ฉบับที่ 249 ปักษ์แหลัง 16-28 กุมภาพันธ์ 2548

[01] ควรมีงานวันเกิดไหม?
[02] ธรรมะพ่อท่าน: "สัจจะมาฆฤกษ์"
[03] ศาลีหนีภัยแล้งสำเร็จ จัดงานพุทธาฯ (ครั้งที่ ๒๙) มีความอุดมสมบูรณ์เหลือเชื่อ:
[04] สัมมนาคุรุชาวอโศกแนวใหม่ เน้นหลักสูตรบูรณาการ
[05] เลยลัด อีกชื่อ สวนธรรม
[06] สกู๊ปพิเศษ สัมภาษณ์ สมณะเดินดิน ติกขวีโร
[07] :มหกรรมเพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ ๒ รักฟ้า รักดิน รักคนที่มาเพื่อ...ฟ้าดิน
[08] :เห็บเข้าหูภูผาเมฆ (๒)
[09] กิจกรรมชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน ปฐมอโศก - อินทร์บุรี
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า:
[11] จดหมายจากตะกั่วป่า
[12] จี้ถอดป้ายหวิว โฆษณา "ชั้นใน" ร้อง ก.วัฒนธรรม หวั่นเด็กเอาอย่าง
[13] นางงามรายปักษ์ นางถนอมรัตน์ พุกกะนัต
[14] ปฏิทินงานอโศก



ควรมีงานวันเกิดไหม?

ควรมีการสร้างค่านิยมในการจัดงานวันเกิดของชาวอโศกกันหรือยัง?

นี่ก็เป็นเรื่องที่คุรุหรือผู้ใหญ่ในชุมชนชาวบุญนิยม เริ่มมีข้อสะดุด และถกเถียงกันเพิ่มขึ้น เกี่ยวกับการจัดงานวันเกิดโดยเฉพาะของเด็กนักเรียนวัยรุ่น ที่มาขออนุญาตต่อคุรุว่าขอจัดงานวันเกิดให้เพื่อนคนนั้น น้องคนนี้

จนทุกวันนี้เริ่มจะกลายเป็นแฟชั่นในหมู่ชาวเราไปซะแล้ว

ถ้าเป็นคนข้างนอก ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เราก็ได้รู้ได้เห็นมามากโดยเฉพาะการจัดงานวันเกิดของคนมีชื่อเสียงในสังคม จนได้รับการเชิดชูชื่นชม แล้วถูกบันทึกถ่ายทอดออกสู่มวลชนต่างๆ เช่น ทีวี นสพ. เป็นต้น ซึ่งงานวันเกิดส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นค่านิยม ที่เลียนแบบชาวตะวันตก

ทางข่าวอโศกก็ขอนำเสนอผู้ใหญ่ของชาวบุญนิยมว่า ถ้าเราไม่สามารถทัดทานกระแสการจัดงาน วันเกิดของชาวเรากันเองได้

ก็น่าที่จะสร้างค่านิยมงานวันเกิด ของชาวอโศกว่า ถ้าใครจะจัดงาน วันเกิด ก็ให้จัดแบบมีค่านิยมที่ดีคือ ตื่นขึ้นมาฟังธรรมแต่เช้า ตี ๔ ยิ่งดี หลังฟังธรรม ก็ทำบุญใส่บาตร จากนั้นก็ช่วยงานส่วนรวมอย่างเต็มที่ ตอนค่ำก็ฟังพระธรรมก่อนนอน ถ้าใครคิดจะจัดงานวันเกิด

ส่วนใครจะไม่จัดงานวันเกิด ให้ตัวเอง ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าจะขอจัดงานวันเกิดก็ให้จัดแบบชาวบุญนิยมดังเช่นที่ยกตัวอย่างมา

เคยเห็นนักบวชท่านฉลองวันเกิดเหมือนกัน ซึ่งท่านฉลองวันเกิดหรือครบวันบวชโดยการอดอาหาร นี่ก็เป็นค่านิยมที่ดี ใครจะเอาอย่างก็เป็นประโยชน์

ดังนั้นเราควรจัดระเบียบงานวันเกิดกันหรือยัง?

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



สัจจะมาฆฤกษ์

ธรรมะพ่อท่านฉบับนี้ ขอนำคำกล่าวในช่วงอธิษฐานจิต ในงานพุทธาฯ ครั้งที่ ๒๙ เมื่อวันที่ ๒๒ ก.พ. ๒๕๔๘ มานำเสนอแก่ทุกท่าน

พ่อท่านได้กล่าวว่า "โลกหมุนไป ชีวิตก็ดำเนินไป ถ้าเผื่อว่าคนเราไม่ได้ ศึกษา ไม่ได้ฝึกฝน คนก็จะวนหมุนเวียน ไปตามโลกียะ ซึ่งโลกก็คือโลกียะที่หมุน เวียนอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขอันได้แก่ กาม อัตตา คนก็จะโต่งไปโต่ง มาระหว่างกามกับอัตตา ถ้าได้สมใจในกามหรือได้สมใจในอัตตา ก็เป็นสุขนับว่าเป็นสวรรค์ ถ้าเสื่อมหรือไม่ได้สมใจในกาม ในอัตตา ก็เป็นทุกข์เป็นนรก ความซับซ้อนของพลังจิตหรือที่ว่าจิตที่เป็นพลังงานอย่างหนึ่งนั้น ซับซ้อนและสั่งสมในการยึดถือ ในการโลภ โกรธ หลง ทำให้คนทุกข์ ทำให้คนก่อร้าย ทำให้คนเดือดร้อนตกต่ำ ด้วยความติดยึดที่มากยิ่งขึ้นๆ โลกวันนี้ หลอกและมอมเมากัน เดือดร้อนกันทั่วทั้งโลก และไม่ได้หยุดหย่อนในการที่จะสร้างความหลอกมอมเมากันยิ่งขึ้นๆ หากไม่ได้ศึกษาสัจธรรม โลกุตระของพระพุทธเจ้าแล้ว คนจะไม่มีทางออกจากโลกียะ จะหมุนวนเป็นวัฏสงสาร อยู่อย่างนั้นนานับกัปป์กาล ทุกข์ สุข สุข ทุกข์ อยู่ดังนั้นตลอดกาลนาน

มนุษย์ทั้งหลายเอ๋ย เมื่อพบศาสนาพระพุทธเจ้าแล้ว ศาสนาพุทธมีโลกุตรธรรมเป็นสำคัญ จงเร่งศึกษาเถิด ชีวิตจะได้หลุดพ้นจากความวนเวียน ในวัฏสงสาร ระหว่างสวรรค์นรกๆ ระหว่างทุกข์ระหว่างสุขนี้ได้เด็ดขาด ดับสิ้นซึ่งการมีภพ มีชาติ วนเวียนอยู่ในโลกนี้อีกนานเท่านาน ผู้ที่ประสบผล ผู้ที่ได้พิสูจน์ด้วยตน ได้ปฏิบัติประพฤติเป็นสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้าแล้ว เมื่อมีมรรคมีผลจะเป็นผู้ยืนยันและเป็นผู้ประสบความพ้นทุกข์พ้นสุข หลุดพ้นจาก โลกียะได้ถึงที่สุด แห่งนิพพานแล"

วันที่ ๒๓ ก.พ. พ่อท่านได้กล่าวว่า "โลกร้อนแรง เลวร้ายลงทุกวันๆ คนที่ตื่น แล้วรู้ความเป็นโลกย์ที่เสื่อมลง มอมเมากันยิ่งขึ้นๆ ก็เป็นผู้ที่รู้ตัวแล้วว่าเราคง ไม่ควรจะต้องจมอยู่กับโลกอันเลวร้ายลงทุกวันนั้น เราควรจะต้องมาช่วยโลกบ้าง ด้วยการผนึกรวมตัวกัน เพื่อที่จะได้พัฒนาตนเองด้วย ทำให้สังคมกลุ่ม เกิดเป็นชุมชนกลุ่มชนที่จะมีพลังในการที่จะแสดงความจริงให้แก่มนุษย์โลกได้รู้ว่า โลกนี้ไม่ใช่มีทิศทางเดียวคือโลกีย์เท่านั้นที่เขาจะไปกัน ยังมีอีกทางหนึ่ง คือโลกุตระซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ค้นพบและได้เอามาประกาศแก่มนุษย์โลกนี้ตั้งแต่ ๒๕๔๘ ปีแล้ว และยังดำเนินอยู่ ยังสามารถที่จะนำตน เข้ามาพิสูจน์ความจริงของโลกโลกุตระได้อยู่ เมื่อเห็นว่าโลกนี้ทั้งเลวลงทั้งเดือดร้อนยิ่งขึ้น เราเองผู้ที่เห็นทางออกแล้วควรจะต้องช่วยทั้งตนเองและช่วยทั้งโลก ด้วยการมาผนึกกัน รวมตัวกัน เพื่อที่จะสร้างความเป็นจริง ให้เป็นรูปเป็นร่างให้เป็นตัวเป็นตนของมนุษย์อาริยะ หรือมนุษย์ที่เป็นชาวโลกุตระ ให้แก่ชาวโลก เขารู้แจ้งเห็นทางด้วย เราจะได้ช่วยชาวโลกเขาด้วย เราเองก็พลอยเป็นผู้ที่ดำเนินไปสู่ทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ชี้ทางให้แก่เราไว้แล้วด้วยกันไปทั้ง ๒ เป็นอุภยัตถะแก่โลกแก่ตนแก่สังคม".

- เด็กวัด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ศาลีหนีภัยแล้งสำเร็จ จัดงานพุทธาฯ (ครั้งที่ ๒๙)
มีความอุดมสมบูรณ์เหลือเชื่อ

เทวนิยมสะเทือนในงานพุทธา'๔๘
พ่อท่านประกาศพุทธเป็นอเทวนิยม
ร่วมพิธีเผาศพหลวงพ่อแจ้งจริง อมโล ล้นหลาม

งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ ๒๙ ณ พุทธสถานศาลีอโศก อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ ก่อนเริ่มงาน นร.สัมมาสิกขาชั้น ม.๑ จากโรงเรียนสัมมาสิกขาจำนวน ๑๐ แห่ง เข้าห้องเรียนบูรณาการการเตรียมงานพุทธาฯ ประกอบด้วย ปฐมฯ, ศีรษะฯ, ศาลีฯ, สีมาฯ, ราชธานีฯ, ภูผาฯ, หินผาฯ, ดินหนองแดนเหนือ, เลไลย์ฯ สำหรับสันติอโศกติดงานต้อนรับผู้มาประเมินโรงเรียน

วันที่ ๑๘-๑๙ ก.พ. เป็นการสัมมนาคุรุ'๔๘

ในปีนี้มีสมณะ ๔๔ รูป สิกขมาตุ ๑๗ รูป ร่วมเป็นเกจิอาจารย์ พุทธาภิเษก ด้วยอนุสาสนีปาฏิหาริย์ บอกแนวทางสัมมา อริยมรรคให้แก่ญาติโยม พ้นจากศาสนา เทวนิยม สู่ศาสนาพุทธที่เป็นอเทวนิยมอย่างแท้จริง

