวลา ก็ซ้อน เหลื่อมกัน ทั้งอบรมธ.ก.ส.และนักเรียนควบคู่กันไป อบรม ธ.ก.ส.ใช้สถานที่ที่เฮือนศูนย์ อบรมนักเรียน ที่เฮือนเผิ่งกัน หรือที่ เรือเกียข่วมฝ้า และวันเสาร์-อาทิตย์ กิจกรรมอุโบสถศีล ที่เฮือนเผิ่งกัน บางช่วงอบรม ธ.ก.ส.- อบรมเด็ก และกิจกรรม อุโบสถศีล ไปพร้อมๆกัน แล้วทานอาหารร่วมกัน ที่เฮือนศูนย์ทั้ง ๓ กิจกรรม รวมทั้งหมดประมาณ ๖๐๐ คน

แม้จะมีงานอบรมต่างๆตลอดทั้งเดือน แต่กิจวัตรเช้า-เย็นก็ยังคงดำเนินต่อไป โดยแบ่งสมณะส่วนหนึ่ง แยกมาทำวัตรเช้า - เย็นทุกวัน ไม่มีวันหยุด ลดเวลาจาก ๐๓.๓๐ น.เป็น ๐๔.๐๐ - ๐๕.๓๐ น. ทำวัตรเย็น ๑๗.๐๐-๑๘.๐๐ น. สวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ

นอกจากนี้ช่วง ๑๘.๓๐-๒๐.๐๐ น. ได้แบ่งกลุ่มอบรมเหมือนกับติวพิเศษ วันจันทร์ทีมเศรษฐกิจ วันอังคารทีมคุรุ-นิสิต วันพุธ ทีมวัยรุ่น วันพฤหัสฯ พี่เลี้ยงประชุมเตรียมงาน ธ.ก.ส. วันศุกร์ทีมผู้อายุยาว วันเสาร์คนวัด วันอาทิตย์ ประชุมหน่วยงานต่างๆ และ กรรมการบริหารชุมชน

ส่วนการเตรียมงานและสรุปงานอบรม ก็ใช้เวลาเพียง ๒ วัน คือวันเริ่มต้นกับวันที่ ๒ ถือว่าวันที่ ๒ ก็สรุปงานกันไป จนถึงวันที่ ๕ ปิดงานได้เลย เหตุที่ใช้เวลาเตรียมงานไม่มาก เพราะ

๑.ไม่พยายามเปลี่ยนหลักสูตรการอบรม แต่พยายามพัฒนาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

๒.ทำหลักสูตรให้เรียบง่าย โดยเน้นหลัก ๓ ประการคือ ๑.ให้สัมมาทิฏฐิ พบศาสนา-พบสมณะ ๒.ให้สัมมาอาชีวะ เน้นเรื่อง อาชีพ และ ๓.ให้สัมผัสวิถีชีวิตชุมชน ที่เรียบง่าย ลึกซึ้ง

๓. พัฒนาบุคลากรให้เป็นผู้นำ ผู้บริหาร เช่น หัวหน้าฐานโรงแชมพู ก็มาเป็นพี่เลี้ยง แนะนำการทำแชมพู เมื่อผู้มาอบรม เข้าใจเขาก็ซื้อวัตถุดิบ กลับไปทำกันเอง โดยไม่ต้องเสียเวลา กวนแชมพูขายให้ชาวบ้าน แต่ฝึกให้ชาวบ้าน ทำเป็นเอง งานก็เบาขึ้น ทำให้กิจกรรม กิจการขยายตัวได้มากกว่า ถ้าเราสามารถจัดสรร ให้ผู้เข้ารับการอบรม ลงมือปฏิบัติ ภาคสนามจริงๆ WORKSHOP ไปด้วย เขาเองก็ประทับใจ เพราะได้ลงมือทำ ด้วยตัวเอง เราเองก็เบาแรงขึ้น ก็เป็นความเจริญทั้งสองฝ่าย

