ฉบับที่ 234 ปักษ์แรก 1-15 กรกฎาคม 2547

[01] ลมเบาๆที่พัดผ่าน:
[02] ธรรมะพ่อท่าน: "ทำดังนี้... มีแต่กำไร"
[03] สดจากปัจฉาสมณะ ยุทธศาสตร์ของบุญนิยม คือ คารโว นิวาโต...อหิงสา...อโหสิ:
[04] กิจกรรมวันไหว้ครู ของนร.สัมมาสิกขาและนิสิตม.วช.
[05] แก่นฟ้า แสนเมืองปรมาจารย์เกษตรไร้สารพิษ ตอนจบ
[06] ครูวิถีพุทธ ๘๑ โรงเรียนอบรมที่บ้านราชฯ ชี้ความรู้ต้องคู่การปฏิบัติธรรมจริง
[07] พ่อท่าน กับ กรณีผู้ว่าฯ กทม.
[08] โรคสมองเสื่อม
[09] ม.วช.สันติฯ ฝึกเตวิชโช
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า:
[11] ข่าว:ขายตรง (Direct Sale) "จ่ายแพงกว่าทำไม???" (ตอนจบ)
[12] กิจกรรมของชาวชุมชนศีรษะอโศก
[13] นางงามรายปักษ์ :ชื่อ นางสุนันทา ศรีประเสริฐสุข
[14] สมณะเสียงศีล ชาตวโร ได้รับประกาศนียบัตรการทำเกษตรอินทรีย์
[15] สัมมนาน้ำหมักชีวภาพ มีประโยชน์มากกวว่าโทษ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
[16] นายกฯทักษิณส่งเสริมไบโอดีเซลเป็นประธานเปิดหัวจ่ายในปั๊มบางจาก ข้าง ชมร.ช.ม.ชาวอโศกภาคเหนือร่วมสนับสนุน



ลมเบาๆที่พัดผ่าน

ถ้าใครได้อ่านข่าวจาก นสพ. ในช่วงนี้ คงสงสัยว่า การออกมา ของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ในเรื่องการคัดสรร ผู้สมัครผู้ว่า ราชการ กรุงเทพมหานคร ซึ่งสื่อมวลชน เสนอข่าวว่า ทาง พล.ต.จำลองและพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ เห็นว่าผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ที่มีอยู่ มีคุณสมบัติ ยังไม่เข้าตากรรมการ จึงควรจะเพิ่มทางเลือกให้ประชาชน

ซึ่งในเรื่องนี้ พ่อท่านได้บอกชาวเราว่า พ่อท่านไม่ได้พูดคุยกับ พล.ต.จำลองในเรื่องนี้เลย และไม่มีแนวคิด ตามที่สื่อมวลชน ได้ลงข่าวไปด้วย

พวกเราจึงเสนอแนะให้พ่อท่านแก้ข่าว โดยเขียนหนังสือชี้แจงไปยังสื่อมวลชนที่ลงข่าวคลาดเคลื่อน

แต่พ่อท่านก็เห็นว่าไม่จำเป็น เรื่องนี้มิใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แม้จะมีคนเข้าใจผิดบ้าง ก็ไม่เป็นไร แต่คนหรือสื่อมวลชน ที่เข้าใจก็ มีอยู่

พวกเราได้รู้เรื่องนี้ ก็คงได้ข้อคิดในการวางใจด้านโลกธรรมโดยเฉพาะคนในหมู่กลุ่ม หากจะมีการเข้าใจผิดกันบ้าง บางเรื่อง ก็คงไม่ต้อง เดือดร้อนใจรีบตอบโต้ แก้ตัว เรื่องสรรเสริญ-นินทา ก็จะกลายเป็นลมเบาๆ ที่พัดผ่านขุนเขาไปเท่านั้น.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

ทำดังนี้... มีแต่กำไร

หลักใหญ่ในการปฏิบัติธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรานั้นคืออะไรเอ่ย?

หลายคนอาจจะคิดไกลไปจนถึง สติปัฏฐาน สมถะ และวิปัสสนา ซึ่งนั้นก็ถูก แต่ใครบ้างล่ะที่เริ่มต้นปฏิบัติธรรม ด้วยหัวข้อ ธรรมเหล่านั้นได้ทันที แม้แต่ผู้สละเพศ ออกบวชแล้วก็ยังทำไม่ได้เลย

อย่าเพิ่งพากันไปคิดให้ยากลำบากกับตัวเองเลย ถ้าแม้นว่าผู้ใดใฝ่ดี มุ่งจะฝึกฝนตนเองให้เป็นผู้เจริญหรือเป็นคนดี แล้วละก้อ ยังไม่ต้อง ไปนึกคิดถึงขั้นอย่างนั้นหรอก เรามาคิดกันถึงแค่ขั้น "สังวร" และ "สำรวม" กันนี้เสียก่อนเป็นไง

พระพุทธองค์ทรงสอนธรรมะเพื่อให้คนปฏิบัติกันไปเป็นลำดับขั้น ดังนี้

๑. ฟังธรรมแล้วจำหัวข้อธรรมเอาไว้
๒. แล้วนำมาพิจารณาดูให้เข้าใจจนเกิดศรัทธาเห็นจริง เป็นจริงในหัวข้อธรรมนั้น
๓. แล้วนำเอาหัวข้อธรรมนั้นๆ มาใช้กำกับตน หรือมาเป็นข้อเตือนใจ หรือจะยกขึ้นเป็นข้อกำหนด เป็นกฎห้ามเฉพาะตน เลยก็ได้
๔. ทีนี้ก็พึงระวังตัว ปฏิบัติตนตามที่เราได้กำหนดหรือสร้างกฎให้ตนนั้น

เท่านี้เอง ถ้าเราพึงตั้งใจทำให้ได้ อะไรก็ได้ที่เรากำหนดจะทำ หรือจะฝึกตนให้บรรลุซึ่งสิ่งนั้น เราจะประสบผล จะมีความสำเร็จ ได้โดยง่ายทันที ถ้าผู้ใด ได้ทำตามลำดับขั้นอย่างนี้จริงจัง ผู้ใดอยากจะประจักษ์ผลว่าจะจริงไหมก็ลองดู ที่จริงไม่จำเป็นจะต้อง เป็นเรื่องของธรรมะ อย่างเดียวก็ได้ แม้จะเป็นเรื่อง งานการอื่นๆใดๆ ที่พึ่งจะทำก็ได้ทั้งสิ้น แต่มีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่งคือ

พึงกระทำให้เคร่งครัดจนได้ชื่อว่า ซื่อสัตย์กับตนอย่างที่สุด คือต้องตั้งใจระวังตัว ปฏิบัติตนตามที่เราได้กำหนดหรือสร้างกฎ ให้แก่ตนนั้น ทุกเมื่อทุกยาม แม้เราจะอยู่คนเดียวลับหลังผู้คน ไม่ว่าจะอยู่ในที่เปิดเผยหรือที่ลับมิดชิดเท่าใดก็ตาม เราต้องทำทุกอย่าง เหมือนเราอยู่ต่อหน้าผู้คนอื่น หรือ อยู่ในสถานที่ทุกแห่ง โดยไม่มีละเว้น จะละเว้นหรือละเมิดข้อกำหนด ของตนหรือกฎห้ามของตนจริงๆ ก็ต่อเมื่อได้ใช้สติ พิจารณาก่อนแล้วว่า ณ บัดนี้ได้เหลียวมองรอบข้าง และได้ลั่นดาน หรือได้กระทำอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อเป็นการป้องกัน การละเมิดข้อกำหนดของตนนั้น ไว้เรียบร้อยแล้ว อย่างเหมาะควร จึงจะลงมือละเมิดข้อกำหนดของตนได้ ซึ่งกรณีนี้จะพึงทำก็เพราะยามนั้นเป็นเหตุสุดวิสัย จะไม่ละเมิดนั้นไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ข้าพเจ้าตั้งข้อกำหนดให้ตนว่าจะไม่เปลือยกายแม้ส่วนบน (คือแม้แต่ไม่ใส่เสื้อ) ให้ได้ตลอดเวลา ดังนั้น แม้เราจะอยู่คนเดียว ในห้องอันมิดชิดของเรา เราก็ต้องระวัง ไม่เปลือยกายให้ได้ แต่เราก็จะต้องเปลือยแน่ๆ เมื่อเราจะต้อง เปลี่ยนเสื้อผ้า หรือเมื่อเราจะอาบน้ำ เป็นต้น เพราะฉะนั้น เมื่อเราจำเป็นจะต้องละเมิดข้อกำหนด ของเรานี่แหละ เราจึงต้อง ตั้งใจให้มาก ต้องเหลียวดูรอบข้างและได้ลั่นดาน อยู่เฉพาะตนจริงๆ เสียก่อน จึงลงมือ ละเมิดข้อกำหนดนั้น แม้จะได้เหลียวดู รอบข้างแล้วเห็นว่าเป็นการปลอดภัย ไม่มีใครเห็นแน่แล้วก็ตาม ก็ต้องไม่ประมาท เป็นอันขาด ต้องลั่นดานด้วย หรือ ต้องทำทุกอย่าง ให้รัดกุมที่สุด เท่าที่จะทำได้ในสภาพของสถานที่นั้น และตามปัญญาของเรา จะพึงระมัดระวัง ได้อย่างดีที่สุด ต้องไม่ให้ได้ชื่อว่า "ประมาท" เป็นอันขาด

เท่านี้เอง เป็นหลักการอันจะพึงสร้างตนให้เป็นผู้เจริญหรือเป็นคนดีได้อย่างถูกถ้วนบริบูรณ์ แม้การจะเป็นพระอรหันต์ ก็จะต้องทำ ดังนี้ด้วย ผู้ใดยังไม่ได้ทำ ตามที่ว่านี้ คือผู้นั้นยังไม่ได้ปฏิบัติตนตามแบบแผนที่ดีที่สุด และถูกต้องที่สุด อันจะส่งผล ชะงัดยิ่ง เป็นไปได้อย่างดี และทีละมากๆ จนผู้ปฏิบัติเอง จะออกแปลกใจเอาเลยทีเดียว

ไม่เชื่อก็ลองนำไปปฏิบัติดูเถิด จะลองปฏิบัติทีละหัวข้อ กำหนดให้ตนทีละเล็กละน้อยไปก่อน เมื่อหัวข้อใดทำให้ตน ได้คล่องแคล่ว จนเกิดผล เป็นความเคยชินโดยไม่ต้องระมัดระวังแล้ว จึงค่อยกำหนดหัวข้ออื่นๆอีก ไล่เรียงเพิ่มขึ้นตามลำดับๆ นี่แหละ คือการ "สังวร" และการ "สำรวม" ที่ถูกต้อง ของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล.

- พระโพธิรักษ์ -
๑๔ พ.ย.๑๓

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


- สมณะแน่วแน่ สีลวัณโณ -

ยุทธศาสตร์ของบุญนิยม คือ คารโว นิวาโต...อหิงสา...อโหสิ

การประชุมชุมชนราชธานีอโศกที่ผ่านมา(๗ ก.ค.) พ่อท่านได้พูดถึงยุทธ์ศาสตร์ของบุญนิยม คือ ๑.คารโว นิวาโต ๒.อหิงสา ๓.อโหสิ

ท่ามกลางความขัดแย้ง การต่อสู้ การเผชิญหน้าของฝ่ายต่างๆ ตั้งแต่ระดับสังคมโลก ประเทศนั้นกับประเทศนี้ ซึ่งต่าง ก็อ้างการ ต่อสู้เพื่อสันติภาพของโลก แย่งชิงการเป็นผู้นำ สันติสุขมาสู่มวลมนุษย์ ฝ่ายหนึ่งอ้างว่าจำต้อง รบต้องฆ่า เพราะอีกฝ่ายหนึ่ง ก่อการร้าย เป็นภัยต่อ สันติสุขของโลก ขณะที่อีกฝ่ายอ้างว่าจำต้องต่อสู้เพื่อเสรีภาพ เพราะอีกฝ่าย กดขี่เอาเปรียบและรุกราญ เป็นอย่างนี้มานาน โดยที่ไม่มีใคร บอกได้ว่าจะยุติลงได้เมื่อไหร่ ด้วยต่างก็มีอาวุธ ต่างก็อ้าง ความชอบธรรม และเชื่อว่าวิธีการนี้เป็นวิธีการเดียวที่จะนำสันติสุข มาให้ชาติพันธุ์ของตนได้

ในประเทศไทยเอง ความขัดแย้ง การต่อสู้ฆ่าทำร้ายทำลายกันก็มีไม่น้อยเลย ฝ่ายหนึ่ง อ้างอุดมการณ์ทางสังคม และศาสนา อีกฝ่าย อ้างอำนาจ อธิปไตย และอำนาจการบริหาร ปกครองตามกฎหมาย ฝ่ายหนึ่งลุกขึ้นมาต่อสู้ด้วยเหตุผลว่า ถูกกดขี่ข่มเหง มานาน ถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐ ละเมิดขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมของตน อีกฝ่ายหนึ่งก็ว่า มีขบวนการ ก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน ผสมขบวนการ ค้ายาเสพติด จำเป็นต้อง ปราบปราม เพื่อรักษาอธิปไตยของแผ่นดิน

ขณะเดียวกับที่การต่อสู้แย่งชิงอำนาจการบริหารปกครอง มีอยู่โดยทั่วทุกหัวระแหง ตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ตำบล ขึ้นไปถึง ระดับประเทศ ต่างก็อ้างว่า อีกฝ่ายทุจริต คอรัปชั่น ผลประโยชน์จำนวนมหาศาลตกอยู่กับพวกพ้อง เกิดกลุ่มทุนใหม่ แย่งชิง อำนาจบริหาร กับกลุ่มทุนเก่า ต่างก็เห็นส้น เห็นรอยกันและกัน ว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไร คำว่า ผลประโยชน์ทับซ้อน ทุจริตเชิงนโยบาย ฯลฯ ชาวบ้านตาดำๆ อย่างเราๆท่านๆ ไม่มีทางไปรู้เห็นเองหรอก

วันก่อน(๙ ก.ค.)ญาติธรรมหญิงคนหนึ่ง อยากจะนิมนต์พ่อท่านไปรับฟังข้อมูล และให้กำลังใจกับกลุ่มคนหนึ่ง ที่กำลังคัดค้าน ประท้วง การบริหารจัดการของรัฐ ว่าผลประโยชน์จำนวนมหาศาลจะตกอยู่กับ ๑๐ ตระกูลที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหาร ในคณะรัฐ คนในคณะรัฐ ใช้อำนาจ กลั่นแกล้งผู้ชุมนุม มีการจับสึกพระรูปหนึ่งที่ร่วมในการต่อสู้คัดค้านผลประโยชน์ในครั้งนี้ สื่อต่างๆ ถูกซื้อและปิดกั้น การนำเสนอข่าวเหล่านี้ มีแต่พ่อท่านเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งให้กับเขาได้

ผู้เขียนรีบเบรกเธอผู้นั้นก่อนจะเข้าไปนิมนต์พ่อท่านว่า อย่าให้พ่อท่านต้องเปลืองตัวและเสียเวลากับเรื่องเหล่านี้เลย ส่วนที่จะได้ มันไม่คุ้มกับที่จะเสีย ด้วยเธอ เคยนิมนต์ พ่อท่านไปร่วมแสดงความคิดเห็น กับกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วย กับการบริหาร จัดการของรัฐมาครั้งหนึ่งแล้ว แม้พ่อท่านจะปฏิเสธ ที่จะไปในเบื้องต้นว่า "ไม่มีประโยชน์หรอก เสียเวลาเปล่าๆ เพราะอาตมา ไม่ได้อยู่ฝ่ายไหน ถ้าไปก็จะว่าทั้งสองฝ่ายแหละ ด้วยต่างก็มีกิเลส ดังนั้น ถ้าไป แทนที่จะไปสนับสนุนเขา กลับจะทำให้เขา ไม่ชอบใจ อย่าให้อาตมาไปเลยจะดีกว่า" แต่ก็ยังได้รับการ รบเร้าคะยั้นคะยอว่า เพื่อเป็นสิริมงคล เผื่อคน ที่ยังมีดวงตา เห็นธรรมอาจเห็นได้

ครั้งนั้นพ่อท่านอุตส่าห์ไปให้ หลังการร่วมเสวนาแล้ว พ่อท่านบอกกับผู้เขียนว่ามาก็เพื่อให้เขารู้ว่า เหตุผลที่ได้ปฏิเสธไปนั้น เป็นจริง วันหลังจะได้ไม่มานิมนต์อีก

ผู้เขียนได้ทบทวนท่าทีของพ่อท่านในวันนั้นให้เธอได้คิดตามว่า การเสวนาวันนั้นพ่อท่าน บอกเล่าการปฏิบัติ และความเป็นอยู่ ของชุมชนชาวอโศก ตามทิศทาง อย่างสังคมบุญนิยม ซึ่งมีระบบสาธารณโภคี เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ต่างไปจากสังคมส่วนใหญ่ ที่ล้วนเป็นแนวคิด อย่างทุนนิยม

ใครฟังก็รู้ว่าเนื้อหาประเด็นที่พ่อท่านกล่าวเป็นคนละเรื่องกับที่ผู้คนในที่นั้นสนใจ ด้วยเขาต้องการฟังเรื่องการบริหารจัดการ ของรัฐที่ไม่เป็นธรรม และ เป็นการเอื้อประโยชน์ ให้พวกพ้องอย่างไร ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้ประโยชน์ ตามที่เขากล่าวอ้าง อย่างไร ดังเช่นที่วิทยากรท่านอื่นๆ มีข้อมูล แล้วนำมาบอกเล่า

ท่าทีของผู้ฟังในวันนั้น หลายคนค่อนข้าง จะกร้าว ทิฐิปักมั่นรุนแรง มันไม่ใช่กาละ ไม่ใช่หมู่บริษัทกลุ่มคนที่จะไป แสดงธรรม ให้เขา คารโว นิวาโต อหิงสา อโหสิ

ผู้เขียนทวนคำที่พ่อท่านกล่าวในที่นั้นให้เธอฟังว่า "อาตมาเห็นด้วยกับสิ่งที่พวกคุณพยายามทักท้วงคัดค้าน และพยายาม กระจายข้อมูล ให้ประชาชน ได้รับรู้ แต่อาตมาไม่มีข้อมูลอย่างที่พวกคุณมี อาตมาจึงไม่มีเวลาที่จะมาร่วมกับพวกคุณได้ ขอเอาเวลาไปสร้างคน สร้างชุมชน สร้างสังคมบุญนิยม อย่างที่อาตมา ได้ทำมาบ้างแล้ว และถ้าจะให้พวกเราช่วยเหลืออะไร ทางด้านการบริการหรือแรงงานก็ขอให้บอกไป เรายินดี จะช่วยทำให้ได้ แต่ชาวอโศก เราก็ยังมีไม่มาก ยังเป็นกลุ่มคนเล็กๆ น้อยๆในสังคมเท่านั้นเอง เราไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย"

