ฉบับที่ 192 ปักษ์แรก1-15 ตุลาคม 2545

[01] บทนำข่าวอโศก:ลักษณะผู้ควรอยู่วัด
[02] ธรรมะพ่อท่าน: "จับประเด็นจากหนังสือ คนคืออะไร ๔ "
[03] บันทึกปัจฉาสมณะ: สดจากปัจฉาฯ
[04] คนกทม.ปีนี้กินเจเกือบ ๕๐ %
[05] กสิกรรมธรรมชาติ : ๖ ขั้นตอนการทำนาไร้สารพิษ (ตอน๒)
[06] จุดไฟเผาขยะที่ปฐมอโศก ถังน้ำมันเปล่าระเบิดตูม
[07] ชมร.เชียงใหม่ แจกอาหารลูกค้า ครั้งที่ ๗
[08] ศูนย์สุขภาพ: เอ็นไซม์
[09] รู้เขารู้เรา : พลังงานโลกขาดแคลน ออสซี่ลุย โซลาร์เซลล์
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า:
[11] ครัวอโศก : น้ำสลัดสองสี
[12] นานาสาระ : ขมิ้นมีคุณอนันต์
[13] พลเอกปรีดา เยี่ยมบ้านราชฯ ชื่นชมวิถีชีวิตของชาวชุมชน
[14] แจกยิ้ม : ครูของเรา
[15] ชายงามรายปักษ์ : ด.ต.ขจร จตุรพรจันทร์
[16] ข่าว:รายการกระแสโลก กระแสธรรม โดยท่านจันทร์ และ ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล



ลักษณะผู้ควรอยู่วัด

การมาอยู่วัด ก็เพื่อมาปฏิบัติธรรม

การปฏิบัติธรรม ก็คือ การไม่ทำอะไรตามตัวเอง

คนที่มีกิเลส แล้วยังทำอะไรตามใจตัวเองอยู่ แม้สิ่งที่กระทำนั้นเป็นสิ่งที่ดี ก็ยังชื่อว่าคนโลกีย์ที่ยังไม่ได้ประพฤติธรรม อาจจะเป็นได้ถึง กัลยาณชน แต่ยังไม่ถึงซึ่งโลกุตรชน

ดังนั้น ใครที่มาอยู่วัด ถ้าหวังความเจริญ ก็ต้องมาฝึกสลายภาพของตัวเอง ไม่หลงภพ ไม่ติดภพ หรือไม่ทำอะไรตามใจตัวเอง

โดยเฉพาะ คนที่ได้ทำงานตามภาพตัวเอง ยิ่งต้องระวังให้มาก เพราะท่านจะทำตัวเหมือนอยู่ที่บ้าน ขาดขบวนการกลุ่มที่ดี

เผลอๆจะกลายเป็นชาวบ้านที่เข้าวัดแล้วมาเป็นแบบอย่างที่ไม่ดี หรือทำอะไรก็มีปัญหา เพราะเข้ากับกลุ่มไม่ได้ ไม่พร้อมที่จะ สลายภาพ ตัวเอง แล้วทำตาม ครูบาอาจารย์ หรือหมู่กลุ่มที่ดี

ถ้าเป็นอย่างนี้ อยู่ที่บ้านก็ได้ ไม่ต้องมาอยู่วัดให้เสียนิสัยไปมากกว่าเดิมหรอก

แต่ถ้าอยากอยู่วัด ก็ต้องฝึกไม่ทำอะไรตามใจตัวเองให้ได้ แล้วทำตามขบวนการกลุ่ม หรือครูบาอาจารย์ที่ดี

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


จับประเด็นจากหนังสือ
คนคืออะไรฯ ? (๔)

ปรุงแต่งรูป...
วิถีชีวิตคนเราในอดีตนั้น เป็นอยู่อย่างเรียบง่าย สมถะ สอดประสานกับธรรมชาติด้วยดี

แต่เมื่อกาลล่วงเลยมา จิตคนเราพอกพูนกิเลสตัณหามากยิ่งขึ้น เกินการปรุงแต่งสังขารในชีวิต เพิ่มพูนเป็นทวีคูณ ตามกาลเวลา

ก่อนนี้คนมีชีวิตอยู่ด้วยปัจจัยสี่ ข้าว ผ้า ยา บ้าน...ตามมีตามได้ เรียบง่าย ไม่ปรุงแต่งจัดจ้าน

แต่ปัจจุบันหาเป็นเช่นนั้นไม่ อาหารการกินปรุงแต่งสารพัด กินกันรสจัดจ้านทั้งแดกด่วน...แฟชั่นเสื้อผ้า เห็นโฆษณากันเกลื่อน ใส่สวย แต่งงาม เกินความจำเป็น แพงเสียด้วยซี... ตึกรามบ้านช่อง ก็สร้างกันใหญ่โตหรูหรา อยู่กันแค่สองคน สร้างบ้าน ยังกับวัง และตัวเอง แทบไม่ได้อยู่ จ้างคนใช้ ให้มาอยู่ประจำเสียอีก

เพราะจิตมีตัณหาเป็นตัวขับดัน...ทำให้ชีวิตคนเรามีการปรุงแต่งอลังการ เกินความจำเป็น สิ้นเปลือง ฟุ่มเฟือย

สตรีแต่งรูปสวยก็ด้วยตัณหาเป็นเหตุ พอกทาใบหน้าด้วยเครื่องสำอาง สวมอาภรณ์วาบหวิว ตามแฟชั่น เพียงต้องการ ลวงล่อ บุรุษเพศ ให้ร่วม อภิรมย์ เสพสมกาม... แม้บุรุษเอง ก็แต่งตัว ด้วยเหตุแห่งกาม เฉกเช่นกัน

เหล่านี้เป็นการเปลืองเปล่า โดยสัจจะแล้วเพศสัมพันธ์ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ ดังคำโบราณ กล่าวไว้ว่า

"อดข้าวดอกนะเจ้าชีวาวาย แต่มิตายดอกเพราะอดสิเน่หา"

แต่ด้วยกิเลสตัณหา ทำให้ดวงตาแห่งปัญญาคนมืดบอด ไม่เห็นแจ้งสัจจะ เข้าใจว่า ชีวิตขาดเพศสัมพันธ์ไม่ได้ ยิ่งชนชาติ ตะวันตก ให้ความสำคัญ กับเซ็กซ์ ดุจปัจจัยที่ห้า ในชีวิตก็ปาน พยายามหาวิธี ไม่ให้สมรรถภาพทางเพศเสื่อม แม้อายุมาก กินยาปลุกเร้า จนเป็นไอ้แก่ ตัณหากลับ... ผลร้ายตามมาคือ โรคเอดส์ระบาดทั่วโลก

ปัจจุบันคนครองโสดอายุยืนยาวกว่าคนแต่งงานเสียอีก ยิ่งคนประเภทตัณหาจัด สำส่อนยิ่งตายไว

แท้จริงเพศสัมพันธ์เป็นเพียงการสืบสายพันธุ์ตามธรรมชาติเท่านั้น ไม่ใช่กิจที่จะทำกัน อย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก อันใดเลย สัตว์บางชนิด ยังทุกข์ทรมานเสียด้วยซ้ำ บ้างถึงกับสิ้นชีพ จากการสืบพันธุ์ อย่างแมงมุมตัวผู้ ต้องสังเวยชีวิต หลังเสร็จกิจ กับแมงมุมตัวเมีย ฯลฯ

แต่เพราะกิเลสของคน ปรุงแต่งกิจกามจนเห็นเป็นความสุขหฤหรรษ์ ไม่ใช่ทำเพื่อเป็นการสืบสายพันธุ์อีกต่อไป

ปัจจัยของชีวิต...ข้าว ผ้า ยา บ้าน เพียงอาศัยปัจจัยสี่อย่างนี้เท่านั้น คนสามารถมีชีวิตอยู่ได้

แต่ปัจจุบันคนดิ้นรนแสวงหามากเกินปัจจัยสี่ เพราะกิเลสตัณหา บวกกับอวิชชา ครอบงำจิต ทำให้โลกทุกวันนี้ เต็มไปด้วย สิ่งบำรุงบำเรอชีวิต จากฝีมือ คนสร้างทำขึ้น เทคโนโลยีล้ำสมัย สิ่งอำนวยความสบาย เครื่องเล่นบันเทิง นานาเหล่านี้ ล้วนเกิน ความจำเป็น ของชีวิตทั้งสิ้น

เพราะอวิชชาเป็นเหตุ ทำให้คนหลงใหลกับโลกีย์สังขาร อาหารต้องปรุงอร่อย ถึงจะกลืนกินได้ เสื้อผ้าต้องตามสมัยตามแฟชั่น ป่วยต้องเข้า โรงหมอ ค่ารักษา สูงลิ่ว ยาหม้อยาสมุนไพร ไม่เคยแตะ ส่วนเรือนคุ้มหัว ยิ่งหลังใหญ่ อลังการ ปานใดยิ่งดี ทุกคน จึงดิ้นรน แสวงหา กันหัวปั่น เพราะหลงผิดแท้ๆเชียว

อาหารพระ...
โดยหลักพุทธปฏิบัติแล้ว อาหารที่มีส่วนปรุงจากเนื้อสัตว์นั้น ไม่ควรแก่นักบวชทุกฐานะ ไม่ว่าจะศาสนาใดก็ตาม โดยเฉพาะ ภิกษุ ในพุทธศาสนา ไม่ควรยิ่ง

ด้วยสามัญสำนึกอันเป็นสากลโลก นักบวชเป็นผู้มีเมตตาต่อส่ำสัตว์ทั้งปวง วิถีชีวิตผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ควรจะบริสุทธิ์สะอาด นอกจากมือ จะไม่เปื้อนเลือดแล้ว ปากและกระเพาะ ก็ไม่ควรเป็นเหตุ แห่งการฆ่าเช่นกัน

พระอริยะแท้แล้วท่านไม่ฉันเนื้อสัตว์...เพราะหากท่านฉันเนื้อ เท่ากับเป็นการขัดแย้งคำสอนของพระศาสดา และไม่ดำรงตน ตามครรลอง พระธรรมวินัย ซึ่งพระพุทธเจ้า ทรงบัญญัติห้ามไว้ หลายประการ เป็นต้นว่า

ศีลข้อ ๑ ให้มีเมตตาต่อส่ำสัตว์ทั้งปวง ไม่ฆ่า ไม่ทำลายทำร้าย ด้วยเหตุนี้... ยังจะกินเลือดเนื้อ เขาได้ลงคอล่ะหรือ? ความเมตตา ไปอยู่เสียที่ไหน...

พระวินัยก็มีห้ามไว้เหมือนกัน เนื้อที่ได้มาจากการฆ่าปรุงเป็นอาหาร ห้ามภิกษุฉันอาหารนั้นเป็นอันขาด มิเช่นนั้น ต้องอาบัติ ทุกกฎ และ พระศาสดา ทรงบอกอีกว่า ผู้ใดก็ตาม ที่นำอาหาร ปรุงจากเนื้อสัตว์ มาถวายนักบวช ในศาสนาของพระองค์ ผู้นั้นมิได้บุญ แต่กลับ จะได้บาป เป็นอันมาก

แต่ด้วยกาลเวลาทำให้พระในพุทธศาสนาบางส่วน หย่อนยานในพระธรรมคำสอน จึงฉันเนื้อสัตว์ กันเป็นปรกติวิสัย โดยไม่คำนึงถึง หลักสัจธรรม อันเป็นสามัญสำนึก แห่งบรรพชิต

ตามแนวทางวัตรปฏิบัติของพระ ต้องเพียรละกิเลสติดรสอาหารอยู่แล้ว เพื่อไปถึงจุดแห่งความหลุดพ้น ฉันอาหารเพียง ยังกายขันธ์ ให้มีชีวิตอยู่ กูลเกื้อประโยชน์ แก่มหาชน ชี้นำแนวทาง พัฒนาชีวิต สู่สูงส่งประเสริฐศรี

แต่หากเนื้อสัตว์ท่านยังตัดไม่ขาด ประสาอะไรจะตัดรสอร่อย-เปรี้ยว หวาน มัน เค็มได้

ปัจจุบันโทษภัยจากการกินเนื้อสัตว์เห็นได้ชัด มีทั้งสารพิษ และโรคร้าย แฝงมากับเนื้อ เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง โรคอ้วน เส้นเลือดตีบ ไขมันอุดตัน และโรคหัวใจ ซึ่งคนรวยนิยมเป็นกันมาก

คนกินมังสวิรัติสุขภาพกายจะดี สุขภาพจิตแข็งแรง สุขุมเยือกเย็น ไม่รุนแรงอารมณ์ร้าย อย่างคนกินเนื้อ

ด้วยเหตุนี้...ผู้ที่จะบรรลุอมตธรรมได้บริสุทธิ์สะอาด ไม่ว่าจะเป็นพระ หรือฆราวาสก็ตามที ต้องเว้นขาด จากการรับประทาน เนื้อสัตว์ เพื่อจิต เจริญเมตตา อย่างบริสุทธิ์บริบูรณ์ อันเป็นเบื้องต้น ของการปฏิบัติธรรม เข้าขั้นสัมมาทิฏฐิ.

