ฉบับที่ 209 ปักษ์หลัง 16-30 มิถุนายน 2546

[01] บทนำข่าวอโศก:อาสาสมัคร ชมร.
[02] ธรรมะพ่อท่าน: "เป็นพุทธศาสนิกชนตรงไหน? (ตอน ๒)"
[03] พ่อท่านร่วมเสวนานโยบายพื้นฐานระดมสมองแลกเปลี่ยนมุมมองเป็นแนวทางชี้วัดผลการดำเนินการของรัฐ
[04] ไททีวี บันทึกเทปโทรทัศน์หัวข้อ "ศาสนากับการปราบปรามอิทธิพล" รายการ "มองทะลุกรอบ"
[05] กสิกรรมธรรมชาต ิสัจธรรมชีวิต นำชีวิตที่ดีกว่า
[06] สกู๊ปพิเศษ: งานอโศกรำลึกที่เพิ่งจะผ่านไปมีข้อคิดอะไรบ้าง และกระแสแพทย์ทางเลือก
[07] บูรณาการ การศึกษา การเรียนรู้โลกุตรธรรม จะหลุดพ้นจากโลกียะ
[08] ศูนย์สุขภาพ: อาหารที่ทำให้อารมณ์ดี
[09] ม.วช.สันติอโศก "รับเพื่อนใหม่" นิมนต์พ่อท่านอบรมพิเศษ รุ่นพี่ต้อนรับรุ่นน้องอย่างอบอุ่น
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า:
[11 ]ปฏิทินงานอโศก
[12]นางงามรายปักษ์ น.ส.จำเนียร สายยศ

[13] เผยผิวสวยด้วย "สบู่มะเขือเทศ" ผลิตภัณฑ์จากเครือข่ายกสิกรรมไร้สาร



อาสาสมัคร ชมร.

เดี๋ยวนี้ ชมรมมังสวิรัติ แห่งประเทศไทย (ชมร.)ทุกสาขา มีการปรับปรุงพัฒนามากกว่าแต่ก่อน เช่น การทำอาหาร และตักอาหาร ก็จะมีผ้าคลุมผม มีผ้ากันเปื้อนเป็นเอี๊ยมผูกไว้ประจำตัว

แต่สิ่งที่พึงพัฒนาต่อไป ก็คือ ต้องหมั่นซักให้สะอาด เพราะถ้าดูเลอะเทอะเปรอะเปื้อนก็จะไม่เหมาะ ซึ่งแลดูไม่สะอาด

ยิ่งนานๆซักที แม้ซักแล้วก็ยังดูไม่สะอาดอยู่นั่นเอง จึงต้องซักทำความสะอาดบ่อยๆ

เรื่องนี้ก็ขอเกี่ยวเนื่องมาถึงอาสาสมัครที่มาช่วยงานโดยเฉพาะผู้ทำอาหาร หรือช่วยตักอาหารขาย ก็พึงมีผ้า โพกศีรษะ และเอี๊ยม ให้ดูเหมาะสม ตามสุขอนามัย หากทาง ชมร.ไม่มีแจก ก็อาจเสียสละทำจากบ้าน โดยใช้ผ้าสะอาดๆมาดัดแปลงได้

อีกประเด็นหนึ่ง เรื่องการตักอาหารที่ขายอยู่ไปรับประทาน ต้องระวังเรื่องการไปตักเองที่ถาดอาหาร ซึ่งวางขายอยู่หน้าร้าน เพราะอาจดูจุ้นจ้าน ถ้าเราขอให้เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่อยู่ช่วยตักให้ก็น่าจะดูดี แต่ถ้าทางเจ้าหน้าที่ เอ่ยปากให้เราตักเอง หรือเห็นว่า คุณไปตักเอง เป็นการแบ่งเบาภาระของเรา นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ถือว่าจุ้นจ้านแต่อย่างใด.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


จับประเด็นจากหนังสือคนคืออะไร ?
เป็นพุทธศาสนิกชนตรงไหน? (ตอน ๒)


๕. พ้นปฏิฆะ... เมื่อไม่ได้ สมใจ หรือขัดแย้งกับใครก็ตามที ให้สังเกตจับภาวะอารมณ์ของเราให้ดี มีอาการอึดอัดในอก ปั่นป่วน ในห้วงอารมณ์ เดือดดาลหรือไม่?

หากมีแสดงว่า กิเลสสายพยาบาทมันเริ่มทำงานแล้ว แต่อาการในขั้นนี้ เพียงแค่อึดอัดไม่ชอบใจเหมือนมีก้อนอะไร บางอย่าง คับอยู่ในอก

พุทธมามกะที่ประสงค์ภูมิธรรม สูงขึ้นไป จึงต้องพยายามล้างกิเลส ปฏิฆะ ทำจิตให้สงบเยือกเย็น จากกามวิตก และ พยาบาทวิตก ขณะเพียร ล้างกามกับพยาบาท ซึ่งเป็นสังโยชน์ ข้อ ๔-๕ ถือว่าเรามีอาริยภูมิระดับ สกทาคามี และ ภูมิธรรม จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามกำลังเพียรลดกิเลสของเรา กระทั่งละกาม-พยาบาทได้สิ้นเกลี้ยง พ้นสังโยชน์ ๕ เท่ากับเรา เป็นพระอนาคามี โดยสมบูรณ์

๖. พ้นรูปราคะ...มีสติจับอารมณ์ให้ได้ว่า เรายังมีเสพกามสัญญา เป็นรูปภพในห้วงแห่งจิตหรือไม่?

หากมีเป็นภวตัณหากรุ่นอยู่ภายในอก ควรที่เราจะล้างให้สิ้นเกลี้ยงด้วยวิปัสสนาญาณ ทำจิตให้สะอาดบริสุทธิ์ไร้ราคิน

๗. พ้นอรูปราคะ...เป็นสภาพ กิเลสที่ลึกละเอียดกว่ารูปราคะลงไปอีก เป็นความคิด เป็นอารมณ์กาม ที่ผุดขึ้นมา ในห้วงจิต ไร้สภาพ ตัวตน เราเสพได้เป็นเพียงธรรมารมณ์ ไม่มีรูปให้สัมผัสได้ด้วยใจเหมือนอย่างสัญญาที่เป็นตัวตน แม้สภาพ กิเลส เล็กละเอียด ถึงเพียงนี้ ผู้ใฝ่หลุดพ้นก็ไม่พึงละเลย จับอาการให้ติดแล้วกำจัดมันออกจากจิตซะ อย่าได้หลงเสพ ให้เนิ่นช้า เสียเวลา ไปนิพพาน เปล่าๆปลี้ๆ

๘. พ้นมานะ...การมีมานะเพื่อไปให้ถึงซึ่งความหลุดพ้น มิใช่สิ่งเลวทรามแต่ประการใด แต่หากยึดมานะ เป็นอัตตา อหังการ ผยอง จองหองยโส เช่นนี้มิควรเลย

แม้ทำดีเลิศประเสริฐสักปานใด พึงทำใจให้เป็นกลาง อย่ายึดดีมาสนองอัตตา วางตัวยึดดีที่ใจ แต่พุทธวิสัย ของเรา ยังต้อง มีมานะ เพื่อทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ปุถุชนนั้นมักยึดดีจนเลือดขึ้นหน้า ฆ่าแกงกันเพราะยึดดีก็มี ส่วนพระอาริยะขั้นสูง ท่านยึดดี อย่างมีปัญญา รู้ว่ากาลไหนควรอนุโลม เพื่อสันติธรรม บางครั้ง ยังต้องวางดีไว้ก่อน

๙.พ้นอุทธัจจะ...จิตที่นิ่งสงบ ปราศจากกิเลสตัณหาจะมีฤทธิ์อำนาจมหาศาล เป็นขุมพลังชีวิต อันยิ่งใหญ่ แต่เพราะคน มีกิเลส ทำให้จิต ปล่อยพลังออกมาไม่เต็มที่

อุทธัจจะของจิตระดับขั้นละเอียดยิบนี้ มีอาการเพียงแค่ไหวๆ เหมือนยอดสนต้องลมเบาๆ เกิดจากการที่เรา ยังไม่เชื่อมั่น ในภูมิธรรม ของตน เพราะยังไม่หมดสิ้นอวิชชา เศษเสี้ยวแห่งความสงสัยยังคาใจอยู่ จึงต้องพยายามให้จิต สงบนิ่ง ตั้งมั่น ให้ได้ เมื่อนั้น อาริยญาณขั้นสูง จึงจะเกิด

๑๐.พ้นอวิชชา...เป็นตัวจบสุดท้ายของการล้างปวงกิเลส หลังจากเราเพียรเรื่อยมาจนพ้นสังโยชน์ทั้ง ๙ ข้อ อย่างเห็นแจ้ง แทงตลอด ด้วยปัญญาตน มั่นใจในความหลุดพ้นของจิต หมดสิ้นความสงสัยทุกเศษเสี้ยวสัจธรรม เกิดเป็นวิชชา อย่างสมบูรณ์ สิ้นสูญอวิชชา เมื่อนั้นเราเข้าถึงซึ่ง สัญญาเวทยิตนิโรธ แน่แล้ว

นี่แหละคือ ความเป็นพุทธศาสนิกชนอันประณีตสูงสุด

- พุทธบุตร ลูกหม้ออโศก -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


พ่อท่านร่วมเสวนานโยบายพื้นฐาน ระดมสมองแลกเปลี่ยนมุมมอง
เป็นแนวทางชี้วัดผลการดำเนินการของรัฐ

นำเสนอดัชนีวัดผล รวบรวมมุมมองที่สำคัญ
เพื่อการพัฒนาประเทศ

เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๐ มิ.ย.๔๖ เวลา ๑๓.๓๐-๑๖.๓๐ น. พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ได้รับเชิญจากสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ และ สังคมแห่งชาติ เพื่อร่วม "เสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในมุมมองสถานการณ์ ตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ" (มาตรา ๗๑-๗๔) ณ สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ชั้นที่ ๒๗ อาคารพญาไทพลาซ่า แขวงพญาไท เขตราชเทวี กทม.