ผู้เขียนย้ำคำ "อาตมาไม่มีเวลาที่จะมาร่วม" ดังนั้นโยมจึงไม่ควรรบเร้าให้พ่อท่านไปร่วมอีก ถ้าจะมาบอกเล่าให้ข้อมูล ความเคลื่อนไหว ของการคัดค้านก็มาบอกได้ แต่อย่า ให้ถึงขั้นนำคนกลุ่มนั้นมาพบพ่อท่านเลย เพราะมันเสียเวลาที่พ่อท่าน จะต้องมานั่งรับฟัง เรื่องเหล่านี้ ฟังแล้วก็ไม่สามารถ ช่วยเหลือหรือทำอะไร อย่างที่เขาคิดเขาหวังได้ ขืนชวนมา เขาอาจ เสียความรู้สึก เมื่อถูกปฏิเสธ แม้พ่อท่านจะปฏิเสธ อย่างนิ่มนวล ที่สุดแล้วก็ตาม จึงเป็นเรื่องเสียเวลาทั้งเขาและเราเปล่าๆ

ไม่ใช่ผู้เขียนจะปรามาสว่าสิ่งที่เขาคัดค้าน เป็นสิ่งที่ไร้สาระ และเชื่อนะว่าเขารักชาติ เขาเป็นห่วงผลประโยชน์ ของประชาชน จริงๆ แต่การดึงอ้อย จากปากช้าง มันไม่ใช่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนและถาวร ไม่ใช่ยุทธศาสตร์ของบุญนิยมแน่ๆ และดูจะเป็น การแก้ปัญหา ที่รุนแรง เผชิญหน้า มากเกินไป เสี่ยงเกินไปกับการโกรธแค้นของช้าง แล้วถ้าช้างไม่ยอมคายอ้อยจากปาก มีอะไรเป็นหลักประกันว่า เราจะไม่โกรธแค้นช้าง จึงเป็นเรื่อง ที่เสียแรง เสียเวลาและเหนื่อยเปล่าๆ แทนที่จะดี กลับมีแต่กิเลส พอกพูน ใครๆก็รู้ว่าการดึงอ้อยจากปากช้างนั้น ยากเย็นแสนเข็ญ แม้ดึงอ้อย ออกจากปากช้างได้ ก็ใช่ว่าจะสามารถ บริหาร จัดการทำให้อ้อยเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ได้ เพราะโดยโลกของโลกีย์ ที่มีความโลภ โกรธ หลง เป็นวัฏสงสารนั้น ช้างไม่ได้มีตัวเดียวหรือโขลงเดียว ช้างมีมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว ถ้าเราจะดึงอ้อยจากปากช้างโขลงนี้ ก็ต้องคอยไปดึง จากปากช้าง โขลงใหม่อยู่ดี ไม่จบไม่สิ้น

ตราบใดที่มนุษย์ยังเห็นว่าความสุขของชีวิต คือ การดิ้นรนแสวงหาโลกธรรมมาให้กับตนมากๆ และยังไม่เห็นว่า การแย่งชิง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกีย์สุข เหล่านั้น เป็นบาปภัย เป็นความเดือดร้อนทุกข์ทรมานมาให้กับชีวิตของตน เป็นกรรมเป็นวิบาก ที่จะสั่งสม เป็นของของตนจริงๆ

ตราบนั้นช้างก็ยังคงอยากกินอ้อย แม้จวบจนวันสิ้นโลก

สิ่งสำคัญที่ผู้พยายามดึงอ้อยจากปากช้างอาจจะลืมคิด หรือลืมมองตนเองก็คือ แม้เราเองก็ยังมีวิญญาณของช้าง ที่อยากกินอ้อย อยู่ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าวันร้ายคืนร้าย อ้อยเกิดตกมาอยู่คาปากของเรา แล้วเราจะใจแข็ง เป็นช้างที่คายอ้อย จากปากของเรา ได้จริงๆหรือ

๓ ก.ค.ที่ผ่านมา ผศ.ดร.วิลาสินีและคณะจากจุฬาฯ ได้มาสัมภาษณ์พ่อท่านเพื่อประกอบการทำวิจัย มีคำถามหนึ่ง ที่ถามพ่อท่าน ว่า ทำอย่างไร งานจิตวิญญาณด้านสุขภาวะของ สสส. จึงจะพัฒนาไปได้ดีกว่านี้

พ่อท่านตอบผ่าเปรี้ยงไปว่า พวกคุณต้องมาปฏิบัติธรรมให้ได้มรรคผลที่เป็นโลกุตระก่อน การไปเที่ยวได้บอกใครต่อใคร ให้มี จิตวิญญาณ ที่เป็นสุขภาวะนั้น เราเองต้องมีของจริงนั้นๆก่อน

ผู้เขียนเล่าให้ญาติธรรมหญิงคนนั้นฟัง แล้ววกกลับมาที่โยมว่าโยมเองก็เช่นกัน ต้องมาปฏิบัติธรรมให้ได้มรรคผล กับตนเอง มากๆ ดีกว่า อย่าเอาเวลา ไปเที่ยวได้ดึงอ้อย จากปากช้างเลย เวลาของชีวิตเหลือไม่มากแล้ว

ผู้เขียนยังไม่เคยพบเห็นกลุ่มชุมนุมใดที่จะสามารถทำให้เกิดสภาพ คารโว นิวาโต อหิงสา อโหสิ มีบ้างที่ผู้นำในการชุมนุม พยายามบอก ให้เกิดสภาพอหิงสา แต่ในกลุ่มคนจำนวนมากอย่างนั้น เป็นเรื่องยากที่จะควบคุมสถานการณ์ได้ ส่วน คารโว นิวาโต และ อโหสิ นั้นยิ่งยากเข้าไปใหญ่

การถูกกล่าวหาว่าเลวว่าร้ายจนถึงขั้นจับกุม ดำเนินคดีในปี ๒๕๓๒ พ่อท่านเป็นตัวอย่างให้เห็นถึงสภาพ คารโว นิวาโต อหิงสา อโหสิ ไม่ใช่แค่โวหาร แต่พฤติกรรมที่เป็นจริงทำให้มาถึงวันนี้ กระแสที่ว่าร้ายนั้นลดลงเรื่อยๆ ถึงขั้นตีกลับกลายเป็นศรัทธาก็มี ที่ปฐมอโศก (๑๒ ก.ค.) สมณะบินก้าว เล่าให้ฟังว่า มีผู้มาจัดรายการวิทยุชุมชนคนหนึ่ง ได้สารภาพว่าสมัยเริ่มแรก ของปฐมอโศก เขาเป็นหนึ่งในกลุ่มคน ที่เอาปืนมายิง ทุกวันนี้ เขากลายกลับเป็น มีศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง

หลังการเขียนจดหมายปิดผนึกถึงท่านนายกฯ เพื่อให้ทบทวนการจะออกหวย ระดมทุนไปซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอลในอังกฤษ ซึ่งต่อมา ท่านนายกฯ ประกาศยกเลิกการออกหวย ตามที่เป็นข่าวนั้น ส่งผลให้คณะต่างๆที่มีความคิดขัดแย้งกับรัฐบาล ในหลายๆเรื่อง ทยอยกันมา พบพ่อท่าน ด้วยหวังว่า พ่อท่านจะมีฤทธิ์แรง ที่จะยุติปัญหาเหล่านี้ได้ ทุกกลุ่มเหล่านั้น ได้รับคำตอบส่วนหนึ่ง จากพ่อท่านเหมือนกันว่า "อาตมาเป็นเพียง เศษฟางเส้นสุดท้าย ที่หล่นลงไปพอดีเต็ม คณะอื่นๆ คัดค้านกันมากแล้ว จนสุกงอมแล้ว อาตมาเติมลงไปพอดี อาตมาไม่ได้ยิ่งใหญ่มีฤทธิ์แรงมาก อย่างที่หลายคนคิด มันเป็นเหตุพอดี พอเหมาะเท่านั้นเอง"

การเคลื่อนไหวในการสรรหาผู้สมัครผู้ว่า กทม. ของ พล.ต.จำลอง มีผู้ให้ข่าวว่าพ่อท่าน ก็ร่วมรู้เห็นกับ พล.ต.จำลอง ด้วย พ่อท่านไม่รีบ แก้ข่าวทันที ด้วยเกรงว่า จะไปกระทบกับ พล.ต.จำลอง คล้ายจะแตกกัน แม้จะถูกเข้าใจผิดบ้างก็ไม่เป็นไร พ่อท่านรอจน มีนักข่าวสงสัย อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติม มาขอสัมภาษณ์ พ่อท่านจึงใช้จังหวะนั้น ปฏิเสธข่าวดังกล่าวนั้น

ขณะที่หลายเสียงวิพากษ์วิจารณ์การออกมาเคลื่อนไหวของ พล.ต.จำลองในครั้งนี้ ไปในทางเสียหาย แม้ชาวอโศกด้วยกัน หลายคน ก็ไม่เห็นด้วย กับการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ แต่พ่อท่านกลับมองอย่างเข้าใจ และว่าเป็นเรื่องดีของ พล.ต.จำลอง เนื่องมาจาก พล.ต.จำลอง ถูกกล่าวหาบ่อยมาก ว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียว กับท่านนายกฯทักษิณ หาทางลงให้ท่านนายกฯ บ้างล่ะ การออกมาเคลื่อนไหวอย่างนี้ จะช่วยแก้ ความเข้าใจผิดนั้นได้ ยิ่งไปเลือกสนับสนุน คนของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยิ่งชัดเจนว่า พล.ต.จำลอง ไม่ใช่จะเออออ หรือรู้เห็นกับท่านนายกฯ ไปทุกเรื่อง

ผู้เขียนไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว พล.ต.จำลอง จะคิดเช่นที่พ่อท่านมองนี้หรือไม่ หรืออาจจะมีเหตุผลที่ลึกซึ้งซับซ้อนยิ่งกว่านี้ ก็อาจเป็นได้ พ่อท่านเองก็ไม่ทราบ เพราะ พล.ต.จำลองไม่ได้มาคุยอะไรในเรื่องนี้เลย แต่ท่าทีของ พ่อท่าน ในสถานการณ์ อย่างนี้ น่าเรียนรู้อย่างยิ่ง ถ้าจะถือ นับเป็นอีกยุทธศาสตร์หนึ่ง ก็ได้เลย

การให้สัมภาษณ์นักข่าวที่มาถามในเรื่องนี้ (๓๐ มิ.ย.) พ่อท่านได้กล่าวถึงสภาพของ "ผู้ที่เสียสละจริงๆ และเชื่อมั่น ในสิ่ง ที่ตนทำ เขาจะไม่มา คอยรักษาหน้าตาของตน หรือกลัวต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ตำหนิ" คำกล่าวนี้เหมือน หยดน้ำหยดหนึ่ง ในท่ามกลางทะเลทรายที่ ร้อนระอุ

ดังเช่นนิตยสารฉบับหนึ่งออกมาด่าการเคลื่อนไหวนี้ แล้วพลอยลามมาถึงพ่อท่าน โดยใช้ภาษาที่หยาบคายมาก เป็นฉบับเดียวกับ ที่ปี ๒๕๓๒ ก็เขียนหยาบๆ เช่นนี้

การเลือกตั้งผู้ว่า กทม.ในอีกไม่กี่เดือนนี้ ชาวอโศกจะถูกลากเข้าไปเกี่ยวกับใครต่อใครบ้าง ก็ยังไม่รู้ และก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่า จะถูกตำหนิ ด่าว่า ให้ร้ายอะไรอีก ยุทธศาสตร์ของ บุญนิยมที่พ่อท่านได้ให้ไว้แล้วก็คงได้นำเอามาใช้กันอย่างเต็มที่

เนื่องจากวิถีชีวิตของชาวบุญนิยมขัดแย้งหรือแตกต่างจากสังคมส่วนใหญ่ ซึ่งล้วนมีหลักแกนเป็นทุนนิยม หรือโลกุตระ ย่อมแตกต่างจากโลกีย์ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องศาสนา การเมือง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา สื่อสาร ฯลฯ ดังนั้น หลักยุทธศาสตร์ ของบุญนิยม ที่พ่อท่านกล่าว จึงเป็นสิ่งจำเป็น ที่ชาวอโศก จะได้ใช้ในชีวิตประจำวัน ในที่ทำงาน ในครอบครัว แม้แต่ในกลุ่ม ชาวบุญนิยมด้วยกันก็ยิ่งต้องใช้ เพราะมาถึงวันนี้ ผู้หลักผู้ใหญ่ รวมถึงคนเก่าคนแก่ ยังมีท่าทีที่ไม่ คารโว นิวาโต ไม่อโหสิกรรม แก่ชาวอโศกด้วยกัน ส่วนอหิงสานั้น อาจจะเป็นไปได้แล้ว แต่การที่ยัง ระหองระแหง ไม่เข้ากัน ได้สนิท ก็เป็นเพราะ คารโว นิวาโต รวมถึงอโหสิกรรมยังน้อยอยู่ หรือยังไม่ยอมทำ

พูดถึงคนรุ่นเก่าๆแล้ว น่าเหนื่อยใจแทน พ่อท่านนะ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมานี้ มีคนรุ่นเก่าๆ หลายคนที่ไปเชื่อถือ เรื่องตัวอักษร ว่าจะมีผล ต่อชีวิตของตน จึงพากันไปเปลี่ยนชื่อ ให้มีตัวอักษรที่จะทำให้ชีวิตของตนดีขึ้น จากสันติอโศก ลามไปปฐมอโศก ลามไปบ้านราชฯ ทำให้พ่อท่าน ต้องเหนื่อย กับการเทศน์ในเรื่องนี้ หลายต่อหลายครั้ง ว่าเป็นการแสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ ผู้ที่เชื่อในเรื่องดวงดาว ดวงอาทิตย์ ต้นไม้ ภูเขา ว่าจะมีผลต่อชีวิตของตน ก็ว่าโง่แล้ว อันนี้เป็นเรื่องตัวอักษ รซึ่งไม่มีพลังงาน ไม่มีไฟฟ้า เคมี ฟิสิกซ์ใดๆเลย เรากลับไปเชื่อว่า มันจะมีอิทธิพล ต่อชีวิตของเรา อย่างนี้ถือว่าโง่ยิ่งกว่าโง่ ใครสนใจรายละเอียด ติดตามได้จากเทปบันทึกเสียง พ่อท่านเทศน์เมื่อ ๔ ก.ค.นี้ และในวันนั้น พ่อท่านก็พูดถึง เรื่องกะเทย และผู้มีจิตวิปริต ทางเพศด้วย เนื่องจากในต่างประเทศ มีการยอมรับเรื่องกะเทยกันในสังคม พ่อท่านบอกว่า ผู้มีจิตอย่างนี้โง่ยิ่งกว่า.....!!! (ไปหาฟังกันเอาเองเด้อว่าคืออะไร)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


กิจกรรมวันไหว้ครู ของนร.สัมมาสิกขาและนิสิตม.วช.

เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๔๗ โรงเรียนสัมมาสิกขาหินผาฟ้าน้ำ ต.นาหนองทุ่ม อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ มีการจัดกิจกรรม ไหว้คุรุ เริ่มจาก ๐๔.๐๐ น. ทำวัตรเช้า สมณะแสดงธรรม ๐๗.๐๐ น. เด็กๆ คุรุผู้ใหญ่ทำบุญใส่บาตร หลังจากนั้นเด็กๆ จัดพาน ดอกไม้ ขึ้นศาลา เพื่อกราบไหว้คุรุและผู้ใหญ่ จนกระทั่ง ถึงเวลา ๙.๓๐ น. เป็นรายการเปิดใจนักเรียน สส. คุรุ และผู้ใหญ่ ทุกคน เป็นบรรยากาศที่อบอุ่นมากๆ เป็นบรรยากาศ แห่งความเมตตา ให้อภัย เป็นครอบครัวใหญ่ขนาดเล็กๆ ทั้งนักเรียน คุรุ ได้หัวใจซึ่งกันและกัน น้ำตาแห่งความอบอุ่น ประทับใจ ซาบซึ้งในบุญคุณ หลั่งไหลท่วมท้น ขณะที่คุรุเปิดใจ เด็กๆร้องไห้ระงม ทั้งศาลา เข้าใจความรู้สึกของคุรุ เห็นใจ คำด่าว่าติงเตือนจากคุรุ เข้าใจในความเมตตาของคุรุ ผู้เขียนรายงาน เห็นเช่นนี้ (ในขณะนั้น) มันเป็นภาพเป็นเหตุการณ์ที่หาได้ไม่ง่ายเลยจริงๆ มันเป็นความเจริญ เป็นการสร้างสรร เป็นการพัฒนา ของจิตวิญญาณ แม้จะช้า

ภาคค่ำ เด็กๆและผู้ใหญ่สลับกันร้องเพลง และการแสดงละครของเด็กๆ ซึ่ง มาจากความรู้สึกสำนึกดีของเขา เป็นการสื่อ ออกมาจากสิ่งที่เขาได้รับ เข้าไป ภายในเวลาเพียง ๒-๓ ปี ก็พอมองเห็นการพัฒนา เปลี่ยนแปลงขึ้น แม้จะไม่มากมาย แต่ก็มั่นใจว่า ไม่สูญเปล่าเลย กลับเป็นกำลังใจ ให้มุ่งมั่น ทำดีต่อไป แม้จะหนักเหนื่อย

ส่วนที่ศาลีอโศก นิสิต ม.วช. นร.สัมมาสิกขาศาลีอโศก ได้จัดกิจกรรมวันไหว้ครูท่ามกลางบรรยากาศอันซาบซึ้งเช่นกัน

โดยวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ มิ.ย.๔๗ ณ พุทธสถานศาลีอโศก ได้จัดให้มีงานวันไหว้ครูขึ้นเพื่อระลึกถึงพระคุณของครู มีการ เตรียมงาน โดย นิสิตม.วช., ศิษย์เก่า และ นร.สัมมาสิกขาศาลีอโศกชั้น ม.ปลาย กิจกรรมเริ่มเวลา ๐๗.๔๕ น. โดย นร. สัมมาสิกขา ศาลีอโศก นิสิต ม.วช.และชาวชุมชน ทำบุญตักบาตรร่วมกัน อย่างพร้อมเพรียง ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ ที่แฝงไปด้วยรอยยิ้ม และความอบอุ่น