ในส่วนของ น.ร.สัมมาสิกขาราชธานีฯ ในเรื่องการอบรม น.ร.แต่ละชั้นทำขบวนการกลุ่ม รับผิดชอบงานครัวและศาลา บางวัน จัดอาหารถึง ๔ ชุด คือ ลูกค้า ธ.ก.ส., น.ร.ของเรา, น.ร.มาอบรม, น.ร.ซึ่งเป็นพี่เลี้ยง ต้องประชุมสรุปงานกัน ๔ ศาลา ส่วนฐานงานอื่นๆ น.ร.ชั้นอื่นๆ จัดสรรไป ตามความเหมาะสม

แต่ละเดือนมี น.ร.มาอบรม ๒ รุ่น ถ้าเป็น น.ร.ชั้น ม.ต้น น.รชั้น.ปลายของบ้านราชฯเป็นพี่เลี้ยง-พิธีกร และผู้ประสานงาน ทุกอย่าง เหมือนผู้ใหญ่ ถ้าเป็น น.ร.ชั้นป.๖ - ม.๓ ก็จะให้น.ร.ม.๓ เป็นพี่เลี้ยง-พิธีกร โดยมีผู้ใหญ่ดูแลอยู่เบื้องหลัง

ในส่วนของทีมงานฝ่ายอบรมแต่ละฐานะ ได้เปิดเผยความรู้สึกต่อข่าวอโศกว่า

นางพรรณราย อโศกตระกูล แม่ครัว "งานหนักเป็นธรรมดา แต่ใจไม่หนัก ไม่คิดอะไรมาก มีคนมาเพิ่มขึ้น ทำกับข้าวเพิ่ม ก็ไม่ได้ หนักใจอะไร จัดสรรเวลาให้ถูก ก็แล้วกัน ก็กะประมาณอาหารให้พอ ไม่มีความกังวลอะไรทั้งสิ้น สบายๆ ถ้ามีปัญหาอะไร ก็รับฟัง กับพี่เลี้ยง แล้วไปปรับปรุงแก้ไข"

น.ส.ฝั่งบุญ ชาวหินฟ้า ผู้ประสานงาน "รู้สึกว่าถูกสมณะ-สิกขมาตุให้โจทย์ คนที่อยากมาอบรมคิวมีมาก ทั้งเด็ก-ผู้ใหญ่ กระแสคน ที่อยากเข้ามามีเยอะ ส่วนตัว จิตใจพร้อมต้อนรับ กับกระแสสังคมที่เกิดขึ้น มีหนักใจบ้างบางครั้ง ที่ผ่านมา ภูมิใจค่ะ ที่ได้มีโอกาส ทำงานขนาดนี้ ไม่เคยทำงานมากขนาดนี้ บางทีรู้สึกว่า เราทำได้ยังไง เมื่อก่อนฟังพ่อท่านบอกว่า ๒๔ ชั่วโมง ไม่พอใช้ ตอนนี้นับลำดับทบทวนในแต่ละวัน เวลาผ่านไปรวดเร็วมาก พอลงสนามก็ภูมิใจ ได้เข้าใจคำว่า มาเสียสละ"

นางมิ่งหมาย บุญเฉลียว คนวัดและครูใหญ่ ร.ร.สัมมาสิกขาราชธานีฯ "ต้องจัดสรรเวลาตัวเอง วันเสาร์ตอนเย็น ประชุม คนวัด ก็ปลีกเวลาไป ส่วนศีลเราก็เคร่งครัด บางวันกินข้าวไม่อิ่ม บางวันก็ไม่ได้อาบน้ำ ใช้เช็ดตัวเอา แขกมาก็ต้อนรับ มีปีติมาก ทำให้ไม่เจ็บป่วย มีความสุข ที่ได้ช่วยเหลือคน ที่มาสัมผัสกับบ้านราชฯ ตอนนี้มีทั้ง น.ร.และ ธ.ก.ส. มา ๒ รุ่นพร้อมกัน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ การตกลง ในขณะที่มีการอบรม ๒ คณะ ก็มีคนมาดูงาน และบางคณะ มาขอรับประทาน อาหารด้วย เราก็ทำได้โดย ไม่มีข้อบกพร่อง ขอบคุณแม่ครัว ที่จัดสรรได้ดี และชาวชุมชน ที่มาช่วยกัน มาทำงานเสียสละ เพื่อศาสนา ช่วยงานของพ่อท่าน ให้แผ่กว้างไกลยิ่งขึ้น"