เนื่องจากคณะทำงานสังเคราะห์ยุทธศาสตร์ฯ กำลังรวบรวมมุมมองที่สำคัญเบื้องต้นต่อสภาพการณ์ของประเทศ เพื่อเป็นแนวทาง การกำหนดตัวชี้วัด ผลการดำเนินงานของรัฐ ตามมาตราต่างๆ โดยจะมีการระดมสมอง หรือเสวนา และแลกเปลี่ยนมุมมอง และความคิดเห็น ในมาตรา ๗๑-๗๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จากบุคคล ผู้อยู่ใกล้ชิด ประชาชน หรือตัวแทนจากองค์กรต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลหรือเป็นกระจกสะท้อนให้รัฐบาลได้ทราบ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมเสวนา ดังนี้ นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร จากสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ นายภาณุพล สนใจ นายวิสุทธิ เจตสันติ์ สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และที่ปรึกษาฯ คณะทำงานสังเคราะห์ยุทธศาสตร์ฯ

พล.ต.ต.วีรศักดิ์ ไกยสิทธิ จากองค์กรคนรากแก้วอุบลราชธานี นายสมพงษ์ ศรีสุขวัฒนานันท์ พระมหาต่วน สิริธมฺโม อาจารย์คณะพุทธศาสตร์ ม.มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พระวินัย สิริธโร มูลนิธิ ผ.ช.ป.และพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ พร้อมด้วยปัจฉาฯ ๒ รูป

พ่อท่านโพธิรักษ์ ได้นำเสนอดัชนีวัดผล (เฉพาะมาตรา ๗๓ ว่าด้วย "รัฐต้องให้ความอุปถัมถ์และคุ้มครอง พระพุทธศาสนา และ ศาสนาอื่นๆ ส่งเสริมความเข้าใจอันดีและความสมานฉันท์ ระหว่างศาสนิกชน ของทุกศาสนา รวมทั้งสนับสนุน การนำหลักธรรม ของศาสนามาใช้ เพื่อการเสริมสร้างคุณธรรม และ พัฒนาคุณภาพชีวิต") ๒๘ ข้อ ซึ่งดัชนีวัดผลแต่ละข้อ ขยายจากศีลทั้ง ๕ ข้อ นั่นเอง ดังมีรายละเอียดดังนี้

ดัชนีวัดผล ม.๗๓
พฤติกรรมของประชาชน ที่สามารถรู้เห็นเป็นรูปธรรม
- มีอบายมุขมากหรือน้อย
- มีความฟุ้งเฟ้อมากหรือน้อย
- มีอาชญากรรมมากหรือน้อย
- มีความรุนแรงมากหรือน้อย
- มีการทะเลาะวิวาทมากหรือน้อย
- มีการทุจริตคอรัปชั่นมากหรือน้อย
- มีการเผื่อแผ่เอื้อเฟื้อเจือจานหรือแก่งแย่ง
- คดโกง
- ละเมิดกฎหมาย
- ยิ่งฉลาดยิ่งใช้เชิงชั้นให้ตนและพรรคพวกได้เปรียบ
- สำส่อนทางเพศมากขึ้นหรือน้อยลง
- กิจกรรมกิจการบำรุงบำเรอกามารมณ์มากขึ้นหรือน้อยลง
- วัฒนธรรมในเรื่องกามารมณ์ และเรื่องเพศส่อความสงบ เบาบาง หรือจัดจ้าน เปิดเผย โจ่งแจ้งยิ่งขึ้น
- รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสกายปรุงแต่งจัดจ้านวิตถารยิ่งขึ้นหรือน้อยลง
- มีความรู้ทางศิลปะซึ่งเป็นมงคลอันอุดม หรือไม่มีความรู้ทางศิลปะก่ออนาจาร ซึ่งเป็นข้าศึกแก่กุศลยิ่งๆขึ้น
- โกหกมดเท็จมากขึ้นหรือน้อยลง
- ส่อเสียดพูดหรือสื่อสารกันให้ทะเลาะวิวาท ทำให้สังคมไม่สงบยิ่งขึ้น
- พูดจาภาษาดีไพเราะมีศิลปะยิ่งขึ้น หรือหยาบคาย บาดหู โสกโดก ส่อต่ำยิ่งๆขึ้น
- พูดจาไร้สาระ เพ้อเจ้อ สูญเปล่า ยิ่งขึ้นหรือน้อยลง
- สิ่งมอมเมามากขึ้นหรือน้อยลง
- สิ่งไร้สาระยั่วยุให้หลงเสพหลงติดมากขึ้นหรือน้อยลง
- การพนันมากขึ้นหรือน้อยลง
- หลงกีฬาการละเล่นมากขึ้นหรือน้อยลง
- แหล่งเที่ยวกลางคืนมากขึ้นหรือน้อยลง
- คนสำมะเลเทเมามากขึ้นหรือน้อยลง
- คนขยันแต่ทำงานจนเกินยิ่งๆขึ้น ไม่รู้จักหยุดหรือพอเหมาะพอดี
- คนขี้เกียจมากขึ้นหรือน้อยลง
- ความต่างกันระหว่างคนจนกับคนรวยน้อยลงหรือยิ่งมากยิ่งขึ้น.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ไททีวี บันทึกเทปโทรทัศน์
หัวข้อ "ศาสนากับการปราบปรามอิทธิพล"
พ่อท่านร่วมแสดงความคิดเห็น
รายการ "มองทะลุกรอบ"

เมื่อวันอังคารที่ ๒๔ มิ.ย.ที่ผ่านมา มีคณะผู้ผลิตรายการให้กับ ไททีวี (TVT) ซึ่งเป็นสถานีฟรีทีวีช่องหนึ่งของ UBC จำนวน ๑๐ ท่าน เดินทางมาถ่ายทำรายการ "มองทะลุกรอบ"ซึ่งเป็นการอภิปรายเสวนาในหัวข้อเรื่อง "ศาสนากับการปราบปรามอิทธิพล" โดยมีตัวแทน จากศาสนา คือ พุทธ คริสต์และอิสลาม ร่วมเสวนา ณ ลานทราย ข้างน้ำตก ที่พุทธสถานสันติอโศก โดยมีเรือตรี แซมดิน เลิศบุศย์ คุณฟ้าใส ถิรชยานนท์ และ คุณผืนดิน อโศกตระกูล คอยให้การต้อนรับ

คณะกองถ่ายเดินทางถึงสันติอโศกเวลา ๐๙.๐๐ น. เตรียมจัดการสถานที่ เพื่อจะบันทึกเทปโทรทัศน์เอาไว้ ออกอากาศ ภายในวันอังคารที่ ๑ ก.ค.เป็นตอนแรก การถ่ายทำทั้งหมด นำออกอากาศ สี่สัปดาห์ด้วยกัน ใช้เวลาในการถ่ายทำทั้งสิ้น ราวๆ ๔ ช.ม. ผู้ร่วมเสวนามีดังนี้คือ พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ พล.อ.กิติศักดิ์ รัฐประเสริฐ ประธานกรรมการชุมชนสหกรณ์ทหาร จำกัด นายนภดล คัมภ์ทวี กรรมการบริหารสถาบัน TREND (สถาบันวิจัยและศึกษาเพื่อการพัฒนา) นายอับดุลลอฮ์ มานะจิตต์ ประธานมูลนิธิ ส่งเสริมการศึกษาอิสลามและการพัฒนา และนายวัชระ เพชรทอง ผู้สมัคร ส.ส.พรรค ประชาธิปัตย์ ผู้ดำเนินการรายการ คือ คุณซัลมาน (กุสมาน) ลูกหยี เริ่มบันทึกเทปโทรทัศน์ เวลา ๑๑.๓๐ น. หลังจากที่แนะนำตัว เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มเข้าประเด็นทันที ซึ่งวัตถุประสงค์ ในการเสวนาคือ สะท้อนแง่มุม ให้รัฐบาลได้รับรู้ ในฐานะสื่อมวลชน กับการที่รัฐบาล ปราบปรามอิทธิพลต่างๆ เช่น การฆ่าตัดตอน ยาเสพติด อาชญากรรมต่างๆ ฯลฯ ว่าประชาชน มีความคิดเห็น หรือมีความรู้สึกอย่างไร กับการใช้ธรรมะเป็นเป้าหมาย ในการดำเนินงานต่างๆ

บันทึกรายการได้สองตอนแรกก็หยุดพักรับประทานอาหาร จากนั้นก็เสวนาต่อโดยครั้งนี้ ผู้ร่วมเสวนา แต่ละท่าน ก็เปลี่ยน เครื่องแต่งกาย เป็นเสื้อม่อฮ่อม ที่สันติอโศกจัดเตรียมไว้ และมีสมณะบินบน ถิรจิตโต เข้าร่วมเสวนาแทน พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ ตอนที่สามและสี่ เนื่องจากพ่อท่านติดประชุม มีชาวชุมชน และเด็กนักเรียนสัมมาสิกขาฯ ร่วมฟังการเสวนา ในครั้งนี้ด้วย จบรายการเวลาประมาณ ๑๖.๐๐ น. ทางทีมงานของ ไททีวี เก็บรายละเอียด ในการถ่ายทำสถานที่ต่อ ส่วนผู้ร่วมเสวนา ก็แยกย้ายกันกลับ

จากนั้นผู้สื่อข่าวของเราก็สัมภาษณ์และสนทนา ซึ่งแต่ละท่าน ก็ให้ความเป็นกันเอง พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ "รู้สึกดีๆ กับบรรยากาศ และ การเสวนาที่นี่"

นายอับดุลลอฮ์ มานะจิตต์ "รู้สึกดีๆ ที่หลานๆ (เด็กนักเรียนสัมมาสิกขาฯ) ได้มาอยู่อย่างนี้ที่นี่ ส่วนมากที่เห็นเด็กอายุ ๑๕-๑๖ ปี กลางค่ำกลางคืน ขับรถผ่าน ก็เห็นเต็มบาร์ เต็มไนท์คลับไปหมด"

นายซัลมาน ลูกหยี โฆษกผู้ดำเนินรายการ "มองทะลุกรอบ" กล่าวว่า "จุดประสงค์ที่เลือกที่นี่ในการถ่ายทำ เพราะเห็นว่า ใกล้ สะดวก ในหลายๆด้าน และที่นี่ก็มีไมตรีจิตทุกๆอย่าง อีกอย่าง สภาพแวดล้อม ก็สอดคล้องกับรายการ ที่มีศาสนาธรรม ชี้นำสังคมด้วย"

รายการนี้ออกอากาศทุกวันอังคารเวลา ๒๑.๓๐-๒๒.๓๐ น. ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไททีวี ช่อง ๒ ระบบดิจิตอล.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


สัจธรรมชีวิต นำชีวิตที่ดีกว่า

ฉบับนี้เรานำประสบการณ์การทำกสิกรรมของเกษตรกรตัวอย่าง คุณลุงตุ้ม ศรีทอง ผู้ซึ่งเคยผ่านการอบรมโครงการ สัจธรรมชีวิต ของ ธ.ก.ส. ซึ่งจัดอบรมที่สีมาอโศก อ.เมือง จ.นครราชสีมา มาเล่าสู่กันฟัง

*เมื่อก่อน ลุงตุ้ม ศรีทอง เกษตรกรคนเก่ง ลูกค้าธ.ก.ส.สาขาด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ยังไม่มีที่ดินทำกิน เป็นของตนเอง ต้องไปทำงาน รับจ้าง หาเช้ากินค่ำ ต่อมาได้ขอเช่าที่ดินของเพื่อนบ้านมาทำการเกษตร หวังสร้างรายได้ที่มั่นคง ให้กับครอบครัว แต่ต้องประสบ ปัญหาฝนแล้ง ดินเสื่อมโทรมและราคาผลผลิตตกต่ำ ชีวิตของลุงตุ้มช่วงนั้นจึงล้มลุก คลุกคลานเรื่อยมา จนกระทั่ง ปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ได้สมัครเข้าเป็นลูกค้า ธ.ก.ส.ขอกู้เงินจำนวนหนึ่งมาใช้เป็นทุนหมุนเวียน ในการเกษตร และ ด้วยความขยัน ประหยัด อดออม ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ทำให้ลุงตุ้มมีเงินเหลือพอ ที่จะซื้อที่ดินการเกษตร เป็นของตนเอง และ ในวันนี้ ลุงตุ้ม เป็นเกษตรกรคนเก่งอีกท่านหนึ่ง ที่ประสบความสำเร็จในอาชีพ สามารถมีบ้าน รถบรรทุก และอุปกรณ์ การเกษตร อย่างครบครัน.
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(* จาก นสพ.เดลินิวส์ ๒๐ เม.ย.๔๖)

- ทีมข่าวสัญจร -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


- สัมภาษณ์ สมณะเดินดิน ติกขวีโร -

งานอโศกรำลึกที่เพิ่งจะผ่านไปมีข้อคิดอะไรบ้าง ปัญหาของชุมชนที่มีคนน้อย แต่งานหนัก มีวิธีแก้ไขแล้ว และกระแสของ แพทย์ทางเลือก ที่เข้ามาในหมู่ชาวอโศกแบบไหนดีที่สุด ณ บัดนี้ ขอเชิญพบกับคำตอบ จากท่านสมณะเดินดิน ติกขวีโร ได้แล้วค่ะ

*** ท่านได้ข้อคิดอะไรจากงานอโศกรำลึกที่ผ่านมาบ้างคะ ถ้าจะมีการตั้งคำถามว่า งาน ประจำปีของชาวอโศกงานไหน ที่ทำให้ ญาติธรรม กราบสมณะไม่ลงมากที่สุด