สำหรับรายละเอียดของงานมีดังต่อไปนี้

๒๐ ก.พ. นายแสวง สุราภา ปลัดอำเภอไพศาลี เป็นประธานกล่าวเปิดงาน หลังจากนั้นรับของที่ระลึกจากพ่อท่าน และเดินชมบริเวณรอบชุมชน และ รับประทานอาหาร สำหรับในศาลาฟังธรรม พ่อท่านแสดงธรรมและนำกล่าวปฎิญาณอุโบสถศีล


ทำวัตรเช้า

เริ่มเวลา ๐๓.๓๐-๐๕.๓๐ น. พ่อท่าน แสดงธรรมหัวข้อเรื่อง "พุทธเป็นอเทวนิยม อย่างนี้" โดยอธิบาย ขยายความ ประกอบหนังสือพุทธเป็นอเทวนิยม ซึ่งแจกให้แก่ ผู้มาร่วมงาน และจะนำไปอธิบายขยายความต่อจนจบในงานปลุกเสกฯ

ธรรมะก่อนฉัน
เริ่มเวลา ๐๙.๐๐-๑๐.๐๐ น. สมณะ-สิกขมาตุเกจิอาจารย์ ขึ้นแสดงธรรมหมุนเวียนไปแต่ละวัน

ธรรมะทางเลือก
เริ่มเวลา ๑๒.๐๐-๑๓.๔๕ น. มีอยู่ด้วยกัน ๓ แห่ง คือ ธรรมะกระดานดำ สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมเก่า บริเวณใต้ร่มมะลื่น เยื้องหลังศาลา, ธรรมะสำหรับผู้มาใหม่ บริเวณศาลาหกเหลี่ยม และธรรมะสำหรับฝ่ายหญิง บริเวณเขตสิกขมาตุ แต่ละแห่งมีสมณะ-สิกขมาตุหมุนเวียนแสดงธรรมเช่นกัน และซักถาม-สนทนาธรรม กับ สมณะ-สิกขมาตุเกจิฯ บริเวณเขตเกจิฯ


ธรรมะภาคบ่าย
เริ่มเวลา ๑๔.๐๐-๑๖.๐๐ น.

๒๐ ก.พ. เป็นการปฐมนิเทศ เรื่อง "ทำอย่างไรให้ถึงงานพุทธาฯ"

๒๑ ก.พ. เป็นการแสดงธรรม เรื่อง "โพธิสัตว์-โพธิกิจ" โดยสมณะบินบน ถิรจิตโต และสมณะแน่วแน่ สีลวัณโณ เป็นเรื่องราวและภาพวิดีโอสั้นๆ เกี่ยวกับ อาการเจ็บป่วยของพ่อท่านในรอบปีที่ผ่านมา และการรักษาพยาบาล ของหมอแผนต่างๆ

๒๒ ก.พ. เป็นการสัมมนา "จะสร้างชุมชนฉลอง ๗๒ ปีให้เข้มแข็งได้อย่างไร?" สมณะ-สิกขมาตุ ให้ข้อคิดในมุมมองต่างๆในการจะสร้างชุมชนชาวอโศกให้เข้มแข็ง เพื่อร่วมฉลอง ในวาระที่พ่อท่านมีอายุ ๗๒ ปี

๒๓ ก.พ. แต่ละชุมชนแบ่งกลุ่มสัมมนาว่า แต่ละชุมชนและเครือแหจะทำชุมชนให้เข้มแข็งอย่างไรบ้างในวาระที่ พ่อท่านจะมีอายุครบ ๗๒ ปี แล้วแต่ละชุมชนออกมานำเสนอ

แบ่งกลุ่มสัมมนา "ปัญหาของชุมชน คืออะไร" หาข้อปฏิบัติร่วมกัน เรามาพลีชีพ กิเลสของชุมชนให้เข้มแข็งขึ้นมานำเสนอแลกเปลี่ยนประสบการณ์ โดยแบ่งกลุ่ม ออกเป็น ๙ กลุ่ม แม่ข่ายพร้อมเครือแห ให้กลุ่มละ ๔๐ นาที แล้วแต่ละกลุ่มพร้อมเครือแห นำเสนอภายใน ๗ นาที

๒๔, ๒๕ ก.พ. พ่อท่านตอบปัญหา หัวข้อ "ตอบให้จะๆเพื่ออเทวนิยม ภาค ๑, ภาค ๒

ธรรมะภาคค่ำ
เริ่มเวลา ๑๘.๐๐-๒๐.๐๐ น. เป็นรายการสัมภาษณ์ปฏิบัติกรในเรื่องต่างๆ ดังนี้

๒๐ ก.พ. "ประสบการณ์สึนามิ" ดำเนินรายการโดย สมณะเสียงศีล ชาตวโร ประสบการณ์การไปซับขวัญชาวใต้ ของสถาบันบุญนิยม เป็นธรรมยาตรา ของกองทัพธรรมที่ใหญ่ที่สุดของชาวอโศก จนเป็นที่ประทับใจของผู้ประสบภัย สามารถแบ่งปันความทุกข์จากพี่น้องจนประสบความสำเร็จ และการไปนอนป่าช้า เพื่อพิสูจน์ว่าผีจริงไม่มี มีแต่ผีหลอก ของสมณะ

๒๑ ก.พ. "คนจนมหัศจรรย์" ดำเนินรายการโดย สมณะฟ้าไท สมชาติโก เรื่องราวของคนที่มีความสุขสบายแต่หันกลับมาดำเนินชีวิตตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บนเส้นทางโลกุตระ

๒๒ ก.พ. "วิถีชีวิตที่พิชิตมะเร็ง" สมณะกล้าจริง ตถภาโว ดำเนินรายการ ผู้ที่เคยเป็นมะเร็ง เล่าประสบการณ์การดูแล รักษาสุขภาพตามแพทย์แผนต่างๆ จนหายจากโรคนี้อย่างน่าอัศจรรย์

มีคุณหมอแสนดิน และคุณหมอวีระพงศ์ ชัยภัค ขึ้นร่วมวิเคราะห์สาเหตุของการเป็นมะเร็งและแนวทางป้องกัน

๒๓ ก.พ. ธรรมะกัณฑ์พิเศษ เนื่องในวันมาฆบูชา แสดงธรรมโดยพ่อท่าน

๒๔ ก.พ. "ความสำเร็จของเกษตรอินทรีย์" ดำเนินรายการโดยสมณะเดินดิน ติกขวีโร ตัวอย่างของเกษตรกรตัวจริง ขึ้นบอกเล่าเรื่องราว ประสบการณ์การทำเกษตร ธรรมชาติ ของชุมชนต่างๆพร้อมภาพวิดีโอความสำเร็จของการทำเกษตรอินทรีย์

๒๕ ก.พ. "คนใจถึง" ดำเนินรายการโดยสิกขมาตุผาแก้ว ชาวหินฟ้า สัมภาษณ์ปฏิบัติกรเรื่องราวจากชีวิตจริงของบุคคลต่างๆที่ทำอะไรอย่างคนใจถึง

บรรยากาศทั่วไปของงาน
หลังการทำวัตรเช้า ๐๖.๐๐-๐๘.๓๐ น. (๒๑-๒๕ ก.พ.) เป็นการประชุมต่างๆ ดังนี้ ประชุมเตรียมงาน "เพื่อฟ้าดิน", ประชุมพาณิชย์บุญนิยม+อุตสาหกิจบุญนิยม, ประชุมสาธารณสุขบุญนิยม, ประชุมสื่อสารบุญนิยม, ประชุมวิทยุชุมชน, ประชุมพรรคเพื่อฟ้าดิน, ประชุมสถาบันบุญนิยม

วันที่ ๒๕ ก.พ. เวลา ๑๖.๓๐ น. พ่อท่านเป็นประธานประชุมเพลิง สมณะแจ้งจริง อมโล ซึ่งมรณภาพเมื่อวันที่ ๒๔ ก.พ. ๒๕๔๘ และได้นำศพจาก สีมาอโศก มาฌาปนกิจที่ศาลีอโศก

๒๖ ก.พ. วันสุดท้ายของงาน หลังทำวัตรเช้านักเรียนสัมมาสิกขามาพร้อม ญาติธรรมช่วยกันเก็บบุญ ก่อนฉัน ตัวแทน ม.วช., ชาวชุมชน กล่าวสรุปงานและ ขอบคุณทุกท่านที่มาช่วยงานและมาร่วมงาน สมณะเดินดินให้ข้อคิด

รับประทานอาหารร่วมกัน แล้วแยกย้ายกันไปสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง เพื่อเตรียม เฉลิมฉลองในวาระที่พ่อท่านมีอายุครบ ๗๒ ปี

สำหรับผู้มาร่วมงานได้ให้สัมภาษณ์ ดังนี้

นิสิตชุมพล(บินฟ้า) พงศ์ภูสุวิมล วิชชาเขตไพศาลี ผู้ประสานงาน "ผมและทีมงานเข้ามารับงานเป็นครั้งแรก รู้สึกอบอุ่น ที่มีพี่ๆม.วช. จากวิชชาเขตอื่นๆ มาช่วย มีสมณะ-สิกขมาตุเป็นที่ปรึกษา

ผมตั้งใจเรียนรู้งาน ถือว่าเป็นบทเรียน ที่ทำให้ผมเข้มแข็ง ประทับใจความเป็นพี่เป็นน้องของทีม ม.วช.ที่มาร่วมงาน และคณะอาที่คอยเป็นที่ปรึกษา และให้กำลังใจ อย่างใกล้ชิด"

นางไทดี ศรีพันธวานุสรณ์ ชุมชนเพชรผาภูมิ "แม้ในช่วงกลางวันอากาศจะร้อนแต่กลางคืนก็เย็นสบาย การแสดงธรรมของพ่อท่านเป็นหลักวิชาค่อนข้างหนัก มีรายละเอียดเยอะ ถ้าได้อ่านหนังสือก่อนจะเข้าใจมากกว่านี้ แต่ก็ฟังธรรมรื่นเริงดี"

น.ส.แก้วเดือน แก้วคงดล ชุมชนไพศาลี "ประทับใจที่แม่ครัวในแต่ละวัน ไม่ทำอาหารตามภพของตน แต่ทำตามวัตถุดิบที่มีในครัวและอาหารก็ไม่เหลือมาก ทำงานเป็นขบวนการกลุ่มแบบสลายอัตตา ประโยชน์สูง-ประหยัดสุด ทำให้ความเป็นพี่เป็นน้องแน่นแฟ้นขึ้น และในการสัมมนาคุรุที่ผ่านมา ประทับใจที่คุรุขัดส้วมและทำ ๕ ส."