เวลา ๐๘.๔๕ น. นร.สัมมาสิกขาและนิสิตม.วช. เตรียมตัวเข้าศาลาโดยมีตัวแทนถือพานพุ่มแบ่งเป็นชายและหญิง ส่วนคน ที่เหลือ เตรียมกรวยดอกไม้ ที่ประกอบด้วย ดอกเข็ม ดอกมะเขือ หญ้าแพรก และธูปเทียนเป็นหลัก สำหรับการทำพานพุ่มนั้น จะมีการประเมินผล โดยสมณะชินธโร มีข้อกติการว่า ๑.มีความคิดสร้างสรรค์ ๒.มีความประณีต ผลที่ออกมา คือความคิด สร้างสรร และความประณีต ฝ่ายหญิง จะดีกว่าฝ่ายชายสองด้าน จากนั้นเป็นการให้โอวาท วันไหว้ครูโดยสมณะชินธโร

๐๙.๐๐ น. นร.สัมมาสิกขาและนิสิต ม.วช. กล่าวบทไหว้ครู และมอบพานพุ่มพร้อมกับกรวยดอกไม้ให้ครูตามลำดับชั้น หลังจากนั้น เป็นการเปิดใจของเหล่านักเรียน และนิสิต โดยส่งตัวแทนฝ่ายหญิงและชาย มากล่าวความรู้สึกของนักเรียน ที่มีต่อครู และกล่าวถึง พระคุณของครูทุกคน ต่อด้วยครูเปิดใจถึงนักเรียน จากนั้นสมณะและสิกขมาตุ ได้ให้โอวาท รูปละสองนาที

๑๐.๐๐ น. เป็นเวลาอิ่มและอบอุ่นด้วยเสียงเพลงอันกึกก้อง โดยมีการบรรเลง เพลงไทยเดิมด้วยเครื่องต่างๆ เช่น ระนาด ฉิ่ง ซอ ตะโพน เครื่องสาย เป็นต้น ในครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่ได้รับเกียรติจากครูดนตรีไทยของนอก ได้มาบรรเลงดนตรีไทย ให้ทาง พุทธสถาน ได้ชมและรับฟัง ทำให้บรรยากาศ ของการไหว้ครูในเช้านี้ ดูอบอุ่น และกึกก้องไปด้วยเสียงดนตรี แม้กิจกรรมภาคค่ำ ก็ยังมีให้ชมและรับฟังด้วยเช่นกัน

๑๘.๔๕ น. มีการโหมโรง โดย นร.สัมมาสิกขาที่เรียนชมรมดนตรีไทยเป็นผู้บรรเลง อาจจะไม่ประสบความสำเร็จมากนัก แต่ทุกคน ก็ยินดี ที่มีส่วนรวมในการรักษาวัฒนธรรมไทยอย่างหนึ่ง

๑๙.๐๐ น. เป็นการแสดงละครของ นร.สัมมาสิกขาและนิสิต ม.วช.พร้อมกับมีการประกวดร้องเพลงสลับกันไป ในงานนี้ มีนักเรียนจาก รร.ไพศาลีพิทยา จำนวน ๕ คน ได้มาสังเกตการณ์กิจกรรมในวันนี้ด้วย ส่วนกิจกรรมภาคค่ำ ดำเนินไป ค่อนข้างดึกพอสมควร โดยจบลง ด้วยสมณะมือมั่น เป็นผู้ให้โอวาท.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


แก่นฟ้า แสนเมือง ปรมาจารย์เกษตรไร้สารพิษ
(ตอนจบ)

ที่ผ่านมาเกษตรกรที่ผ่านการอบรมของชาวอโศกต่างปรับเปลี่ยนวิถีการทำเกษตรที่เน้นใช้ปุ๋ยเคมี มาเป็นการใช้ปุ๋ย ชีวภาพ ซึ่งถูกกว่า และปลอดภัย ทั้งคนปลูกและคนกิน อีกทั้งยังได้เรียนรู้การแปรรูปอาหารหลายชนิด หลายรายนำไปประกอบอาชีพ จนร่ำรวย

อย่างที่ครูแก่นฟ้าบอก "เราสอนทำน้ำผลไม้ต่างๆ สร้างอาชีพ จนทำให้ คนเซ้งตึกได้มาหลายต่อหลายคนแล้ว ทำมูลค่าเพิ่ม ให้เกษตรกร ปีหนึ่งมากกว่า ๑๐ ล้านบาท เช่น น้ำเสาวรส น้ำนมข้าวโพด น้ำบีทรูท เราเป็นศูนย์เรียนรู้ เป็นศูนย์ข้อมูล เรามีโรงสี ที่จะแปรรูป และสร้างรายได้ ให้แก่ชุมชนด้วย เพื่อจะนำเงินนี้มาให้การศึกษาแก่เด็กที่นี่ประมาณ ๑๐๐ คน ช่วงหลังนี้ทางธนาคาร เพื่อการเกษตรและสหกรณ์ฯ (ธ.ก.ส.) อยากให้เรา อบรมเกษตรกรให้เข้าในโครงการพักหนี้ ซึ่งคิด ค่าอบรมถูกมาก หัวละ ๑,๐๐๐ บาท ๔ คืน ๕ วัน ค่าอาหาร ค่าที่พักฟรี เราทำมาแล้ว ๑๗ ปี มีเกษตรกร และผู้สนใจ ผ่านการอบรมไปแล้ว ๖ หมื่นกว่าคนทั่วประเทศ"

หลังจากสนทนากันเสร็จครูแก่นฟ้าพาไปร้านค้าที่ขายผลิตภัณฑ์นานาชนิดของชาวอโศก เหมือนมินิมาร์ทย่อยๆ ใจจริง อยากจะซื้อ ข้าวกล้องกลับมาด้วย แต่กลัวแบกขึ้นเครื่องบินไม่ไหว เลยซื้อได้แต่สินค้าประเภทสมุนไพร ซึ่งราคาไม่แพงเลย ยังนึกอยู่ว่า ถ้านักธุรกิจ น้อยใหญ่ ในโลกนี้ ขายของไม่คิดกำไรแบบโหดๆกันแล้ว คนจนทั้งหลาย คงมีโอกาส ลืมตา อ้าปากได้บ้าง เพราะคนเราตายไป ก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้

ครูแก่นฟ้าให้ข้อมูลด้วยสีหน้า ภาคภูมิใจว่า "ผลิตภัณฑ์เด่นที่ได้โอท็อปของเรา คือกระเทียมอัดเม็ด ซึ่งศรีสะเกษ เป็นแหล่ง กระเทียมอยู่แล้ว เราจะซื้อตุนไว้ ซื้อมาเก็บไว้แปรรูป นอกจากกระเทียมอัดเม็ดแล้ว ก็มีโจ๊กเห็ดหอม เรามีร้อยกว่าผลิตภัณฑ์ แต่ที่เด่นๆ มีข้าวกล้อง ซึ่งแพ็คสุญญากาศ ส่งการบินไทย อันนี้เด่นมาก เพราะเป็นสินค้าที่อยู่บนอินเตอร์เน็ต เรามีเว็บไซต์ ของเราคือ เว็บอโศกดอตอินโฟ

สินค้าอีกตัวที่ขึ้นชื่อคือ ลูกประคบสมุนไพร ที่มีตัวยาถึง ๑๔ ตัว อาทิ ใบมะขาม ใบพลับพลึง พิมเสน การบูร ใบเป้า ขมิ้นชัน ใบส้มป่อย ฯลฯ โดยมีโรงอบ ที่ทันสมัย ซึ่งทำเท่าไหร่ก็ไม่ทันขาย ด้วยความที่ขายถูกก้อนละ ๑๐๐ บาท หลังจากนำไปโชว์ ที่ฮ่องกง ปรากฏว่า มีออร์เดอร์เยอะแยะ เพราะคนขาย สามารถ นำไปขายได้ในราคาก้อนละ ๔๐๐ บาท"

ก่อนกลับครูแก่นฟ้าฝากผลิตภัณฑ์หลายอย่างของชาวอโศกให้ ไม่ว่าจะเป็นยาสระผม ยาหม่อง ยาดม กระเทียมแปรรูปอัดเม็ด ซึ่งพรรคพวก ที่กินแล้ว ต่างฝากซื้อกันใหญ่ เพราะช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้ผลชะงัด ไม่ต้องไปซื้อถึงเมืองนอกเมืองนา ขวดละเป็นร้อยเป็นพัน

นี่ถ้าสถาบันผลิตครูทั้งหลายในเมืองไทยมีกระบวนการอบรมบ่มเพาะ สร้างจิตสำนึกให้ผู้ประกอบวิชาชีพครู มีจิตใจเสียสละ มุ่งมั่น ประกอบคุณงามความดี และอุทิศตนเพื่อส่วนรวมแบบครูแก่นฟ้าได้ ย่อมจะไม่เกิดข่าวครูข่มขืน และลงโทษลูกศิษย์ อย่างโหดร้ายเป็นแน่.

(จาก นสพ.มติชนรายวัน ศุกร์ที่ ๑๔ พ.ค.๒๕๔๗)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ครูวิถีพุทธ ๘๑ โรงเรียน อบรมที่บ้านราชฯ
ชี้ความรู้ต้องคู่การปฏิบัติธรรมจริง

ระหว่าง ๒๘-๓๐ มิ.ย. ๒๕๔๗ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานี(สพท.) เขต ๒ นำผู้บริหาร, ประธานคณะกรรมการ สถานศึกษาและครูผู้สอน ในเขตอำเภอกุดข้าวปุ้น, ตระการพืชผล, เขมราฐ, โพธิ์ไทร, กิ่งอ.นาตาล จำนวน ๒๔๐ คน จาก ๘๑ โรงเรียน อบรมโครงการโรงเรียนวิถีพุทธที่ราชธานีอโศก เพื่อให้ผู้บริหาร, กรรมการสถานศึกษาและครูผู้สอน มีความรู้ ความเข้าใจ กรอบแนวความคิด การดำเนินการ หลักการบริหารจัดการโรงเรียนวิถีพุทธ และสามารถนำทักษะ ความรู้ ประสบการณ์ไปประยุกต์ใช้ ในการพัฒนาวินัย คุณธรรม จริยธรรม ของนักเรียน ตามแนววิถีพุทธอย่างเป็นรูปธรรม

๒๘ มิ.ย. นายพิสุทธิ์ วีระจิตต์ ผู้อำนวยการ สพท.อุบลราชธานี เขต ๒ เป็นประธานกล่าวเปิดการอบรม และบรรยายพิเศษ เรื่องการพัฒนาวินัย และจริยธรรม แบบยั่งยืน เสร็จแล้วคณะทำงาน สพท. เขต ๒ นำเสนอความเป็นมา ของโครงการ และกรอบแนวคิด โรงเรียนวิถีพุทธ หลังจากนั้น แบ่งกลุ่ม ศึกษาวิถีชีวิตในหมู่บ้าน

ภาคบ่าย สมณะฟ้าไท สมชาติโก บรรยายเรื่อง แนวดำเนินงานและประสบการณ์โรงเรียนวิถีพุทธพร้อมวีซีดี ช่วงท้าย ตอบข้อซักถาม ต่อด้วย กิจกรรม ฮู้จักมักจี่กับพี่เลี้ยง ซึ่งในครั้งนี้เรียกว่า "เพื่อนครู" แยกย้ายเข้าที่พัก ภาคค่ำ ฟังสัมภาษณ์ ปฏิบัติกร

๒๙ มิ.ย. ภาคเช้า ฟังธรรม ออกกำลังกาย รับประทานอาหารเบาๆ ปฏิบัติวิทยาวิถีพุทธเศรษฐกิจพอเพียง การทำ ปุ๋ยหมัก, จุลินทรีย์ และ การจัดการขยะแห้ง ภาคบ่าย รายการเพื่อสุขภาพที่ดีกว่า ซึ่งเน้นโทษภัยของยาเสพติด แบ่งกลุ่มเรียนรู้ ฐานงานอาชีพ ผงสมุนไพรพร้อมดื่ม, แชมพู, น้ำยาซัก-ล้าง, น้ำยาอเนกประสงค์, สบู่สมุนไพร, ยาหม่อง, น้ำเต้าหู้-ปาท่องโก๋ ภาคค่ำ ฟังสัมภาษณ์ปฏิบัติกร

๓๐ มิ.ย. ภาคเช้า ฟังธรรมและชมวีซีดีประวัติและการทำงานศาสนาของพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ และตอบปัญหา เพื่อพัฒนาครู วิถีพุทธ หลังอาหารเช้า กิจกรรมระดมสมอง สนทนาธรรมกลุ่มย่อยกับสมณะ และพิธีมอบวุฒิบัตร แก่ผู้เข้าอบรมโดย ผอ.สพท.เขต ๒ และ พิธีอำลา

ราชธานีอโศกจัดอบรมโครงการโรงเรียน วิถีพุทธให้แก่ผู้บริหาร กรรมการบริหารสถานศึกษา และครู ของสพท.อุบลราชธานี ผ่านมาแล้ว ๒ ครั้ง ครั้งแรก เมื่อ ๒๖ มี.ค. ๒๕๔๗ สพท.เขต ๑ จำนวน ๓๒๐ คน ครั้งที่ ๒ เมื่อ ๒๐-๒๒ พ.ค. สพท.เขต ๕ จาก ๘๑ ร.ร. จำนวน ๒๐๙ คน ระยะเวลา ๓ วัน ๒ คืน สำหรับครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๓ เป็นผู้หญิงเพียง ๒๐ คน

ผู้เข้าอบรมได้ให้สัมภาษณ์ดังนี้

นายพิสุทธิ์ วีระจิตต์ ผอ.สพท. เขต ๒ "หลักการ ร.ร.วิถีพุทธ ถูกต้องและดีงาม สมควรขยายให้ได้ทุก ร.ร. เชื่อว่าเยาวชน จะเป็นเด็กที่ดี และชุมชน จะเกิดสันติ แต่ครูอาจารย์ในสถานศึกษาก็ต้องมาศึกษาหาวิธี และหลักการที่สามารถไปแปลง เป็นนโยบาย ก่อให้เกิดหลักปฏิบัติ เป็นผลจริงใน ร.ร. และมีพลัง ที่เข้มแข็ง ซึ่งเขาต้องมาต่อยอดเอง

ผมเคยไปอบรมที่ร.ร.ผู้นำของพล.ต.จำลอง ศรีเมือง ถ้าเป็นไปได้อยากให้ผู้บริหารในเขต ๒ ไปอบรมด้วย เพื่อต่อยอด ให้สัมพันธ์กับที่นี่"

นายชุมพล แนวจำปา หัวหน้าหน่วยศึกษานิเทศก์ สพท.เขต ๒ "กิจกรรมครั้งนี้ดีมาก สามารถนำวิถีชีวิตแบบนี้ ไปปฏิบัติ เป็นแบบอย่าง ให้กับครู และนักเรียนได้ ปัญหาอยู่ที่ว่าพฤติกรรมของเราบ่งบอกว่า เป็นพุทธขนาดไหน บางคนอาจจะรู้ แต่ไม่ได้ทำ แต่ครั้งนี้ ทั้งรู้และได้ทำด้วย"

นายชวลิต พันแสน ผู้บริหาร ร.ร. อ.กุดข้าวปุ้น "ที่นี่เหมาะจะเอาไปเป็นตัวอย่างวิถีพุทธและปรับปรุงพฤติกรรมของเด็ก เช่น การทำใบตรวจศีล การล้างถ้วยชาม การมีสัมมาคารวะ ในส่วนตัวผมจะฝึกลดละอบายมุข"

นายโกวิท ฉวีรักษ์ ผู้บริหาร ร.ร. อ.ตระการพืชผล "ที่นี่เป็นแบบอย่างของสังคมที่ดี ถ้ามีโอกาสจะพาครูและนักเรียน รวมทั้ง กรรมการ สถานศึกษามาเยี่ยม ผมจะนำวิถีชีวิตที่เรียบง่าย การพึ่งตน การพึ่งพาอาศัยเกื้อกูลกันไปประยุกต์ใช้"

นายสมศรี แก้วปัญญา ศน.สพท. เขต ๒ กิ่งอ.นาตาล "ที่นี่สามารถสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ คิดว่าเพราะ มีธรรมะเป็นกรอบ

ตั้งแต่วันแรกหลังจากได้ฟังธรรมะและได้ฟังวิทยากร ก็ตั้งใจว่าจะเลิกสูบบุหรี่และกินเหล้า ช่วงอบรม ผมได้ออกไปข้างนอก ผมก็ทำได้ จากนี้ไป ผมจะทำเพื่อครอบครัว เพื่อชุมชน เป็นตัวอย่างแก่เพื่อนครูและนักเรียน"

นางเปล่งศรี บุญทา อาจารย์ ๒ ระดับ ๗ อ.เขมราฐ "แต่ก่อนไม่เข้าใจโรงเรียนวิถีพุทธเท่าไร แต่พอได้มาเห็นคิดว่า ถ้าเราจัดได้ จะเป็นผลดีกับเด็ก การอบรมครั้งนี้ เวลาน้อยไปหน่อย ประทับใจมาก เด็กที่นี่กล้าแสดงออก มีความมั่นใจ ชาวชุมชน ก็เป็นกันเอง

จะกลับไปฝึกปฏิบัติศีลที่บ้าน สำหรับเด็กจะเน้นเรื่องศีลให้ละเอียดขึ้น เน้นการปฏิบัติจริง ที่ผ่านมาเด็กอาจจะไม่เข้าใจ เพราะครูก็บอกผ่านๆ"

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


พ่อท่าน กับ กรณีผู้ว่าฯ กทม.

เมื่อ วันที่ ๒๐ มิ.ย. ๒๕๔๗ ที่พุทธสถานสันติอโศก เวลาประมาณ ๐๙.๓๐ น. ในช่วงต้นของการแสดงธรรม (ภายใน) พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ได้กล่าวถึงกรณีมีหนังสือพิมพ์หลายฉบับลงข่าวพาดพิงถึงพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์และพล.ต.จำลอง ศรีเมือง เกี่ยวกับการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.