อาตมาว่าน่าจะเป็นงานอโศกรำลึกนี่แหละ แต่ละคนๆก็จะบ่นไปตามๆกันว่า กราบแทบไม่ลง แสดงให้เห็น ถึงระบบบุญนิยม ของเราค่อนข้าง ที่จะมีความอุดมสมบูรณ์ มีโรงบุญกินกัน อย่างเหลือเฟือ อิ่มหนำสำราญ และที่น่าสงสาร ก็คงจะเป็นเด็กๆ ได้ข่าวว่า เจ็บป่วยกัน เนื่องจากไอศกรีมกับ ของทอด ทั้งมันเยิ้ม ทั้งเย้นเย็น ปนเปกันไป ก็จะทำให้เด็กป่วย ไปตามกัน อันนี้ก็เป็นองค์ประกอบ แห่งความอุดมสมบูรณ์ ในระบบบุญนิยมของเรา แม้สังคมทุกวัน ค่อนข้างจะกระเบียด กระเสียร กันอย่างมาก

ส่วนในแง่ของเนื้อหาสาระในงาน ได้มีการระดมสมองกันในวันที่ ๘ มิ.ย. เพื่อวิเคราะห์จุดเด่น-จุดด้อยของ ระบบบุญนิยม มีประเด็นหนึ่งที่ ที่ประชุมพิจารณากันมาก ก็คือ เรายังมีจุดด้อย ในเรื่องของการจัดประชุม ยังขาดประสิทธิภาพ และ ได้เสนอ ให้มีการแก้ไขกัน ดังนี้

๑. ควรจะได้ประหยัดเวลาของพ่อท่าน โดยองค์กรที่นิมนต์พ่อท่านไปประชุม น่าจะนิมนต์พ่อท่าน เข้าร่วมเฉพาะ ในวาระ ที่สำคัญ วาระบางเรื่อง ที่พวกเราตกลงกันเองได้ ก็น่าจะนิมนต์ให้พ่อท่าน ได้ทำงานส่วนตัว โดยเฉพาะ งานเขียนหนังสือ ที่พ่อท่าน จะต้องทำเป็นหลัก พ่อท่านเองเป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณ ของชาวอโศกทั้งหมด ถ้าใครสามารถ ประหยัดเวลา ของพ่อท่านได้ ก็เท่ากับประหยัดเวลา ของชาวอโศก ทั้งหมดด้วย

๒. ได้มีการตกลงกันว่า ควรจะเป็นการประชุมที่ประหยัดเวลาของหมู่คณะเราทั้งหมด โดยการแต่งตั้ง คณะกลั่นกรอง วาระเรื่องราว ที่จะเข้าประชุมกันไว้ก่อน และบางเรื่อง ก็ควรที่จะได้ตั้งกระทู้กันมาก่อน ไม่ใช่ให้คนเป็นร้อยๆ มานั่งคิด เรื่องเล็กๆน้อยๆ หรือว่ามานั่งคิดเรื่องการเรียบเรียง ถ้อยคำ ซึ่งจะทำให้พวกเรา เกิดความเบื่อหน่าย เพราะว่า ทุกๆครั้ง ในงานประจำปีของเรา จะต้องมีการประชุม นั่งกันทั้งวัน ดังนั้น ต่อไปก็จะมีการกลั่นกรอง แล้วทำวาระ ให้ชัดเจน แล้วดำเนิน การประชุม ไปตามวาระ ก็จะทำให้พวกเรา ไม่ต้องประชุมกันอย่างเนิ่นช้า ยาวนาน

๓. สิ่งหนึ่งที่คิดว่า ทำให้การประชุมของเรายาวนาน คือการหลงวิสัยทัศน์ ยุคนี้เป็นยุคของคิดใหม่ ทำใหม่ เราจะมีเรื่อง คิดใหม่ทำใหม่ เสนอกันเข้ามาอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆที่ทุกวันนี้งานเก่าๆ บางทีเราก็ยังทำกันได้ ไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องใหม่ ก็เข้ามาอีกแล้ว ต้องพิจารณาอีกแล้ว หรือแม้แต่แต่ละปีๆ ในงานมหาปวารณา พวกเราก็จะลุ้นว่า จะมีพุทธสถาน ใหม่อีกหรือเปล่า โดยที่ปัญหาปัจจุบัน ที่พุทธสถาน เก่าๆ คนน้อยมาก อยากจะได้คนเพิ่ม สมณะน้อยมาก อยากจะได้ สมณะเพิ่ม คือพุทธสถานเก่าๆ แทบจะเป็นปัญหาเรื่องบุคลากร ค่อนข้างมาก แต่พวกเราที่มีวิสัยทัศน์ กว้างไกล ก็จะคิดใหม่ ทำใหม่ เพิ่มใหม่ไปเรื่อยๆ โดยของเก่า แทบจะไม่อยู่ในสายตาเลย ทั้งๆที่ของเก่าเป็นตัวหลัก เป็นตัวสำคัญ มาโดยตลอด หรือ พวกเราบางคน พอไปฟังเรื่องขยะสำคัญ ก็คิดจะทำแผ่นปลิว ขอรับขยะจากข้างนอก มาจัดการ รีไซเคิล เพราะขยะ คือทองคำ มองเห็นชัดเลยว่า ได้ขยะมา จะเอามาทำประโยชน์ ให้ได้มากที่สุด ทั้งๆที่ขยะในชุมชน ที่ตนเองอยู่ ก็มีตั้งมากมาย แต่ก็ไม่อยู่ ในสายตาเลยว่า เราจะจัดการแก้ปัญหา ในชุมชนของเราอย่างไร อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ว่า บางเรื่อง เราจะคิดใหม่ทำใหม่ ไปเรื่อยๆ โดยที่บางที เรื่องใกล้ตัวของเราเป็นปัญหา แต่เราก็มักจะมีแต่เรื่องคิดใหม่ คิดไกลไปเรื่อยๆ ทั้งๆที่ดูเหมือน เป็นเรื่องวิสัยทัศน์ ที่จะแก้ปัญหาของโลก โดยที่ใกล้ๆตัวเอง ยังมีปัญหาอยู่มากมาย วิสัยทัศน์ตรงนี้ ก็ทำให้เราต้องเสียเวลากันมาก เพราะว่า จะเป็นภาพลวงตา ที่น่าทำ น่าขยายงาน ทั้งๆที่ปัจจุบันนี้ ก็หาคนทำงานหลักๆ แทบไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าเราไปหลงวิสัยทัศน์ กันมาก ในข้อนี้ก็จะทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาไป ในการประชุมมาก

ส่วนข้อคิดที่ได้ในแง่ธรรมะ ในทำวัตรเช้า พ่อท่านเน้นกับเราไว้ประโยคหนึ่งอย่างสำคัญว่า เรื่องของศาสนาพุทธนี้ เรามีโอกาส จะเป็นโมฆบุรุษ หรือเป็นโมฆสตรีได้ อยู่ตลอดเวลา ถ้าเมื่อใด ที่เราเว้นวรรค หรือ หยุดในการเจริญกุศลธรรม ตรงนี้ น่าจะเป็น ข้อเตือนใจ ให้กับเราว่า เราจะต้องพยายาม ทำความขวนขวาย เจริญกุศลธรรม ให้ได้อยู่เสมอ เมื่อใดที่เราหยุด เราก็มีโอกาส หลุดไปเป็น โมฆบุรุษได้ ข้อนี้ในสมัยพุทธกาล แม้แต่พระอรหันต์บางรูป ยังถูกพระพุทธเจ้าตำหนิว่า เป็นโมฆบุรุษ ในบางที ที่ท่านไปทำเรื่องที่ไม่สมควรกระทำมา เพราะฉะนั้นในทิศทางของศาสนาพุทธ เป็นทิศทางที่เราจะต้องทำกุศล เจริญกุศลให้ได้อยู่ตลอดเวลาทีเดียว

*** ในชุมชนของเราแต่ละแห่งๆ จะได้ยินแต่คนบ่นกันว่างานหนักๆ แต่คนน้อย จะมีวิธีแก้ไข เรื่องงานหนักนี้ ได้อย่างไรบ้างคะ

พ่อท่านเองยืนยันกับพวกเราว่า ถ้าพูดถึงงานหนัก จริงๆพวกเรายัง ไม่หนักเหมือนกับคนทางโลกเขาหรอก คนทางโลก เขามีเวลานอนกัน ไม่กี่ชั่วโมง หรือ บางคนเขาต้องทำงานกลางแดด ทั้งวันทั้งเดือนทั้งปี ยิ่งพวกพ่อค้าขายอาหาร โต้รุ่ง เขาก็ไม่ได้หยุด พักผ่อนอะไรกัน ดังนั้น งานหนักของพวกเรา น่าจะมาจากความหนักใจ ความจริงการหนักในงาน ไม่เท่าไหร่ ถ้าใจชอบเท่าไหร่ๆ ก็ทำได้ แต่ถ้าหนักใจ แม้ทำน้อย ก็รู้สึกว่ามาก แม้ทำมาก ก็รู้สึกแทบใจจะขาด สาเหตุของการหนักใจ เป็นไปได้ หลายสาเหตุ ด้วยกัน เช่น

๑. หนักใจเพราะไปแบกกิเลสของคนอื่น เช่น เราจะต้องไปทำงานกับคนที่เขาอู้บ้าง ขี้เกียจบ้าง ดีแต่พูดบ้าง หรือ ชอบทำงาน เสนอหน้าบ้าง ตรงนี้เราก็ไปแบกกิเลส ของเพื่อนไว้หมดเลย ทั้งๆที่กิเลสของเขา เนื้อเราก็ไม่ได้กิน หนังก็ไม่ได้รองนั่ง แต่เราก็ไปเอา กิเลสของเขา มาใส่ใจ แขวนคอเราไว้ ทำให้เราหนัก เคยเจอเคยฟังชาวนาของเราบางคน เขาบอก อยู่บ้าน ทำนาตั้งเยอะแยะ ตั้งร้อยไร่ ไม่รู้สึกหนักเลย แต่พอมาทำนาในวัดแค่สิบกว่าไร่ โอ...หนักมาก เพราะว่า เจอคนไม่จริงบ้าง เจอคนดีแต่พูดบ้าง เจอคนที่อู้บ้าง จะต้องแบกกิเลสของเพื่อน ไปสารพัดหมด ที่หนักใจ เพราะไปแบกกิเลส ของเพื่อน ซึ่งเราไม่รู้ เท่าทันตัวเอง เหมือนที่พระพุทธเจ้าบอกว่า นาตัวเองไม่ทำ แต่เราไปทำนาของเพื่อนแทน

๒. หนักใจเพราะไปแบกงาน หลงงาน เป็นกัมมรามตา พวกนี้คงจะเหมือนกับพวกที่ชมรมบ้านกเขา หรือ ชมรมพวกบ้าบอล คือ วันคืนของเขา จะหลงใหล คลั่งไคล้ ยึดติด กับสิ่งที่ตัวเองไปหมกมุ่น จนลืมถึงเรื่อง การปฏิบัติธรรม วันคืนก็จะไปคิด แต่สิ่งที่เราทำ จนหัวปักหัวปำ จนเป็นความ ยึดติด อย่างคนเลี้ยงนกเขา คิดอะไร เขาจะมีแต่เรื่องนกเขา กลัวนกเขา จะตาย มีบางคน เลี้ยงนกเขาไว้ แล้วก็มีเหยี่ยวมาโฉบ เอานกเขาไปกิน เขาแค้นมาก ถึงกับจ้าง ให้คนไปตามฆ่า เหยี่ยวตัวนั้น เอามาสับ จนป่นละเอียด เป็นความผูกพัน จนกลายเป็น อาฆาตพยาบาท มันเป็นความหลงติดยึด อยู่กับงาน จนเรียกว่า ใครมาติเตียน หรือ ค้านแย้ง ก็จะรู้สึกว่า คนนั้นเป็นศัตรู เพราะความหลงติดงาน หมกมุ่นไปกับงาน เป็นกัมมรามตา นี้ก็หนัก เพราะว่า หมกมุ่นไปกับงาน จนไม่มีเวลาฟังธรรม ไม่มีเวลาศึกษาธรรมะ ไม่มีเวลาที่จะคิดนึก ตรึกตรองกับเรื่องธรรมะ