พุทธบุตร ลูกหม้ออโศก

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

สดจากปัจฉาฯ * สมณะแน่วแน่ สีลวัณโณ

พรรษานี้พ่อท่านแทบจะไม่ได้อยู่ที่บ้านราชฯเท่าไหร่นัก ต้องสัตตาหะไปมา ระหว่างสันติอโศก ปฐมอโศก ราชธานีอโศก มากกว่า พรรษา ที่แล้วๆมา งานและความจำเป็น บางอย่าง ทำให้ต้องเดินทาง ไปมามาก ทั้งๆที่ตั้งใจเปรยไว้แต่แรกว่า จะอยู่จำพรรษา ที่บ้านราชฯ ให้มาก แต่ก็มีเหตุ ทำให้ต้องเปลี่ยนแปลง

ฝ่ายการเงินจึงต้องจ่ายค่าโดยสารเครื่องบินมากเป็นพิเศษ ซึ่งพ่อท่านและปัจฉาฯ ยังคงต้องตีตั๋ว ในอัตราเดียวกับ คนสามัญ ทั่วไป ไม่ได้ส่วนลด ครึ่งราคา เฉกเช่นพระทั้งหลาย เนื่องจากผู้ใหญ่ ของการบินไทย ยังคงไม่ให้สิทธิ หรือไม่ถือว่า พวกเราเป็น นักบวช ของศาสนาพุทธ ยังดีที่แอร์โฮสเตส และเจ้าหน้าที่สนามบิน ได้ปฏิบัติต่อพ่อท่าน และปัจฉาฯ เช่นเดียวกับ พระทั้งหลาย ประนมมือ นมัสการ และนิมนต์ ให้ขึ้นเครื่องบินก่อน

ก่อนขึ้นเครื่องบินวันหนึ่ง ผู้เขียนเกิดเสียดายสิทธิที่เราควรได้ ขณะที่เราต้องเสียค่าโดยสารเต็มราคา แต่หลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เริ่ม ขึ้นเครื่องบิน พ่อท่านพาสละสิทธิ ไม่รับอาหารกล่อง ที่แอร์โฮสเตส นำมาแจกผู้โดยสาร อาจเป็นเพราะ ตอนแรก เข้าใจว่า ไม่ใช่อาหาร มังสวิรัติ จึงไม่รับ แม้ภายหลังทราบว่า สามารถแจ้งได้ก่อนเดินทาง ๗๒ ช.ม. ก่อนเวลา เครื่องบิน ออกเดินทางว่า ขออาหารมังสวิรัติได้ แต่พ่อท่านก็ยังคงสละสิทธิ ปฏิเสธที่จะรับอาหารกล่องนั้น แม้ผู้เขียน จะยกอ้าง เหตุผลว่า จะได้สร้างกระแสว่า ผู้โดยสารที่เป็น นักมังสวิรัติ (Vegetarian) ก็มีอยู่นะ แม้ไม่ได้ฉัน ก็รับมาแจกเด็กๆ ในชุมชนก็ได้ ซึ่งพ่อท่านก็ยังคงยืนยัน ที่จะเสียสละว่า "ผักที่เขาใช้ทำอาหาร ก็ไม่ใช่ผักไร้สารพิษ เอามาให้เด็กพวกเรากิน ก็ไม่ดีอีก สู้เราเสียสละ ไม่เอามาเลยไม่ได้ มันเท่ห์กว่ากัน"

แหม! ผู้มีกิเลสอยู่ร่วมกันผู้ไม่มีกิเลส แล้วต้องทำตัวทำใจ ให้เป็นคนไม่มีกิเลสไปด้วยนี่ ซึ่งมัน...ก็...ดี แต่... ยากนะ ยากสส์จริงๆ

๒ ต.ค.๔๕ ที่บ้านราชฯ น้ำท่วมอยู่ในระดับสูงสุด มีผู้แจ้งสถิติว่าสูงกว่าปีที่แล้ว ๘๖ ซ.ม. ห้องทำงานของพ่อท่าน ชั้น ๒ ปีนี้ก็ถูท่วมด้วย พ่อท่านต้องขึ้นไปทำงาน ที่ชั้น ๓ ซึ่งแคบเล็ก ฝ้าหลังคาก็ต่ำ ทั้งอ้าวและอับ มดง่ามก็เยอะ ต้องโรยแป้งกันมด ไม่ให้เดินผ่าน เข้ามากวน ในขณะทำงาน ของใช้ในห้องทำงานชั้น ๒ ถูกขนหนีน้ำ ตามขึ้นไปด้วย กองเต็มแทบไม่มีที่จะขยับ ผู้เขียนรู้สึกอึดอัด และอุดอู้แทนพ่อท่าน เมื่อมีผู้เสนอให้พ่อท่าน ไปทำงานที่เรือ ซึ่งเป็นที่นอนยามน้ำท่วมกุฏิ ผู้เขียนเห็นดีด้วย เพราะดูจากสภาพเรือโล่ง และ กว้างขวาง กว่าห้อง แคบๆ ที่ชั้น ๓ นั้นเยอะ ตอนแรกปัจฉาฯทั้งสอง อาสาจะขนย้าย ของใช้ทำงาน จากห้องทำงานไปที่เรือเอง พ่อท่านปฏิเสธว่า ยุ่งยาก วุ่นวายเปล่าๆ แต่ผู้เขียนรู้สึกว่า มีน้ำเสียงเกรงใจ ไม่ใช่ไม่เห็นดีว่า ทำงานที่เรือ ซึ่งกว้างโล่งนั้นดีกว่า ผู้เขียนจึงบอกกับผู้มาช่วยดูแล ทำความสะอาดเรือ ตอนที่พ่อท่าน สัตตาหะ ไปสันติอโศก ให้ขนย้ายของใช้ที่ห้องทำงาน มาที่เรือได้เลย เพราะระดับน้ำ เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนชั้น ๒ ก็อยู่ยาก หากเกิดน้ำ มามากๆ อีกฟุตหรือสองฟุต คราวนี้จะขนย้ายของ จากชั้น ๓ ไปเรือจะลำบาก ถึงตอนนั้น ห้องน้ำก็ใช้ไม่ได้ จะลำบากกว่านี้ มันมีเหตุเพียงพอ ที่จะย้ายของทำงาน จากห้องมาที่เรือ พ่อท่านคงไม่ว่าหรอก ถ้าพ่อท่านจะดุว่าขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่เป็นไร เพราะเรา คำนึงถึงสุขภาพ และสภาพแวดล้อมที่ดี ในการทำงาน ของพ่อท่าน เป็นหลักไว้ก่อนอื่น แต่เมื่อถึงวันนั้นจริงๆ มีคนค้าน ด้วยเหตุผล นานาสารพัดว่า... ขนย้ายไป เดี๋ยวน้ำลด ก็ต้องขนย้าย กลับมาอีก ลำบากเปล่าๆ... เกรงว่าของใช้ จะตกหล่นน้ำ สูญเสีย ตอนย้าย... ที่เรือยังไม่มีกุญแจ เดี๋ยวของจะสูญหาย... เดี๋ยวพ่อท่านจะว่าเอา รอให้พ่อท่านบอกเอง แล้วค่อยย้ายดีกว่า อย่าไปคิดอะไร แทนพ่อท่านเลย เหตุผลเหล่านี้ ก็ฟังขึ้นด้วย แต่ถ้าคำนึงถึงสุขภาพ และสภาพแวดล้อมที่ดี ในการทำงานของพ่อท่าน เป็นหลัก ปัญหาต่างๆ เหล่านั้น สามารถแก้ไข ทำให้ดีขึ้นได้ทั้งนั้น ส่วนเรื่องกลัวพ่อท่าน จะดุว่า เอานั้น ก็น่าเห็นใจ เพราะไม่มีใคร อยากถูกดุ ถูกว่านักหรอก แต่ถ้าคำนึงสุขภาพพ่อท่าน เป็นสำคัญจริงๆ ก็น่าแลกกับการ สลายอัตตาของเรานะ ถูกดุถูกว่าบ้าง ก็ไม่น่า จะเป็นอะไรมาก

การทำงานหลายคนหลายหัวก็ดี ช่วยให้การกลั่นกรองสิ่งที่ดีที่สุดเกิด แต่บางครั้ง หลายคนหลายหัว ก็ทำให้งาน ไม่เดิน เหมือนกัน ถ้ามอง ประโยชน์ ทีได้ลดอัตตามานะ เป็นสำคัญมากกว่างาน หลายคนหลายหัว ก็ช่วยลดอัตตามานะ ได้มากจริงๆ สรุป ไม่ว่าจะทำหรือไม่ทำ จะย้าย หรือไม่ย้าย อัตตามานะของเรา ต้องลดลงให้ได้ก่อน พ่อท่านนี่ปล่อยวาง ได้เก่งจริงๆด้วย อยู่กับสภาพอุดอู้ แคบๆอับๆนั้นได้ โดยใจไม่อึดอัด.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 


คนกทม.ปีนี้กินเจเกือบ ๕๐%
บ้านราชฯเปิดขาย ๒ แห่ง ต้อนรับน้ำท่วม
เชียงใหม่ใช้พืชผักไร้สารพิษส่งตรงจากดอย

ชาวอโศกร่วมผนึกกำลัง สัมมาสิกขาลงทุกพื้นที่

นับเป็นเรื่องน่าอนุโมทนาอย่างยิ่ง ที่เทศกาลเจปีนี้ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย สังเกตจากมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อต่างๆ ชวนเชิญให้ทานเจกัน อย่างคึกคัก ขนาดมี หน่วยงานวิจัยแห่งหนึ่ง บอกว่า ปีนี้จะมีชาว กทม.ทานอาหารเจถึง ๔๙.๔ % สำหรับร้านค้า ของชาวอโศกเรา ก็ร่วมด้วยช่วยกันเผยแพร่ อาหารบุญ ซึ่งปราศจาก เลือดเนื้อ ของสรรพสัตว์ เป็น บุญญาวุธ หมายเลข ๑ ของเรา และเป็นบุคลิกคู่กับชาวอโศก ในสายตาผู้อื่น มาโดยตลอด

ในเทศกาลเจนี้ ร้านรวงของชาวอโศก ก็ผนึกกำลังเต็มที่เหมือนเคย หลายๆร้านค้าของชาวเรา เปิดให้บริการ โดยไม่มีวันหยุด เพื่อเพิ่ม ความสะดวก ให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นการส่งเสริม การรับประทาน อาหารเจ แม้เป็นเพียงระยะเวลา เพียงไม่กี่วัน แต่ก็เป็นเรื่อง ที่น่าอนุโมทนา และเป็น จารีตหนึ่ง ที่ควรส่งเสริม เป็นอย่างยิ่ง

สำหรับบรรยากาศของร้านค้าของชาวอโศก ผู้สื่อข่าวได้รายงานเข้ามา ดังนี้

ชมร.
หน้าสันติอโศก

ชมร.หน้าสันติอโศก.
เริ่มงานตั้งแต่วันที่ ๖-๑๔ ต.ค. ปีนี้มี นักเรียน สัมมาสิกขาสันติอโศก จำนวน ๓๒ คนมาช่วยงาน ในช่วงเทศกาลเจ ซึ่งปีนี้ถือว่า เป็นปีที่เด็กๆ มาช่วยงาน มากที่สุดถึง ๓๒ คน โดยกระจายไปช่วย ทุกแผนก นอกจากนี้ คุณกวี ปริกัมศีล นำทีมเด็กๆ ทำอาหาร เมนู หลากหลาย มาเสริมให้ร้าน มีสีสรรมากขึ้น อาทิ ปลาเค็มเจ ที่ได้รับคำชมว่า รสชาติดี เป็นต้น

สำหรับบรรยากาศการขายอาหารในปีนี้โดยรวม ค่อนข้างซบเซา เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ที่มีลูกค้าแน่นร้านทุกวัน แต่ปีนี้ เฉพาะ วันแรก ของการทานเจ ที่ตรงกับวันอาทิตย์เท่านั้น ที่มีลูกค้า แน่นขนัด จนชาว ชมร.หน้าสันติอโศก บริการกัน จนหมดแรง ไปตามๆ กัน สาเหตุ อาจเป็นเพราะ มีร้านขายอาหารเจมากขึ้น

คุณใฝ่ธรรม นาวาบุญนิยม ผรช.ชมร.สตอ.เปิดเผยความรู้สึก กับผู้สื่อข่าวว่า "สังเกตได้ว่า มีลูกค้าใหม่ มาทานมากขึ้น ส่วนงาน ปีนี้ ไม่ค่อยเหนื่อย แม้ส่วนตัว จะมีความกังวลอยู่บ้าง แต่ที่ประทับใจมากก็คือ ปีนี้เด็กๆนักเรียนของเรา มาช่วยงานกัน อย่างเต็มที่ถึง ๓๒ คน ซึ่งมากกว่าทุกๆปีที่ผ่านมา บรรยากาศของเด็กที่ทำงาน เปิดฐานงานกัน ตั้งแต่ตี ๔ พลอยทำให้ ผู้ใหญ่ คึกคักไปด้วย"

ส่วนบรรยากาศของร้านค้า บริเวณสันติอโศก ก็คึกคัดโดยทั่วหน้า อาทิ บจ.พลังบุญ ซึ่งเปิดขายตลอดวัน เพื่ออำนวย ความสะดวก ให้ลูกค้า ในช่วงเทศกาลเจ (ปกติปิดร้านช่วง ๐๙.๐๐-๑๑.๐๐ น.) บางช่วงมีลูกค้า ยืนเข้าแถว เพื่อชำระเงิน ยาวเหยียด, ร้านกู้ดินฟ้า ๑ พืชผัก ผลไม้ ไร้สารพิษ ก็ขายดิบขายดี มีลูกค้าให้ความไว้วางใจ ในผลิตภัณฑ์ ไร้สารพิษของเรา เป็นต้น

ชมร.
หน้าสันติอโศก

 