นายบุญยงค์ แก้วกัณหา จ.ลพบุรี "เพิ่งมาร่วมงานเป็นครั้งแรก ประทับใจสถานที่และวิถีชีวิตที่อยู่กันอย่างสงบและเรียบง่าย ญาติธรรมให้ความเป็นกันเอง ในงานนี้ผมสามารถถอดรองเท้าได้ กลับไปจะนำหลักการดำเนินวิถีชีวิตแบบเรียบง่าย มักน้อย สันโดษไปใช้ในชีวิตประจำวันและตั้งใจจะฝึกทานอาหารมื้อเดียวในวันพระ"

ด.ญ.ตะวันฟ้า เริงฤทธิ์ นร.ชั้น ม. ๒ สัมมาสิกขาศีรษะอโศก "ปีที่แล้วหนูมาทำงานอย่างเดียว ปีนี้หนูเริ่มฝึกปฏิบัติธรรม ตื่นตี ๓ ครึ่ง ทำวัตรเช้า ทานข้าวมื้อเดียว มีเพื่อนๆและพี่มาฝึกทั้งหมด ๒๒ คน ๓ วัน หนูฝืนมาเรื่อยๆ วันที่ ๔ รู้สึกสบายขึ้น ได้ฝึกสิ่งที่ยากขึ้น ปกติอยู่ที่ศีรษะฯตื่นตี ๔ ทานข้าววันละ ๒ มื้อ รู้สึกภูมิใจที่ได้ฝึกกิจกรรมแบบนี้

ทำวัตรเช้าไม่รู้เรื่องและง่วง ธรรมะก่อนฉันรู้เรื่องบ้าง ธรรมะภาคบ่ายประทับใจรายการโพธิสัตว์-โพธิกิจ อยากให้มีรายการแบบนี้ในงานปลุกเสกฯด้วย ภาคค่ำชอบรายการคนใจถึง หนูได้ข้อคิดว่าสิ่งที่เรายังไม่ได้ทำ ไม่กล้าทำ ควรกล้าตัดสินใจทำความดี".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


สัมมนาคุรุชาวอโศกแนวใหม่ เน้นหลักสูตรบูรณาการ
พาขัดห้องน้ำ ทำ ๕ ส.

ระหว่างวันที่ ๑๘-๑๙ ก.พ. คุรุสัมมาสิกขาจัดสัมมนาคุรุ'๔๘ ณ โบสถ์ พุทธสถานศาลีอโศก อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ ดำเนินการสัมมนาโดย สิกขมาตุผาแก้ว ชาวหินฟ้า มีคุรุจากโรงเรียนสัมมาสิกขา ๗ คือ ราชธานีฯ, ศาลีฯ,ศีรษะฯ, สีมาฯ, หินผาฯ, ปฐมฯ, ภูผาฯ ยกเว้นสันติอโศก เนื่องจากมีผู้มาประเมิน การศึกษาโรงเรียน


๑๘ ก.พ. ๐๔.๐๐-๐๖.๐๐ น. ปฐมนิเทศ เรื่อง "บูรณาการการศึกษาบุญนิยมอย่างมีคุณค่าและมีความสุข" โดยสมณะฟ้าไท สมชาติโก และสมณะเดินดิน ติกขวีโร "...สิ่งที่ดีที่สุดไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก สิ่งที่ดีที่สุด คือจิตของเราวิมุติหลุดพ้นได้จากเหตุปัจจัยต่างๆนานา ใจของเราได้ปล่อยได้วาง นี่คือเป้าหมาย การทำงานของเรา เรามาทำงานเพื่อเอาจิตที่วิเศษ ไม่ใช่มาเอาเศษโลกีย์ ไม่ใช่มาเอาวัตถุ สภาพสิ่งของวัตถุในโลกทั้งหลายซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ทิศทางของเราคือจิตที่วิเศษ ดังนั้นสภาพการทำงาน ทำยังไงเราถึงจะพัฒนาเข้าถึงจิตวิญญาณ ทิศทาง เราทำงานไปเห็นข้อบกพร่องของเราไป ทุจริตของเราไป ได้แก้ไข ชีวิตเราก็จะได้มีความสุข แต่ถ้าเรา ทำงานไปยึดสภาพภายนอกเด็กจะต้องเป็นอย่างนี้ โรงเรียนจะต้องเป็นอย่างนี้ เราจะต้องทุกข์ ไปตลอด เพราะเราลืมเป้าหมายของชีวิตเพื่อเราที่จะมาเอามรรคเอาผล เอาจิตวิญญาณที่ปล่อยได้วางได้ของเรา ดังนั้นเป้าหมายของงานสัมมนาครั้งนี้ ก็จะบูรณาการโดยเริ่มต้นจากคุรุก่อน ทำยังไงเราถึงจะล้างส้วมแล้วล้างอวิชชาได้ด้วย ทำยังไงสุขภาพของเราจะแข็งแรง ออกกำลังกายยังไง ถึงจะเป็นการ พัฒนาอีคิวไปด้วย เริ่มต้นที่พื้นฐานในชีวิตที่น่าจะมีก่อน เมื่อเกิดขึ้นในตัวเราแล้ว ก็จะสามารถถ่ายทอดไปสู่เด็กๆได้"


หลังจากนั้นแบ่งกลุ่มคุรุออกเป็น ๕ กลุ่ม คือ ๑.โรงครัว ๒.ขยะ ๓.ที่พักหญิง ๔.ห้องน้ำหญิง ๕.ห้องน้ำชาย แล้วแต่ละกลุ่มออกกำลังกาย พูดคุยร่วมกัน เพื่อทำแผนการศึกษาบูรณาการสาระสุขศึกษา พลศึกษา เรื่อง "การออกกำลังกาย" โดยทำให้ถูกวิธี สามารถปฏิบัติและถ่ายทอดได้ และบูรณาการ สาระสุขศึกษา พลศึกษา และสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง "๕ ส." โดยคุรุลงมือทำงานต่างๆตามกลุ่มของตน ซึ่งเป็นที่ประทับใจของเด็กๆที่ พบเห็น เป็นการปลูกฝังให้แก่นักเรียน, ชาวชุมชน และนำไปทำเป็นวัฒนธรรมในวิถีชีวิต และคนรุ่นหลังเจริญรอยตาม โดยเริ่มต้นที่ตัวเราก่อนให้น่าเลื่อมใส เกิดอานิสงส์ ก็จะยั่งยืนยาวนาน


๐๙.๓๐-๑๔.๐๐ น. รับประทานอาหาร(สาระสุขศึกษา) และพักผ่อน

๑๔.๐๐-๑๖.๐๐ น. แต่ละกลุ่มสรุปและส่งตัวแทนนำเสนอผลงาน เช่น สัมมาสิกขาฯ ภูผาฯใช้วัฒนธรรมท้องถิ่น "ฟ้อนเจิง" ศิลปะวัฒนธรรมทางภาคเหนือ บูรณาการการออกกำลังกาย โดยคุรุดีบุญ ได้สาธิตให้ดู และการทำ ๕ ส.

๑๘.๐๐-๒๐.๓๐ น. ระดมสมองเรื่อง "เราจะทำอย่างไรที่จะสร้างคนรุ่นใหม่ให้เป็น ทายาทอย่างมีความสุข" คุรุแต่ละโรงเรียนได้สะท้อนปัญหา และแนวทาง แก้ปัญหา เสร็จแล้วสมณะ-สิกขมาตุ ร่วมกันสรุป


๑๙ ก.พ. ๐๔.๓๐-๐๖.๓๐ น. ธรรมะยามเช้า เรื่อง "พลีชีพเพื่อพระโพธิสัตว์" โดยสิกขมาตุ กล้าข้ามฝัน อโศกตระกูล หลังจากนั้นคุรุแต่ละโรงเรียน บูรณาการ สาระสุขศึกษาพลศึกษา สาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี และสาระสังคมฯ เรื่อง "ออกกำลังกาย" โดยทำให้ถูกวิธี สามารถปฏิบัติและถ่ายทอดได้

๐๗.๓๐-๐๘.๓๐ น. แต่ละโรงเรียนสรุปและเสนอผลงาน โดยจะมีการประเมินผลใน วันที่ ๒ เม.ย. ๒๕๔๘ ที่ศีรษะอโศก

๑๓.๐๐-๑๖.๐๐ น. สมาคมศิษย์เก่าสัมมาสิกขา กระบี่พุทธ แก้วคำ ขอความร่วมมือจากคุรุ

๑.แต่งตั้งคุรุที่จะรับผิดชอบประสานงานกับสมาคมฯ/ศิษย์เก่า

๒.ให้คุรุช่วยส่งข่าวคราวเกี่ยวกับโรงเรียนหรือสัมมาสิกขาให้สมาคมฯรับทราบ หากกิจกรรมใดที่สมาคมฯสามารถช่วยเหลือ ได้จะประสาน ขอความร่วมมือ ไปยังศิษย์เก่า

๓.ให้ส่งรายชื่อนักเรียนที่จะจบ ม.๖ เพื่อจะได้สานสัมพันธ์พี่น้อง เป็นการรับช่วง ต่อจากคุรุ

๔.ขอประวัติความเป็นมาของแต่ละโรงเรียน

๕.โรงเรียนที่มีศิษย์เก่าแล้ว ให้คุรุช่วยสอบถามความคืบหน้าของสมาคมฯ จากศิษย์เก่า เพื่อกระตุ้นให้ศิษย์เก่าตระหนักถึงบทบาทของตนเองที่มีต่อสมาคมฯ

๖.ขอแต่ละโรงเรียนขึ้นป้าย "สมาคม ศิษย์เก่าสัมมาสิกขา" คู่กับโรงเรียนสัมมาสิกขา

หลังจากนั้น พ่อท่านพบคณะคุรุ โดยสมณะเดินดิน ติกขวีโร เป็นผู้กล่าวรายงานการสัมมนา แล้วพ่อท่านให้โอวาท

ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้ให้สัมภาษณ์ดังนี้
คุรุฝนฟ้า นาวาบุญนิยม ปฐมอโศก "เป็นการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ คือคนที่ ไม่เคยเรียนครูมาก็คงไม่รู้ว่าการบูรณาการคืออะไร ยังไง ทีนี้มีการทำเวิร์คช็อฟ ให้ครูไปทำ ๕ ส. แล้วเขียนแบบประเมินมาว่าการทำ ๕ ส.เราจะให้คะแนนนักเรียนยังไง ประเมินยังไง การทำอย่างนี้คุรุที่ไม่ได้เรียนครูมา ก็ได้ศึกษาไปด้วย ว่าวิธีการประเมินเป็นยังไง ถ้ามีการสัมมนาอย่างนี้บ่อยๆ จะเป็นการลดภาระการเตรียมการสอนของแต่ละโรงเรียน เพราะว่าคุรุแต่ละคนสวมหมวกหลายใบ การไปเตรียมการสอนให้ครบพร้อมสมบูรณ์มันยาก ขนาดดิฉันเป็นครูยังทำไม่ค่อยได้เลย ทำได้เป็นบางเรื่องแต่ไม่ต่อเนื่อง แต่ถ้าหากเรามีเวลา มาสัมมนา อย่างนี้ แล้วเรื่องหนึ่งเราก็เขียนกันออกมาแล้วเติมให้ครบสมบูรณ์ คราวหน้า คิดว่าจะนำหนังสือหลักสูตรมาด้วยให้ครบสมบูรณ์ ทางการเข้ามา เราก็เชื่อมกับเขาได้ไม่มีปัญหา แล้วเป็นตัวอย่างกับคนข้างนอกได้ด้วย เขาก็จะ นึกออกว่ามันบูรณาการได้อย่างไร เป็นการทุ่นแรงให้กับครู เพราะกลับไป เราก็นำแผนนี้ไปใช้ได้เลย มาช่วยกันคิดตรงนี้ให้สมบูรณ์ ตรงนี้จะทำได้ดีมากเลย"