๓. หนักใจเพราะไปแบกอัตตาของตัวเอง ที่โตขึ้นเรื่อยๆ(อัตตาโต) โดยทำงานไปแล้วก็ไม่สามารถลดอัตตา ของตัวเองลงได้ นับวันๆ อัตตาของตัวเอง ก็ใหญ่ขึ้นๆ จากการงาน จนมีฉายาเป็นเจ้าแม่ห้องน้ำ เป็นเจ้าพ่อฐานงานนั้นๆ เพราะว่า พอได้ทำงาน ได้รับผิดชอบ อัตตาก็โตขึ้น แล้วเราก็ใช้อำนาจ ไปกับการงานนั้นๆ เราอาจจะทำงาน ประสบความสำเร็จเหมือน จิ๋นซี สร้างกำแพง เมืองจีนได้ มีผลงานมากมาย แต่ก็มีคนที่ลอบปลงพระชนม์ อยู่ตลอดเวลา งานสำเร็จ แต่เราไม่สามารถได้ใจคน แล้วก็มีศัตรู อยู่รอบทิศ อันนี้ก็เป็นเรื่องของหนักเหมือนกัน

๔. หนักใจเพราะเป็นพวกสายเดี่ยว เป็นพวกชอบทำงานคนเดียว เป็นพวกที่ชอบลุยแบบ ไม่ฟังเสียงใคร ไม่มีขบวนการกลุ่ม เลยทำให้ขาด ความอบอุ่น ไม่สามารถเอาการทำงาน กับการปฏิบัติธรรม มาอยู่รวมกันได้ ตรงนี้ก็จะทำให้ ทำไปแล้ว ก็หนัก เพราะว่า เราไม่สามารถ สังเคราะห์กับคนอื่น สุดท้าย เขาก็เลย ให้เราแบกไปคนเดียว เพราะเราจะต้องเอาให้ได้ อย่างที่ใจเราคิด เท่านั้นเอง

สิ่งเหล่านี้ก็คือปัจจัยที่ทำให้เราต้องทำงานหนัก เพราะแบกกิเลสคนอื่นก็ดี ไปแบกงานจนเป็นกัมมรามตาก็ดี เพราะแบก อัตตาของตัวเอง ที่เพิ่มขึ้นๆก็ดี หรือเป็นเพราะเป็นพวก สายเดี่ยว ที่ไม่สามารถทำงาน จนก่อเกิด ขบวนการกลุ่มได้ ก็ดี ถ้าแก้ปัญหา อย่างนี้ได้ ก็คิดว่า สุดท้าย งานของเราจะเบา จะทำไปได้กว้างไกล และมี ตัวตายตัวแทนได้ อยู่ตลอดเวลา

*** ทุกวันนี้กระแสของแพทย์ทางเลือกเข้ามาในหมู่กลุ่มของชาวอโศก ดูเหมือนมากมาย แล้วเราจะตัดสินใจเลือกอันใดดีคะ

มีคุณหมอท่านหนึ่งให้คำจำกัดความแพทย์ทางเลือกไว้อย่างชัดเจนว่า แพทย์ทางเลือก ก็คือการเลือก เอาสิ่งที่ดีๆ ของแต่ละทาง เอามาใช้ร่วมกัน ผสมผสานกัน แต่ถ้าย้อนถามว่า เรื่องอะไรดี ก็คืออันไหน ที่เขามีส่วนดี เราก็เลือก เอามาใช้ ให้หมดนั่นแหละ ก็ไม่เห็น จะต้องรังเกียจ หรือว่าน่าจะต้องผลักไสอะไร ที่น่าจะเป็นสาเหตุ ของการให้เกิดโรค ในพวกเรา ก็คือ การเจ็บป่วย ทางความคิด ซึ่งเกิดจากการที่จิตของเรา พุ่งไปแบบสุดขีด หรือ ตกขอบ หรือสุดๆ ไปอยู่กับเรื่องใด เรื่องหนึ่ง เพราะว่า สุขภาพโดย องค์รวม มันมีตั้ง ๗-๘ เรื่องด้วยกัน มีทั้งอาหาร อากาศ อารมณ์ ออกกำลังกาย เอาพิษออก อะไรต่างๆ นานา มันต้องอาศัยองค์ประกอบ อยู่มากมาย แต่ว่าเวลาเราได้รับกระแส เรื่องใดเรื่องหนึ่ง เข้ามา เราจะพุ่งไป กับเรื่องนั้น อย่างสุดๆ เหมือนที่ผ่านมา พอกระแสน้ำผักปั่นเข้ามา เราจะปั่นกัน ทั้งคืนทั้งวัน ซื้อเครื่องปั่น มาปั่นให้วุ่น ทั้งชุมชน ไม่รู้ว่า ตอนนี้ เอาไปชั่งกิโลขายกันหมดหรือยัง หรือว่าพอยุคฝังเข็มเข้ามา โอ้โห...เห็นพวกเรา มีเข็มฝังอยู่บนหัว เดินไปเดินมา เหมือนกับมนุษย์อวกาศ หรือว่าช่วงนี้ ยุคดีท็อกซ์เข้ามา ดูเหมือนว่า เราจะแข่งกันทำสถิติการดีท็อกซ์ หรืออย่างไรก็ไม่รู้ คุยๆกัน เห็นบางคนทำวันละ ๑๐ กว่าครั้ง จนรู้สึกว่า คงจะตั้งใจทำให้ลำไส้ของเรา ขาวสะอาด หมือนลำไส้หมูที่ล้างแล้ว เพราะเจตนา ของผู้ทำ คงจะให้สะอาด บริสุทธิ์ถึงขนาดนั้น หรือว่าพอกระแสแมคโครฯเข้ามา เราก็จะเน้นอาหาร เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง โกรธขึ้นมา ก็เพราะเป็นอาหาร ไม่สบายใจขึ้นมาก็เป็นเพราะอาหาร เหมือนกับว่า คำตอบของทุกอย่าง อาหารคือคำตอบ แค่กินกล้วยเข้าไปไม่กี่ลูก รู้สึกว่าจะเป็นจะตายขึ้นมาเลย ทั้งที่แต่ก่อน กินขนมเข้าไปตั้งมากมาย ก็ไม่เป็นไร อาตมาคิดว่า นี้เป็นการป่วยทางจิต ที่เราไปสุดขีด หรือปักดิ่งจนเกินไป กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อย่างเรื่องแมคโครฯ ที่เขาเน้นเรื่อง ความสำคัญ ของอาหาร แต่ก็จะโต่งไป กับอาหารอย่างเดียว จนพ่อท่านเสนอว่า น่าจะใช้สูตรแมคโคร โพธิรักษ์ คือเราก็กิน ผสมผสานกันบ้าง เพื่อให้ร่างกาย มีภูมิต้านทานบ้าง ไม่ใช่จืดก็จืดสนิทไปเลย พอไปเจออะไร ที่เผ็ดนิดๆ หน่อยๆ พวกเรา ที่กินจืดๆ มากๆ แค่กินหอมกระเทียม ก็ไม่ไหวแล้ว น้ำหูน้ำตาไหลแล้ว เหมือนกับคนที่ไม่มี ภูมิต้านทานร่างกายเลย หรือ บางคนยึดว่า ต้องกินน้ำสะอาด ต้องเอาน้ำไปต้ม ให้สุกอย่างเดียว ซึ่งหมอแผนปัจจุบัน เขาก็วินิจฉัยว่า ถ้ากินน้ำสุกไปตลอด จะทำให้ร่างกาย อ่อนแอ เพราะร่างกายเจอแต่ของสะอาดเกินไป ภูมิต้านทานก็เลยไม่มี เราก็ควรจะดื่มน้ำดิบ สลับกันไป สลับกันมา ดังนั้น ชีวิตเราก็คงจะผสม ผสานกัน อาตมารู้สึกว่า อย่างชาวไร่ชาวนา ที่เขาอายุยืน ๙๐ ปี ๑๐๐ ปี เขาไม่มีความรู้ อะไรมากมาย เขาก็กินอยู่ธรรมดา เขาไม่รู้เรื่องดีท็อกซ์ แต่เขาก็อายุยืน แต่ของเรานี่รู้กันมากๆ ไม่รู้จะตายเร็ว ก่อนคนที่ ไม่รู้อะไรเลย หรือเปล่า สมณะเราก็ตั้งข้อสังเกต เหมือนกันว่า สมณะที่ท่านเดินจาริก ไม่ต้องพูดถึง เรื่องข้าวกล้อง ถั่ว งา ได้แค่เกี้ยมไฉ่ ก็ดีแล้ว อาหารก็มีแต่พิษทั้งนั้น มีข้าวขาว เกี้ยมไฉ่ที่มีแต่เกลือ โดยเฉพาะขนม ที่มีแต่น้ำตาล แต่พวกเรา ที่เดินจาริก ก็รู้สึกว่า ตอนเดินจาริก ร่างกายแข็งแรงดี ตอนอยู่พุทธสถาน ที่มีอาหารสมบูรณ์ ร่างกายกลับอ่อนแอ แพ้นั่นแพ้นี่ อยู่ตลอดเวลา ตรงนี้ก็จะได้ข้อคิดว่า วิถีชีวิตหรือสุขภาพที่ดี ก็คงขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ หลายๆส่วน ที่เราคงจะให้ ความสำคัญ เป็นองค์รวม จะไม่ปักดิ่ง หรือสุดโต่ง หรือจมดุ่ยไปกับเรื่องใด เรื่องหนึ่ง ถ้าเป็นอย่างนี้ เราเองก็คงจะกลายเป็น หนูทดลองยา ที่เรื่องอะไรมา ก็วิ่งสุดๆ ไปกับเรื่องนั้น ตลอดเวลา ไปๆมาๆ ก็เลยตายก่อนที่สุขภาพจะดีได้

คงชัดเจนนะคะ ที่บ่นว่างานหนักนั้น ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แต่คือว่าเราลดกิเลสได้ไม่มากพอต่างหาก เพราะหากว่า เราทำงานถูกต้องตาม สัมมาอาริยมรรคมีองค์ ๘ จะรู้สึกเบา และมีความสุขขึ้นเรื่อยๆ แม้งานจะมากมายเพียงใด ก็ตาม เมื่อจิตใจดี สุขภาพดีก็จะตามมา เพราะสามารถนำส่วนดีๆ ของแพทย์ทางเลือก มาปรับใช้กับตนเองได้ อย่างมีวิจารณญาณ.