ชมร.สาขาจตุจักร
ช่วงเทศกาลเจปีนี้ ที่นี่บริการอาหารมากชนิดและมากปริมาณขึ้น ซึ่งอาหารก็ขายดีมากๆ แม้ร้านจะอยู่ลึก หายาก และที่จอดรถ ก็ไม่จำกัด แต่ลูกค้าก็มาอุดหนุนที่ร้าน เป็นจำนวนมาก แม้ในส่วนของ อาหารแห้ง จะขายได้น้อยลง อาจเป็นเพราะ หาซื้อจาก ที่อื่นๆได้ง่ายขึ้น ส่วนแรงงาน ของที่นี่ ปีนี้ได้จากผู้ใหญ่ และผู้มีอายุยาวล้วนๆ

คุณบัณฑิต อภิชาติมณีกุล ผู้บริหาร ชมร.สาขาจตุจักร กล่าวเสริมว่า "ปีนี้มีลูกค้าใหม่ๆเพิ่มมากขึ้น สังเกตว่า ลูกค้าเดิมๆ พามา โดยส่วนตัวแล้ว รู้สึกประทับใจ ที่ลูกค้าส่วนใหญ่ เกือบจะ ๑๐๐ % ช่วยเก็บ จานอาหารที่ทานแล้ว ทำให้ลดงานไปได้มาก ฝ่ายล้างจาน ที่มีจำนวนเท่าเดิม ก็สามารถล้างได้ทันบริการ รวมทั้งญาติธรรม อีกหลายๆท่าน ที่เสียสละมาช่วย"

ชมร.
จตุจักร

ชมร.เชียงใหม่
งานเจปีนี้ ชมร.ช.ม.ได้เริ่มงานตั้งแต่วันเสาร์ที่ ๕ ต.ค.ซึ่งเป็นวันหยุดของร้าน จนถึงวันที่ ๑๖ ต.ค.๔๕ เปิดให้บริการ ขายอาหาร ให้ลูกค้า ทุกวัน ไม่หยุดเสาร์ - อาทิตย์ โดยทางร้าน ได้พยายามอย่างยิ่ง ที่จะใช้แต่ผักไร้สารพิษ เน้นผักป่า ผักพื้นบ้าน ทำอาหาร ให้ลูกค้า ได้รับประทาน โดยในปีนี้ ไม่ใช้ผักจากตลาดเลย แต่นำมาจาก ดอยแพงค่า และมีญาติธรรม และลูกค้า นำผักสวนครัว มาบริจาค นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์ จากผลไม้ไร้สารพิษ จำหน่ายด้วย

และแม้ว่าตามตัวเมืองเชียงใหม่ จะมีร้านขายอาหารเจ จำนวนมาก แต่ ชมร.เชียงใหม่ ก็ขายอาหารได้ตามปกติ ไม่ต่างจาก เทศกาลกินเจ ปีอื่นๆ ยิ่งในช่วงวันจันทร์ มีลูกค้ามาอุดหนุนมาก จนต้องเพิ่มโต๊ะ และเก้าอี้ แม้ลูกค้าจะเยอะ แต่ก็ไม่เหนื่อยมาก เพราะมีญาติธรรม จากทุกฐานะและ นร.สัมมาสิกขา จากภูผาฟ้าน้ำ พร้อมคณะอา มาช่วยงาน อย่างเต็มที่ ในส่วนของลูกค้า ก็มีทั้งชาวไทย และ ชาวต่างชาติ โดยเฉพาะลูกค้าประจำ ที่มาใช้บริการ ก็เพราะมีความเชื่อมั่น ในพืชผักผลไม้ ไร้สารพิษ ของทีนี่

เทศกาลเจปีนี้ มีมุมอาหารพิเศษคือ มุมผักป่าชุบแป้งทอด และมุมขนมผักป่าดอยศรีวิไล นอกจากนี้ ยังมีขนมบัวดิน ที่คิดทำโดย ชาวชุมชน ภูผาฟ้าน้ำ ซึ่งได้รับการอุดหนุน จากลูกค้า เป็นอย่างดี

ชมร.เชียงใหม่

ศีรษะอโศก
ปีนี้ส่งนักเรียน สส.ษ.ไปช่วยงานนอกพื้นที่ที่อุทยานบุญนิยม จ.อุบลราชธานี และที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ในส่วนของ จ.ศรีสะเกษ ได้ส่งไปช่วยที่ ร้านขายอาหาร หน้าร้านน้ำฟ้า อ.กันทรลักษ์ สำหรับบรรยากาศ การขายอาหารเจ ในตัวเมือง ค่อนข้าง จะคึกคัก แต่มีอุบัติเหตุ เด็กนักเรียนที่ไปช่วยงานนิ้วขาด ขณะทำความสะอาด เครื่องปั่นพริก ดังนั้น จะต้องดูแล เรื่องความปลอดภัย ให้มากขึ้น

ปฐมอโศก
ร้าน มร.ฐ.เริ่มขายรับเทศกาลเจตั้งแต่วันที่ ๓ ต.ค.ช่วงนี้ขายต่อเนื่อง ไม่หยุดวันจันทร์ โดยให้บริการตั้งแต่ ๐๔.๐๐-๑๓.๐๐ น.ทุกวัน ปีนี้พ่อค้าแม่ค้า เป็นเด็กนักเรียน สส.ฐ.ล้วนๆ จำนวน ๕๕ คน มาออกร้านกว่า ๒๐ ร้าน โดยมีผู้ใหญ่ คอยให้ คำปรึกษา ซึ่งเป็นการฝึก ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ และฝึกหัด กับประสบการณ์จริง แม้รสชาติของอาหาร จะไม่เด่น แต่บรรยากาศ ของร้าน กลับเด่น ที่บรรดาเด็กๆ ที่มาเปิดร้าน ได้รับเสียงชื่นชม จากลูกค้า เป็นพิเศษ ส่วนพืชผักผลไม้ ที่นำมาปรุงอาหาร ในช่วงนี้ ยังมีบางส่วน ที่ต้องซื้อ จากตลาด ยกเว้นผักบางชนิด เช่น กวางตุ้ง ตำลึง ใบยอ ฯลฯ ที่ใช้ของชุมชนเอง แต่ทีมข่าว ได้รับการเปิดเผยว่า หลังเสร็จเทศกาลเจปีนี้แล้ว ทางร้าน จะพยายาม ใช้แต่ผักไร้สารพิษ แต่ช่วงเทศกาลเจ ยังเตรียมการไม่ทัน

ปากช่อง จ.นครราชสีมา
ญาติธรรมกลุ่มปากช่อง เปิดขายอาหารเจที่ ธรรมสถานมูลนิธิสว่างวิชชา ตั้งแต่เวลา ๐๖.๐๐-๒๐.๓๐ น.ทุกวัน โดยมี นร. สส.ษ. ๒๘ คน มาช่วยงาน ในช่วงนี้ ปรากฏว่า ได้รับการอุดหนุน จากลูกค้า มากกว่าปีก่อนๆ


"ทานซาลาเปาเจ ร้อนๆ มั้ยคะ...
พวกหนูทำกันเองค่ะ"

ราชธานีอโศก
ช่วงทศกาลอาหารเจ ปีนี้ ระหว่างวันที่ ๕- ๑๕ ต.ค. ๔๕ ชาวบ้านราชฯ ต่างออกไปช่วยงานดังกล่าว หมดหมู่บ้าน เหมือนเช่น ทุกปี ที่ผ่านมา แม้ว่าจะประสบกับ ภาวะน้ำท่วม ที่ระดับน้ำ สูงกว่าทุกปี ที่ผ่านมาก็ตาม ในปีนี้ได้แบ่ง สถานที่ ขายอาหาร ออกเป็น ๒ แห่งคือ ฝั่ง อ.วารินฯ ที่สหกรณ์บุญนิยม และฝั่ง จ.อุบลฯ ที่อุทยานบุญนิยม

จากภาวะน้ำท่วม จ.อุบลฯ ทำให้ระดับน้ำท่วมถนน ที่อ.วารินฯ ช่วงสะพานเสรีประชาธิปไตย ที่ใช้ข้ามไปยังฝั่ง จ.อุบลฯ ซึ่งรถเล็ก ไม่สามารถ ผ่านไปได้ ประชาชนต้องขึ้นรถ ๖ ล้อ ที่ทางการ จัดไว้ให้ จึงจะข้ามไปได้ จากปีก่อนๆ ที่ผ่านมา ลูกค้า ที่มารับประทานอาหาร ในช่วงเทศกาลเจบางส่วน จะมาจากฝั่งวารินฯ ดังนั้น เพื่อความสะดวกของลูกค้า ทางบ้านราชฯ จึงจัดขายอาหารเจ ทางฝั่ง อ.วารินฯด้วย

โดยเริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ ๕ ต.ค.(วันล้างท้อง) เป็นต้นไปพร้อมกัน ทั้ง ๒ แห่ง ที่สหกรณ์ฯเปิดบริการตั้งแต่ หกโมงเช้า ถึงหกโมงเย็น และที่อุทยานบุญนิยม เปิดบริการ ตั้งแต่หกโมงเช้า ถึงหนึ่งทุ่ม ในวันเสาร์ที่ ๖ ต.ค.ที่อุทยานฯ ยังคงเปิด ตลาดนัด พืชผักไร้สารพิษ ซึ่งเป็น ผลิตผล จากสมาชิกเครือข่ายฯเหมือนเดิม ทำให้บรรยากาศ คึกคักยิ่งขึ้น

สำหรับแรงงานส่วนใหญ่ ยังคงปักหลักอยู่ที่อุทยานฯ โดยใช้เรือเป็นพาหนะ ในการขนย้าย ข้าวของอุปกรณ์เครื่องใช้ จากบ้านราชฯ ไปยังสหกรณ์ และอุทยานฯ เนื่องจาก ความไม่สะดวก ในหลายๆด้าน และเพื่อความประหยัด ผู้ช่วยงาน แต่ละแห่ง ต่างพักค้าง อยู่ที่นั่นเลย แม้จะแออัดไปบ้าง แต่ก็อบอุ่น มีสมณะ-สิกขมาตุ แวะมาเยี่ยมเยียน ให้กำลังใจ อยู่เสมอ

แล้วอย่าลืมมาพักผ่อน ให้หายเหนื่อยเมื่อยล้า ในงานฉลองน้ำ ครั้งที่ ๓ ที่บ้านราชฯ เมืองเรือ ระหว่างวันที่ ๑๗-๒๓ ต.ค. ๔๕ รวม ๗ วัน ๗ คืน

ส่วนร้านค้าอื่นๆ ที่ไม่ได้นำเสนอในฉบับ ก็ได้รับรายงานว่า มีลูกค้าอุดหนุนคึกคักดี ทีมงานข่าวอโศก ก็ขออนุโมทนาบุญ กับทุกๆท่าน ที่ละเว้น การเบียดเบียนชีวิตสัตว์ ในเทศกาลนี้ด้วย.


[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



๖ ขั้นตอน การทำนาไร้สารพิษ (ตอน ๒)

ขั้นตอนที่ ๕ การเตรียมพื้นที่สำหรับกล้าต้นข้าว มีหลักพิจารณามีดังนี้
๑.ที่ดินร่วนซุย
๒.อยู่ใกล้แหล่งน้ำ เช่น สระน้ำ หนองน้ำ หากฝนทิ้งช่วง จะได้อาศัยน้ำ จากแหล่งน้ำได้

วิธีเตรียมแปลงกล้าพันธุ์ข้าว
๑.มีน้ำขังพอที่จะหว่านกล้า ให้ไถและคราดดินให้ร่วนซุย และระดับพื้นเสมอกัน ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ ๒-๓ ช.ม. แล้วนำ เมล็ดข้าว ที่เตรียมไว้ มาหว่าน อย่าให้นาน หรือห่างจนเกินไป

๒.๑๐-๑๕ วันต้นกล้าตั้งหน่อได้แข็ง นำน้ำจุลินทรีย์ ๓ ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ ๒๐ ลิตร พ่นต้นกล้า ให้ทั่วแปลงนา

๓.ขังน้ำใส่ต้นกล้า อย่าให้น้ำขาดจากแปลงกล้า

๔.ก่อนจะถอนกล้า ๕ วัน ให้นำจุลินทรีย์พ่นอีก จะได้ถอนง่าย เพราะรากจะฟู

ขั้นตอนที่ ๖ การปักดำ
ก่อนปักดำ ควรขังน้ำไว้ เพื่อให้ดินนิ่ม ไม่แข็ง ง่ายในการไถดำ

๑.เวลาดำนา ปล่อยน้ำออก เหลือไว้ประมาณ ๑๐-๑๕ ซ.ม. อย่าให้น้ำมากหรือน้อยจนเกินไป ถ้าน้ำมาก จะทำให้ข้าวเปื่อย ถ้าน้ำน้อย หากฝนขาดช่วง จะทำให้ข้าวขาดน้ำ

๒.ไถและคราดที่นาให้ดินร่วนซุย และนำต้นกล้ามาปักดำ กะความห่างระหว่างต้นประมาณ ๔๐ ซ.ม. เพื่อให้แตกกอ ได้ดี และ ใส่ต้นกล้า กอละ ประมาณ ๒-๓ ต้นกล้า

๓.ประมาณ ๑๕ วัน นำจุลินทรีย์ไปผสมน้ำพ่นต้นข้าวในนา เพื่อกระตุ้นเชื้อจุลินทรีย์ที่หว่าน ตอนเตรียมที่ดิน จะทำให้ต้นข้าว เติบโต แข็งแรง และ ทนต่อศัตรูข้าว

๔.หมั่นดูแลมิให้วัชพืชขึ้นในนาข้าว พ่นจุลินทรีย์ทุกๆ ๒๐ วัน จนข้าวตั้งท้อง แล้วงดการพ่นจุลินทรีย์ แต่ยังคงรักษา ระดับน้ำ ในคันนา อย่าให้ขาด

๕.พอข้าวแก่ ปล่อยน้ำออก และเตรียมเก็บเกี่ยว.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


จุดไฟเผาขยะที่ปฐมอโศก
ถังน้ำมันเปล่าระเบิดตูม !