คุรุฝนไท ชาวหินฟ้า ศีรษะอโศก "อบอุ่น บรรยากาศเป็นกันเอง สนุกสนาน ยิ่งวันแรกให้ไปออกกำลังกายร่วมกัน บูรณาการ แล้วทำ ๕ ส.ร่วมกัน ถ้าคิดว่า ถ้าเราเป็นเด็ก แล้วถ้าเด็กสามารถทำได้แบบผู้ใหญ่ก็จะดีนะ ทำแบบผ่อนคลาย มีความสุข เต็มใจที่จะออกกำลังกาย แต่ละคนมีอะไรดีๆก็เอาออกมาสอนกัน มาบอกกัน พอไปทำ ๕ ส.ก็เป็นขบวนการกลุ่มที่ไม่ต้องพูดมาก ไม่ต้องแบ่งหน้าที่กันเลย ต่างคนต่างรู้หน้าที่กัน มีความรับผิดชอบ คือทุกคนรู้งานหมดแล้ว พอถึงปั๊บเราก็ลุย กันเลย มีศักยภาพเท่าไรออกเต็มที่ ใช้เวลาคุ้มค่า เราตระเวนทำความสะอาดส้วม ฝ่ายชาย ๓-๔ แห่ง แต่ละแห่งผลออกมาน่าชื่นใจ น่าใช้ น่านอน เราก็คิดว่าเราจะกลับไปปลูกฝังเด็กยังไงให้ทำแบบนี้ได้ ทำเต็มที่ เอาใจใส่ มีฉันทะ เวลาไม่มาก แต่ผลงานออกมาได้ดี

ที่ปัญหาแต่ละโรงเรียนออกมาเหมือนกันหมด เป็นเพราะว่าผู้ใหญ่เรามีเวลาให้แก่เด็กน้อยไปหน่อย คุรุก็ต้องหันกลับมาดูตัวเองให้มากๆ การได้รับฟัง ประสบการณ์ จากคุรุแต่ละท่านในวันแรกทำให้เราหันกลับมามองตัวเองและบุพเพเยอะๆ

ที่ควรปรับปรุงคือเวลาที่ให้เราแลกเปลี่ยนประสบการณ์มีน้อยไปหน่อย การแบ่งปันความทุกข์ของคุรุแต่ละแห่งมีน้อยไปหน่อย หากมีเวลาแบ่งปันความทุกข์ กันมากกว่านี้คงจะดีครับ"

สมณะแก่นหล้า วัฑฒโน "ได้มองเห็นทิศทางในการพัฒนาดูแลเด็กของเรา เท่าที่ทำงานการศึกษามาก็เห็นว่าไม่มีวิธีไหน ที่จะตายตัวได้ คงต้องอาศัย หลากหลายวิธี คุรุแต่ละท่านล้วนมีประสบการณ์ต่างๆมากมายเมื่อเอามาผสมกันก็ทำให้เราเกิดความสมบูรณ์มากขึ้น จากการได้ฟังสัมมนา ทำให้เรา ได้เติมเต็มความรู้ของเราได้มากขึ้น กลับไปก็คงต้องฝึกปฏิบัติมรรคองค์ ๘ ของเราให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสิ่งที่จะมีผลต่อเด็ก ที่เร็วและอย่างดีก็คือ สัมมาวาจา ก็จะไปฝึกตัวเองให้ดีขึ้น

สัมมาสิกขาจะไม่ยากเลย ถ้าหากคุรุเข้าใจบทบาทและหน้าที่หลักของตัวเองว่าคืออะไร โดยเฉพาะการทำตัวเองเป็นตัวอย่าง ยอมยกให้สมณะ-สิกขมาตุ แสดงตัวศรัทธาให้เห็นเด่นชัด เคารพนอบน้อมให้เด็กเห็นเป็นแบบอย่างแล้วก็นำทำ แค่แต่ละวันคุรุพาเด็กกราบสมณะอย่างนอบน้อม จะเป็นตัวอย่างที่ดี ให้เด็กเห็น แต่ทุกวันนี้ยังไม่ถึงจุดนั้น ทุกวันนี้ตัวเนื้อหา มีเยอะ แต่แบบอย่างที่ดีที่จะนอบน้อมต่อนักบวชมีน้อยยังแข็งกระด้าง มีตัวไม่ยอมอยู่เยอะ แล้วสมณะเรา ก็ยังไม่เก่งพอ สิ่งที่ขาดคือครูมาช่วยเป็นแบบอย่างของความศรัทธายังมีน้อย แต่ครูช่วยสอนมีเยอะ"

สมณะมั่นแจ้ง พุทธชาโต ปฐมอโศก "การสัมมนาครั้งนี้เรียบง่าย แต่มีความลึกซึ้ง ปีนี้หันเข้ามาหาจุดพื้นฐานซึ่งเด็กยังไม่ได้เลย เนื่องจากผู้ใหญ่ ไม่มีการ ปูพื้นฐานให้อย่างต่อเนื่องและเป็นระบบที่ดีพอ เหมือนเรามีเบ้าออกไปอย่างไรเราก็มีผลผลิตออกมาอย่างนั้น

การให้ครูมาสังเคราะห์ในเรื่องของการออกกำลังกาย เรื่องสุขภาพ การทำ ๕ ส. ครูได้มามีกิจกรรมร่วมกัน เป็นแนวโน้มให้นำที่ได้สังเคราะห์กันนำไปทำ ให้ต่อเนื่อง ในแต่ละโรงเรียน โดยให้เด็กมีส่วนร่วมตั้งแต่ขบวนการแรกเริ่ม ตั้งแต่เรื่องสุขภาพอนามัย การทำ ๕ ส. ให้เกิดสุขภาวะในชีวิตของเขา เมื่อเขามีส่วนร่วม เขาจะมีความภาคภูมิใจ".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



เลยลัด อีกชื่อ สวนธรรม

เมืองสวรรค์ของชาวอโศกอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเลไลย์อโศกอีกแห่งหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นผลงานของคณะสงฆ์ ช่วยให้มีให้เกิด มีจำนวนพื้นที่ ๒๐๐ ไร่ ยังมีน้ำเลยล้อมรอบ ป่าไม้ธรรมชาติ อากาศบริสุทธิ์ มีเกาะเป็นป่าใหญ่ รอบเกาะเป็นบุ่งน้ำเลยเก่า เหมือนบ้านราชฯ มีเรือไว้พายเล่น ยามข้ามเกาะด้วย ส่วนรอบนอกก็จะเป็นแม่น้ำเลยกั้นไว้ ถ้าจะมาแวะชมต้องข้ามน้ำด้วยเรือค่ะ ดินที่นั้นอุดมสมบูรณ์ ขุดตรงไหนไส้เดือนเพียบ ทั่วบริเวณ เป็นดินนุ่มปลูกอะไรก็ขึ้นไปหมด ลักษณะเป็นดินทรายแดงปลูกพืชตระกูลหัวดีมาก ไม้ผลที่โตแล้วเป็นที่น่าพอใจ เช่น ต้นขนุนปลูก ๓ ปี ก็ติดลูก โดยใช้เมล็ดพันธุ์ มีต้นหมากเม่าใหญ่ มะม่วง ฝรั่ง น้อยหน่า ลำไย มะละกอ กล้วย เป็นต้น ทุกอย่างทานแทบไม่ไหว เพราะไม่มีคนช่วยทาน พืชไร่ก็มี ปลูกข้าวปลูกทีไรก็เหลือยุ้ง ปลูกข้าวโพด งาดำ งาขาว ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง อ้อย นอกนั้นยังมีผักพื้นบ้านโดยที่ไม่ต้อง ปลูกไว้เก็บกินตลอดปี เช่น ใบขี้เหล็ก ใบตำลึง ผักอ่อมแซบ ถั่วพู หน่อไม้ ใบย่านางโตเท่าฝ่ามือ มีชะอม ส้มป่อย ผักกาดนา ตะไคร้ ใบมะกรูด บวบ และยังมีสาหร่ายน้ำจืด นำมาลาบ อร่อยมาก ทางภาคอีสานเรียกว่า เทา ผักสวนครัวนั้นนักร้องเสียงทองของชาวอโศกลงพื้นที่เองปลูกผักงามมาก สงสัยร้องเพลงให้ผักฟังทุกวัน มีโหระพา ใบแมงลัก สะระแหน่ พริก ถั่วฝักยาว ข่า ตะไคร้ เป็นต้น ฤดูหนาวอากาศที่นั้นจะหนาวสบาย ไม่มีลมพัดแรงเหมือนทางภาคอื่น ฤดูร้อนก็ร้อนสบาย ตกกลางคืนนอนต้องห่มผ้า ผู้อ่านคิดดูเอาเองก็แล้วกันว่าจะขนาดไหน ผู้เขียนได้มาสัมผัสด้วยตัวเองแล้ว มีธรรมชาติหลายอย่าง ผู้เขียนอยู่ในเมือง มานาน หายใจไม่ถึงปอดเหนื่อยเร็ว พอมาอยู่สวนธรรมเลยลัดไม่กี่เดือน อาการป่วยก็หายไป จากปากซีดหน้าซีด เดี๋ยวนี้ปากก็แดงหน้าก็มีสีสันขึ้น ถ้าไม่เชื่อ มาลองดูก็ได้นะคะ คนที่ป่วยหรือกำลังจะป่วย ยินดีต้อนรับทุกท่าน ไม่จำกัดจำนวน ไม่ต้องห่วง ข้าวมีเต็มยุ้งอยู่แล้ว ทานไม่หวาดไม่ไหว พอแค่นี้ก่อนนะคะ โอกาสหน้า จะเขียนมาคุยกันอีก

สำหรับผู้สนใจจะมาแวะชมหรือมาอยู่ด้วยกัน สามารถติดต่อมาที่ผู้รับใช้คนใหม่ อ.สมควร (นาผา) มาระวัง สวนธรรมเลยลัด ๑๖๐ หมู่ ๗ บ้านท่าทิศเฮือง ต.ปากปวน อ.วังสะพุง จ.เลย ๔๒๐๐๐ โทร.๐๑-๗๔๙-๗๑๑๐ ๐๗-๒๒๑-๕๔๓๔ ๐๑-๐๕๐-๒๗๘๘ ๐๔๒-๘๖๑-๐๗๙.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

สัมภาษณ์ สมณะเดินดิน ติกขวีโร

ข้อคิดจากงานฉลองหนาวครั้งที่ ๓ ณ ดอยแพงค่า ภูผาฟ้าน้ำ, งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ ๒๙ ที่ศาลีอโศกมีอะไรบ้าง และข้อคิดประจำฉบับแด่ญาติธรรมทุกท่าน ขอเชิญพบกับท่านสมณะเดินดิน ติกขวีโร ได้ ณ บัดนี้...