- ทีมข่าวพิเศษ -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


บูรณาการ การศึกษา
การเรียนรู้โลกุตรธรรม
จะหลุดพ้นจากโลกียะ

ร.ร.สัมมาสิกขาสันติอโศก จัดประชุมสัมมนา การจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๓ มิถุนายน ๒๕๔๖ ณ พุทธสถานสันติอโศก โดยเชิญคุรุ จากโรงเรียนสัมมาสิกขา ๑๔ แห่งทั่วประเทศ และผู้ที่สนใจ เข้าร่วมการประชุม สัมมนาครั้งนี้ มีผู้มาลงทะเบียน ทั้งสิ้น ๗๐ คน โดยไม่รวมสมณะ-สิกขมาตุ จากสัมมาสิกขาแต่ละแห่ง ที่เข้าร่วมรับฟัง

ปัจจุบันมีโรงเรียนสัมมาสิกขาที่ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานกองการศึกษาเอกชน เป็นโรงเรียนเอกชนการกุศล ตามมาตรา ๑๕ (๓) ภายใต้การกำกับดูแล ของสำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาเอกชน จำนวน ๗ แห่ง คือ ร.ร.สัมมาสิกขาศีรษะอโศก, ร.ร.สัมมาสิกขาปฐมอโศก, ร.ร. สัมมาสิกขาสันติอโศก, ร.ร.สัมมาสิกขา หินผาฟ้าน้ำ, ร.ร.สัมมาสิกขาราชธานีอโศก, ร.ร.สัมมาอาชีวสิกขาศีรษะอโศก และ ร.ร.สัมมาอาชีวสิกขาปฐมอโศก

ตลอดการสัมมนาทั้ง ๓ วัน วิทยากรจากสำนักงานเลขานุการรัฐมนตรีและกรมวิชาการได้มาบรรยายให้ความรู้ รายละเอียด เกี่ยวกับวิธีเขียนหลักสูตร สถานศึกษา ตามหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน ปี พ.ศ.๒๕๔๔ ตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐-๑๗.๐๐ น.

วันแรกของการประชุมสัมมนา พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ให้โอวาทเปิดการประชุมสัมมนา สรุปได้ว่า "ชีวิตคนเราเกิดมาเพื่อศึกษา คนไม่ศึกษา คือเศษสวะของสังสารวัฏ ถ้าเรียนรู้โลกุตรธรรม ก็จะหลุดพ้นจากโลกียะ ศาสนาพุทธเหนือธรรมชาติ สามารถดับ เหตุแห่งการเกิดได้ ขอให้ตั้งใจทำงานกัน เพื่อการศึกษา"

ในวันที่ ๒ ของการสัมมนา รศ.บุญนำ ทานสัมฤทธิ์ ที่ปรึกษา รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ ได้มาพบปะ พูดคุย ให้กำลังใจ แก่คุรุสัมมาสิกขา หลังจากนั้น คุรุแต่ละแห่ง ถ่ายรูปร่วมกับพ่อท่านและวิทยากร

ในวันสุดท้าย หลังจากที่ดร.สมนึก ธาตุทอง ได้มาบรรยายเรื่องการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว มีการร่วมสนุก โดยให้ผู้เข้าร่วม ประชุมสัมมนา ทดสอบตนเอง ว่าเป็นคนประเภทใด เช่น กระตือรือร้น, นักคิด, ช่างระมัดระวัง และ มีมนุษยสัมพันธ์ เพื่อจะได้แก้ไข ปรับปรุง ให้ดียิ่งๆขึ้น

การสัมมนาสิ้นสุดลงในเวลา ๑๓.๐๐ น. ตัวแทนแต่ละแห่งได้เปิดใจถึงการมาร่วมการสัมมนาครั้งนี้ โดยคุรุมิ่งหมาย บุญเฉลียว เป็นตัวแทน รายงานให้ที่ประชุมทราบ

พ่อท่านให้โอวาทปิดการประชุม สรุปได้ว่า "ชีวิตถ้าไม่ศึกษาจะไม่มีคำตอบ การศึกษาของพระพุทธเจ้าสูงสุด คือ นิพพาน ภาพลบชาวอโศก ในกระแสสังคม กำลังจะเลือนหายไป ภาพบวกกำลังได้รับการยอมรับขึ้นมา เหมือนดอกไม้ ที่กำลังเริ่ม เป็นดอกเล็กๆ มีกลิ่นนิดๆ มีสีนิดๆ เพราะฉะนั้น เราต้องมาเร่งรัดพัฒนาตัวเรา มาสังวรสิ่งที่บกพร่อง เป็นตัวอย่างที่ดี ให้แก่รุ่นที่ จะสืบทอดต่อไป

การศึกษาของเราเป็นการศึกษาอย่างอาริยชน ไปสู่การเจริญสูงสุด คือ กล้าจนอย่างแท้จริง เราล้ำยุคไปทั้งโลก และ ต้องบูรณาการ ให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้ เครื่องมือวัดมาตรฐาน ของความเป็นคน คือ วรรณะ ๙ เราพัฒนาตัวเรา สังคมก็ได้รับ ประโยชน์ ตามไปด้วย จบกิจเป็นอรหันต์เมื่อใด ประโยชน์ตนก็สิ้นสุดลง เป็นประโยชน์ท่านอย่างเดียว ขอให้ทุกคน มีกำลังวังชา มีจิตใจ แข็งแรง ขอให้ตั้งใจ I hope so" (เสียงลูกๆ ตอบกลับมาว่า I will try)

สำหรับวิทยากรที่มาบรรยาย ได้ให้สัมภาษณ์ ดังนี้
อาจารย์ไตรรงค์ เจนการ "รู้สึกร่มเย็น ธรรมชาติ ไม่นึกว่าจะมีที่นี่ในกลางกรุงเทพฯ เป็นแดนแห่งกัลยาณมิตร มีความเป็นมิตร เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ ซึ่งกันและกัน ซึ่งหาได้ยากในโลกปัจจุบันนี้ ที่เป็นโลกแห่งความแก่งแย่ง เห็นแก่ตัว เป็นแดนที่น่าจะมีเยอะๆ การศึกษาที่นี่ เน้นการทำงาน มาพูดจึงสบายใจ เน้นได้เลย จึงง่ายขึ้น ในเรื่องการวัดผลประเมินผล ในการทำงาน"

อาจารย์ระวิวรรณ ภาคพรต "รู้สึกแปลก พวกคุณเสียสละตามความเชื่อความศรัทธาของพวกคุณ รู้สึกทึ่ง เราเรียนรู้ว่า พลังศรัทธายิ่งใหญ่ สร้างดีหรือไม่ดีก็ได้ พวกคุณใช้พลัง ในการสร้างคน สร้างสังคม มันดีนะ มีสติปัญญา ได้ทำอย่างดี ก็ยินดี ที่ได้รู้จัก"

น.ส.ฟังฝน จังคศิริ คุรุสัมมาสิกขาสันติอโศก "ที่จัดสัมมนาขึ้น เพราะต้องการทราบว่า การจัดทำหลักสูตร สถานศึกษา มีองค์ประกอบ อย่างไรบ้าง มีการวัดผลใหม่ๆ มีการจัดทำรายวิชา มีการเรียนการสอน ที่แตกต่างไป จากเดิมไหม แล้วเชิญ สัมมาสิกขา ในเครือข่ายต่างๆ เข้ามารับฟัง ฟังแล้ว เราได้เห็นว่า สัมมาสิกขาบูรณาการมาก่อนแล้ว ทำให้เราชัดเจน ไม่กังวล กับเรื่อง ของวิชาการ เพราะในงานอาชีพ มีวิชาการ ใน ช.ม.วิชาการ เด็กจะสนุก เพราะฉะนั้น เราจะพัฒนาเด็กได้ดี งานก็ได้ดี ชุมชน สังคม หน่วยงานของเรา ก็จะพัฒนาไปได้ ตรงตามที่เราต้องการ แล้วทุกอย่าง เราสามารถโยง เข้าสู่มาตรฐาน ของชาติ ได้หมดแล้ว"

ดร.บรรเจอดพร สู่แสนสุข "ไม่ได้มาชมที่นี่ แต่มีทัศนคติที่ดีกับที่นี่อยู่แล้ว เป็นพื้นฐานความคิด มีคนบอกว่า มาที่นี่ เขาไม่มีซองให้หรอกนะ ก็บอกเขาว่า รู้แล้วว่าไม่มี แต่เรารู้ว่าที่นี่ เรามีศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว เรารู้ว่าที่นี่ มีแนวความคิด ทำงานเพื่อชุมชน ไม่ได้หวังประโยชน์ แล้วเราก็เป็นลูกค้าของ ชมรมมังสวิรัติ เราก็เห็นการทำงาน ของเขาอยู่ การที่มาที่นี่ ก็ยินดีมานะคะ อยากจะมา แม้งานจะยุ่ง เพราะรู้ว่าคนที่นี่ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ก็เต็มใจมาค่ะ"

ดร.สมนึก ธาตุทอง "มาแล้วประทับใจ มีคนมาคอยดูแล ต้อนรับ ซึ่งเขาก็ ไม่รู้จักเรา แต่เขาก็ถามว่า มาติดต่ออะไร จอดรถ ตรงนี้ก็ได้ ก็บอกเราอย่างดี เขาไม่รู้ว่าผมเป็นใคร ผมก็เดินมา สักพักเขาเห็นผม หิ้วกระเป๋า เขาก็ตามเด็กไป ๒-๓ คน ช่วยยก กระเป่า เราก็เอ้อ.. มาเราก็ต้องยกเองอยู่แล้ว แต่นี่มีคนไปช่วยยก เขาไม่รู้หรอกว่า เราเป็นใคร มาทำอะไร รู้แต่ว่า เรามาที่นี่ เขาก็มาช่วยเรายก ผมวางกระเป๋า แล้วก็เดินเตร่ๆไป สังเกตบรรยากาศ จนสุดท้าย มีคนไปบอกว่า น่าจะเป็นวิทยากรนะ เพราะผม ให้รถกลับไปแล้ว เมื่อเดินดูบริเวณร่มรื่นดี การจัดทำหลักสูตรตรงนี้ รวมกลุ่มกันดีแล้วครับ มีอะไรปรึกษากัน ช่วยกัน เพราะเราไม่เข้าใจหรอกว่า สิ่งที่เราทำไป ใช่หรือไม่ ปัญหาส่วนหนึ่ง ของหลักสูตร หลายคนทำไปแล้ว ขาดความมั่นใจว่า ใช่หรือไม่ ที่นี่ที่เราได้มาเสวนากัน มาคุยกัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ทำให้การทำหลักสูตร ทำให้เรามั่นใจ มากขึ้น แต่จะมั่นใจ ขนาดไหน สิ่งที่ต้องอิงไว้ก็คือ หลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐาน ๒๕๔๔ ต้องยึดเล่มนั้น เป็นหลัก และ ต้องถึงสาระ เป็นมาตรฐาน ตรงนี้เป็นกฎหมาย ส่วนคู่มือ สาระ ผังมโนทัศน์ การจัดการเรียนรู้ พวกนั้น เป็นเอกสารประกอบทั้งสิ้น รู้เป็นแนว ยึดหลักสูตร เล่มเขียวเป็นหลัก".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


อาหารที่ทำให้อารมณ์ดี
- กิ่งธรรม รายงาน -


เมื่อไม่นานมานี้ ที่ศูนย์วิจัยเนสท์เล่ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนอันสวยงาม ได้เผยแพร่ผลงานวิจัยของ ศาสตราจารย์ แอนดริว สมิธ แห่งมหาวิทยาลัยคาร์ดิฟ ซึ่งได้ทำการวิจัยศึกษาทดลองพิสูจน์ ให้เห็น อย่างใช้กระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ เป็นครั้งแรก พบว่า การบริโภคอาหารที่มีกากใยสูง มีผลดีต่อสุขภาพจิต คือทำให้คนมีอารมณ์ดี มีความเครียดน้อย ทนต่ออารมณ์ ทุกข์โศกได้ดี ทนต่อความกดดันทางอารมณ์ได้สูง และยังมีความจำดี รับรู้ข้อมูลข่าวสาร ได้เร็วกว่า คนที่ กินอาหาร ที่มีกากใยน้อยอีกด้วย

นอกจากนั้นอาหารที่มีกากใยสูง ยังสามารถช่วยลดความเหนื่อยล้าของร่างกายได้ดีกว่าคนที่กินอาหารที่มีกายใยน้อยได้ด้วยค่ะ จะไม่ดีกว่าได้อย่างไรละคะ เพราะสามารถขับพิษออกจากร่างกายได้เร็วกว่ามาก