ซึ่งในเรื่องนี้ พ่อท่านได้นำข่าวดังกล่าว ที่ลงหน้า ๑ หนังสือมพิมพ์มติชนฉบับวันที่ ๑๗ มิ.ย. ๒๕๔๗ มาอ่าน มีเนื้อความว่า "...รายงานข่าว จากคนใกล้ชิด พล.ต.จำลอง เปิดเผยถึงสาเหตุที่ พล.ต.จำลองออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ว่า เมื่อช่วงสองสัปดาห์ ที่ผ่านมา พล.ต.จำลอง ได้ร่วมหารือกับ สก.สข.และสส.ที่เคยอยู่กับพรรคพลังธรรมมาก่อน รวมทั้งสมณะโพธิรักษ์ แห่งสันติอโศก โดย พล.ต.จำลอง และสมณะโพธิรักษ์ เห็นตรงกันว่า จำเป็นต้องออกมาเคลื่อนไหว ในเรื่องผู้สมัครผู้ว่า กรุงเทพฯ ..." ข่าวคราวได้แพร่ออกไปว่า พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กับสมณะโพธิรักษ์ มีความเห็นตรงกัน ความเห็นตรงนี้ ไม่รู้เขาไปเอาที่ไหน เขาว่าอย่างนั้น พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์กล่าว

หลังจากนั้นได้อ่านหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ ๑๗ มิ.ย. ๒๕๔๗ ซึ่งลงเนื้อข่าวเดียวกันและเหมือนกันกับหนังสือพิมพ์ มติชน ซึ่งพ่อท่านกล่าวว่า ตรงกันทุกตัวอักษร เหมือนกัน

พ่อท่านได้กล่าวต่อไปว่า "ประเด็นก็คือว่า เรื่องผู้ว่ากรุงเทพฯ สมณะโพธิรักษ์ ไม่ได้มีความเห็นตรงกับคุณจำลอง ตรงที่ต้อง ออกไปเคลื่อนไหว อาตมา ก็ยังไม่เคยพูดกับคุณจำลองทีเดียว ไม่เคยพูดเลย ว่าควรจะออกไปเคลื่อนไหวอย่างนี้ อาจจะเป็นว่า พูดอะไรต่างๆนานา วิจัยวิจารณ์ อะไรกันบ้าง เอ๊ะ..ในเรื่องสมัครผู้ว่าฯ ไม่ได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ได้พูดกัน ไม่ได้วิจัย วิจารณ์กับคุณจำลองเลย ไม่รู้นะ อาตมาจำไม่ได้ว่า ได้พูดเปรยปรายไปกับ คุณจำลอง เรื่องผู้ว่าฯ น่าจะออกไปเคลื่อนไหว คุณจำลองควรจะเคลื่อนไหวหรืออาตมาควรจะเคลื่อนไหวด้วย อาตมาว่าอาตมา ไม่ได้พูด อาตมาไม่ได้มีความนึกคิดอย่างนี้ ในตัวเองไม่ได้มีความนึกคิดว่า จะออกไปเคลื่อนไหวอะไรเลย

เมื่อเกิดข่าวคราวนี้ออกมา อาตมาก็ได้แต่บ่น พวกเราหลายคนก็สะดุด เปรยปรายกับพวกเราว่า เขาไปออกข่าวอย่างนี้ แล้วพวกเราหลายคน พออาตมา เปรยอย่างนี้ เอ๊..พ่อท่านน่าจะแก้ข่าว น่าจะเขียนจดหมายไปถึงบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ที่ลงข่าวอย่างนี้ ว่ามันไม่ถูกนะ มันเท่ากับ ลากจูงเราลงไปคลุก กับการเมืองเกินไป แล้วก็จริงๆ เราก็ไม่เป็นความเห็น อย่างนั้นด้วย ก็ควรจะแก้ข่าว ให้มันถูกต้อง แต่อาตมาก็เฉยๆ อาตมามีอะไร อยู่ในใจของอาตมาอยู่แล้ว ว่าอาตมา ไม่ควรแก้ข่าว เพราะอะไร ไม่ควรจะจดหมายไปเพราะอะไร อาตมามาได้ข้อมูลทีหลังว่า แม้แต่ใน หนังสือพิมพ์ต่างๆ เหล่านั้น ก็ยังมีผู้ที่อยู่กับหนังสือพิมพ์ต่างๆเหล่านั้น พูดออกมา หรือเปรยปรายออกมาว่า เอ้า...ถ้าเผื่อมันไม่จริง ไม่ตรง อาตมาก็ควร จะบอกนักข่าวเขามา บอกให้ข่าวเขาก็ได้นี่ แก้ข่าวเขาก็ได้นี่ อาตมาก็ไม่ได้ทำ ที่ไม่ทำ อาตมาก็มีความเข้าใจ ของอาตมาเอง อยู่นั่นแหละว่า ทำไมอาตมาไม่ทำ ถ้าทำดีกว่า อาตมาก็คิดว่าจะทำ แต่นี่อาตมาคิดว่าไม่ทำดีกว่า ปล่อยให้มันผ่านๆไปดีกว่า แต่ก็อยาก จะบอกกับพวกเรา

เรื่องของสังคมมันก็มีการอย่างนี้แหละ เก็งหรือว่าคาดคะเน หรือว่าใช้ตรรกะ ใช้เหตุใช้ผล ใช้การวิจัยวิจารณ์ตามตัวเอง ที่จะเข้าใจ ตามตัวเอง ที่จะมีตัวลากตัวจูง ไปยังไงก็แล้วแต่ คงจะเป็นอย่างนั้น คงจะเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ก็ได้ แล้วเขา ก็วิจัยวิจารณ์ แล้วเขาก็คิดไป เขียนไปเอาเอง มันก็มีอยู่ในสังคม เป็นธรรมดา ถ้าเรามัวแต่จะไปรับเรื่อง แล้วก็ถือสา หรือเอาเป็นเรื่องไปหมดก็ไม่ไหว

เรื่องที่มีประเด็นเสนอขึ้นไป ก็มีผู้ที่รับข้อ รับช่วง พออาตมาพูดถึงเรื่องจีเอ็มโอ เปลวสีเงินก็ขานรับ เขียนในคอลัมน์ของเขาว่า เออ...ดีนะ ขอบคุณ ที่อาตมาออกไปต้าน เรื่องจีเอ็มโอ มันเป็นเรื่องของประชาชนไม่ใช่ตัวของท่าน

พอต่อมาอีก วันที่ ๑๗ มิ.ย. ๒๕๔๗ เรื่องราวของคุณจำลองที่ออกมาเปิดว่า จะต้องคัดเลือกคนดีเด่นดัง เข้าไปเป็นผู้ว่า อะไรต่างๆนานา แล้วก็ที่อาตมาอ่านข่าว ในหนังสือพิมพ์ให้ฟังแล้วว่า ผนวกเอา สมณะโพธิรักษ์กับสันติอโศกไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้เขาก็พูดกันมา อย่างที่เปรยมา ว่าถ้ามันไม่จริง ทำไมอาตมาไม่แก้ข่าว อาตมาก็บอกว่า อาตมาไม่แก้ข่าวหรอก ทีนี้เปลวสีเงินเขาก็เขียน ในไทยโพสต์ เขาก็เขียนในวันที่ ๑๗ มิ.ย. เขาเขียนว่าอย่างนี้

"....ผมจับสังเกตว่าในการออกข่าว ในการพูดจามักจะแคะ "สมบัติก้นหีบ" คือคนในองค์กร นามว่าสันติอโศกมาวางหน้าตัก ทำให้คนเข้าใจว่า พล.ต.จำลอง รับสัญญาณมาจากสันติอโศก จากสมณะ โพธิรักษ์ นำศาสนาสู่การเมืองอีกครั้ง ผมไม่เชื่อ และไม่น่าเป็นเช่นนั้นได้ คนสันติอโศกทั้งหมด ไม่ใช่วัวควาย สำหรับให้พล.ต.จำลอง สนตะพายไปกาบัตร ............"

ในวันที่ ๑๘ มิ.ย. คุณเปลว สีเงิน ก็เขียนอีก อาตมาก็จะอ่านเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับเรา ส่วนที่เกี่ยวกับคนอื่น ก็มีอีกเยอะ ส่วนที่เกี่ยวกับเรา ก็บอกว่า

"...แนวทางสันติอโศกที่ท่านเป็นศิษย์ เห็นสอนว่ากินน้อย ใช้น้อย นอนน้อย แต่ทำประโยชน์ต่อสังคมให้มาก ไม่เคยได้ยิน สมณะโพธิรักษ์ สอนคนให้สันติอโศก ยึดแนวทางทุนนิยม ประชานิยม วัตถุนิยม อบายมุขนิยม ได้ยินแต่ท่านสอนบุญนิยม ได้ยินแต่ท่านสอน เศรษฐกิจพอเพียง ค้าขาย ก็ค้าขายแบบทุนอาริยะ คือขายขาดทุนเงินแต่กำไรบุญ คนซื่อสัตย์สุจริต ไม่คดไม่โกง ไม่โกหก แต่ถ้าสนับสนุน คนอสัตย์ คนทุจริต คนคด คนโกง คนปลิ้นปล้อนโกหก ตอแหล ตอหลด ตดใต้น้ำ ท่านว่าไม่ทำเองก็เหมือน ทำอะไรอย่างนี้เป็นต้น..."

นี่ก็เป็นส่วนความเห็นของคุณเปลว ถ้าฟังแล้ว ถ้าใครไปอ่านที่คุณเปลวเขียนแล้วก็จะรู้สึกว่าแรง แต่ก็ชัด แล้วก็จะทำให้อาตมา กับคุณจำลอง ทะเลาะกัน อาตมา ว่าอันนี้อาตมาไม่ทะเลาะกับใครหรอก โดยเฉพาะคุณจำลอง อาตมาไม่ทะเลาะหรอก เพราะอาตมาเห็นคุณความดี ของคุณจำลอง มีอยู่มากมายอย่างไรแค่ไหน อาตมารู้อยู่ แต่ส่วนที่คุณจำลองจะมีแนวคิด ที่ต่างไปกับ อาตมานั้น ก็ต้องมีเป็นธรรมดา

เอาล่ะ! อาตมาก็คงจะไปเสริมไปส่งหรือว่าไปสมทบสำทับอะไรมากขึ้นกว่านี้คงไม่ดี มันแรงแล้ว ฟังดูมันแรงแล้ว มันแรง ในปมประเด็นที่ ถ้าฟังดูไม่ดี พวกเราก็จะเกิดความแตกแยก ส่วนคนที่เขาฟังกลางๆข้างนอกนั้น เขาก็อยู่ตามฐานะของเขา เขาจะเห็นอะไร โน้มเอนไปทางไหน จะมีเทรนด์ ไปอย่างไร มันก็เรื่องของเขา อาตมาก็ไม่มีปัญหาอะไร โดยเฉพาะอาตมานี้ มั่นใจในสัจธรรมและใช้วิจารณญาณเสมอ ใช้อย่าง โยนิโสมนสิการ ใช้อย่าง พยายามที่จะทำอะไร ให้ละเอียดลออ ถ่องแท้ อยู่เสมอ โดยเฉพาะตรวจสภาวะจิตใจ มนสิการ และตรวจสอบองค์ประกอบอื่นๆ บ้าง ก็ขอบอกได้อย่างนี้

คือเรื่องของการเมืองที่จะไปเลือกตั้ง ผู้ว่าฯอะไรกันนี้ อาตมาขอยืนยันว่าอาตมา ไม่ได้ไปมีสัดมีส่วนอะไร กับที่จะต้องไป ผลักดันผู้ว่าฯ แม้จะมีคน ที่จะสมัครผู้ว่าฯ รู้จักกันดีหลายคน ปรึกษาหารืออาตมามาก็มี อาตมาก็ให้คำแนะนำไป แต่อาตมา ก็ขอบอก ว่าแม้แต่ผู้ที่มาปรึกษา หารืออาตมา อาตมาแนะนำ ไปแล้วก็ตาม ถ้าจะลงสมัคร อาตมาก็แน่นอน อาตมาก็คงไม่ไป นั่งหาเสียงกับพวกคุณ หรือบังคับให้พวกคุณ ไปลงคะแนนเสียง ตามที่อาตมาชอบ คนนี้ลง คนนี้ไม่ลง อาตมาจะไม่ทำ แน่นอน พวกคุณ ก็คงเข้าใจและคงเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น อาตมา จะไม่ทำแน่นอน แต่ก็จะต้องไป เท่าที่ควรบอก ว่าอันนี้ น่าพิจารณา อันนี้ไม่น่าพิจารณา หรอก มันก็ชัดๆอยู่แล้ว นี่เป็นความเห็นของอาตมา ถ้าใครไม่เห็นอย่างนี้ จะไปพิจารณา ซ้ำซ้อนว่า เอ...คนที่ท่านว่าไม่เข้าท่า แต่ผมเห็นเข้าท่านะ มันก็ช่วยไม่ได้ ใช่ไหม มันก็อิสระเสรีภาพ ตัวใครก็ตัวของใคร

สรุปแล้วเรื่องที่ไปผลักดันผู้ว่าฯหรือส่งใครสมัคร ขอสมัครผู้ว่าฯในคราวนี้ มันเอี่ยวเกี่ยวมาถึงชาวอโศกในตอนนี้ ก็ขอยืนยันว่า เราเป็นประชาชน โดยเฉพาะ พวกคุณเป็นฆราวาส พวกคุณจะต้องดูแล โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ คุณมีสิทธิ์มีเสียง ที่จะเลือก ผู้ว่าฯ ออกมาตามสามัญ ประชาธิปไตย คุณก็มีสิทธิ์ ที่จะไปเลือกผู้ว่าฯ แล้วคุณก็ควรจะต้องศึกษารู้ว่าใครควรเลือก หรือควรไม่เลือก ใช่ไหม ไม่ใช่ว่าจะต้อง ไปนอนหลับทับสิทธิ์ ไม่ควรนะ กฎหมาย เขาก็พยายามจะต้องให้ออกไปเลือกตั้ง ถ้าไม่เลือกตั้งแล้วหมดสิทธิ์ เสียสิทธิ์อะไรต่างๆนานาแล้ว

เพราะฉะนั้นต้องทำหน้าที่ แต่อาตมาเองอาตมาบอกแล้วว่าอาตมาไม่ไปทำเกินขีด อาตมาว่า อาตมาส่วนตัว ปรึกษาหารือ แม้จะเป็น เชิงของความรู้ ทางการเมือง ถ้าเชื่อว่าอาตมามีความรู้ทางการเมือง ทางสังคมมนุษยชาติ หรือแม้แต่รัฐศาสตร์ ก็ตาม อาตมาไม่ได้จบ รัฐศาสตร์ก็ตาม ถ้าใครคิดว่า จะปรึกษาอาตมาได้ อาตมาปรึกษาคุยกันได้ แต่ตามประสาอาตมา อาตมาไม่ใช่นักวิชาการ ไม่ใช่คนที่มีความรู้ จนกระทั่ง เป็นที่ยอมรับ หรือไปสอบ เอาใบปริญญา หรือไปสอบเอาใบรับรองมา ก็ไม่มี

ก็แล้วแต่ผู้จะนับถือ ผู้จะเชื่อถือ ให้อาตมาแนะนำได้แค่ไหน อาตมาก็ทำ อาตมาก็ดูเหมือนกัน ใครที่จะแนะนำได้ คนไหน แนะนำ ได้มากได้น้อย อาตมา ก็แนะนำ ที่อาตมาแนะนำไม่ได้ อาตมารู้แล้วว่าคนนี้แนะนำไม่ได้หรอก แนะนำมาก ก็เสียเวลา เปล่าๆ อาตมาก็ไม่แนะนำแม้จะสนิทกัน ยิ่งคนสนิท หรือไม่สนิท ยิ่งไม่สนิทเราก็ยิ่งต้องระมัดระวังท่าที

เพราะฉะนั้นไม่มี ในเรื่องที่ว่าอาตมาไปร่วมผลักดัน ไปร่วมที่จะต้องไปต้องเลือกคนไปลง ดีไม่ดีเป็นผู้ส่งเลย นำส่งผู้นี้แหละ ส่งสปอนเซอร์เลยนะ ส่งคนนี้ เข้าประกวดผู้ว่าฯกทม.ในเดือนสิงหาคมนี้ ไม่มี อาตมาไม่เป็นผู้ส่งแน่นอน แต่เป็นผู้ที่รู้จัก มันช่วยไม่ได้นี่ คนนั้นคนนี้รู้จัก จะกล่าวไปทำไมล่ะ ขณะนี้ ที่พูดๆกันอยู่ตั้งหลายคน ออกมาประกาศตัวว่า จะสมัครผู้ว่าฯ ซึ่งอาตมาก็รู้จัก แล้วผู้นั้นก็รู้จักอาตมา บางคน ก็รู้จักกันดีด้วย ซึ่งอาตมาก็ว่า มันเป็นเรื่องสามัญ คนในสังคมจะรู้จักกัน ก็รู้จักกันไป แต่หน้าที่หรือในฐานะ อาตมาในฐานะเป็นนักบวช ฐานะเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ซึ่งสังคม ในประเทศไทยเขาว่า คนที่ทำงานหรือปฏิบัติศาสนา จะต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เขาพูดถึงขนาดนั้น แล้วเขาก็มีความเห็นอย่างนั้น เป็นค่านิยม ของสังคมในประเทศไทย ประเทศนอกเขายังถืออยู่ด้วยอย่างนี้มี ประเทศไทยก็ถืออย่างนี้ ว่าการเมืองกับศาสนา อย่าเอาไป ยุ่งเกี่ยวกัน ซึ่งอาตมา ก็เห็นแย้ง ว่าการเมืองกับศาสนาไม่ยุ่งเกี่ยวกันไม่ได้ แต่ต้องรู้เขต รู้ขีด รู้ฐานะหน้าที่ ที่ควรทำ ให้พอเหมาะ เพราะการเมืองไม่มีศาสนา ไม่ให้ศาสนา เข้าไปยุ่งเกี่ยวนั่นแหละ การเมืองถึงเหลิงแล้วก็คะนอง แล้วก็ทำอะไร ตามใจชอบ พวกนักการเมืองก็เลย ไม่ยุ่งกับศาสนา ยิ่งพูดเผินๆตื้นๆมิติที่ ๑ ว่า อย่าเอาการเมือง ไปยุ่งกับศาสนา มันก็จะเป็น จุดแยกเลย ทำให้การเมืองกับศาสนาห่างกันนัก การเมืองก็เลยไม่มีศาสนา ไม่มีธรรมะ บ้าเลือดใหญ่เลย ความเสื่อมโทรม เสื่อมเสียของการเมืองก็เกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้ ด้วยเหตุฉะนี้ นี่แหละการเมือง มันเสื่อมเพราะเหตุอย่างนี้

เราจะต้องทำอย่างไรให้นักการเมือง ใฝ่ใจในธรรมะ ใฝ่ใจในศาสนา ศึกษาศาสนา แล้วก็รู้ฐานะของการศาสนาว่าจะเข้าไป ร่วมมือ หรือว่า ดึงศาสนา ลงไปคลุกกับการเมือง นั้นได้แค่ใด อันนี้เป็นการประมาณที่จะต้องมีสัปปุริสธรรม เป็นสัตบุรุษ ที่ต้องประมาณให้พอเหมาะ..." พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ กล่าวในที่สุด ซึ่ง นสพ.ข่าวอโศก ก็ขอนำมาลงให้ญาติธรรม ได้รู้ความในใจของพ่อท่าน จะได้เข้าใจตรงกัน.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


โรคสมองเสื่อม

จากการศึกษาขององค์กรระหว่างประเทศ เกี่ยวกับผู้สูงอายุทั่วโลก พบว่ามีแนวโน้มเป็นโรคสมองเสื่อม หรือความจำเสื่อม เป็นจำนวนมากขึ้น ในประเทศไทยของเรา ก็มีแนวโน้มพบมากขึ้นเช่นกัน และพบในผู้หญิง มากกว่าผู้ชาย

มีการศึกษาวิจัยพบว่า สาเหตุหนึ่งคือ เรื่องของการรับประทานอาหาร การขาดสารอาหารและการปนเปื้อนสารพิษ ในอาหาร ทำให้สมองเสื่อมเร็วขึ้น และยังพบว่า อาหารที่ควรรับประทานเพื่อป้องกันสมองเสื่อมได้ คือ อาหารพวก ข้าวกล้อง และถั่วชนิดต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเรา ชาวมังสวิรัติ รับประทานกันอยู่

นอกจากนั้น ยังมีการสำรวจข้อมูลที่น่าสนใจมากคือ พบว่าที่เมืองจันทรา ในประเทศอินเดีย มีประชากรที่เป็นโรคสมองเสื่อม น้อยที่สุดในโลก โดยมี ข้อสังเกตว่า เมืองนี้ชอบรับประทานอาหารที่ปรุงด้วยขมิ้นมาก นักวิจัยจึงคิดว่า ขมิ้นน่าจะมีตัวยา หรืออาหารที่ป้องกัน สมองเสื่อมได้ และ จากการสำรวจข้อมูล ในประเทศไทย ก็พบว่าภาคใต้ เป็นภาคที่มีคนเป็นโรค สมองเสื่อม น้อยกว่าภาคอื่นๆ มีข้อสังเกตที่สอดคล้องกันว่า ภาคใต้เป็นภาคที่ทำอาหารใส่ขมิ้น มากกว่าภาคอื่น ขมิ้นจึงควร เป็นอาหารที่พวกเราควรรับประทาน เป็นประจำ โดยดัดแปลง ใส่ลงในอาหาร หลายๆชนิด ถ้าไม่สะดวกก็อาจกินแบบลูกกลอน หรือแคปซูลที่เราดัดแปลงเป็นสมุนไพร

ขมิ้นยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย ส่วนสรรพคุณด้านอื่นๆนั้นมีมากมาย หลายคนคงทราบกันอยู่แล้ว แต่เรื่อง การป้องกันสมองเสื่อม กำลังมี การศึกษาวิจัยอยู่ น่าสนใจมากนะคะ เพราะถ้าสมองเสื่อมก็จะทำให้จิตใจของเราเสื่อมถอย ไปด้วย เนื่องจาก การรับรู้ต่างๆ ลดลง ช่วยเหลือตัวเอง ได้ลดลง เหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เป็นภาระต่อคนอื่นมากขึ้น คงไม่มีใคร อยากเป็นเช่นนั้นนะคะ.