# ท่านได้ข้อคิดอะไรจากงานฉลองหนาวและวันธรรมชาติอโศกที่ภูผาฟ้าน้ำที่ผ่านมาบ้างคะ

- ปีนี้ก็ได้เห็นถึงสัจจะในเรื่องความไม่เที่ยงของสังขาร ปีนี้เป็นปีที่พ่อท่านค่อนข้างป่วยไม่ใช่น้อย ขนาดเดินขึ้นพื้นดิน ต่างระดับ เดินขึ้นข้างหน้าไม่ได้ จะต้องถอยหลังขึ้น เพราะเกิดอาการยอกที่บริเวณหลัง ด้วยความปรารถนาดีของลูกๆช่วยกันทั้งบีบ ทั้งนวด ทั้งอะไรกันเยอะแยะ ทำเอาพ่อท่าน ช้ำพอสมควร พ่อท่านเองถึงกับปรารภว่าปีนี้ หมดหล่อเลยนะ มีคนประคองปีกทั้ง ๒ ข้าง ก็อยากจะฝากว่า พวกเราไม่ควรประมาท แม้พ่อท่านตั้งใจอยู่ ๑๕๐ ปี จะอยู่ดู ความเจริญของพวกเราได้นานๆ แต่ในภาวะความเป็นจริง พ่อท่านก็ไม่เคยหยุดยั้งหรือออมมือ พ่อท่านยังทำงานหนักอยู่เต็มที่ วันหนึ่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เกือบวันละ ๑๐ ชั่วโมง เร่งเครื่องอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นพวกเราคงจะนิ่งนอนใจกันไม่ได้แล้วล่ะ อะไรที่เรายังได้ประโยชน์ไม่สมบูรณ์ ในส่วนคุณธรรม เราคงจะทำประโยชน์ส่วนนั้นให้สมบูรณ์ ส่วนไหนที่เรายังไม่ชัดเจนไม่แจ่มแจ้งแทงนัยได้ไม่ลึกซึ้ง ตอนนี้เราควรจะขวนขวายศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา ให้ได้มรรคผลที่สูงๆขึ้นไปให้ได้กับตน

ข้อที่สอง พวกเราเรียนปรึกษากับ พ่อท่านว่า จะพยายามผลักดันโครงการปลูกป่าซึ่งต้องใช้งบประมาณหลายพันล้าน พ่อท่านก็ฟันธงลงมาทันทีว่า จริงๆแล้ว เราไม่ควรดัดจริตจะไปปลูกป่าหรอก โดยธรรมชาติไม้นานาพันธุ์มันจะมีคัดสรรโดยธรรมชาติ ถึงเราไม่ปลูกมันก็เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ของมันอยู่แล้ว อย่างรัฐบาล รณรงค์โครงการให้ปลูกยางพารา ปรากฏว่าต้องไปตัดไม้สัก ไม้เบญจพรรณ ทำให้พื้นที่สีเขียวน้อยลงไปอีก และไปปลูกพืชเชิงเดี่ยวอย่างเดียว ทำให้ความร้อนแห้งแล้งก็น่าเป็นห่วง และทุกวันนี้เราจะได้ยินข่าวภัยแล้งเข้ามาครอบคลุมพื้นที่ของประเทศไทยมากขึ้น ในส่วนนี้ พ่อท่านก็ย้ำกับพวกเราว่า ชาวอโศกจะต้องเป็นเจ้าแห่ง กสิกรรมธรรมชาติ ก็คือพยายามทำให้มันสอดคล้องกับภาวะธรรมชาติ เราจะต้องคิดถึงผักพื้นบ้าน ผักที่ทนกับความแล้งให้ได้ เป็นพืชผักที่ปลูกทีเดียวกินได้ทั้งชาติ สามารถที่จะมีสีเขียวได้ตลอดทั้งปี ถ้าเราทำให้มันสอดคล้องกับภาวะธรรมชาติ ไม่ขี้โลภมาก เราก็จะมีภาวะ ที่อุดมสมบูรณ์

# ในงานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ ๒๙ ปีนี้ท่านได้ข้อคิดอะไรบ้างคะ?

- ก่อนงานพุทธาฯก็ได้มีการสัมมนาคุรุทีมการศึกษา และในช่วงงานชุมชนต่างๆก็ได้สัมมนาเพื่อที่เราจะพัฒนาชุมชนของเราให้เข้มแข็ง ซึ่งก็สอดคล้องกันว่า ในมิถุนาฯ ๔๘ ที่พ่อท่านมีอายุย่างเข้าสู่ปีที่ ๗๒ เราน่าจะได้เฉลิมฉลอง ๗๒ ปีของพ่อท่านด้วยการ รณรงค์พลีชีพสักกายะกิเลสของเรา ที่จะทำกัน เป็นขบวนการกลุ่ม หรือจะทำให้เป็นกระแสที่จะ ปลูกฝังวิถีชีวิตวัฒนธรรมของเด็กๆของเรา ของชุมชนของเราให้เจริญก้าวหน้าอย่างไร เราก็มาจับเรื่อง ๕ ส. จับเรื่องสุขภาพ แล้วมาเน้นเรื่องของกสิกรรมว่าเราน่าจะทำเรื่องที่เป็นพื้นฐานของชีวิต เป็นวิถีชีวิตให้ได้อย่างจริงจังกันเสียก่อน เหมือนเราตื่นมา เราก็ต้อง ล้างหน้า ทานข้าว แปรงฟัน อาบน้ำ ซึ่งชีวิตของคนเราทุกวันนี้การงานของเรา เยอะมาก จนเราสับสน สิ่งที่จะต้องทำพื้นฐาน ช่วยกันจัด ทำความสะอาด ห้องส้วม ห้องน้ำ ที่อยู่ที่อาศัยก็แทบไม่มีเวลา เพราะมีทั้งงานนอกงานในพัลวันพัลเกกันหมด เราได้ข้อสรุปสอดคล้องกันว่า ควรจะมาเริ่มต้น ทำเรื่องง่ายๆก่อน ทำ ๑ ร่าง ๑ รัง แล้วก็ ๑ ไร่ให้ดีก่อนกันได้ไหม


๑ ร่าง ก็คือทำร่างกายของเราให้แข็งแรง ให้เกิดความสุขให้ได้ก่อน บางทีคุรุก็กังวลอยากให้เด็กของเราเก่ง มีระเบียบวินัย แต่บางทีเราก็ลืมคิดว่า ทำยังไง จะให้เด็กของเรามีความสุข ก็เพราะว่าแม้แต่ตัวเราเองก็ไม่ได้คิดถึงความสุขของตัวเองสักเท่าไหร่ ที่เป็นสุขภาพกาย สุขภาพใจ ที่เป็นสุขาปฏิปทาเราก็ไม่ได้คิด เพราะฉะนั้นเราควรมาเริ่มต้นจาก ๑ ร่าง ที่ทำยังไงให้ร่างของเรามีทั้งสุขภาพกายสุขภาพใจที่ดี มีการออกกำลังกายทุกวัน มีการบริหารกาย บริหารใจ มีการนั่งเจโตสมถะ เหมือนชีวิตก็ต้องมีการแปรงฟัน อาบน้ำ เราก็ควรทำอย่างนี้ให้เป็นกิจวัตร ให้เป็นวิถีชีวิต ทั้งของเราทั้งของชุมชนเพื่อให้สุขภาพของเรา แข็งแรงก่อนถึงจะไปช่วยสังคมได้ อันนี้ก็เป็นเบื้องต้นของ ๑ ร่าง

๑ รัง ก็คือที่อยู่อาศัยของพวกเรา ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ เราก็มีโครงการกันว่า แต่ละชุมชนน่าจะมีการรณรงค์กันทั้งชุมชน ตื่นเช้ามาสิ่งแรกที่ควรทำคือ ทำความสะอาด ที่อยู่อาศัย ทำความสะอาดฐานตนเองให้เรียบร้อย ห้องน้ำห้องส้วมก็ช่วยกันขัดช่วยกันล้าง ไม่ใช่เป็นกรรมเป็นเวรของคนใดคนหนึ่ง แต่ทุกคนมีความรับผิดชอบร่วมกัน ทำ ๑ รังแทนที่จะเป็นรังหนูรังนก สุดท้ายถ้ามันรกก็อยู่ใกล้นรก ถ้าจะเปลี่ยน ๑ รังให้เป็น ๑ วิมาน วิมานก็คือจิตอันยิ่ง จิตที่มีความสะอาด สว่าง สงบ เปลี่ยน ๑ รังเป็น ๑ วิมาน แล้วก็ ๑ ไร่ เราพยายามที่จะทำกสิกรรมธรรมชาติของเราให้สมบูรณ์ ความจริงทำให้สมบูรณ์แม้เพียง ๑ ไร่ก็ไม่ใช่น้อยเลย พวกมืออาชีพ ๑ ไร่ก็สามารถจะเอาไปขายได้ทั้งปี บางทีพวกเราทำเป็นร้อยๆไร่ แต่ก็ไม่พอที่จะเลี้ยงตัวเองได้ เพราะวิ่งหน้าวิ่งหลัง ดูแลกันไม่ทัน ดีไม่ดีก็พาให้ขาดทุนวอดวายไปด้วย


อันนี้ก็เป็นข้อตกลงร่วมกันในงานพุทธาภิเษกฯ เราจะเริ่มต้นสิ่งที่ใกล้ตัวเราก่อน ก็คือ ๑ ร่าง เราจะทำที่อยู่อาศัยที่เราพักอาศัยของเราให้ดีก่อน เป็น ๑ รังเป็น ๑ วิมาน และถ้าใครสามารถมีส่วนร่วมในการทำกสิกรรมของตัวเองให้ดีอีกด้วย โดยเริ่มต้นจาก ๑ ไร่ก่อน คิดว่าถ้าต่างคนต่างเป็น พันธสัญญาที่จะร่วมกัน ปลุกกระแส ทำให้เกิดเป็นวัฒนธรรมเป็นประเพณีขึ้นมา ชุมชน ของเราก็คงจะเกิดความอุดมสมบูรณ์ขึ้น ไม่น้อย นี้ก็เป็นเรื่องที่เราคิดว่า เป็นเรื่องที่เรา น่าจะได้ พลีชีพ หรือตั้งใจอย่างจริงจังปลูกฝังเป็นวัฒนธรรมประเพณีให้เกิดขึ้นกับจิตวิญญาณของเรา

# ท่านจะฝากข้อคิดอะไรให้กับญาติธรรมบ้างคะ

- พ่อท่านเคยดำริว่า สังคมข้างนอกเขาใช้เงินข่มอัตตา เขายอมทุกอย่างเพื่อที่จะได้เงิน เห็นแก่เงิน แต่สังคมของเราใช้อัตตา ข่มเงิน สังคมของเรา แม้ไม่มี ผลประโยชน์แต่เรื่องของอัตตาเป็นเรื่องที่ก็หนักหนาสาหัสสากรรจ์เหมือนกัน แต่ละแห่งคนเราก็น้อย เราคงจะต้องมาคิดกันว่า ทำอย่างไร เราจะอยู่ร่วมกัน อย่างมีความสุข ทุกวันนี้ ที่เราอยู่กันอย่างไม่ค่อยผาสุกก็เพราะว่าเราจะมีอัตตาที่ข่มกันไปข่มกันมา พระพุทธเจ้าจึงให้สูตรที่สำคัญไว้ ๕ ประการ ที่จะทำให้สังคมอยู่กันเป็นสุขได้ คือ


๑. เมื่อตัวเองมีศีลอันยิ่งแล้ว ไม่เอา ศีลอันยิ่งของตนเองไปข่มใคร อย่างเราเป็นคนขยันก็ไม่เอาความขยันไปฟาดฟันคนอื่น หรือว่าเราเป็นคนที่มี ความเป็น ระเบียบเรียบร้อยก็ไม่เอาความเป็นระเบียบเรียบร้อยเอาไปทิ่มแทงกัน แล้วแต่ใครจะมีส่วนดีส่วนไหนก็เอามาทิ่มแทงกัน นี้เรียกว่าอัตตาข่มกันไป ข่มกันมา ชุมชนนั้นก็จะไม่เกิดความผาสุก