ค่ะ อโศกพันธุ์แท้ก็ต้องกินอาหารที่มีกากใยสูงด้วยนะคะ คือข้าวกล้อง ผักผลไม้ เพราะเป็นเหตุส่งเสริมให้พวกเรา อารมณ์ดี กันทุกๆ คน จะได้ไม่โศกไม่เศร้า ให้สมชื่อ "อโศก" ยังไงละคะ นอกจากจะกินอาหารที่มีกากใยสูงแล้ว พวกเรายังต้อง ควรลดอาหาร ที่มีรสหวาน และพวกไขมันด้วยนะคะ เพราะหมออารีย์บอกเราแล้วนะคะว่า อาหารหวาน มัน จะไปมีผล ต่ออารมณ์ ทำให้เป็นคนขี้หงุดหงิด โมโหง่าย ส่วนที่มีโทษต่อร่างกายอย่างไร คงไม่ต้องพูดถึงกันแล้วนะคะ คงรู้ๆกันอยู่

ค่ะ เรามาช่วยกันเสริมสร้างอารมณ์ให้ดีๆ ด้วยอาหารที่มีกากใยสูง และลดอาหารหวานๆมันๆกันดีกว่านะคะ เพราะอารมณ์ สำคัญที่สุด ประการหนึ่ง ที่จะทำให้เรามีสุขภาพดี มีภูมิต้านทานโรคดี

เรื่องที่ พระพุทธเจ้ากล่าวไว้เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปีว่า "อาหารเป็นหนึ่งในโลก" ก็ค่อยๆได้รับการพิสูจน์ให้เห็นกันทีหลัง สัจธรรม ที่พระพุทธองค์ ทรงค้นพบ คงทนต่อการพิสูจน์ เป็นอกาลิโกจริงๆนะคะ.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ม.วช.สันติอโศก "รับเพื่อนใหม่"
นิมนต์พ่อท่านอบรมพิเศษ
รุ่นพี่ต้อนรับรุ่นน้องอย่างอบอุ่น

นิสิตสัมมาสิกขาลัยวังชีวิต วิชชาเขตสันติอโศก จัดงานรับเพื่อนใหม่ ปีการศึกษา ๒๕๔๖ ภายใต้บรรยากาศอบอุ่นสบายๆ เป็นไป อย่างเรียบร้อย ง่าย งาม ณ พุทธสถานสันติอโศก โดยตารางการจัดงานกำหนดเริ่มงาน ๑๘.๐๐ น. ของวันอาทิตย์ที่ ๑๕ มิ.ย. กระทั่ง สิ้นสุดงานในวันจันทร์ที่ ๑๖ มิ.ย.๔๖

 

บรรยากาศของงานเริ่มอบอุ่นคึกคักตั้งแต่เริ่มลงทะเบียนบริเวณใต้โบสถ์สันติอโศก ความกระตือรือร้น ของบรรดา นิสิตใหม่ ทำเอานิสิต ปีสอง และปีสาม ต้องรีบอนุโมทนาสาธุ เพราะพวกเขาต่างมาถึงจุดลงทะเบียน ตรงตามเวลา ที่นัดหมายไว้ อย่างมีพลัง

สมณะกล้าจริง ตถภาโวและสิกขมาตุผาแก้ว ชาวหินฟ้า ให้โอวาทเปิดงานที่ลานหิน ชั้นล่างของพระวิหารพันปีฯ ต่อจากนั้น ความมืด ของค่ำคืน เริ่มค่อยๆโรยตัวลงมา แสงเทียนหลายเล่ม ถูกจุดสว่างไสว ล้อมกรอบเป็นวง ต่อหน้านิสิต

เวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น. นิสิต ปีสามพาเพื่อนใหม่ทำกิจกรรม รับรู้ความรู้สึกที่มีต่อกัน เพื่อจุดประกาย ความเป็นเพื่อน ที่จะต้อง สมัครสมาน หลอมรวมใจ มากยิ่งขึ้น ตามวันเวลา ของการคบคุ้น ปิดท้ายค่ำคืนนี้ ด้วยการสงบจิต พักความคิด กับกิจกรรม อื่นๆ มาพอสมควร (สวดมนต์และ นั่งเจโตสมถะ) ก่อนไปพักกันที่บ้านดอกไม้ สำหรับนิสิตฝ่ายหญิง และที่ลานหิน สำหรับ นิสิตฝ่ายชาย

อรุณเบิกฟ้าจันทร์ที่ ๑๖ มิ.ย. สถานที่นัดหมายเพื่อเข้าสู่กิจกรรมวิถีคนกล้า คือชั้นบนสุด ของพระวิหารพันปีฯ รับฟังโอวาท ตามแบบวิถีคนกล้า จากสมณะกล้าจริง ตถภาโว สิกขมาตุผาแก้ว และการแสดงละคร ของนิสิต แต่ละกลุ่ม เช้าวันนี้ ที่ศาลาฟังธรรม ช่วงก่อนฉัน มีกิจกรรม เปิดตัวนิสิตปี ๑ ทั้ง ๙ คน ให้พี่น้องชาวชุมชน ได้รู้จักหน้า (ที่แสนคุ้นตา) อย่างเป็นทางการ

หลังเสร็จกิจกรรม ๐๙.๐๐ น. พ่อท่านเปิดโอกาสให้นิสิตเข้าพบและฟังธรรม บรรยากาศของงานใต้โบสถ์ สดชื่น เบิกบาน ในธรรม ทั้งคุรุ นิสิต และพี่น้องชาวชุมชนผู้สนใจ อิ่มในธรรมช่วงหนึ่งแล้ว นิสิตและคุรุนัดเติมอาหารอิ่มท้อง ที่ลานหิน ชั้นล่าง พระวิหาร สร้างความประหลาดใจ ด้วยผักสด ผักลวก ข้าวสุก เท่านั้น แต่ขณะกินไปเรื่อยๆ (อย่างไม่รู้ว่าคิดอะไรกันอยู่) นิสิตปีสาม ก็เริ่มขนเตา และถังแก๊ส อีกทั้งอาหารหลากหลาย ที่ซ่อนไว้ออกมาให้โล่งใจ และยิ้มได้

งานนี้ นิสิตปี ๒,ปี ๓ และคุรุขอแสดงความยินดีต้อนรับนิสิตใหม่ทุกคน ปีหน้ากิจกรรมนี้ จะเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อใคร (หลายคน) จะก้าวเข้ามาสู่รั้ว สัมมาสิกขาลัยวังชีวิต วิชชาเขต สันติอโศกแห่งนี้.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

นสพ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๒๐๙(๒๓๑) ปักษ์หลัง ๑๖-๓๐ มิ.ย.๔๖
เจริญธรรม สำนึกดี พบกับข่าวเก็บมาฝากในแวดวงชาวเรากันอีกครั้งกับ "หน้าปัดชาวหินฟ้า"

ไม้ปฤษณา...ข่าวในวงการชาวเราช่วงนี้ เรื่องไม้กฤษณารู้สึกว่าจะมาแรง เพราะเป็นไม้ที่กำลังนิยมกันมาก สำหรับ คนภายนอก จนคนภายใน ก็จะนิยมตาม เพราะเห็นว่า เป็นไม้ที่จะสร้างรายได้ อย่างเป็นกอบเป็นกำ จนมีคนนำเรื่องนี้ เป็นโครงการ ขอเกื้อเงิน จากกองบุญสวัสดิการ และ กลุ่มสัจจะออมทรัพย์สันตินาครบุญนิธิ

จิ้งหรีดได้มีโอกาสเข้าไปฟังการประชุมพิจารณาการอนุมัติเงินว่า สมควร หรือไม่ โดยมีพ่อท่านเป็นประธาน พ่อท่าน ได้ให้นโยบาย แก่พวกเราว่า จะต้องเป็นนโยบาย ที่จะฝึกคนให้มาจน โดยเฉพาะชาวเรา ที่พ่อท่านพาทำอยู่ คือให้ปลูก เพื่ออยู่เพื่อกิน เช่น ปลูกข้าวกล้อง ถั่วงา กินผักพื้นบ้านพึ่งตัวเอง นโยบายอะไร ที่จะพาให้คนรวย ก็เป็นของคน ข้างนอก ส่วนชาวอโศก ต้องพากันจน ถ้าใครมุ่งรวย จิ้งหรีดคิดว่า แม้ไม้กฤษณา จะมีค่าในสายตาชาวโลก ก็จะกลายเป็นไม้ปฤษณา ให้ชาวโลกสับสน ในแนวบุญนิยม ได้เหมือนกันนะฮะ...จี๊ดๆๆๆ .....

ยุคไอที...วันพุธที่ ๒๕ มิ.ย.ที่ผ่านมา ปกติจะไม่มีการทำวัตรเช้า แต่วันนี้พ่อท่าน เมตตาเทศน์เป็นพิเศษ ที่สันติอโศก เรื่องที่พ่อท่านเทศน์ ก็เป็นเรื่องเร่งด่วน กรณีการปลูกต้นกฤษณานั่นเอง ซึ่งพ่อท่านเกรง จะเห็นเงินแล้วตาโต เพราะการปลูก ไม้หอมชนิดนี้ ซึ่งจะเป็นการทำลาย หลักการบุญนิยม ที่พ่อท่านได้สอนไว้ โดยให้พวกเราเข้าใจชัดว่า เป็นเรื่อง เสียหาย สำหรับชาวอโศก ที่มุ่งปลูกเพื่อเงิน เปรียบดังโรคซาร์ส ของชาวบุญนิยมเลย ทีเดียว

แต่สำหรับชาวโลกแล้ว ก็ดีกว่าส่งเสริมให้ทำน้ำเมา บ่อนการพนัน หวยเบอร์ หรืออบายมุขต่างๆ

จิ้งหรีดก็ขอให้ชาวเราฟังเทศน์ครั้งนี้ ด้วยสติว่า การปลูกต้นกฤษณานั้นดี แต่ไม่ดีอย่างไร ก็จับประเด็นให้ชัด และ อย่าปล่อยใจ ให้ชัง หรือไม่พอใจคน เวลาพูดวิจารณ์ จะได้ไม่มีอคติ เป็นเชื้อโรคซาร์ส อีกแบบหนึ่งนะฮะ

การเทศน์ครั้งนี้ของพ่อท่านถ่ายทอด ให้ชาวเราทั่วประเทศ ได้ฟังกันแบบสดๆ ถึง ๗ แห่ง แถมเทศน์เสร็จแล้ว ยังอัด ก็อปปี้ ส่งไปยัง กลุ่มญาติธรรมต่างๆ อีกทั่วประเทศ เพื่อความรวดเร็ว ยังกะการควบคุมโรคหวัดมรณะ (ซาร์ส) ที่กระทรวง สาธารณสุข ทำได้ผลมาแล้ว

แต่พ่อท่านเทศน์ให้ยาแก่ชาวอโศกครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะป้องกันหรือควบคุมได้ขนาดไหน ก็คงขึ้นอยู่กับชาวเรา แต่ ยังไงๆ ก็ทันสมัย สมเป็นยุค ไอทีอยู่แล้ว จริงไหมฮะ...จี๊ดๆๆๆ .....