- กิ่งธรรม รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ม.วช.สันติฯ ฝึกเตวิชโช

เมื่อ วันจันทร์ที่ ๕ ก.ค.๒๕๔๗ เวลา ๑๙.๔๕-๒๑.๐๐ น.ที่พุทธสถานสันติอโศก หลังจบรายการวิปัสสนาจอแก้ว พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ แม้จะมีงาน ล้นมือ แต่ก็ยังเมตตาปลีกเวลามาพบปะพูดคุยกับลูกๆม.วช.เขตสันติอโศก เป็นการเริ่มต้น สร้างวัฒนธรรม บุพเพนิวาสานุสติญาณ ของ ม.วช. สันติอโศก เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันว่า ในรอบสัปดาห์ หรือเดือนที่ผ่านมาใครไปพบเจอเหตุการณ์อะไร (ผัสสะ) มาบ้าง มีการต่อสู้กับกิเลส อย่างไร แพ้หรือชนะกิเลส ก็เอามา เล่าสู่กันฟัง เพื่อธัมมวิจัยร่วมกัน ซึ่งวันนี้ทาง ม.วช.เขตปฐมอโศก ได้ทราบเรื่องราวดังกล่าว ส่วนหนึ่ง จึงเดินทางมารับฟัง ด้วยเช่นกัน และสำหรับรายการพระธรรมก่อนนอน ก็เว้นไปหนึ่งวัน สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็น นิสิตม.วช. แต่มีความสนใจ ก็สามารถมาร่วมรับฟังได้

พ่อท่านได้เริ่มต้นกล่าวว่า "วันนี้เป็นครั้งแรกที่เราจะมีรายการ เป็นอีกเรื่องราวหนึ่งซึ่งอาตมาก็คิดว่าควรจะต้องเป็นบทปฏิบัติ แก่นิสิต ม.วช.กันทุกแห่ง เย็นวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันหยุดของพวกเรา ก็เอาวันนี้แหละวันจันทร์นี่แหละทุกจันทร์ ก็เอาเวลา ที่ไม่กินเวลาเขามากมาย จะดูวิดีโอก็ดูไป พอถึงทุ่มครึ่ง เราขอเวลานั้น เอาทุ่มครึ่ง พอถึงวันจันทร์ทุ่มครึ่งไปถึงสองทุ่มครึ่ง ประมาณนั้น สักชั่วโมงหนึ่ง

เรามาสรุปกันอาทิตย์หนึ่ง คือจันทร์หนึ่งทีหนึ่งใช่มั้ย อาทิตย์หนึ่งเราผ่านมาเป็นเตวิชโช อาตมาคิดถึงแง่ เตวิชโช เตวิชโช ที่เป็นรูปธรรม เตวิชโช ที่อาตมา จะเรียกว่าประยุกต์ก็ประยุกต์ จะเรียกว่าทำให้มันเป็นบทเป็นบาทเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาก็ได้ คือมันมารำลึก เรามานึกทบทวน ใครได้มีเรื่องราวอะไร ในสังคมของเรา หรือว่าสิ่งที่เราไปพบไปผ่านมาข้างนอกก็ตาม เป็นสิ่ง ที่เราควรจะเอามา พูดสู่กันฟัง เออ...เรื่องนี้ เหตุการณ์นี้ มันเกี่ยวกับ ชีวิตจิตวิญญาณ เกี่ยวกับการเกิดการดับ เกี่ยวกับ ประสบการณ์ที่เราได้ประสบมา ใครมีผลดี ใครมีผลเสียท่า พลาดท่าเสียที โอ้โห ขาดทุนจม เกิดเหตุการณ์นั้น เกิดพฤติการณ์นี้ เกิดครั้งคราวนั้น อย่างนั้นอย่างนี้ ก็มาบอกกัน บอกแล้ว ใครจะมีข้อแนะ ข้อที่จะพอช่วยแนะ ช่วยนำอะไรกันได้ ก็ทำได้ด้วย ไม่ได้หมายความว่ามาฟังธรรม มาเทศนา

เป็นการเสวนา ภาษาสมัยใหม่ ที่จริงเสวนาภาษาโบราณ ภาษาบาลี แต่เป็นภาษาสมัยใหม่เข้าใจกันอยู่ มาเสวนา มารวมกัน ต่างคน ต่างมีอะไรกัน ก็เอามาพูด เอามาบอกกัน แต่มีเป้าหมายว่าเรื่องราวของเราเป็นเตวิชโช เป็นการรำลึกสิ่งที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่ผ่านมา เรื่องราวที่ผ่านมา เป็นเรื่องราวอะไร มันเป็นข้อด้อยข้อดีอย่างไร เป็นการปฏิบัติอย่างไร เราจะเข้าใจ ถึงการปฏิบัติธรรมแบบพุทธ จะเข้าใจว่า เออ...สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ทั้งหมดหยิบขึ้นมา ทั้งอาชีวะที่เราผ่านอยู่ เรามีกัมมันตะมีพฤติกรรม กัมมันตะ การกระทำทางกาย วาจา ใจอย่างไรบ้างล่ะ กรรมของเรา อย่างนั้น ครั้งนั้น ครานั้น เมื่อนั่นมีเรื่องราวอย่างไร มีเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยอย่างไร เป็นเรื่องจริงของใครที่ประสบ ผ่านมานั่นแหละคือ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ญาณคือมารู้ ถ้าเรารู้เฉพาะตัวของเราในบัดนั้น ขณะนั้นคือ บุพเพนิวาสานุสติญาณของเราขณะนั้น มีญาณระลึก เดี๋ยวนี้ ก็ระลึกทันเลย มีระลึกย้อนเหตุการณ์เก่าๆมา เสร็จแล้วเราก็อ่านในเหตุการณ์ที่ผ่านมานั่นแหละเก่าๆ ที่ผ่านมานั่นแหละ มีอะไรเกิดขึ้น มีอะไรดับได้ จุตูปปาตญาณ มีอะไรเกิดมีอะไรดับ อะไรเกิดอะไรดับ หมายถึงเนื้อแท้ของ ปรมัตถ์ ก็คือเกิดกิเลสนั่นแหละ มันเกิดกิเลสนั่นแหละ เราได้ดับมันมั้ย เราได้จางคลาย ลงไปได้บ้างมั้ย จุตูปปาตญาณ จนกระทั่งโอ๊..กิเลสเราดับลงไปเหลืออาสวะ แม้งวดนี้ อาสวะกิเลส เรายังทำไม่ได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ โอ๊..งวดนี้ ครั้งนี้แหม ดับอาสวะได้เด็ดขาดเลย ครั้งต่อๆมาก็ยังทำได้อีก ครั้งต่อมาก็ทำได้อีก แหมจันทร์นี้ก็มาบอกกันได้ จันทร์หน้า ก็มาบอกกันได้ เรื่องนี้ แต่เหตุการณ์คล้ายกันนะ แหมไม่คล้ายกันเลยนะ แต่กิเลสอาสวะตัวเก่าดับได้เลย แหม...ฝีมือๆ เข้าใจแล้วนะ นี่คืออะไร จะเป็นการศึกษา จะเป็นการทบทวน จะเป็นการตรวจสอบ จะเป็นการขยายความ ขยายผลต่อกันและกันขึ้นมา อย่างเป็นเรื่องเป็นราว เป็นรูปเป็นร่าง เป็นจริงเป็นจัง ไม่ใช่เป็นเรื่องมุข ไม่ใช่เป็นเรื่องคิดเอา ไม่ใช่เป็นเรื่องสร้างนิทาน ไม่ใช่ เรื่องจริงของใครมีใครเป็นกว่ากันมา แบ่งปันกันดู โอ้โฮ.. คนหนึ่งพูดขึ้น มันคล้ายกับของเรา นี่มันตรงกับของเรา โอ้.. นี่มันเฉียดๆ คนนี้ไม่เหมือนเราเลย อะไรก็แล้วแต่ มันก็จะได้เรียนรู้ไป ตรวจทั้งที่เราไม่เกิด ไม่เป็น ไม่พบ ไม่ผ่าน โอ๊..คนอื่น เขาก็เป็นได้อย่างนี้เชียวเหรอ โอ๊..เราไม่ยักจะถึงขนาดนี้ โอ้โห..ไม่จริง ของคุณนิด ของฉันเยอะกว่านี้ มันจะเห็น มันจะเกิดอะไร ขึ้นมาจริงจัง"

หลังจากนั้นม.วช.แต่ละคนได้พูดถึงผัสสะที่เกิดขึ้น แล้วมีการปฏิบัติภายใน ภายนอกกันอย่างไร และพ่อท่านก็ได้อธิบาย ลักษณะ ของกิเลสนั้น ให้ได้เข้าใจ เป็นที่ประทับใจซาบซึ้งของลูกเป็นอย่างมาก ทำให้เวลา ๑ ชั่วโมงดูสั้นนิดเดียว แล้วจันทร์หน้า คงได้มาพบปะกันใหม่ แม้พ่อท่านไม่อยู่ ก็ให้สมณะ ทำหน้าที่แทนกันไป.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

หน้าปัดชาวหินฟ้า

เจริญธรรม สำนึกดี เวียนมาพบ นสพ. ข่าวอโศกฉบับที่ ๒๓๔ (๒๕๖) ปักษ์แรก ๑-๑๕ ก.ค.๔๗ นำข่าวความเคลื่อนไหว ของชาวอโศกมาฝากกันเช่นเคย

นี่ก็ใกล้เข้าพรรษาเข้ามาแล้ว ก็ขอถือโอกาสเชิญชวนพวกเราได้ตั้ง "ตบะหรรษา" ตามแต่สักกายะของตน เพื่อจะได้เพ่งเพียร ปฏิบัติธรรมลดละกิเลส (แล้วอย่าลืม เล่าสู่กันฟังด้วยนะฮะ)

ศีรษะอโศก...งานอบรมที่ศีรษะอโศกถือว่าชุกมาก อย่างเมื่อวันที่ ๑๖ มิ.ย.ที่ผ่านมา มีผู้สนใจจาก อ.ศรีรัตนะมาดูงาน ๓๐๐ คน ท่ามกลางสายฝน บวกพายุ, จาก จ.เพชรบูรณ์ก็มาดูงาน ๑๐๐ คน และจาก อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร อีก ๓๐๐ คน

ส่วนในช่วง ๒๔-๒๕ มิ.ย. ก็มี นร.จาก รร.กระแชงวิทยาเข้ามารับการอบรม ๒๐๐ คน...ฝ่ายด้านกสิกรรม เริ่มตั้งแต่การเข้าค่าย ยุวพุทธ กสิกรรมของเด็ก สัมมาสิกขา และนิสิต ม.วช. ได้ร่วมกันปลูกต้นไม้ ซึ่งจนถึงช่วงนี้ก็ลงแขกปลูกกล้วยที่สวนใกล้วัด ไผ่ตง ในที่ส่วนกลาง ซึ่งอยู่ใกล้เขาพระวิหาร ช่วงที่ผ่านมาจึงได้หน่อไม้มากมาย บางทีผลผลิตมีมากจนเหลือกิน หรือกินไม่ทัน ก็ได้นำไปขาย ในราคาบุญนิยม ให้ชาวบ้าน โดยคุณแม่คำคูณ นิสิต ม.วช.รุ่นอายุยาว นำมาวางขายใต้ต้นไม้ หน้าร้าน หนึ่งน้ำใจ มีการเก็บผักพื้นบ้านมาวางขาย อย่างต่อเนื่อง ในแต่ละวัน ก็ขายได้ดีมาก ถ้าไม่เก็บมาขาย ก็แก่ทิ้งเฉยๆ ผักพื้นบ้าน ก็อยู่ตามป่าทั่วไป อาศัยความขยันหาเก็บมา ตอนนี้ก็ขายได้เฉลี่ยวันละ ๕๐๐-๖๐๐ บาท ตอนนี้ ก็มีเงินรวมทั้งหมดเกือบ ๔๐,๐๐๐ บาท นี่คนอายุยาวเก็บขายแค่คนเดียว ก็ยังทำรายได้ ได้มากขนาดนี้ ไม่ต้องลงทุนปลูกอะไรเลย ถ้าลงทุนปลูก ก็อีกนานกว่าจะได้กินได้ขาย แต่ถ้าเป็นผักพื้นบ้านขอเพียงขยันไปเก็บมา กินมาขาย ก็ได้ผลทันที ก็ดีที่ชาวศีรษะฯ ตื่นตัว เรื่องการกินผักพื้นบ้าน มากกว่าแต่ก่อน

ในขณะเดียวกัน ชาวบ้านก็พลอยเริ่มเห็นคุณค่าของพืชผักพื้นบ้าน ซึ่งแต่ก่อนพวกเขามองข้ามไป มีคณะต่างๆ ที่มาดูงาน พอถึงร้าน หนึ่งน้ำใจ ก็ให้ความสนใจ ในสินค้าชุมชนดี และหลายๆคนก็ได้ใช้บริการพืชผักพื้นบ้าน ซึ่งไร้สารพิษ ซื้อ ติดไม้ ติดมือ กลับไปบริโภคที่บ้าน เราให้โอกาสลูกค้า ถ้าใครอยากชิมก็ให้ชิม

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มกสิกรรมไร้สารพิษมาขายผลไม้ไร้สารพิษอีกหลากหลายชนิด

ด้านการทำนาช่วงนี้ ก็หว่านไว้เป็นบางส่วน ตอนนี้ก็มีเพลี้ยระบาดหนัก เพราะชาวบ้านใช้สารพิษปราบศัตรูพืชกันมาก ชาวนา ต้องทนนั่ง มองหนอนเพลี้ย ที่ลงนากินเรียบจนหมดนา เดือดร้อนกันมากที่ จ.บุรีรัมย์ จนมีผู้เฒ่าบางคนบอกว่า ตั้งแต่เกิดมา ก็ยังไม่เคยเจอ สภาพหนอนระบาดหนักอย่างนี้ เขาว่าเป็นหนอนเพลี้ยพันธุ์ใหม่ ที่พัฒนาทนยาพิษเก่งขึ้นกว่าเดิม

แต่เมื่อเปรียบเทียบกับนาข้าวในนาบุญ ที่ทำแบบกสิกรรมไร้สารพิษของเราที่ใช้ปุ๋ยธรรมชาติ น้ำหมักชีวภาพ ที่เราทำกันเอง ทำให้ต้นข้าวแข็งแรง ทนทาน ต่อการรบกวน หรือทำลายของแมลงต่างๆได้มากกว่า ก็เป็น นาตัวอย่างแก่คนล้าสมัยที่ไม่ยอม เปลี่ยนแปลงตนเอง ไม่ยอมเลิกใช้ยาพิษ เช่น ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า ปุ๋ยเคมี ขนาดมีผู้ว่าฯ ซีอีโอต่างก็รณรงค์ให้ใช้ปุ๋ยชีวภาพ ก็ยังมิใช่ของง่าย เพราะชาวทุนนิยม ปลูกฝังให้ชาวบ้าน หลงสารเคมีมานาน นี่ถ้าไม่เป็นหนี้เป็นสิน เพราะการลงทุนซื้อ สารเคมีมาใช้ในไร่นา และสวนต่างๆ ก็คงยังไม่เห็นแจ้งว่า ปุ๋ยอินทรีย์ดีกว่า เพราะรัฐบาลหลายชุด ก็ส่งเสริมกันมาผิดๆ เห็นจะมีก็รัฐบาลชุดนี้แหละ โดยเฉพาะท่านนายกฯทักษิณ ที่กล้าพูดชัดเจน ในเรื่องให้ใช้ปุ๋ยธรรมชาติ เพราะเป็นการลด ต้นทุน และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างเห็นๆ...จี๊ดๆๆๆ...

กู้ดินฟ้า เวอร์ชั่นใหม่... ปิดไปหนึ่งสัปดาห์เพื่อไปติดตามว่า พืชผักผลไม้ที่เกษตรกรนำมาส่ง ที่กู้ดินฟ้านั้น ไร้สารเคมีจริงๆ แม้ถึงขั้นปลอดสาร ก็ไม่เอา ต่อไป จะตอบได้ทุกคำถามว่า ผักนี้มาจากเครือข่ายไหน ใครเป็นคนปลูก ที่ผ่านมาเราใช้ระบบ เชื่อใจกัน เลยถูกเกษตรกรบางคนวางยา เขาช่าง ไม่กลัวบาปกรรมกันเลยนะ และหากไปทานอาหารที่ชมร.หน้าสันติฯ ก็ไม่ต้องแปลกใจนะฮะว่า อาหารเมนูเด็ด ปรุงจากผักพื้นบ้าน ทยอยออกมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ยอดมะพร้าวไร้ฟอร์มาลีน จนถึง รากผักชีไร้สารพิษ...จี๊ดๆๆๆ...