สมณะฟ้าไท สมชาติโก ที่ปรึกษา "งานมากขึ้น ก็ยุ่งมากขึ้น เป็นการพิสูจน์ว่า เรามีคุณธรรมเพิ่มขึ้นมั้ย ถ้าเราสงบมากขึ้น งานยุ่ง แต่เราก็นิ่งได้ ก็เอื้อทั้งคนภายนอก และภายใน คนภายในก็ไม่ขาดประโยชน์ คนภายนอกก็ได้เช่นกัน ในส่วนของ นักบวช ต้องเอื้อประโยชน์ ทั้งคนภายนอกและภายใน ทำให้พัฒนาไปได้ อย่างรวดเร็ว ถ้าทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งจะช้า

เท่าที่ทำมาก็เห็นว่าคนภายในก็ได้ประโยชน์. เพราะเขาต้องทำงานกับคนภายนอกมากขึ้น สภาพจิตใจ ที่อาจจะ ปรวนแปรได้ แต่เมื่อพาเขาทำวัตรเช้า-เย็น มีเวลาพูดคุยเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม เขาได้ผ่อนคลายมากขึ้น ทำให้มีพลัง ในการทำงานต่อไป ในส่วนของการทำงาน สมณะเป็นเพียงแค่ ปุโรหิต ให้คำแนะนำ ปรึกษาให้ธรรมะ ได้ทำหน้าที่นี้ ได้เต็มที่"

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน อโศกตระกูล ที่ปรึกษา "งานมากขึ้น ก็ต้องเร่งรัดตัวเองให้เคร่งครัด สังวรในศีล ในการสำรวมอินทรีย์ ให้มากขึ้น ดีใจที่เห็นญาติธรรมภายใน ใส่ใจศึกษาธรรมกันเพิ่มขึ้น เป็นผู้ปฏิบัติเข้มขึ้น มีอะไรก็พูดกันได้ คุยกันบ่อยๆ ปัญหาต่างๆก็คลี่คลายด้วยดี ไม่หนักใจที่งานเพิ่มขึ้นๆ เพราะเข้าใจว่า งานจะทำให้พวกเราพัฒนาตัวเอง ให้สมบูรณ์ในศีล สมบูรณ์ในมรรค มีองค์ ๘ เพิ่มขึ้นได้จริง"

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

บ้านราชฯ อบรมด้วยวิถีชีวิตจริง
พัฒนาทั้งคนในและคนนอก
โดยการสัมผัสชุมชนที่เรียบง่าย และมีพลัง

กิจกรรมหลักของบ้านราชฯเป็นเรื่องของการอบรม ทั้งลูกค้า ธ.ก.ส., นักเรียนจากโรงเรียนต่างๆ บางครั้งวันเวลา ก็ซ้อน เหลื่อมกัน ทั้งอบรมธ.ก.ส.และนักเรียนควบคู่กันไป อบรม ธ.ก.ส.ใช้สถานที่ที่เฮือนศูนย์ อบรมนักเรียน ที่เฮือนเผิ่งกัน หรือที่เรือเกียข่วมฝ้า และวันเสาร์-อาทิตย์ กิจกรรมอุโบสถศีล ที่เฮือนเผิ่งกัน บางช่วงอบรม ธ.ก.ส.- อบรมเด็ก และกิจกรรม อุโบสถศีล ไปพร้อมๆกัน แล้วทานอาหารร่วมกัน ที่เฮือนศูนย์ทั้ง ๓ กิจกรรม รวมทั้งหมดประมาณ ๖๐๐ คน

แม้จะมีงานอบรมต่างๆตลอดทั้งเดือน แต่กิจวัตรเช้า-เย็นก็ยังคงดำเนินต่อไป โดยแบ่งสมณะส่วนหนึ่ง แยกมาทำวัตรเช้า-เย็นทุกวัน ไม่มีวันหยุด ลดเวลาจาก ๐๓.๓๐ น.เป็น ๐๔.๐๐ - ๐๕.๓๐ น. ทำวัตรเย็น ๑๗.๐๐-๑๘.๐๐ น. สวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ

นอกจากนี้ช่วง ๑๘.๓๐-๒๐.๐๐ น. ได้แบ่งกลุ่มอบรมเหมือนกับติวพิเศษ วันจันทร์ทีมเศรษฐกิจ วันอังคารทีมคุรุ-นิสิต วันพุธ ทีมวัยรุ่น วันพฤหัสฯ พี่เลี้ยงประชุมเตรียมงาน ธ.ก.ส. วันศุกร์ทีมผู้อายุยาว วันเสาร์คนวัด วันอาทิตย์ ประชุมหน่วยงานต่างๆ และ กรรมการบริหารชุมชน

ส่วนการเตรียมงานและสรุปงานอบรม ก็ใช้เวลาเพียง ๒ วัน คือวันเริ่มต้นกับวันที่ ๒ ถือว่าวันที่ ๒ ก็สรุปงานกันไปจนถึงวันที่ ๕ ปิดงานได้เลย เหตุที่ใช้เวลาเตรียมงานไม่มาก เพราะ

๑.ไม่พยายามเปลี่ยนหลักสูตรการอบรม แต่พยายามพัฒนาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

๒.ทำหลักสูตรให้เรียบง่าย โดยเน้นหลัก ๓ ประการคือ ๑.ให้สัมมาทิฏฐิ พบศาสนา-พบสมณะ ๒.ให้สัมมาอาชีวะ เน้นเรื่องอาชีพ และ ๓.ให้สัมผัสวิถีชีวิตชุมชน ที่เรียบง่าย ลึกซึ้ง

๓. พัฒนาบุคลากรให้เป็นผู้นำ ผู้บริหาร เช่น หัวหน้าฐานโรงแชมพู ก็มาเป็นพี่เลี้ยง แนะนำการทำแชมพู เมื่อผู้มาอบรม เข้าใจเขาก็ซื้อวัตถุดิบ กลับไปทำกันเอง โดยไม่ต้องเสียเวลา กวนแชมพูขายให้ชาวบ้าน แต่ฝึกให้ชาวบ้าน ทำเป็นเอง งานก็เบาขึ้น ทำให้กิจกรรม กิจการขยายตัวได้มากกว่า ถ้าเราสามารถจัดสรร ให้ผู้เข้ารับการอบรม ลงมือปฏิบัติภาคสนามจริงๆ WORKSHOP ไปด้วย เขาเองก็ประทับใจ เพราะได้ลงมือทำ ด้วยตัวเอง เราเองก็เบาแรงขึ้น ก็เป็นความเจริญทั้งสองฝ่าย

ในส่วนของ น.ร.สัมมาสิกขาราชธานีฯ ในเรื่องการอบรม น.ร.แต่ละชั้นทำขบวนการกลุ่ม รับผิดชอบงานครัวและศาลา บางวัน จัดอาหารถึง ๔ ชุด คือ ลูกค้า ธ.ก.ส., น.ร.ของเรา, น.ร.มาอบรม, น.ร.ซึ่งเป็นพี่เลี้ยง ต้องประชุมสรุปงานกัน ๔ ศาลา ส่วนฐานงานอื่นๆ น.ร.ชั้นอื่นๆ จัดสรรไป ตามความเหมาะสม

แต่ละเดือนมี น.ร.มาอบรม ๒ รุ่น ถ้าเป็น น.ร.ชั้น ม.ต้น น.รชั้น.ปลายของบ้านราชฯเป็นพี่เลี้ยง-พิธีกร และผู้ประสานงาน ทุกอย่าง เหมือนผู้ใหญ่ ถ้าเป็น น.ร.ชั้นป.๖ - ม.๓ ก็จะให้น.ร.ม.๓ เป็นพี่เลี้ยง-พิธีกร โดยมีผู้ใหญ่ดูแลอยู่เบื้องหลัง

ในส่วนของทีมงานฝ่ายอบรมแต่ละฐานะ ได้เปิดเผยความรู้สึกต่อข่าวอโศกว่า

นางพรรณราย อโศกตระกูล แม่ครัว "งานหนักเป็นธรรมดา แต่ใจไม่หนัก ไม่คิดอะไรมาก มีคนมาเพิ่มขึ้น ทำกับข้าวเพิ่ม ก็ไม่ได้ หนักใจอะไร จัดสรรเวลาให้ถูก ก็แล้วกัน ก็กะประมาณอาหารให้พอ ไม่มีความกังวลอะไรทั้งสิ้น สบายๆ ถ้ามีปัญหาอะไร ก็รับฟัง กับพี่เลี้ยง แล้วไปปรับปรุงแก้ไข"