ณ ชุมชนปฐมอโศก ช่วงเช้าวันจันทร์ ท่ามกลางอากาศสดใส เสียงนกเขาร้องทักกันอย่างน่าฟัง ท่ามกลางบรรยากาศ การปฏิบัติงาน แบบสบายๆ ของทุกๆคน ซึ่งวันนี้ เป็นวันหยุด ของกิจกรรมหลักๆ ของชุมชน งานที่ทำ จึงเป็นงานเก็บ หรือ ทำความสะอาด ที่ต่างๆ ของชุมชน วันนี้ก็เช่นกัน ได้มีการทำความสะอาด เคลียร์พื้นที่ ด้านหลังโรงแยกขยะ ข้างต้น มะขามใหญ่

พื้นที่บริเวณนี้ มีไม้จากโรงงานทอผ้าสามพรานการทอ เก็บไว้ทำฟืนปรุงอาหาร มีเศษไม้กิ่งเล็กกิ่งน้อย จากที่ต่างๆ ของชุมชน เอามาทิ้ง เพื่อรอการคัดแยกทำฟืน, ด้านริมๆบริเวณพื้นที่ มีเศษขยะต่างๆ ที่เป็นขยะแห้ง ที่ย่อยสลายได้ เช่น ใบไม้ กิ่งไม้เล็กๆ เศษกระดาษ มีปนอยู่บ้าง อยู่ริมๆบริเวณนั้น และที่สำคัญ ที่ตรงนั้น เป็นที่เก็บถังน้ำมันเปล่า ที่เขาใช้น้ำมันแล้ว เหลือถังเปล่า ชนิด ๒๐๐ ลิตร วางอยู่เป็นระเบียบด้านในนั้นด้วย แต่อยู่ริมๆบริเวณ ที่มีขยะอยู่เล็กน้อย และคนเคลียร์ขยะ ก็จัดการเอาขยะ บริเวณนั้น กวาด ทำความสะอาด และเผาทิ้ง จุดที่เผาทิ้ง ห่างจากถังน้ำมันเปล่า มากพอสมควร โดยกะบริเวณ ห่างไกลกัน มากอยู่ แต่ลืมคิดไปว่า ด้านใต้ถังน้ำมัน ๒๐๐ ลิตร เป็นไม้แห้ง วางรองพื้นไว้อย่างดี

ช่วงเวลา ๐๙.๓๐ น.โดยประมาณ มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่นำเด็กๆทำความสะอาดบริเวณนั้น ได้มาที่ประชาสัมพันธ์ ของชุมชน ถามดิฉันถึง เบอร์โทร. ของ อ.บ.ต.คนหนึ่ง

ผู้ใหญ่ : คุณมีเบอร์โทร.ของคุณแหม่มหรือเปล่า ตอนนี้ต้องการรถดับเพลิง มาควบคุมไฟ มันลามกองขยะที่เผา ไปใกล้ถัง น้ำมันเปล่า ที่วางเอาไว้ และมันทำท่า จะระเบิดหลายใบเลย มันอันตรายหากระเบิด พร้อมๆกัน มันจะกระเด็น ไปถูกข้าว ของเสียหาย มันมีเป็น ๑๐ กว่าลูก เผลอๆมันจะเป็นอันตราย กับคนที่อยู่แถวๆนั้นด้วย รีบๆหน่อย โทร.หาคุณช่วยบุญ ไม่เจอ ไม่รู้ไปไหน

ดิฉัน : ได้ค่ะ

พูดเสร็จแล้วรีบวิ่งไปเอาเบอร์โทร.ของคุณแหม่ม แต่อารามรีบร้อน จึงเขียนตัวเล็กไป เลยให้เบอร์โทร. กับประธาน อ.บ.ต.แทน (ซึ่งเป็นน้องสาว ของคุณแหม่ม) แล้วเอามาโทร. ถึงประธาน อ.บ.ต. พอโทร.ติด ก็ให้ท่านผู้ใหญ่ ท่านก็แจ้งความประสงค์ ขอความช่วยเหลือไป เวลาผ่านไป ๑๐ นาทีโดยประมาณ ก็มีรถจาก อ.บ.ต.หลายคัน นำขบวนโดยปลัด อ.บ.ต. นั่งรถ มอเตอร์ไซค์มา พร้อมเครื่องดับเพลิง ชนิดถือได้ ติดมือ มาด้วย หลายๆคนไปดูที่เกิดเหตุ ปรากฏว่าที่ตรงนั้น น่าห่วงจริงๆ ใครๆเข้าใกล้ไม่ได้ ต้องอยู่ห่างๆ เป็น ๑๐ เมตรกว่าๆ และรถที่มา ไม่มีรถดับเพลิงด้วย ทราบว่า รถดับเพลิงเสีย รอการ ซ่อมแซมอยู่ เลยเอาเครื่องดับเพลิง ชนิดถือมา และปรากฏว่า ใช้อะไรไม่ได้ และ ที่บริเวณเกิดเหตุ ตรงที่ถังน้ำมันเปล่า อยู่บริเวณใต้ที่ว่าง ถังน้ำมัน เป็นไม้หมอนรองถัง จึงเป็นเชื้อเพลิง ให้ไฟลุกแรง และ หม้อน้ำมัน ๑๐ กว่าใบ กำลังใกล้ระเบิด แต่ละถังบวมเป่ง เป็นแถบๆ

คุณปลัด อ.บ.ต. และเจ้าหน้าที่มากันหลายคน รวมถึงผู้ใหญ่บ้านหลายหมู่บ้าน ก็มาร่วมให้ความช่วยเหลือ แต่ปรากฏว่า ไม่มีใคร ช่วยอะไร ไปมากกว่า การกันคน ไม่ให้เข้าไปดูที่เกิดเหตุ ใกล้ๆเกินไป

ในส่วนของคุณปลัด อ.บ.ต.อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุมากที่สุด พร้อมๆกับคุณช่วยบุญ และคุณตุ๋ย (สุรชัย) โดยเอาต้นมะขามใหญ่ เป็นที่กำบัง ควบคุมสถานการณ์ คุณปลัดฯ เลยโทรไปขอรถ และเจ้าหน้าที่ดับเพลิง จาก อ.เมือง จ.นครปฐม (ในส่วน คุณช่วยบุญ ที่มาสมทบทีหลัง เหตุเพราะว่า ติดการจัดรายการวิทยุอยู่ พอเสร็จรายการ ก็รีบมาดูเหตุการณ์)

ในขณะที่กำลังรอรถดับเพลิงจากในเมือง ก็มีเหตุทำให้ถังน้ำมันใบหนึ่ง อดรนทนไม่ไหวกับความร้อน ก็ระเบิดขึ้น ตูม! (เสียงดัง เหมือนระเบิดจริงๆ) พร้อมๆกับฝาถังน้ำมัน ที่มันหลุด จากถังน้ำมัน ลอยละลิ่ว เสียงดัง เพล้ง! ไปตกบนหลังคาสังกะสี บ้านหลังน้อยๆ ของญาติคุณยา โชคดีเจ้าของบ้านไม่อยู่ หลังคาก็เป็นสังกะสี ไม่เป็นกระเบื้อง หรือไม่ได้มุงจาก เลยไม่เสียหายอะไร แต่มันก็ลอย ไปไกลน่าดู ราวๆ ๑๐ กว่าเมตร จากที่เกิดเหตุ

ช่วงระหว่างที่กำลังรอรถอยู่ หลายคนตะหนกว่า คงระเบิดตามมาแน่ ก็ได้แต่ภาวนาว่า อย่าให้เหตุการณ์ ร้ายแรงกว่านี้เลย ขณะที่ กำลังรออยู่ อย่างใจจด ใจจ่อ หม้อใบที่สอง กำลังทำท่า จะระเบิด ขณะที่หลายๆคน กำลังจ้องมองอยู่ อย่างใจจด ใจจ่อ ขณะที่กำลัง จะระเบิด เสียงก็ดัง ปึ่ง!ฉี่ๆๆ เสียงระเบิดของถัง ใบที่สอง แต่โชคดีถังใบที่สอง มันรั่วเสียก่อน เลยไม่ได้ ทำให้ตกใจกันอีก

ในช่วงขณะนั้นเอง รถดับเพลิงก็มาถึง เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ เหมือนในหนังเปี๊ยบเลย แต่งเต็มยศเลย ขณะที่จัดการฉีดน้ำ ดับไฟ ที่กำลัง ลุกไหม้ และฉีดไปที่เกิดเหตุ ขณะที่เจ้าหน้าที่ กำลังทำงาน อย่างแข็งขัน

คุณตุ๋ย : คุณช่วยบุญ เราไปดูใกล้ๆกันเถอะ มันไม่อันตรายแล้ว (คงประเมินแล้วว่าปลอดภัย)

คุณปลัดฯ : พี่...อย่าให้พี่ช่วยไป หากเราเป็นอะไรไป แล้วใครจะเผาเรา (คุณช่วยบุญเป็นสัปเหร่อ ประจำปฐมอโศก)

คุณช่วยบุญ : พี่ตุ๋ยหนะมีลูกโตเป็นหนุ่ม จนบวชเรียนไปแล้ว พี่ไปเองเถอะ ช่วยไม่ไปด้วยหรอก!

คุณตุ๋ย: น่า...ไม่อันตรายหรอก อยากให้ฟังเสียงหม้อมันเดือด ว่ามันเดือดขนาดไหน อย่างไร

คุณช่วยบุญ: พี่...อย่าเพิ่งเลย เดี๋ยวดูก่อน

ขณะที่พูดเสร็จใจก็คิด คนอะไรชอบรู้ชอบสังเกตุ มีอารมณ์สุนทรีย์เอาตอนนี้ ขนาดจะฟังเสียงถังน้ำมันเดือด หรือ มันเสียง น่าฟัง แต่เออ มันก็เงียบมาพักใหญ่แล้ว น่าลองดูอยู่เหมือนกัน

คุณช่วยบุญ: พี่ตุ๋ย ไปๆฟังดู

คุณตุ๋ย: ไป...เดี๋ยวพาไป

พูดแล้วก็พากันเดินย่องๆกันไป เหมือนแมวย่อง จะขโมยปลาย่าง แล้วมาหยุดที่ใบที่คิดว่า ปลอดภัยที่สุด แล้วคุณตุ๋ย ก็เอาหูแนบฟัง

คุณตุ๋ย: ช่วยบุญ มาฟังใบนี้ ฟังดูเหมือนมันเดือดพล่านเลย

คุณช่วยบุญ: ไหนๆ! พูดเสร็จก็ทำตาม เออ!มันเดือดยิ่งกว่า เราทอดเห็ดอีก พอฟังเสร็จ ก็พูดว่าต่อว่า
พี่...เรารีบกลับเถอะ รู้แล้วว่ามันเดือดยังไง เดี๋ยวระเบิดอีก วิ่งหนีไม่ทันนะ

พูดเสร็จก็รีบเดินออกจากที่เกิดเหตุตรงนั้น อย่างเร็วที่สุด ด้วยใจจดใจจ่อ โชคดีเหลือเกิน ที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิง มาช่วยทัน ไม่อย่างนั้น อีก ๑๐ กว่าใบ ถ้าหากระเบิด พร้อมๆไล่ๆกัน มันคงอลเวงน่าดู และหลังจาก ปฏิบัติหน้าที่เสร็จ ปรากฏว่า ผู้ใหญ่ที่พาเด็ก ทำความสะอาดแถวนั้น จนเกิดเหตุการณ์ ก็ขอโทษคุณช่วยบุญยกใหญ่ เพราะไม่คาดคิดว่า ไฟจะลาม ถึงขนาดนั้น นี่ก็เป็นตัวอย่างที่ดีงาม ที่ผู้ใหญ่ ขอโทษผู้น้อย ซึ่งเป็นแบบอย่าง ให้ผู้น้อยได้อย่างดี ในด้านคุณธรรม

ก่อนเจ้าหน้าที่ของทุกหน่วยทุกฝ่ายจะกลับไป

คุณปลัดฯ: ที่ปฐมอโศกนี่ มีเรี่องตื่นเต้นเสมอเลยนะครับพี่ช่วย (เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ก็มาช่วยดับไฟที่ไหม้ทุ่งหญ้า)

คุณบุญช่วย: มันก็เป็นอย่างนี้แหละปลัดฯ ถ้าไม่มีเรื่องตื่นเต้น เราคงไม่ได้ทำงานร่วมกันหรอก ขอบคุณ คุณปลัดฯ และ เจ้าหน้าที่ ทุกท่าน ด้วยค่ะ

สรุปว่า งานนี้พระเอกของงาน คือ คุณปลัด อ.บ.ต. นางเอกคือ ถังน้ำมัน ๒๐๐ ลิตรที่บวมเป่ง กำลังรอระเบิด ต้องขอบคุณ คุณปลัดฯมาก ที่ทำให้ถังน้ำมัน หายพิโรธ ยกเลิกการระเบิดได้ ขอบคุณจริงๆ นับว่างานนี้เสร็จได้ ด้วยพลังของ ความรับผิดชอบ และ พลังของ ความสามัคคี ของทุกท่านจริงๆ ทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐ และสมาชิก ในชุมชนปฐมอโศก เหตุการณ์ จึงจบด้วยดี.