ตลาดนัดกู้ดินฟ้า...ทุกวันอาทิตย์แรกของเดือน ตลาดนัดพลังบุญย้ายมาขายบริเวณซอยกลางหน้าทาวน์เฮาส์ โดยเริ่มมา ตั้งแต่อาทิตย์แรก ของเดือนมิ.ย. เป็นที่น่าดีใจว่า บางเจ้า ของไม่ทันขนลงจากรถ ก็ขายหมดเสียแล้ว เพราะลูกค้าตาไว เลือกซื้อหมด ภายในพริบตา ฮะ...ขอให้ไร้สารพิษ เถอะ.. เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคแน่นอน...จี๊ดๆๆๆ...

ทุนการศึกษาต่อยอด...ชาวอโศกที่อยู่ในวัดท่านใดต้องการศึกษาต่อ เพื่อนำความ รู้มาใช้ประโยชน์ในงานศาสนา คุณสมบัติ เบื้องต้น ถือศีล ๘ อยู่ประจำ พุทธสถานหรือชุมชน ๖ ปีขึ้นไป เรียนเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ หรือภาคสมทบ จบแล้ว ไม่ออก ไปทำงาน นอกเครือข่ายชาวอโศก และไม่รับเงินเดือนหรือค่าตอบแทนอื่นใด และได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมชุมชนนั้นๆ สนใจหรือจะสมทบทุน สอบถามรายละเอียด ได้ที่คุณเหมียว ฟากฝั่งฝัน สันติอโศก....จี๊ดๆๆๆ...

ซุ่มมาเงียบๆ...ใกล้จะครบหนึ่งปีแล้ว กลุ่มฝึกฝนนั่งเจโตสมถะที่สันติอโศก ทุกเช้าตั้งแต่เวลาตีสามถึงตีสี่ ในวันที่ไม่มี การทำวัตร (อังคาร-ศุกร์) และขยับมาทุกวัน แม้ในวันที่มีการทำวัตร (เสาร์-จันทร์)แต่ถึงตีสามครึ่ง บริเวณใต้ตึกฟ้าอภัยใหม่ สมาชิกค่อยๆเพิ่มขึ้น คาดว่า เข้าพรรษา คงมีสมาชิกเพิ่มขึ้น ใครสนใจแวะไปได้ มีสมณะกอบชัย ธัมมาวุโธ เป็นผู้นำฝึก นอกจากได้ฝึกเจโตแล้ว ยังได้ฝึกพลังลมปราณ ควบคู่กันไปอีกด้วย จิ้งหรีด บินไปสังเกตการณ์ เขาฝึกกันอย่างจริงจัง และได้ผล.... จี๊ดๆๆๆ...

พึ่งเจ็บ...นายภูธรรม โฮมแพน หรือที่ชาวชุมชนภูผาฯเรียกกันว่า พ่อทองใบ ได้เป็นมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่จนต้องถูกตัดลำไส้ ส่วนล่างออก และเมื่อหายแล้ว ก็จะเดินทาง ไป รพ.สวนดอก จ.เชียงใหม่ ตามที่หมอนัดเป็นประจำ จนมาครั้งล่าสุด คุณหมอได้ตรวจพบก้อนเนื้อ บริเวณตับ และวินิจฉัยว่า เป็นมะเร็ง พอหน่วยพลาภิบาลที่ปฐมอโศกรู้ข่าว ก็พร้อมที่จะ ให้การรักษาดูแล ซึ่งพ่อทองใบ ก็ได้เดินทางไปรับการดูแลรักษา จากหน่วยพลาภิบาลของชาวอโศก ที่ปฐมอโศก หลังงาน อโศกรำลึก โดยพ่อทองใบได้แสดงความรู้สึกไว้ เมื่อวันที่ ๓๐ มิ.ย.๔๗ ว่า "...กระผม ได้รับการดูแลรักษา เป็นอย่างดี โดยรักษาแบบธรรมชาติบำบัด ควบคุมอาหารและบำบัดรักษาหลายอย่าง ได้รับความเมตตาจาก คุณพยาบาล น้อมบูชา คุณหมอเขียว เป็นอย่างดี ตลอดจนทีมพลาภิบาลของคุณหมอที่ปฐมอโศก ก็เอาใจใส่ดูแลเรื่องอาหารและที่อยู่อาศัย เป็นอย่างดี เป็นที่ยืนยันแล้วว่า พวกเราชาวอโศก พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันได้จริง

ส่วนอาการป่วยของกระผม ก็มีอาการดีขึ้นเรื่อยๆ

หมอแก้งได้พาไปตรวจเลือดที่ รพ.สนามจันทร์ นครปฐม ผลปรากฏว่า ค่าของเลือดและค่าของตับ เหมือนคนปกติ แสดงว่า อาการป่วยของกระผม ดีขึ้นเรื่อยๆ

ทุกวันนี้กระผมก็ช่วยเขาทำงานบางอย่างได้บ้างแล้ว คิดว่าปลายเดือน ก.ค.นี้ กระผมจะกลับมาเพื่อตรวจตามที่หมอ รพ.สวนดอก นัดอีกที..." ก็ขออนุโมทนา กับหน่วยพลาภิบาลและผู้บริจาคหรือให้เงินเกื้อแก่ชาวอโศก สร้างโรงพลาภิบาล แห่งแรก ของชาวอโศก ที่ปฐมอโศก เพื่อเป็นสถานที่ ที่จะช่วยให้ชาวอโศก สามารถพึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันได้อย่างสมบูรณ์ ยิ่งขึ้น จิ้งหรีดได้ยินพ่อท่านบอกว่า ยังเหลือเพียง โรงพลาภิบาล ในหมู่ชาวอโศกเท่านั้น ที่ยังไม่เกิดเป็นรูปเป็นร่างที่สมบูรณ์ จิ้งหรีดก็หวังว่า โรงพลาภิบาล คงเป็นของขวัญ ของลูกๆ ที่จะมอบให้พ่อท่าน ก่อนถึงอายุขัย...จี๊ดๆๆๆ...

มรณัสสติ
นางกองแก้ว บัวชุ่ม อายุ ๗๙ ปี ญาติธรรมชาวเชียงใหม่ เสียชีวิตเมื่อวันที่ ๘ ก.ค.๒๕๔๗

พบกันใหม่ฉบับหน้าฮะ...
- จิ้งหรีด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ขายตรง (Direct Sale)
"จ่ายแพงกว่าทำไม???" (ตอนจบ)

*** สไปรูไลน่าทำไมราคาแพง
ช่วงปลายปี ๒๕๔๕ เรื่อยมาจนถึงปีนี้ ถ้าเรานิยมดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ อ่านวารสารและเล่นอินเตอร์เน็ต เราจะพบโฆษณา สาหร่ายอัดเม็ด สไปรูไลน่า กันอย่างถี่ยิบ ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ถ้าคุณเห็นเม็ดเงินรวมของการทำตลาดผลิตภัณฑ์ สาหร่าย อัดเม็ด ในปี พ.ศ.๒๕๔๕ ซึ่งทั้งปี มีมูลค่าสูงถึง ๒๓,๐๗๓,๐๐๐ บาท (จาก ๓ บริษัท) และเพียงเดือนมกราคม เดือนแรกของปี ๒๕๔๖ มูลค่าตลาดการโฆษณาสูงถึง ๓๙,๖๔๕,๐๐๐ บาท ข้อมูลนี้ ขอขอบคุณ บริษัท MDR Pacific ซึ่งเอื้อเฟื้อข้อมูล ให้กับทางฉลาดซื้อ

เห็นเม็ดเงินโฆษณาที่หว่านไปแล้ววูบไหวกันบ้างไหม บริษัทเหล่านี้ต้องขายสินค้ากันได้มากขนาดไหน หรือมั่นใจว่า จะขายดี กันขนาดไหน ถึงลงทุน โฆษณากันมโหฬารขนาดนี้ แน่นอนว่าจำนวนเงินนี้ ต้องไปบวกในต้นทุนราคาสินค้า ซึ่งยังมีเรื่องของ การผลิต และการทำตลาดตรงอีก เปอร์เซ็นต์ที่แบ่งกัน ในระหว่างผู้ขายอีก ดังนั้นสินค้าตัวนี้ จึงไม่มีคำว่า ราคาถูก และใครกันเล่า คือผู้ที่ต้องจ่ายเงินซื้อ เพื่อโอบอุ้มต้นทุนทุกอย่างของ บริษัท ถ้าไม่ใช่เรา ผู้บริโภค

*** เราได้อะไรจากการกินสไปรูไลน่าแคปซูล
ลองสำรวจดูที่คุณค่าของสารอาหาร ในสาหร่าย สไปรูไลน่า (เปรียบเทียบเฉพาะโปรตีน เพราะสาหร่ายนี้อ้างสรรพคุณ ว่ามีปริมาณโปรตีนสูง) คุณจะไม่ได้เห็น ความโดดเด่นเหนือกว่าอาหารชนิดอื่นๆเลย

ตารางปริมาณโปรตีนในสาหร่ายสไปรูไลน่ากับอาหารสดและแห้งอื่นๆ
อาหาร ปริมาณโปรตีน (กรัม/๑๐๐ กรัม)
สด แห้ง
สาหร่ายสไปรูไลน่า ๗.๕ ๖๒.๔
เนื้อวัว ๒๐.๐ ๔๘.๙
กุ้งทะเล ๑๗.๒ ๖๒.๔
กุ้งน้ำจืด ๑๖.๒ ๕๙.๘
ปลากะตักเกล็ด ๑๘.๕ ๖๘.๒
ปลาตัวเล็ก ๒๐.๐ ๕๘.๖
ปลาหมึกกล้วย ๑๕.๓ ๖๓.๓
ปลาไส้ตัน ๑๘.๐ ๕๐.๑
หมู ๑๔.๑ ๕๕.๒
เต้าหู้ ๑๒.๔ ๕๓.๙

อาจเป็นเรื่องจริงที่มีคนบริโภคสาหร่าย สไปรูไลน่า อย่างเดียว อยู่ถึง ๑๕ ปี และไม่พบว่าเขาไม่สบายหรือเสียชีวิต (เก็บมาจาก คำอ้างใน เว็บไซต์) แต่คุณจะไปฝืนกิน สาหร่ายอย่างเดียวอยู่ทำไม ในชีวิตตั้ง ๑๕ ปี ในเมื่อเราอยู่ในเมืองไทย เมืองที่ได้ชื่อว่า มีอาหารหลากหลาย และอุดมสมบูรณ์เป็นที่สุด

ไปถามนักโภชนาการทุกคนได้ว่า หากคุณกินอาหารไทย แม้บางวัน ๒ มื้อหรือบางวันเต็มที่ ๓ มื้อ ไม่มีใครขาดสารอาหารแน่ ไม่เพียงไม่ขาด ยังได้รับความอร่อย จากความหลากหลายของวัตถุดิบที่นำมาปรุงแต่ง และความหลากหลาย ของวิธีปรุง ที่ปัจจุบัน อาหารไทยของเรา กำลังได้รับความนิยมไปทั่วโลก คือเครื่องชี้วัดที่เห็นได้ชัด

คงมีบ้างที่คุณอาจหวั่นไหวไปกับข้อมูลสารพัดที่ออกมาตามสื่อต่างๆ ถึงภัยร้ายของอาหาร หรือเป็นเพราะตัวคุณเอง มีพฤติกรรม การบริโภคที่ไม่ดี จึงกลัวว่า จะขาดสารอาหาร แต่อาการวิตกของคุณนี้ โปรดอย่าแก้ไขด้วยการซื้อสุขภาพ (ไม่ฉลาด) อยากให้ลองหันมาเปลี่ยน พฤติกรรม การบริโภคดูกันบ้าง ไม่กินอะไรซ้ำซาก ชีวิตคุณก็ปลอดภัยได้ โดยไม่ต้อง พึ่งพาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

ถ้าวันหนึ่งคุณต้องกินสาหร่ายสไปรูไลน่า ๖ แคปซูล (ตามที่โฆษณาระบุประมาณ ๓,๐๐๐ มิลลิกรัม) ราคาขายขวดละ ๔๐๐ บาท ขนาดบรรจุ ๑๐๐ แคปซูล ก็ตกแคปซูลละ ๔ บาท วันหนึ่ง ๒๔ บาท (ความจริงแล้วเงินจำนวนนี้ก็ทำให้คุณกินได้ ๑ อิ่ม โดยได้รับสารอาหารครบและอร่อย) และถ้าคุณต้องการ กินเพิ่มมากขึ้นในแต่ละวัน (เพราะปริมาณการบริโภคจะผกผัน ไปตามเงื่อนไข ที่อ้างว่า รักษาโรคชนิดต่างๆ) วันหนึ่ง คุณอาจต้องกินถึง ๑๕ แคปซูล หรือจ่ายเงิน ๖๐ บาทต่อวัน ๑,๘๐๐ บาท ต่อเดือน และ ๒๑,๖๐๐ บาทต่อปี เก็บเงินไว้ ทำประโยชน์อย่างอื่น จะดีกว่าไหม

*** เหตุผลที่ทำให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารขายดิบขายดี
๑. ผู้คนส่วนใหญ่มีเวลาไตร่ตรองกับโฆษณาน้อยมาก การมีดาราหรือคนดังมารับรองยิ่งทำให้ผู้บริโภคให้ความไว้วางใจ ในผลิตภัณฑ์นี้

๒. ผลิตภัณฑ์นี้จัดเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จึงจดทะเบียนเป็นอาหารไม่ใช่ยา ข้อดีคือทำให้โฆษณาได้อย่างกว้างขวาง มีข้อกำหนด แค่ว่าห้ามโฆษณาสรรพคุณ รักษาโรคเท่านั้น ไม่เป็นไรเพียงแค่ทำการตลาดตรงเท่านั้นก็เรียบร้อย อบรมสมาชิก ให้จูงใจคนซื้อให้ได้ว่า รักษาโรคได้ และ การตลาดตรง อย. ตรวจสอบยาก หรือแม้ว่าทางการจะกำหนดให้มา ขออนุญาต โฆษณาก่อน แต่ถ้ารีบก็โฆษณาไปก่อนก็ได้ ค่าปรับ แค่ไม่กี่พันบาท ขายได้วันหนึ่ง มากกว่าค่าปรับเป็นสิบเท่า จ่ายได้ สบายมาก

๓. คนนิยมซื้อสุขภาพมากกว่าสร้างสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ถ้านานๆไปแล้วขายไม่ออก ก็หาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ แปลกๆ มากล่อม ผู้บริโภค ให้ซื้อสินค้าเราอีกได้อยู่แล้ว งานนี้ไม่มีขาดทุน

*** วิธีทำให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยอดขายพุ่ง
๑. ทุ่มโฆษณาให้มากเข้าไว้ ทั้งทางโทรทัศน์ วิทยุและสื่ออื่นๆเท่าที่มีในปัจจุบัน
๒. พยายามผูกโยงเรื่องราวให้ได้ว่าอาหารมหัศจรรย์ของคุณสามารถรักษาโรคได้
๓. ทำการตลาดตรง จัดอบรมสัมมนาหาสมาชิกให้มากๆ ด้วยผลตอบแทนที่สูง คุณจะมีลูกค้าจำนวนมากอยู่ในอุ้งมือ
๔. นำดารา นักแสดง หรือคนดังของสังคมมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ รับรองคนให้ความสนใจอย่างมาก
๕. จ้าง "นักวิจัย" มาวิจัยผลิตภัณฑ์ของคุณ อย่าลืมกำหนดให้ผลการวิจัยออกมา รับกับคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ของคุณด้วย
๖. สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าด้วยการข่มคู่แข่งอื่นว่า การผลิตไม่ได้มาตรฐานกินแล้วอาจมีอันตราย ต้องเข้มข้น สะอาด มาตรฐาน ISO ถึงจะดี

*** สุขภาพดีได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ คุณคงพอเข้าใจการตลาดของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญเสียด้วย เพราะมัน หมายถึง คุณกำลังจะเป็น "เหยื่อ" ของการขายสินค้าสุขภาพด้วยอีกคนหนึ่งหรือเปล่า ก่อนเข้าสู่วังวน ของกระแสอาหารเสริม เสริมอาหาร เรามีข้อแนะนำ สำหรับคุณ

๑. โปรดมีความยับยั้งชั่งใจก่อนซื้อผลิตภัณฑ์ ตัวใดตัวหนึ่งมาใช้
"ยับยั้ง" คืออย่าคิดว่า มีเงินแล้วสามารถซื้อสุขภาพได้ "ชั่งใจ" คือพิจารณาทางเลือกอื่นๆก่อน อย่าฟังความข้างเดียว อย่าเชื่อนักวิชาการ ที่มีผลประโยชน์ กำกับอยู่เบื้องหลังการให้ข้อมูล

๒. ทำชีวิตให้ช้าลง
การบริโภค ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดไม่ควรมองเฉพาะความสัมพันธ์แค่ตัวเรากับตัวสินค้า ควรมองให้กว้างกว่านั้น มองถึงผลดี ผลเสีย ความคุ้มประโยชน์ และ การไม่สร้างกระแสทำร้ายคนอื่นในสังคม อย่าลืมว่า "ฉลาดซื้อ ก็คือ การไม่ซื้อ" คำนี้ใช้ได้ ตลอด สำหรับผู้บริโภคทุกคน.