๒. จะไม่พยายามไปเพ่งโทษผู้อื่น แต่จะเป็นผู้ที่มองเข้าหากิเลสของเรา ธรรมชาติของคนเรานอกจากจะชอบข่มคนอื่นแล้ว มันก็ชอบเอาเรื่องเอาราวคนอื่นด้วย สังเกตว่าเวลาตัวเราลืมอะไร เราก็จะไม่ได้เดือดร้อนอะไรนัก แต่ถ้าคนอื่นลืมเรารู้สึกว่าไอ้หมอนั่นสมควรตายเลยทีเดียว จิตของเรามักจะถือสา เพ่งโทษ เอาเรื่องเอาราวคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ทำอย่างไรที่จะเอาพลังงานที่สูญเสียตรงนี้เข้ามาเพ่งโทสะ โมหะ ราคะในจิตใจของเรา พยายามโน้มน้อม เข้ามาหา เจโตปริยญาณ ๑๖ ดูว่าจิตเราสะอาดบริสุทธิ์มากน้อยแค่ไหน ถ้าทุกคนโน้มน้อมมาอย่างนี้ ทุกชุมชนก็จะไม่เกิดเรื่องเกิดราวอะไร แต่ทุกวันนี้ ไม่สามารถ แก้ปัญหาได้เพราะว่า จิตของเราพุ่งไปเอาเรื่องเอาราวซึ่งกันและกัน ไม่มีกำลังที่จะพุ่งเข้ามา มองเพ่งโทสะ ราคะ โมหะของตัวเอง


๓. เมื่อตัวเราเองไม่ปรากฏชื่อเสียง ก็ไม่กระวนกระวายใจที่ไม่ปรากฏชื่อเสียง คือเราไม่มีหน้าไม่มีตา ต้องปิดทองหลังพระอยู่ตลอดเวลาก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร กับใคร เพราะยิ่งเราให้ไปโดยไม่เอากลับคืนเอามาเท่าไหร่ ก็เป็นจิตที่วิเศษยอดเยี่ยม ของเรามากเท่านั้น ยิ่งให้หมดก็ยิ่งได้หมดโดยไม่เอากลับคืนมาเลย สังคมนั้นก็ไม่มีการอิสสา(ริษยา) ไม่มีการเอาหน้าเอาตา มันก็เกิดความสุข

๔. เป็นผู้ยินดีในฌาน คือยินดีในการเผากิเลสของตัวเอง ไม่ไปคิดเผากิเลสของผู้อื่น ถ้าเราคิดเผากิเลสของเพื่อนอาสวะของเราก็จะเจริญยิ่ง ฌานของพุทธ คือคิดเพ่งเผาที่ตัวเรา เอาเรื่องเอาราวที่ตัวเรา ถ้าชุมชนใดมีการมองตนและคิดเผากิเลสตนอยู่ตลอดเวลา ชุมชนนั้นก็จะเกิดความสุข เกิดพลังสามัคคี

๕. เราจะต้องพยายามตอกย้ำเป้าหมาย ของชีวิต ศาสนาพุทธมีเป้าหมายว่า เรามีจิตหลุดพ้น ปล่อยได้ วางได้ มีปัญญาวิมุติ เจโตวิมุติ จิตเราหลุดพ้น จากความยึดถือทั้งปวง ดังนั้นนักปฏิบัติธรรมแต่ละชุมชน เราก็ต้องพยายามที่จะตอกย้ำตัวเองว่า เรามาปฏิบัติธรรมเพื่อมาเอาจิตที่ดี จิตที่วิเศษสุข จิตที่เป็น ความหลุดพ้น ไม่ใช่มาทะเลาะกันเรื่องถ้วยชามกะละมัง เรื่องวัตถุข้าวของ ชีวิตเราที่ทุ่มโถมมานี้ ก็เพื่อเราได้มาปล่อยมาวาง มาพัฒนา จิตของเรา ให้เข้าถึงความว่างจากราคะ โทสะ โมหะ อันนี้ก็เป็นเป้าหมายที่เราต้องตอกย้ำตัวเราเอง ถ้าชุมชนไหนมีทิศทางเป้าหมายชีวิตอย่างนี้ มีการเพ่งเผากิเลสตนเอง อยู่อย่างนี้ มีการมองตน ไม่ไปเพ่งโทษซึ่งกันและกัน


หลัก ๕ ประการนี้ ถ้าชุมชนของเราพยายามทบทวนแล้วก็ต่างคนต่างหมั่นตรวจจิตใจของตนอยู่เสมอๆ ก็น่าจะทำให้ชุมชนนั้นแม้จะอยู่กันน้อยคน ก็จะทำให้ อยู่กัน อย่างมีความสุข หรือแม้จะอยู่กันมากคน ก็จะทำให้มีพลังมหาศาลที่จะเป็นเอ็นโดฟีน หรือสารสุขที่จะทำให้พ่อท่านอยู่กับเราได้นานๆ


พ่อท่านเองเคยเปิดใจว่า ที่ท่านอยากอยู่นานๆ เพราะว่าอยากจะดู อยากจะเห็นความเจริญก้าวหน้าทางจิตวิญญาณของพวกเรา ถ้าท่านอยู่แล้วพวกเรา ก็มีแต่ความก้าวหน้าๆอยู่อย่างนี้ ท่านก็จะอยู่กับพวกเราได้ยาวนานทีเดียว แต่ถ้าพ่อท่านอยู่แล้วพวกเราก็มีแต่เรื่องขัดแย้ง ทะเลาะเบาะแว้ง กัน อย่างนี้ พ่อท่านเองคงจะอยู่กับพวกเราได้ไม่นานเท่าไหร่ ดังนั้นถ้าพวกเรามีพลังสามัคคีอันยอดเยี่ยมวิเศษแล้ว คิดว่าจะเป็นยาวิเศษ ทำให้พ่อท่าน อยู่กับเรา ได้ยั่งยืนยาวนานแน่นอน

๓๕ ปีในร่มกาสาวพัสตร์ พ่อท่านเดินหน้าทำงานศาสนาด้วยความวิริยะอุตสาหะ ถึงเวลาแล้วที่เราควรเร่งบำเพ็ญเพียรให้ได้มรรคผล ในขณะที่พ่อท่าน ยังมีชีวิตอยู่ ร่วมปฏิบัติบูชาด้วยการลดอัตตา สมานสามัคคี ช่วยกันสร้างชุมชนบุญนิยมให้เข้มแข็ง เพื่อเฉลิมฉลองในวาระที่พ่อท่านมีอายุครบ ๗๒ ปีนี้กันเถิด...

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



มหกรรมเพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ ๒
รักฟ้า รักดิน รักคนที่มาเพื่อ...ฟ้าดิน
ข้าวคือ...ชีวิต เศรษฐกิจพอเพียงคือ...คำตอบ

สวนส่างฝันครบรอบ ๗ ปี มอบรักนี้เพื่อชาวนา ด้วยการจัดงาน มหกรรมเพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ ๒ ขึ้นในวันที่ ๑๓ - ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ งานเริ่มตั้งแต่ บ่ายของวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ กลุ่มโรงเรียนชาวนาทยอยมาลงทะเบียน บางโรงเรียนมาแต่เช้าและมาช่วยเตรียมงานด้วย จนถึงบ่ายแก่ๆ ได้ฟังปฐมนิเทศขึ้นปีที่ ๒ โรงเรียน ชาวนาคุณธรรมกสิกรรม ไร้สารพิษ เศรษฐกิจพอเพียง โดยท่านสุภัทโท (จากวัดสวนธรรมร่วมใจ) โดยเน้นถึงการทำบุญอย่างไรจึงจะได้บุญ การจ่ม(การบ่น) การป้อย(การด่า) ก็เข้าข่ายผิดศีลไม่สงบสุข ความรัก ความเข้าใจกัน ทำให้ครอบครัวอบอุ่น "บางคนเห็นเป็ดแล้ววิ่งไล่จะกินเป็ด เป็ดมันก็วิ่งหนี พร้อมกับ ร้องว่า...บาป...บาป...บาป คนวิ่งตามหูบาป ฟังเป็น ลาบ...ลาบ...ลาบ" เรียกเสียงฮาได้ครืนใหญ่ แต่ก็เข้ากระดองใจพอสมควร ทำให้เห็นบาปชัดขึ้น รายการนี้ แม้เป็นช่วงบ่าย แต่ผู้ฟังก็รื่นเริงในธรรมดี เย็นได้ฟังรายการใครมีอะไรดีๆ ทำอะไรดีๆ เกี่ยวกับการทำกสิกรรม ไร้สารพิษมาเล่าสู่กันฟัง ๑ ปีเจอกันครั้ง ได้อะไรดีๆมาแลกเปลี่ยนกันเยอะ บางคนไม่มีทุนมาก ก็เอาเมล็ดสาบแร้งสาบกาไปหว่าน แล้วไถกลบ ทำให้ผลผลิตสูงขึ้น โดยไม่ต้องใช้เงิน

๑๔ กุมภาพันธ์ เช้าวันใหม่กับสิ่งดีๆ ท่านสมณะ(ท่านสุพโล,ท่านนมวังโส,ท่านแก่นเกล้า,ท่านดาวดิน) สวนส่างฝันเมื่อวันวานที่ผ่านมาพร้อมหัวข้อธรรม เน้นการสร้างคน ปลูกคน ก่อนปลูกต้นไม้ ๖โมงเช้า คุณหมอเขียว พาออกกำลังกาย ขยับเส้นสาย พร้อมสอนวิธีกดจุดสลายจุดต้นเปิดจุดลม ทำให้หลายคน หัวโล่งไปตามๆกัน

๐๗.๓๐ น. พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์พร้อมปัจฉาสมณะ ๒ รูปเดินทางถึงสวนส่างฝัน พักผ่อนที่บ้านดินหลังที่ ๒ แลกเปลี่ยนเรียนถามพ่อท่านหลายเรื่อง หลายประเด็น พ่อท่านให้คำชี้แนะว่า "ถ้าคนของเราไม่เพิ่มขึ้น ไม่ควรรับจำนวนผู้เข้าอบรมเพิ่มจากจำนวนเดิม เพราะพลังแห่งความเข้มข้นจะลดไป ทำให้การอบรม ได้ผลไม่เต็มที่ ให้เน้นเรื่องวิถีชีวิตเป็นสำคัญ เมื่อวิถีชีวิตดีแล้วการทำอยู่ทำกิน จึงจะเป็นไปได้"

๐๙.๐๐ น. พ่อท่านขึ้นเทศน์ประเด็นสำคัญ - คนรวยดูดจากคนจน แม้คนจนจะมีรายได้ดีขึ้น แต่ก็ต้องบริโภคสินค้า ซึ่งผลิตโดยนายทุน ซึ่งในที่สุด เงินเหล่านั้น ก็ต้องกลับไปหาคนรวย ลักษณะของทุนนิยมเมื่อมีกำไร ก็จะนำกำไรที่เกิดขึ้นไปทำการผลิตเพิ่ม ขยายกิจการให้มีขนาดใหญ่โต ซึ่งเท่ากับเพิ่มขนาดของท่อ สูบเอาทรัพยากรความมั่งคั่ง ด้วยวิธีการเช่นนี้ ระบบทุนนิยมจึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาความยากจนได้ คนจนอย่าหลง ไปกลับโฆษณา มอมเมาให้บริโภค อย่างไม่ยั้งคิด วิธีการของทุนนิยมเป็นวิธีการที่เอาเปรียบ ไม่เป็นธรรมดังกรณีของไทเกอร์วู๊ดส์ เป็นนายแบบโฆษณาสินค้า ยี่ห้อหนึ่ง ได้ค่าตอบแทนราว ห้าพันล้านบาท ในระยะเวลา ๕ ปีจำนวนเงินขนาดนี้ ผู้ใช้แรงงานในประเทศไทย ต้องใช้เวลาทำงานถึง ๙๒,๐๐๐ ปี คุณค่าของคนอยู่ที่กรรม เป็นทรัพย์แท้ ของคน ที่ติดตัวไปข้ามภพข้ามชาติ แม้จะโกงมามากมายตายไปแล้วก็ไม่สามารถนำติดตัวไปได้ พระพุทธองค์ จึงให้ชาวพุทธให้ความสำคัญ กับกรรมของตน ซึ่งไม่สามารถแบ่งปันกันได้