น.ส.ฝั่งบุญ ชาวหินฟ้า ผู้ประสานงาน "รู้สึกว่าถูกสมณะ-สิกขมาตุให้โจทย์ คนที่อยากมาอบรมคิวมีมาก ทั้งเด็ก-ผู้ใหญ่ กระแสคน ที่อยากเข้ามามีเยอะ ส่วนตัว จิตใจพร้อมต้อนรับ กับกระแสสังคมที่เกิดขึ้น มีหนักใจบ้างบางครั้ง ที่ผ่านมาภูมิใจค่ะ ที่ได้มีโอกาส ทำงานขนาดนี้ ไม่เคยทำงานมากขนาดนี้ บางทีรู้สึกว่า เราทำได้ยังไง เมื่อก่อนฟังพ่อท่านบอกว่า ๒๔ ชั่วโมง ไม่พอใช้ ตอนนี้นับลำดับทบทวนในแต่ละวัน เวลาผ่านไปรวดเร็วมาก พอลงสนามก็ภูมิใจ ได้เข้าใจคำว่ามาเสียสละ"

นางมิ่งหมาย บุญเฉลียว คนวัดและครูใหญ่ ร.ร.สัมมาสิกขาราชธานีฯ "ต้องจัดสรรเวลาตัวเอง วันเสาร์ตอนเย็น ประชุมคนวัด ก็ปลีกเวลาไป ส่วนศีลเราก็เคร่งครัด บางวันกินข้าวไม่อิ่ม บางวันก็ไม่ได้อาบน้ำ ใช้เช็ดตัวเอา แขกมาก็ต้อนรับ มีปีติมาก ทำให้ไม่เจ็บป่วย มีความสุข ที่ได้ช่วยเหลือคน ที่มาสัมผัสกับบ้านราชฯ ตอนนี้มีทั้ง น.ร.และ ธ.ก.ส. มา ๒ รุ่นพร้อมกัน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ การตกลง ในขณะที่มีการอบรม ๒ คณะ ก็มีคนมาดูงาน และบางคณะ มาขอรับประทานอาหารด้วย เราก็ทำได้โดย ไม่มีข้อบกพร่อง ขอบคุณแม่ครัว ที่จัดสรรได้ดี และชาวชุมชน ที่มาช่วยกันมาทำงานเสียสละ เพื่อศาสนา ช่วยงานของพ่อท่าน ให้แผ่กว้างไกลยิ่งขึ้น"

สมณะฟ้าไท สมชาติโก ที่ปรึกษา "งานมากขึ้น ก็ยุ่งมากขึ้น เป็นการพิสูจน์ว่า เรามีคุณธรรมเพิ่มขึ้นมั้ย ถ้าเราสงบมากขึ้น งานยุ่ง แต่เราก็นิ่งได้ ก็เอื้อทั้งคนภายนอก และภายใน คนภายในก็ไม่ขาดประโยชน์ คนภายนอกก็ได้เช่นกัน ในส่วนของนักบวช ต้องเอื้อประโยชน์ ทั้งคนภายนอกและภายใน ทำให้พัฒนาไปได้ อย่างรวดเร็ว ถ้าทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งจะช้า

เท่าที่ทำมาก็เห็นว่าคนภายในก็ได้ประโยชน์. เพราะเขาต้องทำงานกับคนภายนอกมากขึ้น สภาพจิตใจ ที่อาจจะปรวนแปรได้ แต่เมื่อพาเขาทำวัตรเช้า-เย็น มีเวลาพูดคุยเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม เขาได้ผ่อนคลายมากขึ้น ทำให้มีพลังในการทำงานต่อไป ในส่วนของการทำงาน สมณะเป็นเพียงแค่ ปุโรหิต ให้คำแนะนำ ปรึกษาให้ธรรมะ ได้ทำหน้าที่นี้ได้เต็มที่"