(ส่วนหนึ่งจากนิตยสาร "ฉลาดซื้อ" สื่อเพื่อผู้บริโภค ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๕๔ ปี ๒๕๔๖ คอลัมน์ "เรื่องเด่น")

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


กิจกรรมของชาวชุมชนศีรษะอโศก

เมื่อวันที่ ๒๐ มิ.ย.ที่ผ่านมา มี นร.สัมมาสิกขาทั้งสายสามัญและอาชีวะ ร่วมแรงร่วมใจกันปลูกกล้วยจำนวน ๑,๕๐๐ ต้น ที่สวนบุญ เบ่งบาน มีทั้งท่านสมณะ และคณะคุรุช่วยเป็นกำลังใจ ทำให้งานนี้สำเร็จลุล่วงก่อนเวลาที่กำหนดไว้อย่างน่าชื่นชม

ส่วนโครงการอบรมคุณธรรมจริยธรรมให้กับผู้นำชุมชน โดยเฉพาะกำนันผู้ใหญ่บ้าน อบต. โดยท่านนายอำเภอฯ จิรพงษ์ แก้วมณี และ ท่านปลัดอำเภอฯ ทองฟัก ไทยธานี ได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง รวมทั้งญาติธรรมที่คบคุ้นกันมานานแต่ยังดูแล กิจการทางด้านรีสอร์ต อยู่ที่ อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร เป็นผู้ประสานงาน และนำผู้เข้าอบรม โดยใช้ชื่อ โครงการ "แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง" ประมาณ ๑,๐๐๐ คน เข้าศึกษาดูงาน และได้จัดแบ่งการดูงาน เป็นเวลา ๓ วัน คือ

วันที่ ๑๘ มิ.ย. ๔๗ จำนวน ๓๐๐ คน
วันที่ ๒๒ มิ.ย. ๔๗ จำนวน ๓๐๐ คน
วันที่ ๒๔ มิ.ย. ๔๗ จำนวน ๔๐๐ คน

ซึ่งก็ได้ดูงานผ่านไปแล้ว ๒ รุ่น (๖๐๐ คน) ส่วนใหญ่ประทับใจความเป็นชุมชนไร้อบายมุขและความเป็นชุมชนที่เข้มแข็ง พึ่งตัวเองได้ ในหลายๆเรื่อง

ฉบับนี้ชุมชนศีรษะอโศกก็ขอรายงานไว้เพียงเท่านี้ ต่อไปจะได้รายงานสู่กันฟังในโอกาสต่อไปๆอีก.

- พลีขวัญ พูลลาภ รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ชื่อ นางสุนันทา ศรีประเสริฐสุข
เกิด ๑๘ ส.ค. ๒๔๗๙ อายุ ๖๘ ปี
ภูมิลำเนา กทม.
การศึกษา ป.๔
สถานภาพ ม่าย บุตรชาย ๒ คน
น้ำหนัก ๕๐ กก.
ส่วนสูง ๑๕๘ ซ.ม.

คุณป้าสุนันทาเป็นญาติธรรมชาวอโศก ที่ได้ชื่อว่าดูแลสุขภาพดีคนหนึ่ง หลายคนไม่ทราบว่าป้าอายุ ๖๘ ปีแล้ว เพราะหน้า อ่อนกว่าวัย เมื่อก่อน ป้ามาสอนออกกำลังกายหลายอย่าง นานไปนักเรียนหายหมด ป้าเลยสุขภาพดีมาถึงทุกวันนี้ ไปคุยกับป้า กันเลยค่ะ

*** เริ่มจากเล็กไปหาใหญ่
ฉันเกิดที่ทุ่งสีกัน มีพี่น้อง ๘ คน ฉันเป็นคนที่ ๗ (เสียชีวิต ๔ คน) พ่อแม่มาจากเมืองจีน แม่บอกว่ามาแรกๆก็ทอผ้า ทำไร่มันเทศ แถวดอนเมือง แล้วย้ายมาอยู่เทเวศน์ ทำร้านค้าซื้อของเก่าตอนนั้นฉันอายุ ๘ ขวบแล้ว ต่อมาเปิดโรงงานทอผ้าที่สะพานเหลือง กิจการใหญ่ขึ้น จึงไปสร้างโรงงาน ที่สำเหร่ ไม่นานพี่ชายซึ่งเป็นหลักของครอบครัวเสียชีวิต แม่จึงขายกิจการ แล้วย้ายไป ค้าขายที่ปากคลองตลาด ส่วนฉันจบ ป.๔ ก็ไปเรียนเสริมสวย ตัดเย็บเสื้อผ้า ขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป ทำอยู่ ๒๐ กว่าปี

แต่งงานตอนอายุ ๓๖ ปี ตอนนั้น พ่อแม่เสียชีวิตหมดแล้ว ญาติๆเป็นห่วงกลัวว่าแก่แล้วจะลำบาก เลยแนะนำ ให้รู้จักกับ พ่อบ้าน อายุ ๓๗ ปี เป็นคนราชวัตร นิสัยดีมาก ค้าไม้ส่งก่อสร้าง อยู่ด้วยกัน ๒๗ ปี ไม่มีปากเสียงเลย เขาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ และไปเผาที่ปฐมอโศก

*** ในชีวิต
ไม่เคยไปวัดไหนเลย เพราะทำแต่งาน เดือนสิงหาคม ๒๕๒๔ ตรงกับวันอาทิตย์ เพื่อนชวนไปสันติอโศก ได้คุยกับ สิกขมาตุ จินดา และดูธรรมฉาย เรื่องฆ่าไก่ วันนั้นตอนลงจากรถตั้งใจว่า ขากลับจะซื้อไก่ย่าง เมื่อดูธรรมฉายแล้วเลยไม่ซื้อ ได้ยืม เท็ปเหลือง ไปฟังด้วย

เนื้อสัตว์ก็ค่อยๆลดสัตว์ใหญ่คือหมูก่อน ส่วนเนื้อวัวไม่เคยกิน ที่บ้านกินเจทุกปี เมื่อมาวัดบ่อยๆเข้าก็เลิกเนื้อสัตว์ได้บริสุทธิ์ ในปี ๒๕๒๖ จนถึงทุกวันนี้

ซื้อทาวน์เฮ้าส์หน้าสันติฯ ตั้งแต่สร้างเสร็จใหม่ๆ เพราะอยากอยู่ใกล้วัด มาเฉพาะเสาร์อาทิตย์ ต่อมาบริษัทดินน้ำฟ้ามาขอเช่า ฉันเลยไปซื้อบ้าน อยู่ใกล้ๆวัด ที่ซอยพึ่งบุญ

พ่อบ้านนั้นชอบอาจารย์ไสว แก้วสม ติดตามฟังตั้งแต่สมัยพ่อท่านแสดงธรรมคู่กับคุณไสว ที่ลานอโศก วัดมหาธาตุฯ แต่เขา ไม่ชอบพ่อท่าน บอกว่า พ่อท่านแสดงธรรมไม่สำรวม ก่อนเขาเสียชีวิตปีกว่าๆ ก็เริ่มเข้าใจและศรัทธาพ่อท่าน มาวัดทุกวันเสาร์

*** สะสมบุญ
ปี ๒๕๒๗ ตั้งแต่ ชมร.อยู่ฝั่ง อ.ต.ก. ฉันก็ไปช่วยตักอาหารขาย จนย้ายมาฝั่งจตุจักร ตอนเช้าพอส่งลูกไป ร.ร. ฉันก็มาช่วย ตักอาหารขายที่ร้าน จนครูหนูเย้าฉันว่า เป็นมือตักมือหนึ่ง พอบ่ายโมงก็กลับไปรับลูก ต่อมา ชมร.ย้ายมาอยู่หน้าสันติฯ วันเสาร์ อาทิตย์ฉันมาค้าง บ้านทาวน์เฮาส์ ตอนเช้า ช่วยทำผักที่ชมร.ฯ สำหรับห้องสื่อธรรมะ เพิ่งมาช่วยได้ ๓ เดือน

มีช่วงหนึ่งไม่ค่อยสบาย เลยไปฝึกรำไท้เก๊ก ว่านตันกง ลมปราณ ๑๘ ท่า จนสุขภาพดีขึ้น เคยมาสอนผู้สูงอายุพักหนึ่งที่สันติฯ แต่เขามีงานกันเยอะ พอถึงเวลา ก็บอกว่ายังไม่ว่างๆ ที่นี่ไม่ค่อยดูแลสุขภาพกันเท่าไร

จะตื่นตี ๔ มาออกกำลังกายประมาณ ๑ ชั่วโมง ตั้งแต่ปี ๒๕๓๒ ทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย ปีนสูงได้ รู้สึกว่าใจเหมือน เพิ่งอายุ ๒๐ กว่าปี แม้สังขารจะแก่ แต่ใจไม่รู้สึกว่าแก่เลย

*** ของเก่า
เป็นคนไม่ค่อยห่วงอะไรมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ออกจากบ้านแล้วไม่คิดถึงอะไรเลย บ้านก็ไม่ห่วง ลูกก็ไม่ห่วง แต่เขากลับ มาห่วงเราเสียอีก ตอนแรก ใครๆคิดว่าดิฉันเป็นโสด เพิ่งมารู้ตอนลูกมาตามที่วัด ตั้งแต่พ่อเขาเสีย ลูกจะห่วงฉันมาก

ตอนลูกเล็กๆ อยู่กับอาม่า บางวันทำงานจนไม่กลับบ้าน คนเขาก็สงสัยว่า ทำไมไม่ห่วงลูกเลย ก็มีคนดูอยู่แล้ว ไม่รู้จะห่วงทำไม รู้สึกว่า ตัวเองเปลี่ยนแปลง รู้บุญบาป เมื่อก่อนไม่รู้เราก็ทำบาป เดี๋ยวนี้รู้แล้ว ก็เลิก ตอนพ่อบ้านเสีย เขาก็ถามทำไมไม่ทุกข์ ทำไมทำใจเก่ง ก็มีเหมือนกันอยู่ในใจ ไม่ค่อยแสดงออก

*** ทุกวันนี้
วันอาทิตย์ทานมื้อเดียว แต่พองานเยอะขึ้นไม่ค่อยมีเวลา เลยทาน ๒ มื้อ มีความสุขอยู่กับธรรมะ ถ้าไม่มีที่นี่ เจอเหตุการณ์อะไร ก็คงทำใจยาก อย่างกรณี พ่อบ้านเสีย แต่พอเจอธรรมะแล้วก็ทำใจได้

*** ฝาก
ถ้าใครทุกข์มากๆนะมาที่นี่เหมือนหายไปเลย ถ้าย้ายมาใกล้วัดตรงนี้โชคดีมาก อาหารก็พร้อม ญาติก็เยอะ

คุณป้าบอกว่าย้ายมาอยู่ใกล้วัดแล้วโชคดีมากเลย อาหารก็พร้อม ญาติก็เยอะ เอ... แล้วคนที่ทำตัวห่างวัดไปเรื่อยๆล่ะ เรียกว่า อะไร....

- บุญนำพา รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


สมณะเสียงศีล ชาตวโร
ได้รับประกาศนียบัตร การทำเกษตรอินทรีย์

เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๔๗ สมณะเสียงศีล ชาตวโร ได้รับใบประกาศนียบัตร จากเอกอัครราชฑูต อิสราเอล ประจำประเทศไทย H.E. Mr.Gershon Zohar

ประเทศอิสราเอล เป็นประเทศที่ขาดแคลนน้ำ ขาดแคลนแผ่นดิน แต่เป็นประเทศที่ประสบผลสำเร็จด้านการเกษตรอินทรีย์ ดีที่สุด แห่งหนึ่งของโลก เขาสามารถ ปลูกผัก ปลูกผลไม้ บนทะเลทรายได้เป็นผลสำเร็จ นอกจากจะมีบริโภคในประเทศแล้ว ยังมีขาย ทั่วทวีปยุโรป และอเมริกา

เมื่อวันที่ ๒๑-๒๕ มิถุนายน ๒๕๔๗ ชมรมเกษตรอินทรีย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตร ได้จัดสัมมนา เชิงปฏิบัติการ เรื่องเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทยและอิสราเอล ณ สถาบันเกษตราธิการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพฯ โดยได้เชิญ สองผู้เชี่ยวชาญ จากอิสราเอล คือ Mr.Uri Adler (Msc Agri) และ Mr.Rodman Rafi และวันที่ ๒๓ มิถุนายน คณะผู้เข้าร่วมสัมมนา และผู้เชี่ยวชาญ จากอิสราเอลทั้งสองท่านได้ไปดูงานการผลิตปุ๋ย ของเครือข่าย ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน ซึ่งตอนนั้นเรามี โรงปุ๋ยระดับ มาตรฐาน ผลิตปุ๋ยหมักอัดเม็ด คุณภาพดี ได้วันละหลายสิบตัน ได้พิสูจน์ผลการใช้มาแล้ว ทั้งในแปลงผัก และในนาข้าว ปรากฏว่าได้ผลดี ไม่แพ้ปุ๋ยเคมี จะดีกว่าก็ตรงที่ยิ่งใช้ดินยิ่งดี

วันสุดท้ายของการสัมมนา คือวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๔๗ สมณะเสียงศีล ชาตวโร และ ผู้เข้าร่วมสัมมนาประมาณ ๔๐ ท่าน ได้รับใบประกาศนียบัตร จากเอกอัครราชฑูตอิสราเอล ประจำประเทศไทย คือ H.E. Mr.Gershon Zohar

การสัมมนาคราวนี้ ทุกคนได้ความรู้เรื่องการทำปุ๋ย การเตรียมดิน และการใช้น้ำอย่างประหยัด เรื่องโรคและแมลงศัตรูพืช แทบไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะถ้าทำเกษตรธรรมชาติได้แล้ว จะเกิดความสมดุลย์ทางธรรมชาติ แมลงที่เป็นมิตร ซึ่งมีมากกว่าถึง ๘๐% จะปราบกันเอง พืชที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ จะแข็งแรง ต้านทานโรค ผลผลิตที่ออกมาจะสมบูรณ์ รสชาติดี ไม่มีสารพิษตกค้าง เพราะไม่ได้ใช้ สารเคมีเลย เรื่องการตลาด ไม่ต้องพูดถึง ผลิตเท่าไร ก็ยังไม่พอกับความต้องการของตลาด ถ้าของเราดี และไร้สารพิษ.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

สัมมนาน้ำหมักชีวภาพ
มีประโยชน์มากกว่าโทษมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง

วันที่ ๑-๒ กรกฎาคม ๒๕๔๗ เครือข่ายชาวอโศก ๑๐๔ คน โดยการประสานของตอ. เข้าร่วมฟังการนำเสนอผลงาน และ การประชุมวิชาการ เรื่องมาตรฐาน และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์น้ำหมัก ชีวภาพเพื่อการบริโภค โดยสำนักงานพัฒนา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ณ ห้องนนทรี โรงแรม ที.เค.พาเลส ถนนแจ้งวัฒนะ หลักสี่ กรุงเทพฯ มีนักวิชาการและผู้สนใจเข้าร่วมฟังประมาณ ๔๐๐ คน เพื่อรายงาน ความก้าวหน้า ทางวิชาการและมาตรฐานและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์น้ำหมักชีวภาพเพื่อการบริโภค โครงการนี้ ทาง สวทช. และอย. ที่ได้ริเริ่มจัดให้มีการประชุม การวิจัยมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๕

วัตถุประสงค์การวิจัย
๑. เพื่อนำเสนอผลการวิจัยผลิตภัณฑ์น้ำหมักชีวภาพ ให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นักวิจัย ตลอดจนผู้สนใจ
๒. เพื่อประชาสัมพันธ์ และรายงานสถานการณ์เกี่ยวกับการผลิตและการใช้ประโยชน์ผลิตภัณฑ์น้ำหมัก
๓. เพื่อหาแนวทางของการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนน้ำหมักพืชให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้บริโภค

การประชุมครั้งนี้ เป็นเรื่องของความก้าวหน้าของงานวิจัยที่ทำมาประมาณปีกว่าๆ และเน้นที่ผลิตภัณฑ์น้ำหมักชีวภาพ เพื่อการบริโภค เป็นสำคัญ

ปกติการประชุมเพื่อรายงานความก้าวหน้าทางวิชาการมักจะประกอบด้วย นักวิชาการเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับการประชุม ในคราวนี้ จะพบว่า มีผู้สนใจจำนวนมาก ทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค นักวิชาการ เข้ามาร่วมรับฟังและมีส่วนร่วมในการประชุม

คณะนักวิจัยเข้ามาร่วมโครงนี้ ๔๙ ท่าน ประกอบด้วยนักศึกษาปริญญาตรี ๓๐ คน ปริญญาโท ๑๕ คน และปริญญาเอก ๔ คน จาก ๑๐ สถาบันการศึกษา คือ
๑.คณะเภสัชศาสตร์ ม.เชียงใหม่, ม.สงขลานครินทร์, ม.อุบลราชธานี, จุฬาลงกรณ์ฯ, ม.ขอนแก่น
๒.คณะเทคนิคการแพทย์ ม.เชียงใหม่
๓.คณะเภสัชกรรม ม.เชียงใหม่
๔.คณะวิทยาศาสตร์ ม.มหาสารคาม, ม.สงขลานครินทร์
๕.สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขตหันตร พระนครศรีอยุธยา
๖.สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์
๗.โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี
๘.สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ๙.คณะเกษตรศาสตร์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ม.นเรศวร
๑๐.คณะอุตสาหกรรม ม.เชียงใหม่ และ สำนักงาน มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม

นักวิจัยได้เก็บตัวอย่างน้ำหมักชีวภาพจากเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ทั่วประเทศ ชุมชนสันติอโศก, ศูนย์เรียนรู้ชุมชนอินทร์บุรี, หมอพื้นบ้าน จ.ขอนแก่น และที่วางจำหน่าย ทั่วไปในท้องตลาด ซึ่งผลิตจากผลยอมากเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ กระชายดำ ฯลฯ สำหรับผลการวิจัยที่นำเสนอในการประชุมพอสรุปได้ดังนี้

- สถานภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์น้ำหมักชีวภาพที่มีอยู่ในท้องตลาดประเทศไทยพบว่า มีเชื้อโปรไบโอติก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ทำให้ลำไส้ มีแบคทีเรียที่ดี เกิดความสมดุลของแบคทีเรีย ในลำไส้

- การดื่มน้ำหมักชีวภาพเป็นประจำไม่พบว่ามีอันตรายต่อไตและอวัยวะภายใน

- น้ำหมักชีวภาพดังกล่าวอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ปลอดภัย

- น้ำหมักชีวภาพที่ใช้บริโภคกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน รวมไปถึงกระบวนการผลิตปลอดภัยต่อผู้บริโภค

- ในการบริโภคน้ำหมักชีวภาพ ส่วนมากจะมีการเจือจางก่อนดื่ม ทำให้ปริมาณเอธานอลไม่อยู่ในระดับที่เป็นอันตราย ต่อผู้บริโภค

- พบว่าในน้ำหมักชีวภาพมีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ โดยปริมาณจะแตกต่างไปตามวัตถุดิบที่ใช้และกระบวนการผลิต สูตรที่ใช้ น้ำตาลอ้อย ไม่ผ่านการฟอกสี และการหมักที่ไม่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน ให้ฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุด

- ผู้บริโภคน้ำหมักยอจะมีการถ่ายมูลมากครั้งกว่าผู้ไม่บริโภคยอบ้านมีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ลดระดับน้ำตาลในเลือด มีผลดี ต่อสุขภาพ ผิวหนัง

- น้ำหมักจากกระชายดำมีผลต่อสมรรถภาพของระบบสืบพันธุ์

- น้ำหมักจากสมอไทยมีผลยับยั้งหรือลดอารมณ์ทางเพศ

- มีการนำไปทดลองใช้กับผู้ป่วยเอดส์ ปรากฏว่าสามารถบำบัดอาการท้องร่วงได้ดีขึ้น

- ผู้บริโภคน้ำหมักชีวภาพจำนวน ๒๓๕ ราย ให้คำตอบว่าขับถ่ายดีขึ้น นอนหลับดีขึ้น รู้สึกกระปรี้กระเปร่า หายปวดข้อ รับประทานอาหารได้มากขึ้น และ คุณภาพชีวิต ด้านอื่นๆดีขึ้น ได้แก่ อารมณ์ดีขึ้น จิตใจปลอดโปร่งแจ่มใส สบายใจ และต้องการให้หามาตรการ ควบคุมผลิตภัณฑ์ ออกใบรับรองคุณภาพ และตรวจสอบความปลอดภัย โดยให้มีมาตรฐานของ อย.