๑๐.๐๐ น. ท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ นายสมบูรณ์ ปริยานนท์ ปฏิบัติราชการแทนท่านผู้ว่าราชการ ท่านติดราชการด่วนที่จังหวัด อุบลราชธานีมาไม่ทัน พอพ่อท่านเทศน์จบท่านก็กล่าวเปิดงาน ชื่นชมและเห็นด้วยอย่างยิ่งกับการจัดงาน กับวิถีชีวิตแบบนี้ ซึ่งท่านเองก็ปลูกผักกินด้วยที่บ้าน ท่านปลูกผักหลายชนิด (บ้านพักข้างศาลากลางจังหวัดอำนาจเจริญ) เพิ่งย้ายมาได้ไม่นานผักกำลังงาม ขอให้กำลังใจ ทุกท่านที่มาร่วมงานนี้ เรื่องป่า ท่านรองผู้ว่าฯ ให้คำคมมาคำหนึ่งว่า... "คุณรักเพื่อนอย่างไร ก็รักต้นไม้อย่างนั้น" สุดท้ายท่านกล่าวว่า เราพร้อมที่จะสนับสนุนท่านทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ทำพิธีเปิดด้วยการผ่าแตงโมไร้ สารพิษ ก่อนผ่า หลายคนลุ้นว่าจะแดง หรือไม่แดง ด้วยใจจดใจจ่อ พอผ่าออกมา ปรากฏว่า..แดง ท่านรองผู้ว่าฯยิ้มแก้มปริแล้ว พูดว่า แดงอย่างนี้จะหวานไหมนะ แล้วผมจะได้ชิมไหมนี่? ชาวนาที่มาร่วมงานปรบมือ พอใจ ยิ้มแย้มกันทั่วหน้า จากนั้นรับของชำร่วยจากพ่อท่าน พร้อมข้าวกล้องไร้สารพิษ ทั้งข้าวแดงและข้าวหอมมะลิ ท่านบอกช่วงนี้ ผมไปเปิดงานได้แต่ข้าวกลับบ้าน สงสัยต้องสร้างฉางใส่ข้าวไว้ข้างบ้านแล้วล่ะ แล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี กราบนมัสการพ่อท่าน แล้วเดินชมนิทรรศการ เห็นสลัดครีมของวังน้ำเขียวและบ้านราชฯ มีผักหนาวหลากหลายชนิด ทั้งสีม่วง สีแดง สีเขียว สีขาว ท่านสนใจมาก "น่าทานจัง" แล้วเดินชมนิทรรศการต่อ เดินทักร้านโน้น ชาวนากลุ่มนี้อย่างเป็นกันเอง ผ่านร้าน โรงเรียนชาวนาฯ บ้านโคกพระ ทดลองสีข้าว มือหมุนจากนั้นเห็นเห็ดขอน จากโรงเรียนชาวนาบ้านห่องเตย ท่านสนใจมาก ถามวิธีทำอย่างละเอียด เพราะที่บ้านท่าน (ที่ปทุมธานี)มีต้นมะม่วงเยอะกำลังจะตัดแต่งกิ่งพอดี ผ่านโรงเรียนฯ บ้านเชียงเพ็งได้รับข้าวจ้าวนิล(ข้าวจ้าวดำ) และข้าวหอมมะลิแดง พอถึงร้านศีรษะอโศก ได้รับของฝาก เยอะเลย หนึ่งในนั้นมีน้ำส้มควันไม้ (วู้ดเวเนก้า)ท่านสนใจวิธีทำมาก เลยพาไปดูนิทรรศการของจริงที่กำลังเผาอยู่ในงาน ท่านสอบถาม อย่างละเอียด และอยู่ดูนานเกือบครึ่งชั่วโมง พร้อมบอกว่าจะกลับมาอีกมาเอาความรู้จากสวนส่างฝัน เพราะมีอะไรน่าศึกษาอีกเยอะ เดินผ่านบ้านดินหลังที่ ๓ ซึ่งเป็นบ้านดิน ๒ ชั้น ทรงสูงเพรียว ท่านเห็นด้วยที่ชาวบ้านจะได้ตัดต้นไม้น้อยลง จากนั้นท่านเดินไปกราบลาพ่อท่าน อีกครั้งก่อนกลับ

ช่วงทานข้าวมีรายการแสดงของเด็กนักเรียนจากโรงเรียนบ้านเชียงเพ็ง ในชุดฟ้อนรำ แบบฉบับของยโสธร (เซิ้งบั้งไฟ) เรียกความครื้นเครงได้พอสมควร วันนี้มีอาจารย์ ดร.สองสามีภรรยา พร้อมนักศึกษา จากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มาร่วมงานและขอฟังการสรุปบทเรียนโรงเรียนชาวนา ดูปีที่ผ่านมา ได้อะไรบ้าง มีองค์ความรู้ใหม่ๆ อะไรบ้าง ซึ่งท่านทั้งสองกำลังทำวิจัยเรื่อง "การทำเกษตรอินทรีย์ทำให้ชีวิตดีขึ้นหรือไม่?" ท่านอยู่ร่วมฟังสรุปบทเรียนจนเย็น จึงลากลับ ชาวบ้านออกมาสรุปบทเรียนทีละโรงเรียน เป็นแบบชาวบ้านชาวบ้าน ผิดบ้างถูกบ้าง อ่านตัวหนังสือที่เพื่อนเขียนไม่ออกบ้าง เรียกเสียงหัวเราะ เป็นระยะๆ แต่ก็ได้เนื้อหาชัดเจนว่า ...การทำนาให้ได้ไร่ละตันต้องสร้างดิน เมื่อดินดีต้นข้าวจึงจะแตกกอ ผลผลิตก็จะสูง

ช่วงเย็นเริ่มรายการด้วยวงดนตรี ของวงฆราวาส มีผู้ชมขอเพลงหลายเพลง แต่เวลามีจำกัด ไม่สามารถจะจัดให้ได้ และมีหมอลำเสียงซึ้ง (หมอลำซึ้งบุญ) มาร่วมลำ สร้างบรรยากาศดีมาก และมีเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. คุณอนุวัฒน์มาร่วมสนุกด้วยการเป่าขลุ่ย เพราะมาก

จากนั้นเป็นรายการ รำลึกถึงความหลัง "กลับมาเถิดวันวาน วันวานยังหวานอยู่" โดยมีครอบครัวของอาจารย์ไม้หอม บุญสุภาพ ขึ้นเวที เล่าความหลัง เมื่อตอนเริ่มต้นใหม่ๆ ตอนที่หญ้าหวายยังรก เดินไปมาก็ลำบาก จะปลูกอะไรก็ยาก ดินแข็งกระด้างกว่าจะถึงวันนี้ ครบ ๗ ปี คิดไม่ถึงว่าผลผลิตจะงามขนาดนี้ มะม่วงก็ลูกดก มะพร้าวริมคลองออกลูกเต็มต้นสะดุดตา ขนุน, กล้วย และผักต่างๆ เขียวเต็มสวน แตงโมไร้สารพิษก็ออกลูกพอสมควร ข่าก็งามกอใหญ่ขึ้น ฯลฯ คิดถึงดิน คิดถึงคน คิดถึงสภาพภูมิอากาศเมื่อ ๗ ปีที่แล้ว มันไม่น่าจะงามขนาดนี้ หนูจั่นสรุปน่าฟังว่า "ความเหนื่อยยากต่างๆ เมื่อมาอยู่สวนส่างฝัน (ป.๒-ป.๖) ทำให้รู้จักความอดทน" แจ้บอกว่า "คนเราจะประสบผลสำเร็จได้ ไม่ง่าย ต้องผ่านความลำบาก" ทำให้หลายคนได้จุดประกายความคิดจากเด็ก ๒ คน

ต่อมาเป็นรายการ "ปลูกไม้ผลอย่างไรจึงจะโตเร็วในภาคอีสาน" โดย อาจำเริญ ได้รับความสนใจในเคล็ดลับพิเศษนี้มาก (ขณะนี้ปลูกมังคุด ๑๓๕ ต้น) ออกลูกแล้วเป็นบางต้น เงาะก็ได้กินแล้ว กล้วยลูกโต มะพร้าวลูกดกมาก แถมหวานหอมอีกต่างหาก ตามด้วยแม่ครั่ง ผู้ได้รับสมญานาม ปริญญาต้นค้อ คือผู้ผลิตข้าวได้สถิติสูงสุด คือ ๙๒๙ กก.(ท่ามกลางสภาวะของฝนแล้ง ทิ้งช่วงเร็ว) ได้รับความสนใจสูงมาก แม้จะดึก พร้อมกับการซักถามเรื่องปลูกผัก หอม กระเทียม ผลไม้ ที่สำคัญ ผักหวานป่า รายการนี้มีคนสนใจและมีคำถามมากมายจนดึก แต่แม่ครั่ง ก็เต็มใจที่จะตอบคำถาม ปิดท้ายรายการด้วย ท่านสมณะดินไท ด้วยการให้กำลังใจก่อนนอนว่า... ได้ฟังเรื่องราวของวันเก่าๆ ทำให้มีกำลังใจ ขอให้ทุกคนเอากำลังใจกลับไปทำที่บ้าน

วันนี้มีสมณะมาร่วมงาน ๘ รูป พระ ๑ รูป (พระมหาณรงค์) จากวัดบ้านลาดคำ รวมเป็น ๙ รูป ซึ่งมาร่วมงานเป็นปีที่ ๒

อาเปิ้ม (คุณขวัญดิน สิงห์คำ ) เล่าเรื่อง "คุณธรรมทำให้กลุ่มเข้มแข็ง" คุณธรรมทำให้ทุกกลุ่ม ทุกฐานะ ทุกอาชีพ ยอมรับโดยไม่มีเงื่อนไข คุณธรรมทำให้ ความเป็นพี่เป็นน้องแน่นแฟ้น เศรษฐกิจพอเพียงต้องลงมือทำ ทำอย่างรู้เท่าทัน ทำอย่างผู้ตื่น และทำอย่างมีทิศทาง พร้อมยกตัวอย่างประเทศเขมร กำลังปลูกผลไม้ต่างๆ ได้กินและกำลังจะส่งออกแข่งกับไทย ฉะนั้นไทยต้องปลูกหลายๆ อย่าง ปลูกอย่างพอเพียง ลดการซื้อ พึ่งตัวเองให้ได้ แถมด้วยสูตร จุลินทรีย์ตัวใหม่ หมักจาก แป้งเหล้า + ข้าวกล้อง ทดแทนการใช้น้ำตาล เพราะเริ่มแพง และกากน้ำตาลก็ถูกบริษัทใหญ่เหมาซื้อเพื่อเอาไปทำแก๊สโซฮอล เพื่อทดแทนน้ำมันที่กำลังจะขาดแคลน