สีดิน รายงาน

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

ชมร.เชียงใหม่ แจกอาหารลูกค้าครั้งที่ ๗
ทุกอย่างทุกจุดลงตัวขึ้น ดุจโรงบุญฯใหญ

ญาติธรรมกลุ่มภูผาฟ้าน้ำรวมพลังที่ ชมร.ช.ม.เมื่อวันที่ ๒๕ ก.ย.ที่ผ่านมา เพื่อช่วยกันทำอาหารมังสวิรัติ แจกลูกค้า ที่มาบริโภค ที่ร้าน เดือนละ ๑ ครั้ง เช่นทุกเดือน ที่ผ่านมา กิจกรรมนี้ ดำเนินต่อเนื่องมา เป็นครั้งที่ ๗ แล้ว งานทุกอย่างลงตัว คล้ายกับ โรงบุญฯใหญ่ อย่างโรงบุญฯ ๕ ธันวาฯมหาราช

อาหารที่ปรุงแจกมีหลากหลายชนิด ยังคงเน้นพืชผักไร้สารพิษจากดอยแพงค่า และ จากบ้านญาติธรรม "หนึ่งครอบครัว หลายผลิตภัณฑ์" ทำให้มีอาหารมากมาย ให้ลูกค้า ได้เลือกรับประทาน ที่พิเศษกว่าทุกครั้งคือ มุมผักป่าชุบแป้งทอด และมุม ยำผักสมุนไพรมี ๒ รสคือ รสพื้นเมือง และ รสจี๊ดจ๊าด โดยฝีมือ ผรช.

เริ่มบริการอาหารฟรีตั้งแต่ ๐๖.๐๐-๑๔.๐๐ น.มีลูกค้ามารับบริการไม่ขาดสาย ประมาณว่า มากกว่าทุกครั้ง ทั้งๆที่ไม่ได้ ประชาสัมพันธ์ ให้ทราบล่วงหน้า บรรยากาศอบอุ่น เบิกบานใจ ทั้งผู้ให้และผู้รับ อิ่มกายอิ่มใจ เหมือนรวมญาติ ครั้งยิ่งใหญ่ เพราะมีญาติธรรม ของเรา จากหลายอำเภอ หลายจังหวัด เสียสละเวลาอันมีค่า มาร่วมงานบุญด้วย นอกจากนี้ ยังได้มีโอกาส ทำบุญ ถวายอาหารสมณะ สนทนาธรรม กับสมณะ ที่มาโปรดทั้ง ๖ รูป ซึ่งนำโดย สมณะเก้าก้าว สรณีโย

เลิกงานบ่าย ๒ โมงก็ประชุมสรุปงาน ทุกจุดลงตัว จะมีก็เพียงปัญหาเล็กน้อยในบางจุด ที่จะได้แก้ไข ในคราวต่อไป

ทุกคนเบิกบานแจ่มใส เพราะอิ่มบุญในวันนี้ด้วยพลังสามัคคี มีสมณะเอาภาระ คอยให้กำลังใจ และคอยชี้แนะ เมื่อมี ข้อบกพร่อง

คุณมนตกานต์ ศรีเจริญศักดิ์ น.ศ.คณะศึกษาศาสตร์ (เอกอุตสาหกรรม) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งมาฝึกงานที่ ชมร.เชียงใหม่ เป็นเวลา ๒ เดือน ได้กล่าวถึง ความรู้สึกประทับใจ ที่ได้ร่วมงานนี้ เป็นครั้งแรกว่า

"...`ที่นี่ที่ไหน' เป็นคำถามแรกที่ผมเริ่มเข้ามาสัมผัสกับชีวิตการฝึกงาน ในวันแรกที่ ชมร.ช.ม. ที่นี่ไม่ใช่เป็นจำนวนที่ติดลบ และ ไม่ได้ เป็นจำนวนบวก บนเส้นจำนวน แต่ที่นี่คือ จำนวน ๐ ที่อยู่กึ่งกลาง ระหว่างตัวเลขสองกลุ่ม ที่ไม่มีอะไรที่ต้องเสีย และไม่ต้องการ อะไรอีกแล้ว คำว่า ปล่อยวาง และหยุดนิ่ง คือสิ่งที่ผมได้ จากที่นี่ ๒ เดือนนั้น น้อยมาก สำหรับ การเรียนรู้ กับธรรมะ ของชาวอโศก แต่ ๒ เดือน ก็มากพอ สำหรับ การเปลี่ยนแนวคิด และการเดินทาง บนถนนสายกรรม สายนี้ของผม เผื่อบางที จะเจอทางแยกได้บ้าง".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


เอนไซม์
- กิ่งธรรม รายงาน

หลายๆท่านก็คงได้ยินคำว่า "เอนไซม์" จากการบรรยายของคุณหมออารี ท่านยังบอกอีกว่าส่วนใหญ่คนเราทุกวันนี้ขาดเอนไซม์ ทำให้เป็นโรคนั้นโรคนี้ น่าสนใจมากนะคะว่า เอนไซม์นั้นสำคัญไฉน อยู่ที่ไหน ทำหน้าที่อะไร ทำไมขาดไปแล้ว ทำให้เรา ไม่สบายได้

ความจริง เอนไซม์ ไม่ใช่สารใหม่หรือแขกแปลกหน้าที่ไหนเลยคะ เพราะเขาคือสารจากธรรมชาติ ที่จะทำหน้าที่กระตุ้น ปฏิกิริยาต่างๆ ที่จำเป็นต่อชีวิต ในร่างกาย ให้ดำเนินไปได้ ตามปกติ เอนไซม์มีทั้งที่สร้างขึ้น ภายในร่างกาย และ ภายนอก ร่างกาย เอนไซม์ภายใน ร่างกายของเรา มีมากมาย หลายร้อยชนิด แต่ละชนิด ทำหน้าที่ แตกต่างกันออกไป ที่สำคัญ และจำเป็น ต่อชีวิตมากที่สุดคือ เอนไซม์ ในต่อมน้ำลาย ผนังกระเพาะอาหาร ลำไส้และตับ การเคี้ยวอาหารให้ละเอียด จะทำให้เอนไซม์ ทำงานได้ดีขึ้น ความเครียด หรือ ความวิตกกังวล ทำให้เอนไซม์ในร่างกาย ทำงานได้ลดลง ระบบ การย่อย อาหาร และ ปฏิกิริยาต่างๆ ในร่างกาย ก็รวนเรไปหมด

เอนไซม์อีกชนิดคือ จากพืชผักและผลไม้สด จะถูกทำลายง่าย เมื่อถูกความร้อนมากกว่า ๕๐ องศาเซนเซียล อาหารที่สุกแล้ว จะไม่มีเอนไซม์ เหลืออยู่เลย การปรุงอาหาร ควรปรุงในหม้อ ที่ฝาปิดสนิท รอแค่ให้ผักนุ่ม การนำผักผลไม้สด ไปปั่น ในเครื่องใช้ไฟฟ้า ก็จะทำให้เอนไซม์ ถูกทำลายได้ คนเราทุกวันนี้ ชอบอะไรง่ายๆอยู่แล้ว ปั่นเอาง่ายดี เร็วดี ค่ะเร็วจริง ง่ายจัง แต่เอนไซม์ ตายหมดค่ะ ท่านจึงแนะนำให้ทาน สดๆ หรือตำคั้นเอาน้ำสดๆ มารับประทาน จึงจะได้เอนไซม์ มานึกถึง คนสมัยก่อน ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้า เขาก็ทานกันสดๆ มลพิษต่างๆ ก็น้อย คนเลยไม่ค่อยเป็นโรค ที่เกี่ยวกับ การขาดเอนไซม์

ปัจจุบันนอกจากสภาพแวดล้อมเป็นพิษแล้ว เรามักมีวิถีชีวิต ที่เติมความเครียด ให้แก่ใจกันมากอีก จึงเป็นส่วนทำให้ เราขาด เอนไซม์ เรามาเติมธรรมในใจ และ รับประทาน ผักสดๆ ผลไม้สดๆ ไร้สารพิษ เพื่อรักษาเอนไซม์ ให้อยู่คู่กับเรา ไปนานๆ ดีกว่า จะได้มีสุขภาพ ที่แข็งแรง ทั้งกาย และใจ ยังไงละคะ.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


รู้เขา รู้เรา โดย เศษเหล็ก
พลังงานโลกขาดแคลน ออสซี่ลุย `โซลาร์เซลล์'
พุ่งเป้าลูกค้า ๒ พันล้านคน

บริษัทผู้ผลิตแผงพลังงานแสงอาทิตย์ในออสเตรเลีย ระดมทุนก้อนใหญ่ พัฒนาอุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ ให้กลายเป็นสินค้า ที่มีราคาถูก เพราะเชื่อว่า ทั่วโลกต้องการสินค้า ชนิดนี้มากที่สุด และยังเป็นสินค้า ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สามารถ ช่วยอนุรักษ์ พลังงานของโลก ที่กำลังขาดแคลนลง อย่างรวดเร็ว

ขณะนี้ประชาชนราว ๒ พันล้านคนในประเทศกำลังพัฒนาไม่มีไฟฟ้าใช้ ขณะที่พลังงานแสงอาทิตย์นั้น เป็นทางออก ที่ดีที่สุด ในการแก้ ปัญหา เพราะสามารถเข้าถึง ในทุกพื้นที่ ทั่วโลก ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกล จากเมืองมากแค่ไหน และขณะนี้ทั่วโลก มีแค่ ๐.๑ เปอร์เซนต์ เท่านั้น ที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์

"เรากำลังระดมทุนนำมาผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อให้ผู้คนเหล่านี้สามารถใช้ได้อย่างทั่วถึง" นายแฮร์รี่ ชิมป์ ประธานบริษัท บีพีโซลาร์ ระบุ

ส่วนนายพิลิป เดอ เรนซี-มาร์ติน รองประธานบริษัทเชลล์ โซลาร์ กล่าวว่า เทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นทางเลือก ที่ดีที่สุด ถูกที่สุด และ เร็วที่สุด ในการบริการ ให้กับประชาชน ในพื้นที่ ห่างไกลความเจริญ ในประเทศ กำลังพัฒนา แต่ขณะนี้ การพัฒนา โซลาร์เซลล์ ยังเชื่องช้า เนื่องจาก ขาดเงินทุน

ในการประชุมสุดยอดว่าด้วยการพัฒนายั่งยืนของสหประชาชาติ(ยูเอ็น) ที่เมืองโยฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อเดือน สิงหาคม ที่ผ่านมา มีการหยิบยกประเด็น พลังงานสะอาด และทันสมัย เพื่อให้ประชากรโลก จำนวนหนึ่งในสาม ได้ใช้ อย่างทั่วถึง และสนับสนุน ให้ประเทศ พัฒนาแล้ว เร่งใช้พลังงาน ที่นำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีก (renewable energy) ทั้งนี้ จุดประสงค์ เพื่ออนุรักษ์ แหล่งพลังงาน โดยเฉพาะ น้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซ และยังช่วยปกป้อง สภาพแวดล้อม ที่โลกกำลังเผชิญ เนื่องจาก การปล่อยก๊าซพิษ และของเสีย

ข้อสรุปในการประชุมสุดยอดดังกล่าว เสนอให้พัฒนาและเผยแพร่ เทคโนโลยีพลังงาน นำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีก รวมทั้งเพิ่ม ส่วนแบ่ง ในการตลาด ในเทคโนโลยีเหล่านี้ เพิ่มขึ้นอีก ๕-๑๐ % ภายในอีก ๘ ปีข้างหน้า
(จาก น.ส.พ.มติชน วันพุธที่ ๑๔ ส.ค.๔๕)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 


เจริญธรรม สำนึกดี พบกับ น.ส.พ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๑๙๒(๒๒๔) ปักษ์แรก ๑-๑๕ ต.ค.๔๕

เข้าพรรษาจวนจะครบ ๓ เดือนแล้ว พี่ๆน้องๆเป็นอย่างไรกันบ้างเอ่ย? จิ้งหรีดก็หวังว่า คงกำลังสนุกกับ ตบะหรรษากันอยู่นะฮะ

เทศกาลเจปีนี้ ชาวเรายังคงผนึกกำลังเผยแพร่บุญญาวุธ หมายเลข ๑ กันอย่างเต็มที่ เรามีบรรยากาศ จากที่ต่างๆ มาเสนอ ในฉบับ

แม้ต้องเหน็ดเหนื่อยกับงานมากมายที่ผ่านมา แต่อีกไม่กี่วันชาวเราจะได้พบและร่วมด้วยช่วยกัน (เป็นเจ้าภาพ) กับงาน ฉลองน้ำปีนี้ ที่บ้านราชฯ เมืองเรือ ไปดูกันซิว่า ยามนี้ ชาวบ้านราชฯ เขาอยู่กันอย่างไร!