คัมแบ๊ก...จิ้งหรีดที่สันติอโศกรายงานมาว่า ได้เห็นคุณวิรัช หลวงจอก อดีตนาคเมื่อสิบกว่าปีก่อน สนทนาพูดคุย กับญาติธรรม ด้วยกัน ที่ชั้นล่าง ตึกฟ้าอภัยใหม่ จิ้งหรีดจึงรีบไปฟังใกล้ๆ ตามประสาจิ้งหรีด ก็รู้ว่า คุณวิรัช (ขออภัย ถ้าสะกดชื่อผิด) กลับมาคราวนี้ เพราะรู้สึกว่า ตัวเองไม่ค่อยได้อะไร จากการไปอยู่ทางโลกมา ก็อยากหวนกลับมา ปฏิบัติธรรม ในวัดอีกครั้ง ยิ่งได้ฟังธรรมพ่อท่านเทศน์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๒ มิ.ย.๔๖ ก็ยิ่งเข้าใจ และกำลังคิดว่า จะไปเริ่มอยู่วัดไหนก่อนดี ที่ผัสสะไม่มากเกินกำลัง จะได้พอปรับตัวได้ จิ้งหรีดได้ฟังแล้ว ก็ขอให้กำลังใจนะฮะ สำหรับผู้หวนกลับคืน สู่บ้านเดิม เพื่อการ พัฒนาตัวเอง ในทางธรรม อย่างน้อย ก็ยังดีกว่ากลับบ้านเก่านะฮะ...จี๊ดๆๆๆ .....

เอาหัวเป็นประกัน...จิ้งหรีดเดินผ่านมาที่หน้าธรรมโสต สันติอโศก เห็นช่างตัดผม ๒ คนถกเถียงกันใหญ่ เรื่อง ทรงผม ของญาติธรรม ชายหนุ่มคนหนึ่ง นามว่า ร้อยเมฆ การถกเถียงกันเป็นเรื่องทรงผม โดยต่างฝ่าย พยายามตัดผม ให้ดีที่สุด ตามแนวบุญนิยม เพราะตัดผมฟรีทุกระดับ แต่ที่น่าตื่นเต้น ตกใจแทน ผู้มารับบริการ ที่นั่งทำตาปริบๆ หรือ อาจจะมีผวา อยู่หน่อยๆ (หรือเปล่า?) จิ้งหรีด มิอาจหยั่งรู้ได้ แต่ถ้าเป็นความรู้สึกของจิ้งหรีด ก็คงรู้สึกผวาอยู่เหมือนกัน เพราะช่างตัดผม ทั้ง ๒ ถกเถียงกันรุนแรง แบบยังไม่มีใครกล้า เข้าไปตัดสินว่า ของใครจะตัดได้เจ๋งกว่าใคร ใครที่เดินผ่านมา เห็นการถก ทิฏฐิของช่างทั้ง ๒ ก็ต้องหันมามอง หรือไม่ก็ต้องยืนเอาใจช่วยลุ้น หัวนายร้อยเมฆ ที่เอาหัวมาเป็นประกัน เพราะไม่รู้ จะลุกหนีไปไหน คือเห็นใจก็เห็นใจในความปรารถนาดี ของช่างตัดผม ที่กำลังวิเคราะห์เจาะลึก เพื่อได้ทรงผม ที่ดีที่สุด แต่กลัวก็กลัว คือ กลัวช่างตัดผม มีอารมณ์ ซึ่งจะส่งผลถึง ทรงผมของตัวข้าฯ ว่า วันนี้จะออกมา แบบไหนหนอ ดีว่าจิ้งหรีด ไม่มีผม จึงไม่คิดอะไรมาก และผู้รับบริการสิ คงรู้สึกตื่นเต้นกับเหตุการณ์นี้ มากกว่าครั้งใดๆ แต่ในที่สุด นายร้อยเมฆ ก็ได้ทรงอโศก ที่ดูดี หน้าตาหนุ่มกว่าตอนผมยาว แต่ไม่รู้ว่า จะกล้าเอาหัวมาประกัน เช่นนี้อีกหรือเปล่า! แต่สำหรับ จิ้งหรีดแล้ว บรื้อ..อ..อ เห็นแล้ว หนาวขนหัวฮะ...จี๊ดๆๆๆ .....

ขบวนการกลุ่มนิสิตบ้านราชฯ...ปีนี้นิสิตใหม่บ้านราชฯ นอกจากจะมากกว่าวิชชาเขตอื่นๆแล้ว ยังมีความก้าวหน้า ในหลาย เรื่องๆ เช่น การบอกสักกายะของตนเอง ต่อที่ประชุม โดยเพื่อนต้องรับรองว่า ที่บอกมานั้น ใช่หรือไม่ หากไม่ใช่ เพื่อนๆ จะช่วย บอกให้ แล้วให้การบ้านไปหาวิธีแก้ไข สักกายะ ของตนเองมานำเสนอ ในที่ประชุม ในชั่วโมงเรียนต่อไป อย่างนี้ ไม่บรรลุธรรม เป็นทีม ให้รู้ไป

เรื่องต่อมา นอกเหนือจากงานประจำที่ต้องรับผิดชอบแล้ว มีการแบ่งนิสิตทั้งเก่า-ใหม่เป็น ๔ กลุ่ม หมุนเวียน ไปช่วยขาย อาหาร ที่อุทยานบุญนิยม ทุกวันอังคาร และวันอาทิตย์ เพื่อให้ชาวอุทยานฯได้หยุดพักผ่อน

จิ้งหรีดไปสังเกตการณ์ เห็นแต่ละกลุ่มมีความกระตือรือร้นสูงมาก และกลุ่มที่ไปเข้าเวรก็ยิ้มแย้มแจ่มใส จนยอดขาย พุ่งกระฉูด ทีเดียว นัยว่าเป็น การสร้างกระแสให้ชาวอุบลฯ หันมารับประทานอาหารมังสวิรัติ ในช่วงเข้าพรรษาเพิ่มขึ้น นอกจาก จะเป็นการออกจากภพ (ฐานงานประจำ)แล้ว ยังเป็นการร่วมรับผิดชอบ ฐานงานของชุมชน ร่วมกัน และ เป็นการสร้าง ความสามัคคี ในหมู่กลุ่มอีกด้วย อย่างนี้เมืองหลวง ของชาวอโศก สดใสแน่นอน...จิ้งหรีดขออนุโมทนาด้วย

พิธีไหว้ครูบ้านราชฯ ที่ผ่านไป (๒๓ มิ.ย.) คุรุ และนักเรียนต่างซาบซึ้ง ในความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน จนน้ำตาไหล ไปตามๆกัน ทุกคน ต่างพูด เป็นเสียงเดียวกันว่า พิธีไหว้ครูปีนี้ ขลังกว่าทุกปีที่ผ่านมา ท่านสมณะเดินดิน ให้ข้อคิดไว้ว่า คนเราจะดีได้ ก็เพราะเป็นศิษย์ ที่มีตัวอย่างที่ดีของครู อยู่ในหัวใจ...จี๊ดๆๆๆ .....

วิทยุชุมชน...รายการวิทยุชุมชน "บัวกลางมูล" ของบ้านราชฯ ยามนี้กำลังส่งเสริมและเร่งประชาสัมพันธ์ เชิญชวน ให้ชาวอุบลราชธานี หันมาทานมังสวิรัติ ในช่วงเข้าพรรษาที่จะถึงนี้ ประมาณว่า "หนึ่งมื้อกินมังสวิรัติ หมื่นชีวิตรอดตาย" ก็ลองคำนวณดู จากอาหาร ๓ มื้อ ในเวลา ๓ เดือน ชีวิตสัตว์ จะรอดสักเท่าไหร่ล่ะ! สำหรับผู้ฟังรายการ และสนใจ ร่วมรับประทาน มังสวิรัติ ในช่วงเข้าพรรษาปีนี้ ก็ให้ โทร.เข้าไปแจ้งความจำนงได้ ในรายการของ ท่านฟ้าไท สมชาติโก ซึ่งข่าวว่า ทางชุมชน ก็จะส่งหนังสือธรรมะไปให้ ตามที่อยู่ที่แจ้งมาด้วย และเป็นที่น่ายินดีว่า มีผู้สมัครเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ ก็นับได้ว่า เป็นอีกก้าวหนึ่ง ของรายการวิทยุแบบเชิงรุกของชาวเรา ที่น่าอนุโมทนาจริงๆ

และตอนนี้ที่ จ.อุบลฯ ได้มีร้านมังสวิรัติเพิ่มขึ้นอีก ๒ ร้านแล้ว (เป็นของญาติธรรม) ซึ่งได้ข่าวว่า ยอดขายก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (แหม! น่าดีใจจัง)...โอ้! บุญญาวุธ หมายเลข ๑ จะสัมฤทธิผลเพิ่มขึ้นอีกแล้ว...จี๊ดๆๆๆ .....

พิษงูก็ขอลา...สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน อโศกตระกูล ถูกงู(เขียวหางไหม้) ในพงหญ้าบ้านราชฯ กัดเมื่อเย็นวันเสาร์ที่ ๒๑ มิ.ย. ที่ผ่านมา ขณะนี้อาการดีขึ้น และได้กลับมารักษาตัว ที่บ้านราชฯแล้ว พร้อมทั้งได้รับการดูแลรักษาพยาบาลอย่างดี จากชาวบ้านราชฯ ที่ขนยามากมาย หลายขนาน ทั้งแผนไทย แผนปัจจุบัน แถมด้วยการล้างพิษ อบสมุนไพรและ ดีท็อกซ์ นำมาสู้กับพิษงู แล้วอย่างนี้ พิษงูจะอยู่ไหวเหรอ สาธุ...จี๊ดๆๆๆ .....

ญาติป่วย...ได้ทราบข่าวว่า นายหร่ำ แซ่จุง อายุ ๖๖ ปี (โยมพ่อของท่านธรรมทาบฟ้า รวิวัณโณ) ป่วยหนัก ด้วยโรค ปอดติดเชื้อ ขณะนี้พักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ขอให้หายป่วยเร็วๆนะฮะ

มรณัสสติ
นางมอญ วงศ์ตระกูล (คุณแม่ของคุณจ่าชัย) อายุ ๗๔ ปี เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในหลอดลม ฌาปนกิจศพเมื่อวันที่ ๒๖ มิ.ย.๔๖ ที่สุสานบ้านสามขา อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

นายวีระ แสงคำคม (บิดาของสมณะเด็ดขาด จิตตสันโต) อายุ ๘๗ ปี เสียชีวิตด้วยโรคชรา ฌาปนกิจศพในวันที่ ๒ ก.ค.๔๖ ที่เมรุวัดชลประทานฯ จ.นนทบุรี

ก่อนจากขอฝากคติธรรม-คำสอนของพ่อท่านที่ว่า
จงทำวิญญาณธาตุให้วิเศษ
(จากหนังสือ "พ่อท่านสอนว่า...ฉบับคำคม ๑)

พบกันใหม่ฉบับหน้า.

- จิ้งหรีด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ปฏิทินงานอโศก

งานมหาปวารณา ครั้งที่ ๒๒ ณ พุทธสถานปฐมอโศก วันพุธที่ ๕ - ๙ พ.ย.๔๖
งานตลาดอาริยะปีใหม่'๔๗ ณ ชุมชนราชธานีอโศก วันที่ ๓๑ ธ.ค.๔๖-๓ม.ค.๔๗

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ชื่อเดิม น.ส.จำเนียร สายยศ
ชื่อใหม่ น.ส.ใจเนียน
เกิด ๓๐ ม.ค. ๒๔๗๖ อายุ ๗๒ ปี
ภูมิลำเนา จ.สุรินทร์
การศึกษา ป.๓
สถานภาพ โสด
ส่วนสูง ๑๔๕ ซ.ม.
น้ำหนัก ๓๗ กก.