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน อโศกตระกูล ที่ปรึกษา "งานมากขึ้น ก็ต้องเร่งรัดตัวเองให้เคร่งครัด สังวรในศีล ในการสำรวมอินทรีย์ ให้มากขึ้น ดีใจที่เห็นญาติธรรมภายใน ใส่ใจศึกษาธรรมกันเพิ่มขึ้น เป็นผู้ปฏิบัติเข้มขึ้น มีอะไรก็พูดกันได้ คุยกันบ่อยๆ ปัญหาต่างๆก็คลี่คลายด้วยดี ไม่หนักใจที่งานเพิ่มขึ้นๆ เพราะเข้าใจว่า งานจะทำให้พวกเราพัฒนาตัวเอง ให้สมบูรณ์ในศีล สมบูรณ์ในมรรค มีองค์ ๘ เพิ่มขึ้นได้จริง"

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

 

ข่าวเดินรณรงค์คัดค้านการขอขึ้นเงินเดือน

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ ๙ ส.ค. ๔๕ สมาชิกพรรคเพื่อฟ้าดิน ได้เดินขบวนไปยื่นหนังสือ ต่อประธานรัฐสภา เพื่อคัดค้าน การขอ ขึ้นเงินเดือน ของส.ส.และส.ว.ตามที่ข่าวอโศก ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น หลังจากนั้นกลุ่มนิสิต สัมมาสิกขาลัยวังชีวิต เขตศีรษะอโศก จำนวน ๔๐ คน ได้มีการเดินขบวน รณรงค์คัดค้านต่อไป ตามจังหวัดต่างๆ โดยไปสมทบกับสมาชิกของพรรค ในพื้นที่ดังกล่าว ขณะที่เดินไปนั้น ก็ได้แจกแถลงการณ์ พร้อมกับปราศรัยไปด้วย ส่วนมากจะเดินไปตามแหล่งที่มีคนอยู่มาก เช่น ตามตลาด ถนนสายใหญ่ๆ ที่มีคนสัญจรไปมา ใช้เวลาประมาณ ๑ - ๑ ชั่วโมงครึ่งในแต่ละครั้ง ประชาชนให้ความสนใจ และ แตกตื่น บ้างก็ขอเซ็นชื่อคัดค้าน ร่วมกับพรรคเพื่อฟ้าดิน แต่ทางกลุ่มเดินคัดค้านไม่มีให้ เพียงแต่แจกแถลงการณ์ คัดค้าน การขอขึ้น เงินเดือนให้แทน ชาวบ้านส่วนมาก ๑๐๐ % เห็นด้วยกับการคัดค้านครั้งนี้

 

การเดินรณรงค์ครั้งนี้ เพื่อบอกแจ้งให้ประชาชนได้ทราบ ถึงความเคลื่อนไหวของ ส.ส.และส.ว. ที่ประชาชน เลือกเข้าไปทำหน้าที่ แทนประชาชน ว่ามีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง และสร้างกระแส ให้ชาวบ้าน ได้ลุกขึ้นมา ใช้สิทธิ์ใช้เสียง ในฐานะ ประชาชน คนไทย ที่จะพึงมีต่อส.ส.และ ส.ว. ที่เขาเลือกเข้าไป โดยมีรายการ เดินรณรงค์ ในจังหวัดต่างๆดังนี้

๗ ส.ค. ที่อ.กันทรลักษณ์ , ๘ ส.ค. ที่ จ.ศรีสะเกษ, ๙ ส.ค. ที่กรุงเทพฯ, ๑๐ ส.ค. ที่สวนส่างฝัน จ.อำนาจเจริญ, ๒๐ ส.ค. ๑๓.๐๐ น. ที่อ.ป่าติ้ว และเวลา ๑๕.๐๐-๑๖.๓๐ น. ที่ จ.ยโสธร, และ ๒๑ ส.ค. ที่ จ.ร้อยเอ็ด สำหรับการเดินรณรงค์คัดค้านของ นิสิต มว.ช.ศีรษะอโศกยังคงมีต่อไป แต่ยังไม่ได้กำหนดวัน ที่ชัดเจน ข่าวอโศกจะรายงานให้ทราบ ในโอกาสต่อไป

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

 


เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
๖๗/๑ ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. ๑๐๒๔๐ โทร.๐-๒๓๗๔-๕๒๓๐ ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ ๑,๕๐๐ ฉบับ

[กลับหน้าสารบัญข่าว]