อนิจจังไม่แท้ แล้วเราก็ต้องสูญเสีย สมณะพันธ์ พหุลีกโต นักรบกองทัพธรรมไปอีกรูป ท่านป่วยด้วยโรค น้ำท่วมปอด เคยเข้ารับ การรักษาที่ ร.พ.นครปฐม มาแล้วครั้งหนึ่ง จนกระทั่ง มีอาการ หายใจไม่ออก จนต้องนำส่งร.พ.นครปฐม เมื่อเช้าวันศุกร์ที่ ๑๑ ต.ค.๔๕ ก่อนมรณภาพ ด้วยโรค น้ำท่วมปอด เมื่อเวลา ๐๑.๐๐ น.ของวันรุ่งขึ้น

ส่วนข่าวคราวในแวดวงเรา มีดังต่อไปนี้

งานเจ...บรรยากาศการขายอาหารของอุทยานบุญนิยมช่วงเจนี้ คึกคักอย่างบอกใครเชียว เพราะมีลูกค้ามาอุดหนุนกัน เนื่องแน่น มีเด็กๆ สัมมาสิกขา ทั้งจากบ้านราชฯ และศีรษะอโศก มาช่วยอย่างน่าอนุโมทนา และแม้กระทั่ง เด็กเล็กๆ อย่างสมุนพระราม ก็มาเปิดขาย อาหารสุขภาพ ที่ขายดี จนทำไม่ไหว (ยืนจนขาแข็ง) ต้องขอเซ้งต่อ ให้ผู้ใหญ่ทำต่อ แล้วผันตัวเอง ไปช่วยควัก เสาวรสแทน ส่วนยอดขาย เหรอ ฮะแฮ่มๆ แม้จะเป็นชาว ต.จ.ว.ก็ทานเจ กันเยอะเหมือนกัน ทราบมาว่า ยอดขาย พอฟัดพอเหวี่ยงกับ ชมร.จตุจักร ที่นำโด่ง แซงทุกแห่ง ไปแล้วอย่างง่ายดาย ชนิดทิ้งกันไม่เห็นฝุ่น (ได้เท่าไหร่ ลองไปถามดูเอาเองแล้วกัน จิ้งหรีดรู้แต่ขออุบ) ยังๆไม่หมด มีเรื่องน่าประทับใจ จิ้งหรีด (อีกแล้ว) เพราะช่วงเย็นๆ เด็กสัมมาสิกขาฯ ช่วยกันนำอาหาร จากสหกรณ์วารินชำราบ ไปขายให้บรรดาแม่ค้า พ่อค้าที่ตลาด ที่อยากทานเจ แต่ไม่ค่อยมีเวลา ขายกันแบบเดลิเวอร์ลี บริการส่งตรงถึงที่ (เด็กอาไร้น่ารักจริงๆ) ข้างฝ่ายแม่ค้า พ่อค้าผัก ก็ไม่น้อยหน้า ขอขายผัก ให้ชาวเรา ไปทำอาหาร ในราคาย่อมเยาด้วย... อย่างนี้ทั้งคนกินคนขาย ก็ได้บุญเป็นห่วงโซ่เลยแหละ ส่วนเด็ก สัมมาฯ จากศีรษะอโศก ที่ขบวนการกลุ่ม แน่นปึก เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ของที่นั่น ก็แตกตัว (อย่างสามัคคี) กระจายไปช่วยงาน ช่วงเทศกาลเจ หลายต่อหลายที่ เช่น จ.อุบลฯ และโคราช เป็นต้น ส่วนที่ศาลีอโศก ช่วงเจปีนี้ไม่ได้ขาย เพราะปัญหา เรื่องแรงงาน ไม่เพียงพอฮะ...จี๊ดๆ

วิทยุชุมชน...สถานีวิทยุชุมชนบ้านราชฯ พ่อท่านตั้งชื่อให้ว่า สถานีวิทยุบัวกลางมูล ที่คลื่น ๙๓.๒๕ เม็กกะเฮิร์ต รัศมี ๑๐ ก.ม. จิ้งหรีด ขอกรีดปีก เชียร์เต็มที่ จะได้ช่วยกัน นำเสนอสาระ ที่มีประโยชน์ ให้กับสังคมเรา และเราก็มีเสรีภาพ ที่จะเลือก รับข้อมูลข่าวสาร ได้อย่างกว้างขวางขึ้น เอ่ยถึงเรื่องวิทยุชุมชนของเรา จิ้งหรีดเลยปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่า จะสอบถามเรื่อง วิทยุชุมชนของเรา มาบอกเล่าให้ฟังว่า มีที่คลื่นไหนกันบ้าง ฉบับนี้ขอติด (ค้าง)ไว้ก่อน... จี๊ดๆ

คืนสู่เหย้า...คุณคมกล้า อโศกตระกูล และคุณหนึ่งดาว นาวาบุญนิยม หลังจากหายหน้า หายตาไป ๔ ปี ขณะนี้ ขะมักเขม้น ช่วยงาน อยู่อุทยานบุญนิยม จ.อุบลฯ ชาวบ้านราชฯ ยินดีต้อนรับ "...กลับบ้านเถิดลูก พ่อปลูกอโศกเพื่อเจ้า..." ...จี๊ดๆ

นาทีทอง...หลังจากไปร่วมงานศพอาม่าเพ็กลั้ง ที่ปฐมอโศกแล้ว ท่านเดินดิน ติกขวีโร พร้อมปัจฉาฯ ได้แวะเยี่ยม ชาวสันติอโศก ก่อนเดินทางกลับ บ้านราชฯ ท่านได้ฝากข้อคิด เตือนใจ สำหรับนักปฏิบัติธรรม ที่มีภาระการงานมากว่า "คิดว่าเราเป็นเพียง มดตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง ที่ยินดีช่วยสร้างสรร งานหมู่กลุ่ม และ อย่าไปคิดเพียงแต่ว่า งานที่เราทำ หรือ รับผิดชอบ จะต้องดีเลิศที่สุด สมบูรณ์ที่สุด ของคนอื่น จะเป็นอย่างไร ก็ช่างเถอะ (ฉันไม่แคร์... จิ้งหรีดเติมเองฮะ) หรือ เลือกทำแต่งาน ที่เราชอบใจ ไม่ชอบก็ไม่ทำ แต่เราควรพิจารณาว่า งานที่เราทำนั้น เป็นอาวุธ ให้เราได้ฆ่ากิเลสหรือเปล่า? อย่าปล่อยให้เวลาล่วงไป แบบไร้ประโยชน์ ชาตินี้เป็นโอกาสทอง ของชีวิต ที่เราได้มาพบ พระโพธิสัตว์ ซึ่งไม่แน่นอนว่า จะพบได้ อีกนานเท่าไร แล้วเราได้ตักตวง โอกาสทองนี้ ให้คุ้มค่าแล้วหรือยัง?

จิ้งหรีดฟังแล้วสะดุ้ง จนเกือบตกจากบันไดคลังเสียง เอ๊ะ...กี่ครั้งแล้ว ที่เราพลาดจากนาทีทอง ขืนพลาดบ่อยๆ จิ้งหรีดมีหวัง เกิดเป็นยาจก (ยากจนอาริยทรัพย์) ไปอีกหลายชาตินะฮะ ...จี๊ดๆ

น่าประทับใจ...จิ้งหรีดได้มีโอกาสพูดคุยกับลูกค้าที่ ชมร.เชียงใหม่ ลูกค้าคนนี้เป็นชาวมาเลเซีย อุ้มลูกชาย อายุขวบกว่า หน้าตาน่าเอ็นดู ผิวพรรณก็สดใส มารับประทาน อาหารที่ร้าน เธอเล่าให้ฟังว่า ครอบครัวของเธอ ได้ทานอาหารเจมา ๕ ชั่วคนแล้ว สุขภาพร่างกาย แข็งแรงดี เพราะฉะนั้น ถ้าใครบอกว่า ทานอาหารเจแล้ว จะขาดสารอาหารนั้น ไม่จริงเลย เพราะครอบครัวเธอ ร่างกาย แข็งแรงทุกคน แหม!อย่างนี้ ต้องเรียกว่า ครอบครัวเจ อย่างแท้จริง และถ้าใคร รักสุขภาพ ของตนเอง ก็ต้องหันมารับประทาน อาหาร มังสวิรัติ (เจ) กันอย่างจริงจัง กันเสียแล้ว... จี๊ดๆ

ไร้อุปสรรค...กงล้อธรรมจักรที่ ชมร.เชียงใหม่ ได้หมุนไปอย่างไร้อุปสรรค สมาชิกในร้านต่างก็เบิกบานใจ แม้กาย จะอ่อนเพลียบ้าง เป็นธรรมดา ในวันรุ่งขึ้น ก็จะเป็นวัน แจกอาหารฟรี ให้กับลูกค้า ที่สำคัญ เป็นวันที่จะได้ทำบุญ ถวาย อาหารสมณะ จะได้พบญาติ พี่น้อง ของพวกเรา นับว่าเป็นวัน รวมญาติจริงๆ สมาชิกที่เคยบ่นว่า "ไม่รู้จะแจกฟรีทำไม" ประโยคนี้ คงจะเป็นหมันไปแล้ว

ตอนบ่ายใกล้ค่ำ รถซีป่าว รถจ้าวๆ ก็เคลื่อนเข้ามาที่ ชมร.เชียงใหม่ อย่างเชื่องช้า มีสมาชิกคนแล้วคนเล่า ทยอยลงจากรถ พร้อมขน ผักผลไม้ ไร้สารพิษ ลำเลียงเข้าไปไว้ แล้วก็ช่วยกัน เตรียมสถานที่ จัดโรงบุญฯ ในวันรุ่งขึ้น เป็นบรรยากาศ ที่น่าประทับใจ และน่า อนุโมทนาจริงๆ ท่านผู้ใดเป็นตัวจริง เสียงจริงในวันนั้น ก็คงจะได้ปลื้ม (บุญ) ไปเรียบร้อยแล้ว ...จี๊ดๆ

อานิสงส์...โรงบุญฯครั้งที่ ๗ ของชาว ชมร.เชียงใหม่ ที่ผ่านมา ทำให้ญาติธรรมของเราในวันนั้น ได้ทำบุญถวาย อาหาร สมณะ และ บริการอาหารฟรีกับลูกค้า ขณะที่ญาติธรรม คนแล้วคนเล่า เข้าไปกราบนมัสการ และสนทนาธรรม กับอาจารย์ ๒ สมณะเก้าก้าว สรณีโย ปรากฏว่า โยมพ่อของ สมณะชนะผี ชิตมาโร ซึ่งได้มาที่ ชมร.เชียงใหม่ เป็นครั้งแรก ด้วยการนำของ คุณฟ้าหลังฝน ขณะที่โยมพ่อ ของท่านชนะผี กำลังสนทนาธรรม กับอาจารย์สอง พลันมีเสียงโทรศัพท์ จากท่านชนะผี จากสันติอโศก ขอพูดสาย กับคุณใบจริง คุณใบจริง เลยถือโอกาสโอนสาย ให้โยมพ่อได้คุยกับ สมณะลูกชาย ซึ่งจากกันไป นานหลายปี ได้พูดคุยกันก่อน ความบังเอิญ ที่พ่อลูก ได้พบกัน ในวันนั้น เป็นเพราะอะไร? ใครรู้บ้าง ช่วยตอบจิ้งหรีดที... จี๊ดๆ

ญาติป่วย...เมื่อวันที่ ๒๗ ก.ย.ที่ผ่านมา หลังจากฉันภัตตาหารที่ ชมร.เชียงใหม่ เสร็จแล้ว สมณะ ๗ รูป นำโดย สมณะ เก้าก้าว สรณีโย ได้เดินทาง ไปเยี่ยม ครูกระจาย บุญยัง ที่ ร.พ. เชียงใหม่ราม ๑ ซึ่งป่วยเป็นโรคฉี่หนู และ ไปเยี่ยมพ่อทองใบ ที่ ร.พ.สวนดอก ซึ่งป่วยเป็น มะเร็ง ในลำไส้ใหญ่ ท้ายสุด สมณะเด็ดแท้ วิเสสโก และ สมณะใต้ดาว เหฏฐานักขัตโต เลยถือโอกาส สร้างบุญ ด้วยการ บริจาคโลหิตให้ ร.พ.ด้วย... สาธุ...จี๊ดๆ

สุขอนามัย...วันก่อนคุณกานดาและคุณใจประนม ช่วยอนุเคราะห์ผ้า และอุปกรณ์อื่นๆ ให้คุณต้นแก้ว พุทธสอน ได้แสดง ฝีมือ เย็บผ้าโพกผม จำนวน ๒๔ ผืน เพื่อให้สมาชิกของ ชมร.เชียงใหม่ใส่ ก็ขออนุโมทนากับทุกๆฝ่าย แหม! วัตถุดิบ ก็ไร้สารพิษ โรงบุญฯ ก็มีทุกเดือน แถมหน่วยส่งเสริม ร่วมด้วยช่วยกัน ก็หนุนสุดๆ แบบนี้ มีหวังไปไกลแน่... จี๊ดๆ

มรณัสสติ

 

สมณะพันธ์ พหุลีกโต อายุ ๘๓ ปี มรณภาพด้วยโรคน้ำท่วมปอด เมื่อวันที่ ๑๒ ต.ค.๔๕ เวลา ๐๑.๐๐ น. ฌาปนกิจศพ วันที่ ๑๔ ต.ค.๔๕ เวลา ๑๓.๐๐ น. ที่เมรุปฐมอโศก

นายถาวร ภัทรมนตรี (คุณพ่อของ อ.จงจินต์ ภัทรมนตรี) เสียชีวิต ด้วยโรคชรา ฌาปนกิจศพ เมื่อวันที่ ๒๖ ก.ย.๔๕

นางเพ็กลั้ง แซ่อึง (คุณยายของคุณอารมณ์ มหาปิยศิลป์) อายุ ๙๐ ปี เสียชีวิตเมื่อ ๓ ต.ค.๔๕ ฌาปนกิจศพที่ เมรุปฐมอโศก