- ในน้ำหมักดองผักพื้นบ้านไม่พบการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ก่อโรคอาหารเป็นพิษ แต่พบกลุ่มแบคทีเรียที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะน้ำ และเนื้อผักเสี้ยน มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุด รองลงมาได้แก่ผักกาดเขียวปลี, กุยช่าย และต้นหอม

- กรณีมียีสต์เหลือตกค้าง ทำให้เก็บรักษาเพื่อรอจำหน่ายได้ไม่นาน และอาจมีโทษต่อผู้บริโภคได้

- ผลการวิจัยเรื่องพิษของผงกระชายดำ ในสัตว์ทดลอง ปรากฏว่าไม่พบอันตรายใดต่ออวัยวะภายในของสัตว์ทดลอง

- ประสิทธิภาพการชำระล้างของแชมพูน้ำหมักชีวภาพ ให้ผลที่ไม่แตกต่างจากแชมพูท้องตลาด

บรรยากาศทั่วไปของงาน เหมือนเป็นรายการนักผลิตพบปะนักวิชาการ โดยเฉพาะเครือข่ายชุมชนอโศกมีการผลิต-บริโภค และใช้ประโยชน์ จากน้ำหมักชีวภาพค่อนข้างกว้างขวาง โดยเฉพาะด้านการเกษตร ซึ่งดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์วงศ์ ได้นำมา เผยแพร่ เมื่อประมาณ ๑๐ กว่าปีที่ผ่านมา

เครือข่ายชาวชุมชนสันติอโศกและสุรินทร์อโศก ได้นำผลิตภัณฑ์น้ำหมักชีวภาพ ต่างๆไปแสดงและให้ทดลองชิม ซึ่งหลังจาก ฟังผลการวิจัย ว่าน้ำหมักชีวภาพ ไม่มีผลเสียใดๆต่อสุขภาพดังที่เคยมีกระแสข่าวเกิดขึ้นในอดีต หลังจากพักเบรกและช่วงพัก รับประทานอาหาร มีนักวิชาการ และผู้เข้าร่วมประชุมสัมมนา ให้ความสนใจสอบถามและทดลองชิมเป็นจำนวนมาก และ สนใจต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เป็นจำนวนมาก เนื่องจากทาง ต.อ.ต้องการนำผลิตภัณฑ์ไปแสดงเท่านั้น ผู้สนใจ จึงทำได้เพียงจดที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ จากฉลากไปด้วยความเสียดาย

ในช่วงวันที่ ๒ ของเวทีพิจารณ์ น.พ.วิชัย โชควิวัฒน์ อธิบดีกรมการแพทย์ แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวง สาธารณสุข, อดีตเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้กล่าวว่า "....ผมตั้งใจจะมาร่วมงานนี้ ด้วยเหตุผล หลายประการ ประการแรกก็คือ ทราบว่า กลุ่มผู้ที่จะมาร่วมนี้ จะเป็นกลุ่มทางอโศก ผมเองนั้นชื่นชมท่านโพธิรักษ์ มาตั้งแต่ สมัยท่านยังทำทีวี ตอนนั้นยังเป็นเด็กๆ และมีโอกาส เคยไปร่วมอภิปรายกับท่านครั้งหนึ่ง ที่ข้างสนามหลวง นานมากๆแล้ว หลายสิบปีแล้ว แล้วก็ติดตามชุมชนอโศกมาโดยตลอด ด้วยความชื่นชมว่า เป็นชุมชน ที่ยึดมั่นในเรื่องของ การก่อความดี และเรื่องของการที่จะพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนจริงๆ เพราะฉะนั้น มีโอกาสได้มาสัมผัส เกี่ยวข้องกับชุมชนอโศก ก็ถือว่าได้มาสัมผัสกับเรื่องของกลุ่มคนที่มีความตั้งใจ ในเรื่องของความดีงามอย่างมั่นคง เมื่อคุณปัทมา เชิญให้ผมมาในครั้งนี้ ผมจึงมา นี่เป็นเหตุผลข้อที่หนึ่ง...."

ผู้ผลิตให้ความสนใจรายละเอียดและขั้นตอนของการขอมาตรฐานคุณภาพสินค้าจากอย. ซึ่งได้ชื่อว่า ขอได้ยากมาก ซึ่งพบ กับคำตอบ ที่สนุกสนาน เป็นกันเองจาก อย. ว่า อย.แปลว่าเอายาก ขอให้ผู้ผลิตพัฒนากระบวนการผลิต มีผลการวิเคราะห์ ของผลิตภัณฑ์ สถานที่ผลิต ให้ได้มาตรฐาน และคำถามที่ว่า ทำไมอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายแถมเป็นโทษกับร่างกาย เช่นเครื่องดื่มชูกำลัง บะหมี่กึ่งสำเร็จ แต่กลับได้ อย. น้ำหมักชีวภาพ ที่มีประโยชน์ มีการวิจัยและทดลองดื่มมาแล้วว่า ไม่มีอันตราย แต่ขอ อย.ไม่ได้ น.พ.วิชัยได้ตอบว่า เพราะมันไม่มีประโยชน์จึงได้อย. คือ อย. มีหน้าที่ ขึ้นทะเบียนอาหาร ที่มนุษย์ที่มีกิเลสหนาบางต่างๆกัน รับขึ้นทะเบียนได้ อาหารที่เป็นโทษยังสามารถขึ้นทะเบียน อย.ได้ เช่นสุรา อันนี้คือ กิเลสที่หนาบางต่างๆกัน ของมนุษย์ในโลกนี้ หน้าที่ของ อย. คือ ดูว่าอาหารหรือยาแต่ละประเภทเข้าเกณฑ์ของ อย.หรือไม่ โดยไม่ได้ไปดูว่า มีโทษมากน้อยแค่ไหน อันนี้เป็นหลักของ อย. ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์สากล

สุดท้าย น.พ.วิชัย ได้กล่าวปิดการประชุมว่า "...ผลของการประชุม ๒ วันนี้คงจะมีส่วนเกื้อหนุนทำให้น้ำหมักชีวภาพ มีอนาคต ที่ดี เป็นประโยชน์ ต่อชุมชน เป็นประโยชน์ต่อพวกเราเอง เป็นประโยชน์ต่อคนไทยโดยส่วนรวม....."

ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้ให้สัมภาษณ์ ดังนี้

น.ส.ใบลาน ชุ่มอินทรจักร ราชธานีอโศก "ได้ความรู้ที่จะไปให้คำตอบกับชุมชน ได้ว่าควรจะบริโภคหรือไม่ และทราบเกลือ ช่วยลดยีสต์ที่ทำให้เกิดแอลกอฮอล์ และการผลิตอะไรน่าจะมีการบันทึก ซึ่งเราสามารถให้คำตอบกับผู้ที่สนใจ และได้ความรู้ ทางวิชาการ"

น.ส.ขวัญดิน สิงห์คำ ศีรษะอโศก "ทางศีรษะฯจะใช้น้ำหมัก ในด้านของเกษตร มากกว่าด้านการบริโภค และตัวเอง ได้ใช้ดื่ม เป็นครั้งคราว ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในด้านระบบการขับถ่ายซึ่งตัวเองจะเดินทางบ่อย ช่วยได้เยอะ"

นางศรีฟ้า ชวะนนทกิจ ผู้ผลิต ชุมชนสันติอโศก "สนใจเรื่องน้ำหมักตั้งแต่ดร.รสสุคนธ์นำมาเผยแพร่ ประมาณสิบกว่าปี ที่แล้ว เมื่อนำมา ทดลองดื่ม ในครอบครัว ก็เกิดผลดีต่อสุขภาพของทุกๆคน ก็เผยแพร่ไปยังผู้อื่น ซึ่งก็ได้รับผลดีเช่นกัน ขณะนี้ มีผู้นำน้ำหมัก จตุผลาธิกะ จากการหมัก ผลไม้สมุนไพร ๔ ชนิดไปทดลองให้ผู้ป่วยเอดส์ดื่มพร้อมกับปัสสาวะ จากการตรวจ เลือดทุก ๓ เดือน พบว่าอาการท้องร่วงหายไป ภูมิต้านทานร่างกายเพิ่มขึ้น ซึ่งทดลองมาได้ ๖ เดือน กำลังติดตามผลต่อไป".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

นายกฯทักษิณส่งเสริมไบโอดีเซล
เป็นประธานเปิดหัวจ่ายในปั๊มบางจากข้าง ชมร.ช.ม.
ชาวอโศกภาคเหนือร่วมสนับสนุน

โครงการในพระราชดำริ
เป็นน้ำมันงอกบนดิน มิต้องเจาะลงใต้ดิน เพื่อประหยัดการใช้พลังงานในชาติ

เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๔๗ เวลาประมาณ ๑๕.๐๐ น. ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทาง มาเป็นประธาน เปิดโครงการ พลังงานทดแทนของกระทรวงพลังงาน ตามนโยบายของรัฐบาล โดยให้ปั๊มน้ำมันบางจากข้าง ชมร.ช.ม. เปิดหัวจ่ายน้ำมัน ไบโอดีเซล เป็นแห่งแรกในภาคเหนือ และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมารอต้อนรับเป็นจำนวนมาก

ทางปั๊มบางจากได้มาขอใช้สถานที่ตั้งโต๊ะใน ชมร.ช.ม.เลี้ยงอาหารแก่แขกที่ได้รับเชิญมา

ฯพณฯนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร หลังจากกล่าวเปิดปั๊มจำหน่ายไบโอดีเซล ซึ่งท่านนายกฯกล่าวว่า เป็นโครงการใน
พระราชดำริ ที่รัฐบาลรับมาดำเนินการ ราคานั้นถูกกว่าน้ำมันดีเซล ๓๐ สตางค์ เป็น น้ำมันที่เราผลิตได้เอง โดยใช้น้ำมันปาล์ม ไม่ต้องขุดจากดิน แต่มันงอก อยู่บนดิน แล้วก็ได้ลดตัวให้เกียรติทำหน้าที่แทนเด็กปั๊มให้บริการแก่รถรับจ้าง ๒ แถวแดง ที่เป็นสมาชิก มาเติมน้ำมัน สักครู่หนึ่ง ก็เดินทางไปทำภารกิจ ในแห่งอื่นๆอีก รวมทั้งการประชุม ครม.สัญจรที่ จ.ลำพูน จึงมิได้แวะรับประทานอาหารใน ชมร.ช.ม. ซึ่งในวันนี้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้เหมาแจกฟรีทั้งร้าน ในวงเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท

แต่ได้มี รมว.กระทรวงพลังงานฯ น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุรเดช และคณะ ได้ให้เกียรติเข้ามารับประทานอาหารมังสวิรัติ และ ให้สัมภาษณ์ กับผู้สื่อข่าว นสพ. ข่าวอโศก

สำหรับบรรยากาศของร้านชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย สาขาเชียงใหม่ ตั้งแต่เช้าวันนี้ก็มีลูกค้ามาอุดหนุนกัน เป็นจำนวน มาก เป็นพิเศษ ตั้งแต่เช้า ถึงบ่าย เวียนเข้าเวียนออกเต็มทุกที่นั่ง

อาสาสมัครที่มาช่วยงานก็มีจำนวนมากทุกรุ่นจากหลายๆที่ จึงมีบรรยากาศที่อบอุ่น ตื่นตา ตื่นใจ

พอถึงเวลาประมาณ ๑๔.๐๐ น. ชาวอโศกภาคเหนือตอนบนและนักเรียนสัมมาสิกขาภูผาฟ้าน้ำ ได้มายืนต้อนรับ ท่านนายกฯ ท่ามกลางสายฝนปรอยๆ

พอถึงเวลาประมาณ ๑๕.๐๐ น. ท่านนากยกฯทักษิณ ก็เดินทางมาถึงปั๊มน้ำมันบางจาก วงดุริยางค์โยทวาทิต ระดับแชมป์โลก จาก ร.ร.มงฟอร์ด บรรเลงเพลง ต้อนรับ ท่านนายกฯทักษิณได้เดินมาทักทาย นร. สัมมาสิกขาภูผาฯ ซึ่งถือป้ายสนับสนุน ไบโอดีเซล โดยท่านนายกฯ ได้ถามเด็กๆว่า "รู้จักลุงจำลองไหม?", "ลุงจำลองมา หรือเปล่า?", "สมณะมาหรือเปล่า?" ซึ่งท่านนายกฯ ได้สอบถามเป็นภาษาเหนือ เด็กๆก็ตอบเป็นภาษาเหนือ

นายบรรพต ดอกไม้แก้ว หัวหน้าสำนักงานพัฒนาพลังงานทดแทน และอรูปพลังงานพื้นที่ จ.เชียงใหม่ อายุ ๕๗ ปี "หน้าที่ ของผม เดี๋ยวนี้ ก็รับผิดชอบอยู่ ๖ จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา และแม่ฮ่องสอน เป็น ภาคเหนือ ตอนบน รับผิดชอบเกี่ยวกับ การอนุรักษ์พลังงาน เกี่ยวกับพลังงานทดแทน ให้ผู้ใช้ไฟฟ้า อย่างประหยัด ใช้น้ำมันอย่างประหยัด ผมชอบรับประทานอาหารมังสวิรัติ ถ้าไปพบที่ไหน ก็เข้าไปลอง ไปซื้อ ไปรับประทาน เพราะเป็นอาหารเพื่อสุขภาพกายและ จิตวิญญาณ ที่ดีครับ วันนี้ได้มาชิมแล้ว ๒ ครั้ง น้ำ ๑ ครั้งกับอาหาร ๑ ครั้ง"

นางหนึ่งในธรรม บุญยัง ผรช.ชมร.ช.ม. "รู้สึกประทับใจที่ได้มีโอกาสต้อนรับท่านรัฐมนตรีและคณะผู้ติดตาม ข้าราชการผู้ใหญ่ หลายฝ่าย ญาติธรรม และสมาชิกชมรมทุกท่าน ทางร้านได้เปิดบริการฟรีตั้งแต่ ๐๖.๐๐-๑๕.๐๐ น. อาหารก็เป็นแบบ บริการตัวเอง ร้านเราสนับสนุน โครงการไบโอดีเซล โดยการ บริการฟรี ทั้งอาหารและน้ำผลไม้ไร้สารพิษ ที่พิเศษคือ ทุกคน เมื่อรับประทานแล้ว ยังทำบุญโดยการล้างจานล้างใจด้วย"

รมว.น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริยเดช "ราคาน้ำมันนี่นะครับที่แพง ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมานี่นะ เราต้องกลับมาหาพื้นฐาน ของเราที่มีอยู่ เป็นต้นทุนของชีวิตเรา นั่นก็คือ สิ่งที่เข้ามาสู่ธรรมชาติ ก็เสริมกับแนวคิดของชาวอโศก ที่จะกลับชีวิตเรา ให้ใช้ธรรมชาติ ให้มากที่สุด แนวคิด ที่จะกลับขึ้นมาใช้ แม้กระทั่งในเราที่กลายเป็นของจำเป็น ก็ต้องกลับมาหาเชื้อเพลิง ที่มาจากธรรมชาติของเรา ก็ได้แก่ เชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากดิน อย่างเช่น ขณะนี้ รัฐบาลส่งเสริมในเรื่องของเอทานอล เราใช้กลั่น แอลกอฮอล์จากต้นพืชของเรา คืออาจจะเป็นต้นอ้อย หรือมันก็ได้ ในขณะเดียวกัน ทางด้านน้ำมันดีเซล ที่เราใช้มาก ก็ต้อง กลับมาใช้ไบโอดีเซล ซึ่งได้จากผลิตภัณฑ์จากพืชของเราเอง สิ่งสำคัญที่ท่านนายกฯ พูดเมื่อสักครู่คือ ประหยัดพลังงาน ประหยัดเงินของแผ่นดินนะครับ ลดการนำเข้านะครับ แล้วประหยัดสุขภาพ เพราะว่านั่นคือพื้นฐานของชีวิต คิดว่าคงเป็น แนวคิด ที่สอดคล้องกับทางด้าน ของชาวอโศก ซึ่งท่านนายกฯฝากบอกชื่นชมพวกเราอยู่แล้ว"

ต่อข้อถามที่ว่า "พวกเราชาวชมรมมังสวิรัติ จะช่วยในเรื่องของไบโอดีเซลได้อย่างไร" ท่าน รมว.พรหมินทร์ ก็ได้ตอบว่า "ในนี้นะครับ ในจิตใจ ในปรัชญา ต้องเสริม ซึ่งกันและกัน ขณะนี้เราก็ช่วยกันส่งเสริม เราก็คงส่งเสริมแนวคิด ในลักษณะ เดียวกันนะครับ ต้องขอขอบคุณทางชาวอโศก ที่เข้ามามีส่วนรวม ในการสนับสนุน โครงการและก็ช่วยเป็นอย่างดี ในอนาคต คงจะต้องมีเรื่องที่ได้สนับสนุนกันอย่างยิ่ง"

และเมื่อผู้สื่อข่าวของเราได้ขอคำแนะนำเกี่ยวกับร้านของชมรมมังสวิรัติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโครงสร้าง การต้อนรับ อาหาร หรือ แม้กระทั่งเรื่องใดๆ ท่าน รมว.พรหมินทร์ ก็ได้กล่าวว่า "พื้นฐานเนี่ย สิ่งที่เข้ามา สิ่งที่ผมเข้ามาในสันติอโศก ซึ่งจริงๆคือ ทำให้จิตใจเราสะอาดอยู่แล้ว คนมีพื้นฐาน ที่เข้ามา ก็คงอยากแสวงหาสิ่งนี้ ซึ่งต้องขอชมเชยว่า ที่เข้ามาที่ร้านนี้ ได้รับ บรรยากาศ ที่รู้สึกถึงความเป็นมิตร และจิตใจที่สะอาด อาหารที่สะอาด กับสุขภาพนะครับ ก็ขอส่งเสริม" นอกจากนี้ ยังให้ความกรุณาว่า หากมีสิ่งใดที่ท่านพอจะช่วยได้ ก็ยินดีที่จะช่วยชาวอโศก.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
67/1 ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. 10240 โทร.02-3745230 ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ 1,500 ฉบับ

[กลับหน้าสารบัญข่าว]