คุณยายใจเนียนเป็นนิสิตสัมมาสิกขาลัยวังชีวิต ปีการศึกษา ๒๕๔๖ อยู่ที่วิชชาเขต ปฐมอโศก นอกจากนี้ ยังเป็นแฝด ผู้น้อง กับคุณยายเนย ซึ่งอยู่ที่ปฐมอโศกเช่นกัน ไปรู้จักกับคุณยายกันเลยนะคะ

*** ฝาแฝด
มีพี่น้อง ๙ คน หญิง ๔ ชาย ๕ ยายมีพี่สาวฝาแฝดชื่อเนย พ่อแม่ทำนา จบ ป.๓ ก็ออกเพราะอายุมากแล้ว และไม่ชอบ เรียนหนังสือด้วย จึงออกมาช่วยพ่อแม่ทำงาน ตั้งแต่เล็กๆ ชอบเข้าวัด หุงข้าวใส่บาตร

*** รู้ปุ๊บปฏิบัติปั๊บ
มีพระจากเขมร ชื่อพระเขมสิริ ฉันมังสวิรัติ มาจำพรรษาที่ อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ท่านได้รับใบปลิวงานปลุกเสกฯ เมื่อปี ๒๕๒๖ แล้วชวนญาติโยม ที่สนใจไปร่วมงาน ซึ่งยายก็ได้ไปร่วมงานด้วย กลับมาก็เลิกเนื้อสัตว์ทันที ฝึกกินมื้อเดียว หัดอยู่ ๖ เดือน ก็สำเร็จ

*** สู่ชุมชนบุญนิยม
ปฏิบัติอยู่ที่บ้านคนเดียว ญาติธรรมเห็นเข้า จึงชวนไปทำเกษตร อยู่ที่สวนธรรมชาติ จ.สุรินทร์ ๒ ปี ปี ๒๕๓๕ จึงได้มา ปฏิบัติธรรม ที่ปฐมอโศก จนถึงทุกวันนี้
ครั้งแรก ก็ช่วยงานทอเสื่อ ทอผ้า ทำเกษตร ปลูกผัก เก็บผักเข้าโรงครัว ช่วยครัว ถึงวันนี้ก็ช่วยเก็บผักสด และเก็บผักมาลวก

*** น้ำตานองหน้า
มาอยู่ใหม่ๆ เจอผัสสะ ยายขี้น้อยใจ พูดก็ไม่เป็นก็แอบร้องไห้คนเดียว เดี๋ยวนี้สบายแล้ว เวลาเจอผัสสะ วางได้และเข้าใจ ตัวเอง รู้ว่าเรามาเอาอะไร มาลดกิเลส ต้องอดทน คิดว่าเป็นวิบากกรรมของเรา เรายังทำดีไม่มากพอ ต้องฝึกตัวเองต่อไป

*** นิสิตฯวังชีวิต
ตอนแรกก็ไม่คิดจะสมัครเพราะแก่แล้ว เขียนก็ไม่เป็น ทีนี้พวกสมัครนิสิตเขามีการเข้าค่ายกัน ๓ วัน ยายก็ไป สังเกตการณ์ เห็นประโยชน์ เขาอบอุ่น เป็นหมู่กลุ่ม เราอยู่คนเดียว ไม่มีใครเอาภาระ อยากร่วมขบวนการกลุ่ม ก็เลยไปสมัคร ซึ่งก็ลังเลอยู่นาน เพราะทั้งอาย เรื่องเขียนไม่เป็น ทั้งกลัวว่า จะไม่ผ่าน แต่พอสัมภาษณ์ก็ผ่าน เรื่องเขียนก็มีคนช่วยเขียนให้ ฟังพ่อท่าน บอกว่า เขียนไม่เป็น ก็ช่วยๆกันไป ฟังแล้วสบายใจ ยายเห็นคนที่ศาลีฯ เขาอายุ ๗๙ ปี แก่กว่าเรา ยังสมัครเลย หากไม่ไหว ก็ค่อยลาออก

*** เป็นโสดทำไม?
ทางผู้ใหญ่เคยคิดจะให้ยายแต่งงาน แต่ยายไม่อยากแต่ง ตอนนั้นรักน้อง ห่วงน้อง มีความคิดว่า ถ้าแต่งงานไป เราจะห่วงเขา ขนาดไหน เราตัวคนเดียว ไม่ต้องห่วงใคร คิดหน้าคิดหลัง เห็นพี่ๆที่เขาแต่งแล้ว ทะเลาะกัน มีลูกร้อง กระจอ งอแง เพื่อนๆ ที่แต่ง ก็ไม่มีใครมีความสุขเลย เลยไม่อยากแต่ง ยิ่งมาปฏิบัติธรรม ก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้น

*** เป็นโสดดีอย่างไร?
ชีวิตโสดมีอิสระ ชีวิตคู่ห่วงหน้าห่วงหลัง ภูมิใจที่ตัวเองเป็นโสด ในบรรดา พี่น้อง ๙ คนรู้สึกว่า เราอิสระกว่าเพื่อน มีความสุข มากกว่า คนที่แต่งแล้ว ก็วิบากใครวิบากคนนั้น มีคนถามว่า แก่แล้วจะอยู่อย่างไร ยายก็บอกเขาว่า ยายจะอยู่วัด ไปจนตาย นี่แหละ

ไม่ห่วงอะไร ตัวคนเดียว สมบัติของยายพี่ๆน้องๆเขาก็เอาไปหมดแล้ว เขาเห็นยายมาอยู่วัดแล้ว ตอนแรกก็ ทำใจไม่ได้ ตอนนี้ ทำใจได้แล้ว คิดว่าเขาลำบากกว่าเราต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงครอบครัว เราตัวคนเดียว ไม่มีเงิน นี่แหละ สบายกว่า.

ชีวิตโสดที่ได้มาปฏิบัติธรรม ต้องถือว่ามีโชคสองชั้นทีเดียว โชคชั้นที่ ๑ ไม่มีห่วงใดๆมาผูกเรา โชคชั้นที่ ๒ ได้เก็บเกี่ยวบุญ เต็ม ๒ มือ ยิ่งมากล้าจน นับว่าเป็นความเจริญของชีวิต และใครที่รวย แล้วไม่มีโลกุตรธรรม พ่อท่านบอกว่า ซ...ว...ย.

- บุญนำพา รายงาน -

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


รู้เขารู้เรา
- เศษเหล็ก รายงาน -

เผยผิวสวยด้วย "สบู่มะเขือเทศ"
ผลิตภัณฑ์จากเครือข่ายกสิกรรมไร้สาร

หลายวันก่อนทีมงานได้ร่วมเดินทางไปดูงาน "กสิกรรมไร้สารพิษ เพื่อฟ้าดิน" กับธนาคารเพื่อการเกษตร และ สหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่งได้ร่วมกันจัดงานกับ สถาบันเพื่อพัฒนาการเกษตรและชนบท จำเนียร สาระนาค (สจส.) และ เครือข่าย กสิกรรม ไร้สารพิษ แห่งประเทศไทย (คกร.) ที่ จ.อุบลราชธานี

ที่เครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษฯ แห่งนี้ จะมีผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆเรียกว่า ตั้งแต่หัวจรดเท้า อีกทั้งไม่มีสารเคมี เป็นส่วนเจือปน ให้เลือกสรรมากมาย แถมราคาก็ถือว่า ไม่แพงนัก ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันงาใส่ผม ยาสระผม น้ำยาซักผ้า น้ำยาล้างจาน ครีมบำรุงผิว สบู่ชนิดต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สบู่มะเขือเทศ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ ที่เพิ่งจะนำออกวาง ให้รู้จักกัน

โดยผลิตแปรรูปส่วนใหญ่ จะใช้วัตถุดิบ จากธรรมชาติ และมีอยู่ในเมืองไทยเป็นวัตถุดิบหลัก ซึ่งทุกคน สามารถผลิต ขึ้นมาใช้เองได้ หากรู้เทคนิค และกรรมวิธี "นี่คือเหตุผลนำที่เจ้าของสูตรตั้งไว้"

และ...วันนี้ "ทำได้ ไม่จน" จึงขอนำสูตรการทำสบู่มะเขือเทศมาให้หลายๆคน ได้ทำใช้กัน ในครัวเรือนก่อน และคราวหน้า จะนำสูตร การทำสบู่เหลว ผสมน้ำสกัดชีวภาพมะเขือเทศ มาฝาก

เกี่ยวกับรายละเอียดและกรรมวิธีการผลิตนั้น น.ส.เคียงดิน ชาติบุญนิยม ได้บอกกับทีมงานว่า "การใช้มะเขือเทศ เป็นวัตถุดิบหลักนั้น ก็เพราะว่าในมะเขือเทศ จะมีวิตามินซีมาก และมีประโยชน์กับร่างกาย ช่วยบำรุงผิวพรรณ ให้ขาวอมชมพู ซึ่งหลายคน มักจะนำมาฝานบางๆ เพื่อแปะตามผิวหน้า แต่หากไม่มีเวลาพอ จะทำเช่นไร"

จากคำถามที่เกิดขึ้นนี้เอง จึงเป็นที่มาของการทำสบู่ซึ่งไม่จำเป็นต้องแต่งกลิ่นและสี เพราะกลิ่นของมะเขือเทศ จะดีอยู่แล้ว และเมื่อใช้ ชำระร่างกายเป็นเวลานาน ย่อมจะทำให้ผิวดีขึ้น เพราะเปรียบเหมือนกับว่าเรา "ให้อาหารกับผิวของเรา จากนอกสู่ใน เหมือนกับการบริโภค ที่เป็นการบำรุง จากในสู่นอก"

อย่างน้อยที่สุด สิ่งที่เราเน้นก็คือ พยายามให้มีส่วนผสมของวัตถุดิบที่เป็นของคนไทยเข้าไป ให้มากที่สุด เพราะทุกวันนี้ ผลิตภัณฑ์ ทำความสะอาดแทบจะทุกชนิด โดยส่วนใหญ่ จะใช้หัวเชื้อพื้นฐาน หรือตัวขจัดคราบพื้นฐาน ที่ต้องนำเข้า จากต่างประเทศ เป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นสบู่ขุ่น แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมมาก อีกทั้งขั้นตอนการทำ ก็ยุ่งยาก เพราะฉะนั้น การแปรรูป ผลิตภัณฑ์ ชนิดต่างๆ จะพยายามที่จะหา และใช้พืชผักผลไม้ หรือว่าสมุนไพร ใส่เข้าไป ให้มากที่สุด โดยยึดหลักว่า ทุกคน ต้องทำได้ เพื่อให้หลายๆคน ที่กำลังมองหางาน ได้มีกิจกรรม และรู้คุณค่าของสมุนไพร ที่มีอยู่ในท้องถิ่น ของเมืองไทย

สำหรับการทำสบู่ก้อนนั้น ส่วนผสมประกอบด้วยเกล็ดสบู่หรือที่หลายคนเรียกว่า หัวเชื้อ ซึ่งจะใช้ ๑ กก. มะเขือเทศสุก ไม่เน้นสายพันธุ์ ส่วนขั้นตอนการทำ เริ่มแรก ให้ล้างมะเขือเทศให้สะอาด นำไปปั่นแยกกากเอาแต่น้ำ ประมาณ ๒ ขีด จากนั้น ใช้ไฟปานกลาง เพื่อนำเกล็ดสบู่ไปหลอม โดยเมื่อละลายได้ที่ให้ดับไฟ เทน้ำมะเขือเทศลงไป คนให้เข้ากัน เสร็จแล้ว เทใส่แม่พิมพ์ หรือจะเป็นถาด ที่ใช้ใส่ขนมก็ได้ รอกระทั่งเกือบแข็ง ตัดแบ่งเป็นก้อนๆ จะได้สบู่จำนวน ๑๒ ก้อน

แหม! สูตรนี้ คงจะช่วยให้หนุ่มสาวหลายๆคนในบ้านเรา ที่ต้องการมีผิวพรรณที่สมบูรณ์สุขภาพดี ต่างแอบยิ้มไปตามๆ กันละซิ.
(จากคอลัมน์ "ทำได้ ไม่จน" นสพ.ไทยรัฐ วันที่ ๒๓ พ.ค.๔๖)

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
๖๗/๑ ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. ๑๐๒๔๐ โทร.๐-๒๓๗๔-๕๒๓๐ ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ ๑,๕๐๐ ฉบับ

[กลับหน้าสารบัญข่าว]