นางเรียบ วงศ์แย้ม อายุ ๗๖ ปี โยมแม่ของท่านสู้ซื่อ หสิโต ป่วยด้วยโรคเบาหวาน เสียชีวิตเมื่อวันที่ ๑๒ ต.ค. ๔๕ เวลา ๑๗.๐๐ น. ณ วัดกิ่งแก้ว จ.สมุทรปราการ

ก่อนจากขอจบด้วย โศลกธรรมปี'๔๖ ที่พ่อท่านกรุณามอบไว้ให้ เตือนใจชาวเราที่ว่า
แข็งแรง เข้มข้น ทนทาน ยืนนาน แน่นลึก นึกนบ

พบกันใหม่ฉบับหน้า

* จิ้งหรีด

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ครัวอโศก โดย ชวนชิม
น้ำสลัดสองสี

ฉบับนี้ ชวนชิม มีสูตรน้ำสลัดถึง ๒ ชนิดมาฝากผู้ชื่นชมอาหารสุขภาพ โดยเฉพาะประเภทสลัดผัก ที่มากด้วยวิตามิน และเกลือแร่ ลองไปดู รายละเอียด พร้อมๆกันเลยค่ะ

น้ำสลัดฟักทอง
เครื่องปรุง
ฟักทองเนื้อหนา ๓๕๐ กรัม
ข้าวโพดดิบฝานบางเอาแต่เมล็ด ๑ ถ้วย
น้ำส้มสายชู ๑/๒ ถ้วย
น้ำตาลทรายแดง ๑/๔ ถ้วย
เกลือป่น ๑ ๑/๒ ช้อนชา
พริกไทยป่น ๑ ช้อนชา
มัสตาร์ดครีม ๑ ช้อนโต๊ะ
น้ำมันมะกอก ๓ ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
๑.เอาเมล็ดฟักทองออก ล้างให้สะอาด นึ่งในน้ำเดือดทั้งเปลือกให้สุกด้วยไฟกลาง ยกลง ใช้ช้อนขูดเอาแต่เนื้อ ให้ได้น้ำหนัก ๒๐๐ กรัม

๒.ผสมน้ำส้มสายชู น้ำตาล เกลือ พริกไทยเข้าด้วยกัน คนให้น้ำตาลและเกลือละลายหมด

๓.ใส่ฟักทอง ข้าวโพด น้ำมันมะกอก ส่วนผสมน้ำส้มสายชู มัสตาร์ดลงในโถปั่น ปั่นเข้าด้วยกัน จนละเอียดเนียน ปิดเครื่อง เทใส่หม้อตุ๋น

๔.ตั้งหม้อตุ๋นบนไฟกลางค่อนข้างอ่อนให้เดือด ตุ๋นนาน ๑๕ นาทีจนน้ำสลัดได้ที่ ปิดไฟ ยกลง เทใส่ถ้วย

๕.วิธีรับประทาน จัดผักสดเย็นๆ ใส่จาน ราดด้วยน้ำสลัด เคล้าให้ทั่ว รับประทานทันที


น้ำสลัดแครอท
เครื่องปรุง
แครอท ๑ หัวใหญ่
น้ำส้มสายชู ๑/๒ ถ้วย
น้ำตาลทรายแดง ๒ ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น ๑ ช้อนชา
พริกไทยป่น ๑ ช้อนชา
มัสตาร์ดครีม ๒ ช้อนชา
น้ำมันมะกอก ๑ ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
๑.ล้างแครอท นำไปต้มในน้ำเดือดด้วยไฟกลางให้สุกนุ่ม ตักแครอทขึ้น ปอกเปลือก หั่นชิ้นเล็ก

๒.ผสมน้ำส้มสายชู น้ำตาล เกลือ พริกไทยเข้าด้วยกัน คนให้น้ำตาลและเกลือละลายหมด

๓.ใส่แครอทต้ม น้ำมันมะกอก ส่วนผสมน้ำส้มสายชู มัสตาร์ดลงในโถปั่นปั่นเข้าด้วยกัน จนส่วนผสม ละเอียดเนียน ปิดเครื่อง เทใส่หม้อตุ๋น

๔.ตั้งหม้อตุ๋นบนไฟกลางค่อนข้างอ่อนให้เดือด ตุ๋นนาน ๑๕ นาทีจนน้ำสลัดได้ที่ ปิดไฟ ยกลง เทใส่ถ้วย

๕.วิธีรับประทาน จัดผักสดเย็นๆใส่ในจาน ราดด้วยน้ำสลัด เคล้าให้ทั่ว รับประทานทันที

เคล็ด(ไม่)ลับ
ในการทำน้ำสลัด ควรเลือกฟักทองที่แก่จัด เปลือกจะเป็นปุ่มขรุขระ เนื้อหนาเป็นมัน สีเหลืองสวย นึ่งทั้งเปลือก จนสุกดี จึงใช้ช้อนขูด แล้วปั่น ขณะร้อนๆ ทำให้เนื้อฟักทอง ละเอียดเนียน ใส่เมล็ด ข้าวโพดดิบปั่นรวมด้วย เพื่อเพิ่มความหอม และความมัน แครอทเลือก สีส้มสวย (ที่สำคัญ ส่วนผสมทุกอย่าง ต้องไร้ หรือ ปลอดสารพิษ) ต้มกับน้ำ จนสุกนุ่ม ปั่นขณะร้อนๆ จนละเอียด หรือ ใช้แครอทสดก็ได้ แต่น้ำสลัด เนื้อไม่เนียนมาก

เมื่อทำน้ำสลัดเสร็จ ต้องตุ๋นให้สุกอีกครั้ง จะทำให้เก็บในตู้เย็นได้นาน ถึงหนึ่งสัปดาห์ การตุ๋น ต้องใช้หม้อตุ๋น ๒ ชั้น ใส่น้ำ ในหม้อตุ๋นใบล่าง เพียงครึ่งหนึ่ง ตุ๋นด้วยไฟกลาง ค่อนข้างอ่อนนาน ๑๕ นาที ระหว่างตุ๋น ให้คนไปเรื่อยๆ จนได้เวลา ปล่อยทิ้งไว้ จนเย็น เก็บใส่กล่อง ที่มีฝาปิด มิฉะนั้น จะเสียก่อนเวลาที่ควร

สลัดผักจานนี้อร่อยพร้อมได้สารอาหารครบถ้วน น้ำสลัดรสชาติดีอย่างเดียวยังไม่พอ ผักต้องสดใหม่ (และแน่นอน ต้องไร้ หรือ ปลอดสารพิษด้วย) จึงหวานกรอบ ได้ผักแล้วให้ล้าง ด้วยน้ำเย็น ผักจะสด ขึ้นทันที มะเขือเทศ ต้องหั่นด้วย มีดคมบางๆ ใส่ผักได้ หลากหลายชนิด หรือ ใส่ผลไม้รวม หรือ ใส่ธัญพืชชนิดต่างๆ ลงไปด้วย เพื่อเพิ่มสารคาร์โบไฮเดรต และ โปรตีน

แค่นี้เราก็จะมีน้ำสลัดพร้อมรับประทานในตู้เย็นแล้วล่ะ แต่ถ้าใครไม่มีเวลาปรุง ชวนชิมแนะว่า มาหม่ำสลัดที่ ชมร. สาขา ใกล้บ้าน ยิ่งถ้าใกล้ ชมร.เชียงใหม่ ก็จะได้ชิม สลัดผักป่า ที่จานหนึ่ง มีผักตั้งหลายสิบชนิด ให้ได้ชิมด้วยค่ะ.

(ข้อมูลจาก นิตยสารอาหารและวัฒนธรรม "ครัว" ฉบับที่ ๗๔ ส.ค.๔๓)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


นานาสาระ - โดย สายศีล
ขมิ้นมีคุณอนันต์

ฉบับนี้สายศีล ขอนำเกร็ดเล็กๆน้อยๆ จากขมิ้น ซึ่งเป็นสมุนไพรพื้นบ้าน ที่ได้มีการวิจัยออกมาแล้วพบว่า ขมิ้นนอกจาก จะปรุงอาหารได้ หลากหลายแล้ว ยังสามารถป้องกันโรค ได้หลายชนิด ดังต่อไปนี้ค่ะ

พี่น้องชาวใต้นั้นกินแกงใส่ขมิ้นกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย ก็น่าปลื้มใจแทน เพราะวันนี้นักวิทยาศาสตร์ ค้นพบแล้วว่า ขมิ้นไม่เพียง เพิ่มรสชาติ และสีสัน ให้กับอาหารเท่านั้น แต่มันยังช่วย ป้องกันการอักเสบ เป็นสารต้าน อนุมูลอิสระ ป้องกันตับ จากการคุกคาม ของสารพิษต่างๆ และยังมีคุณสมบัติ ในการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ ที่อาจติดมากับอาหาร

นักวิจัยพบว่า สารสำคัญในขมิ้นคือ "คูร์คุมิน" ซึ่งหากใช้ในปริมาณที่มากพอ จะใช้รักษาอาการ ข้ออักเสบรุนแรง ได้ดีพอๆ กับยา คอร์ดิโซน นอกจากนั้น การวิจัยยังพบว่า คูร์คุมิน ใช้รักษาโรค มะเร็งลำไส้ใหญ่ได้.
(จากนิตยสารครัว ฉบับที่ ๗๔ สิงหาคม ๔๓)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


พล.อ. ปรีดา เยี่ยมบ้านราชฯ
ชื่นชมวิถีชีวิตของชาวชุมชน

เมื่อวันที่ ๓ ต.ค. ๔๕ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ และ พล.อ.ปรีดา เอี่ยมสุพรรณ อดีตหัวหน้า นายทหาร เสนาธิการ ประจำรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงกลาโหม เดินทางมาเยี่ยมบ้านราชฯ

โดยก่อนจะเข้ามาเยี่ยมบ้านราชฯ ได้แวะไปที่สวนไวเกินฝัน หรือสวน ๒๐๐ ไร่ เป็นที่ของกรมพันทหารสัตว์ต่าง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ ให้ชาวบ้านราชฯ ยืมใช้ทำกสิกรรม สวนดังกล่าว ได้ปลูกพืชหลายชนิด เป็นจำนวนมาก อาทิเช่น ข่า, ตะไคร้, มันเทศ, ถั่วลิสง, สับปะรด, กล้วยน้ำว้า, ไผ่เขียว และได้ขุดเจาะน้ำบาดาลมาใช้ ซึ่งมีรสชาติดีมาก เมื่อพล.อ.ปรีดาทราบเรื่อง ได้ประสานงาน ให้ผู้เกี่ยวข้อง นำน้ำบาดาล ไปตรวจดูว่า จะสามารถใช้ดื่มได้หรือไม่ นอกจากนี้ได้แนะนำ ให้เตรียมขุด บ่อน้ำใหญ่ เตรียมไว้ ก่อนที่หน้าแล้งจะมาถึง

หลังจากนั้น ได้เดินทางมาที่บ้านราชฯ พร้อมกับรับประทานอาหาร ที่เฮือนศูนย์สูญ เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ได้เดินชม เรือต่างๆ เมื่อได้เวลาอันสมควร ได้นั่งเรือต่อไปที่ อุทยานบุญนิยม แล้วเดินทาง ไปเยี่ยมศีรษะอโศก ที่อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ

ในขณะที่เดินชมเรือ ผู้สื่อข่าวได้ขออนุญาตสัมภาษณ์ พล.อ.ปรีดา ถึงความรู้สึก ที่ได้ไปที่สวนไวเกินฝัน และที่ชุมชน ราชธานีอโศก ซึ่งท่านได้กล่าวว่า "ตรงนั้นอากาศดีมาก และคิดว่า จะทำอะไรได้เยอะเลย ดินดี มีน้ำ ก็ห่วงว่า เมื่อถึงหน้าแล้ง ตรงนั้นจะทำยังไง ก็ฝากให้เขาคิดเรื่องน้ำ

สำหรับที่นี่นึกไม่ถึงว่าจะมาเจอกองเรือ แล้วก็คิดว่า ถ้าชุมชนไทยของเรา คนไทยละตัวละตนลง ไม่เห็นแก่ตัว บริโภคให้น้อย ใช้ชีวิต ที่เรียบง่าย ชาติบ้านเมือง จะหมดปัญหา ไปอีกเยอะแยะ ปัญหาทุจริต คอร์รัปชั่น ยาเสพติด ปัญหาทั้งหลาย ที่มากมาย ก่ายกอง ก็คงไม่มี อยากให้คนไทย ประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ แต่คงจะยาก แต่คงไม่เกินความสามารถ ของคนไทย ที่จะช่วยกัน ทำให้บ้านเมือง มีความสุข ถ้าคนมีใจที่สำนึกต่อส่วนรวม เสียสละแล้ว ไม่มีอะไรเป็นอุปสรรค แม้แต่ที่นี่น้ำท่วม ก็ไม่มีอะไร เป็นอุปสรรค

คงไม่บังอาจแนะนำอะไรเพิ่มเติม เพียงแต่อยากให้คนที่นี่ พยายามเข้าไปสัมผัส กับประชาชนโดยรอบ ซึ่งเขายังทุกข์ยังยาก เพราะเขา ยังมีกิเลส ยังเป็นทาส ของความอยาก ซึ่งบางอย่าง ไม่จำเป็นต่อเขาเลย เป็นต้นว่า ยาเสพติด กินเหล้า เล่นการพนัน สิ่งเหล่านี้ ทำให้คนไทย ส่วนใหญ่ยากจน แล้วก่อปัญหาส่วนรวมให้กับชาติ ถ้าทุกคนในชุมชนแห่งนี้ ขยายออกไป แนะนำเขา อย่างไม่เป็นทางการ เข้าไปพูดคุย ชักชวนให้เขามา ร่วมปฏิบัติธรรม ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม นี่เป็นการช่วยชาติ ได้โดยตรงเลย มีความคิดอยู่อย่างนี้ มานานแล้ว ว่าทำอย่างไร จะให้คนของเรา ใช้ชีวิต อย่างมีเหตุผล เรียบง่าย ห่างไกลอบายมุข แล้วรู้จัก พึ่งพาตนเอง เสียสละให้ส่วนรวม ถ้าเราทำ อย่างนี้ได้ คนชาติไหน ก็สู้ชาติไทยไม่ได้ ถ้าเราไม่ช่วยกัน อีกหน่อยก็ไม่รู้ว่า เราจะมีที่ดิน สวยๆงามๆ อย่างนี้ให้ลูกหลาน อยู่หรือเปล่า ไม่แน่ใจ เหมือนกัน"

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

แจกยิ้ม * นักข่าวเบอร์จู๋น
ครูของเรา

ที่ตลาดผักไร้สารพิษ (ร้านกู้ดินฟ้า ๔)
วันหนึ่งลูกค้าชายแต่งตัวสุภาพ อายุประมาณ ๔๐ ปี เดินตรงไปหยิบผักขึ้นมา ๑ มัด แล้วถามว่า "คุณป้าครับ นี่ผักอะไรครับ?"
ผู้ขาย ผักกาดนาค่ะ
ผู้ซื้อ มัดละเท่าไหรครับ?
ผู้ขาย มัดละ ๓ บาทค่ะ
ผู้ซื้อ มัดละ ๔ บาทไม่ได้หรือครับ

ผู้ขายมองหน้าผู้ซื้อแล้วก็ยิ้มขำๆ แต่ไม่ได้ตอบ
ในขณะที่ผู้ซื้อ หัวเราะอย่างมีความสุข พร้อมกับยื่นเงินให้ผู้ขาย ๓ บาท และพูดต่อว่า "ผมพูดเล่นน่ะครับ"
ผู้ขาย ขอบคุณค่ะ
ผู้ซื้อ เดินจากไปแล้วด้วยอารมณ์ขัน อย่างเบิกบานใจ
ผู้ขาย รำพึงอยู่ในใจว่า "เขาเป็นครูของเราอย่างดีนะเนี่ย...!"

ที่โต๊ะขายคูปอง
ลูกค้า มีเท็ปคุณหมออารีย์ไหมครับ?
แม่ค้า มีค่ะ...มาใหม่นะคะ เชิญเลือกได้เลยค่ะ
ลูกค้า ชุดนี้ผมซื้อแล้วครับ แต่ผมอยากได้ชุดที่มี ๒ ม้วนที่เคยซื้อไปแล้ว แต่เพื่อนผมเขาอยากได้ ผมจึงให้เขาไป สั่งมาอีก ไม่ได้หรือครับ ผมต้องการจริงๆ
แม่ค้า จะลองติดต่อไปนะคะ ไม่ทราบว่า งบในการขายต่ำกว่าทุนของชุดนี้ จะหมดแล้วหรือยัง (ม้วนละ ๑๐ บาท ราคาปกติม้วนละ ๓๐ บาท)
ลูกค้า ครับ...ขอบคุณครับ (พูดพร้อมกับโค้งหัวลงน้อยๆอย่างสุภาพ) แล้วก็เดินจากไป
แม่ค้า รำพึงในใจว่า "คนนี้ก็เป็นครูของเรา"

แผนกน้ำดื่มที่ ชมร.เชียงใหม่. (นอกเวลาบ่าย ๒ โมงแล้ว)
ลูกค้า มีน้ำอะไรเหลืออยู่หรือเปล่าครับ?
ผู้ขาย มีอยู่ค่ะ...เชิญหยิบเอาเลยนะค่ะ
ลูกค้า ราคาขวดละเท่าไหร่ครับ?
ผู้ขาย แปดบาทค่ะ
ลูกค้า ให้เกินได้หรือเปล่าครับ? (ถามแบบหยอกเล่นกันเอง)
ผู้ขาย แล้วแต่ศรัทธาซิคะ (ตอบแบบกันเอ๊ง กันเอง)
พลันลูกค้า ก็หยิบเหรียญ ๑๐ บาทส่งให้ แล้วจะเดินจากไปโดยไม่คิดที่จะรับเงินทอน
ผู้ขาย มีเหรียญบาททอนค่ะ ช่วยรับเงินทอนด้วยค่ะ
ลูกค้า เดินกลับมารับเงินทอน แล้วพูดว่า "อยู่ที่นี่คงจะได้รับบุญมากเลยนะครับ"
ผู้ขาย ยิ้มรับเป็นการตอบรับคำพูด รำพึงในใจต่อว่า วันนี้มีความสุขอีกแล้ว.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

ชื่อ ด.ต.ขจร จตุรพรจันทร์
เกิด ๒๖ ก.ย. ๒๔๖๘ อายุ ๗๗ ปี
ภูมิลำเนา อ.จตุพักตร์พิมาน จ.ร้อยเอ็ด
การศึกษา มัธยมศึกษาตอนปลาย
สถานภาพ หย่า บุตร ๒ คน
ส่วนสูง ๑๘๐ ซ.ม.
น้ำหนัก ๗๕ กก.

คุณตาขจร หรือที่ชาวชมร.เชียงใหม่มักเรียกกันติดปากว่าพ่อดาบ เป็นผู้อายุยาวฝ่ายชายอีกท่านหนึ่ง ที่มาเสียสละ ช่วยงานที่นี่ ตั้งแต่เริ่มแรก

นิยามแห่งความรัก
มีพี่น้อง ๑๐ คน พ่อแม่มีอาชีพทำนา แต่ส่งเสริมให้เรียน ดังนั้นเมื่อจบ ป.๔ พ่อจึงส่งมาเรียนต่อที่โคราช จนจบม.ปลายที่ ร.ร.ศิริวิทยากร จบแล้ว เป็นครูที่ อ.คง ปี ๒๔๙๓ ลาออกจากครู ไปสมัครเป็นตำรวจ ที่เชียงใหม่ ในปี ๒๔๙๔ เพราะเชียงใหม่ ไม่แห้งแล้ง เหมือนที่โคราช

แต่งงานครั้งแรกปี ๒๔๙๗ แม่บ้านเป็นคนเชียงใหม่ ตอนนั้นเขาอายุ ๑๗ มีลูกสาว ๑ คน ปี ๒๕๐๘ ก็หย่า แล้วแต่งงานใหม่ ปี ๒๕๑๐ มีลูกชาย ๑ คน

ครั้นพบธรรม ฉันทิ้งอดีตร้างไกล
เกษียณราชการปี ๒๕๒๙ ต่อมาปี ๒๕๓๐ ญาติธรรมเอาหนังสือแสงสูญให้อ่าน อ่านแล้วติดใจ เปลี่ยนแปลงตัวเองทันที แล้วไปปฏิบัติธรรม อยู่ที่วัดพันอ้น ซึ่งสมณะดวงดี เคยเป็นเจ้าอาวาส ปี ๒๕๓๒ สันติอโศกถูกจับ จึงเดินทางไปที่ สันติอโศก ตอนนั้น ยังไม่รู้จักให้อภัย โกรธมาก ที่จับพ่อท่าน ตอนนี้วางแล้ว ก่อนนอน จะตรวจศีลตัวเองทุกคืน เพราะอยู่ด้วยศีล

จะอุทิศชีวิตทั้งหมดนี้
ปี ๒๕๓๕ ตรงกับวันเกิดของตัวเอง ตั้งใจจะทำความดี จึงเอาตัวเองเข้ามาช่วยงาน รับใช้ทุกอย่าง ปัด กวาด เช็ดถู ขับรถ และ รับตำแหน่ง เป็นเหรัญญิก ในสมัยที่ พ่อบุญโพธิ์ เป็นผู้รับใช้

เจอผัสสะ ก็พยายามวาง มีแต่จิตเบิกบานอย่างเดียว ปัจจุบันช่วยจ่ายตลาด จนเดี๋ยวนี้ มองเห็นรายการ ก็รู้ว่า จะไปซื้อที่ไหน และขับรถ พาญาติธรรม ขึ้นพุทธสถาน ภูผาฟ้าน้ำ ในวันหยุด ชมร.เชียงใหม่ เปลี่ยนมาใช้ผักพื้นบ้าน ผมก็สนับสนุน แจกอาหารฟรี ทุกเดือน ก็เห็นด้วย ๑๐๐ % ซึ่งการแจกอาหารฟรี ผมก็คิดไว้เหมือนกัน เพราะอยากให้ทำบุญนิยม เช่นนี้บ่อยๆ

จะเร่งสร้างทั้งคืนและทั้งวัน
กับการได้ทำงานช่วยงานที่ชมร.เชียงใหม่ ตี ๓ ครึ่งก็จะตื่น แล้วขี่มอเตอร์ไซค์มาที่ร้านชมร. รับรายการจ่ายตลาด กลับจาก ตลาด ประมาณ ๖ โมงเช้า ช่วยปอกผลไม้ ให้กับแผนกผลไม้ แล้วไปพักผ่อนที่สวน เก็บผักพื้นบ้าน แล้วกลับบ้าน

กินอาหารวันละ ๑ มื้อ ตอนเช้าเสริมถั่วงา

เพื่อชีวิตอันสั้นนั้นมีราคา
ทุกวันนี้อยู่กับลูกสาว ไม่ห่วงอะไรแล้ว ร่างกายก็บริจาคให้คณะแพทยศาสตร์ ช.ม. บอกลูกไว้แล้วว่า ถ้าพ่อตาย ห้ามซื้อโลง ให้ใส่รถ ไปโรงพยาบาล แพทยศาสตร์ ถ้าตายที่อื่น ก็สุดแล้วแต่เขา ลูกเขาก็เข้าใจ

ก่อนนอนจะตรวจศีลตัวเองทุกคืน ถ้าผิดก็แก้ไข อายุจะอยู่ถึงกี่ปีก็ช่างมันเถอะ ขอให้ทำงานได้ หากยังทำประโยชน์ได้ ก็อยากอยู่ ถ้าไม่สามารถ ทำประโยชน์ได้ ก็ไม่อยากอยู่

ชีวิตของพ่อดาบในวันนี้ เต็มร้อยกับงานรับใช้ที่ชมร.ช.ม. มีความสุขกับการเสียสละ แล้วท่านล่ะ! ชีวิตในแต่ละวัน มีความสุขอยู่กับอะไร? เสียสละ หรือ เอาเปรียบ?

บุญนำพา รายงาน

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

รายการ "กระแสโลก กระแสธรรม"
โดยท่านจันทร์และดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล

เช้าวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๔๕ สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ เชิญนักวิเคราะห์ข่าวชื่อดังของเมืองไทย และเป็นส.ว. จากจังหวัด สุพรรณบุรี มาพูด คุยกันสดๆ สบายๆ คล้ายรายการ "โลกยามเช้า" โดยสมเกียรติ อ่อนวิมล แต่ต่างกันเล็กน้อย ที่พูดคุยกัน อย่างไม่มีโฆษณา คั่นรายการ ติดต่อกันถึง ๒ ชั่วโมงเต็ม กับชาวพุทธที่มาวัดวันอาทิตย์ และชาวเจ ที่มารับประทานอาหารที่ ชมร. หน้าสันติอโศก มีผู้มาฟัง รายการนี้ กว่าสองร้อยคน ที่บริเวณศาลาฟังธรรม และใต้โบสถ์ ของพุทธสถานสันติอโศก

บรรยากาศสบายๆกับน้ำเสียงเชื่อมั่น เป็นตัวของตัวเอง ถ้อยแถลงที่เปิดใจ ถึงแนวคิด ทัศนคติ ต่อบุคคล เหตุการณ์ และสังคม เป็นไป อย่างมีชีวิตชีวา หลากหลายประเด็น

ดร.สมเกียรติ สื่อสะท้อนให้รู้สึกถึงว่า ชาวพุทธทุกวันนี้กำลังหลงทาง เข้าใจว่าวัตถุหรือเงินตรา (จากงบประมาณของรัฐ) จะพัฒนา พุทธศาสนาในเมืองไทย ให้ก้าวหน้า...

ในทางตรงกันข้าม ดร.สมเกียรติ กลับสะท้อนมุมต่างให้เห็นว่า ความมีวัตถุมากๆ แล้วถูกใช้ไปในทางงมงาย ซ้ำซากต่างหาก ที่ทำร้าย ทำลายพุทธศาสนา

และประเด็นส่งท้าย... ดร.สมเกียรติ เรียกร้องให้มีการอ้างอิงพระไตรปิฎกทุกครั้ง ที่นำคำสอน ของพระพุทธองค์ ออกเผยแพร่ ไม่ว่าจะสื่อ ทางวิทยุ โทรทัศน์ หรือ การแสดงธรรมสดๆ ของพระสงฆ์ไทย ทั่วประเทศ เพื่อให้ชาวพุทธได้รู้ว่า พระพุทธเจ้า สอนอะไร

ทุกวันนี้ มีพระสงฆ์เผยแพร่สิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนมากมาย ส่วนที่พระพุทธองค์ทรงสอน เมื่อสื่อออกมา ก็มักไม่กล้า กล่าวอ้าง ถึงพระไตรปิฎก คล้ายกับสอนโดยตนเอง ซึ่งเห็นว่า ไม่เหมาะควร.


[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]