อีกเรื่องเป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ ประเทศเวียดนามประกาศว่า สามารถควบคุมโรคไข้หวัดนกได้แล้ว แต่ก็ประกาศรณรงค์ให้คนทั้งประเทศ หันมากิน อาหารมังสวิรัติ นั่นหมายความว่า โรคไข้หวัดนกจะแผงฤทธิ์เมื่อไหร่ก็ได้

ใช่หรือไม่ หันมาทำกสิกรรม มาปลูกพืชผักผลไม้กินจะอบอุ่นและมีความสุขกว่า ปลอดภัยด้วย เมื่อเลิกเคมีโดยเด็ดขาด (รายละเอียดดีๆ มีอีกมาก ตามหาเทป ฟังได้ที่ธรรมทัศน์สมาคม)

หลายคนได้ฟังอาจารย์ขวัญดิน ทำให้มีไฟ มีกำลังใจ และคิดจะทำอะไรต่อกันอีกเยอะ โรงเรียนชาวนามั่นใจในการรวมกลุ่มกันมากขึ้น หลายคนมาบอกว่า กลับไปนี้ผมมีอะไรจะทำอีกเยอะเลย มางานนี้ได้ข้อคิดดีดีหลายอย่าง

ต่อด้วยรายการของคุณธำรงค์ แสงสุริยจันทร์ ประธานเครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษ ไม่เคยเห็นมาก่อนที่ชาวบ้าน ชนชั้นรากหญ้ามารวมตัวกัน มาเล่า ประสบการณ์ขยายองค์ความรู้สู่กันฟัง ส่วนมากจะเคยเห็นแต่นักวิชาการ นับว่าเป็น

นวัตกรรมใหม่ของสังคมไทย การจัดงานเป็นบรรยากาศแบบไทยๆ ไม่มีฝรั่งปน เรียบง่ายแต่งดงาม เป็นทางออกใหม่ทางสังคมไทย เป็นทางออกใหม่ ให้ชนชั้นรากหญ้าได้ผนึกกำลังกันทำสิ่งใหม่ สิ่งดีๆสู่สังคม

รายการเทศน์ก่อนฉัน ๑๕ ก.พ.๔๘

พรก่อนจาก โดย สมณะดินไท ธานิโย ชื่นชมยกย่อง สมาชิกโรงเรียนชาวนา ที่มาร่วมงานจนครบ ๓ วัน เปรียบเทียบกับตัวท่านเอง ซึ่งเคยไปร่วมงานปลุกเสก พระแท้ๆ ของพุทธ ในช่วงต้นๆ ของการปฏิบัติธรรม ครั้งนั้นท่านอยู่ได้เพียง ๓-๔ วันก็กลับ เมื่อกลับไปบ้านก็ฝึกหัดปฏิบัติ ตามที่ได้ยินได้ฟังมาจาก สมณะและปฏิบัติกร

ความร่วมมือกันของสมาชิกโรงเรียนชาวนา และผู้ปฏิบัติงานของสวนส่างฝัน ทำให้การงานต่างๆ ตั้งแต่การจัดเตรียมสถานที่ รายการต่างๆ ซึ่งไม่สามารถ กระทำได้โดยง่าย สำเร็จลุล่วงไปได้

การศึกษาในระบบที่เป็นอยู่ ไม่สามารถนำมาใช้กับชีวิตประจำวันจริงๆ ได้ อย่างท่านเองซึ่งไปศึกษาต่างประเทศ ก็ไม่สามารถนำความรู้เหล่านั้นมาใช้ได้

สมณะดาวดิน ปฐวัตโต ขยายเสริมการแสดงธรรมของสมณะดินไท ธานิโย ซึ่งแสดงเป็นภาษาไทยกลาง โดยเปลี่ยนมาใช้ภาษาท้องถิ่น บอกเล่าถึงฐานะ ทางครอบครัวของสมณะดินไท ที่ท่านร่วมงานปลุกเสกฯ ได้ไม่ตลอดจึงไม่แปลกอะไร ส่วนสมาชิกโรงเรียนชาวนา ซึ่งอยู่กับความลำบากมา เกือบทั้งชีวิต จึงควรจะอดทนหาประโยชน์จากการมาร่วมงานครั้งนี้

กสิกรควรหยุดใช้สารเคมีในไร่นาของตนอย่างสิ้นเชิง ซึ่งจะทำอย่างนั้นได้ก็จะต้องนำสิ่งที่เป็นพิษออกจากชีวิตเสียก่อน กสิกรที่ประสบผลสำเร็จ ในการเพาะปลูก แบบไร้สารพิษ คือเกษตรกรที่สามารถนำ สิ่งที่เป็นพิษออกจากชีวิตให้ได้ ดังเช่น อ.ขวัญดิน ซึ่งมีโอกาสที่จะใช้ชีวิตอย่างหรูหรา แต่งตัวอย่างคนทั่วไป ในสังคมได้โดยไม่ลำบาก แต่ไม่ทำเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายไม่ใส่รองเท้า

กสิกรควรมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง โดยการไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น การนำพิษภัยออกจากชีวิต การไม่ใช้สารเคมีในไร่นา คือการไม่เบียดเบียน ทั้งตนเองและผู้อื่น

สมณะแก่นเกล้า สารกโร ท่านเป็นนักเดินทาง เดินทางมาแล้วทั่วประเทศ ได้พบปะกับผู้คนในที่ต่างๆ เห็นนาข้าวที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดที่ จ.เชียงใหม่ เห็นวิถีชีวิตของประชาชนในสามจังหวัดภาคใต้ที่มีชีวิตแบบเรียบง่าย ปฏิเสธทุนนิยม และบริโภคนิยม จึงไม่สามารถยอมรับกับแนวทางการพัฒนา ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ได้

การเพาะปลูกที่ดี ควรปลูกพืชที่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในภูมิประเทศภูมิอากาศของท้องถิ่น ไม่จำเป็นที่จะนำพืชที่ต้องประคบประหงมอย่างมากมาปลูก เพราะพืชเหล่านั้นไม่ใช่อาหารที่จำเป็นของชีวิต

การโค่นป่าเพื่อปลูกพืชเชิงเดี่ยวดังที่กระทำกันในหลายๆพื้นที่ของประเทศ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง การปลูกพืชเศรษฐกิจเช่น ยางพารา ซึ่งไม่สามารถนำมา เป็นอาหารได้ ต้องพึ่งพาตลาด หากเกิดปัญหาทางการตลาดขึ้นมา กสิกรที่ปลูกยางพาราจะรับประทานอะไร โยมแรงผักเป็นตัวอย่างที่ดี สำหรรับ การทำเศรษฐกิจพอเพียง

สมณะกำแพงพุทธ สุพโล ธรรมของผู้ครองเรือน ลักษณะของภรรยา ๗ จำพวก
๑. ภรรยาโจร ผลาญพร่าทรัพย์สินของสามี
๒. ภรรยาเพชฌฆาต ส่งเสริมสามีในทางที่ผิด เหมือนการฆ่าสามีตน
๓. ภรรยาเสมอพี่สาว คอยดูแลเหมือนพี่สาวดูแลน้อง
๔. ภรรยาเสมอน้องสาว คอยดูแลเหมือนน้องสาวดูแลพี่ชาย
๕. ภรรยาเสมอเพื่อน
๖. ภรรยาเสมอมารดา คอยดูแลเหมือนมารดาดูแลบุตร
๗. ภรรยาเสมอทาส ยอมให้สามีกดขี่ เหมือนนางทาสปฏิบัติต่อนายทาส

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


เห็บเข้าหูภูผาเมฆ (๒)


ฉบับที่แล้วท่านก็ได้อ่านเรื่องราวที่เห็บเข้าหูไปหนึ่งตอนแล้วนะคะ คราวนี้เราลองมาศึกษากันว่าเจ้า "เห็บ" ตัวน้อยๆ นี้ร้ายกาจเพียงใด

จริงๆแล้ว "เห็บ" เป็นสัตว์ที่มี ๘ ขา ซึ่งกินเลือดของสุนัขเป็นอาหารหลัก ถ้ากินเลือดของสัตว์อื่นที่ไม่ใช่สุนัขจะท้องขึ้นย่อยลำบาก เอาไปเลี้ยงลูกในท้อง ไม่ได้ มันจึงพยายามกินแต่เลือดสุนัขเป็นอาหาร ตอนที่มันกินจนอ้วนเป็น รถถัง อย่าไปบี้ให้เลือดมันออก เพราะเลือดมันมีไข่เต็มไปหมด เลือดที่ตกค้าง ตามพื้น จะเป็นตัวอ่อนได้หมด เวลากินเลือดสุนัขอิ่มแล้วมันจะต้องไปย่อยอาหารโดยที่จะทิ้งตัวจากร่างสุนัขแล้วคลานขึ้นที่สูงหาที่ออกไข่ เช่น ตามซอก หรือมุมบ้าน เพดานหรือตามพื้นดิน เห็บหนึ่งตัวสามารถออกไข่ได้ทีละ ๑,๐๐๐-๘,๐๐๐ ฟอง ซึ่งจะกลายเป็นตัวอ่อนเมื่อวางไข่แล้วตัวเมียจะตาย วงจรชีวิตของเห็บ กินเวลา ตั้งแต่สัปดาห์จน นานเป็นปี เห็บบางชนิดมีชีวิตหลายปี

"เห็บ" เมื่อกัดคนแล้วนอกจากจะทำให้คัน ผิวหนังอักเสบ ยังเป็นพาหะนำโรคไข้รากสาดใหญ่(ไทฟัส) และยังมีพิษที่สามารถทำลายเส้นประสาท ให้เป็นอัมพาต ได้อีกด้วย จะเห็นว่าตัวเล็กนิดเดียวแต่ร้ายกาจไม่น้อยเลยนะคะ การดึงเห็บออกอย่าให้ส่วนหัวของมันค้างอยู่ในผิวหนัง จึงไม่ควรดึงออกทันที เพราะอาจทำให้ ส่วนปากของเห็บติดค้างอยู่ ควรทำให้ตาย หรือสลบก่อนแล้วจึงดึงออกอย่างช้าๆ อาจใช้น้ำมันหรือยาหม่องทา หรือใช้บุหรี่ติดไฟลนให้ตัวเห็บหลุดออกมาเอง

กรณีเห็บเข้าหูมีผู้รู้แนะนำการเอาเห็บออกไว้ ๓ วิธีด้วยกัน คือ
๑.ใช้ยาเส้นฉุนผสมเหล้าโรงแล้วหยอดหูวันละ ๒ ครั้ง เช้า-เย็น ๒-๓ วัน มันจะออกมา
๒.เอาผิวของต้นหมากบดให้ละเอียดผสมยาฉุนอย่างละเท่าๆกันใส่น้ำเล็กน้อยคั้นเอาน้ำหยอดรูหูที่เห็บเข้า
๓.ใช้ใบถั่วฝักยาวขยี้กับเกลือเอาน้ำหยอดหู สักครู่เห็บจะตาย

ค่ะ...การเอาเห็บออกมีหลายวิธี การเอากิเลสออกจากใจก็คงมีหลายวิธีการเช่นกันแล้วแต่จริตนิสัยของแต่ละคนว่าจะเหมาะสมกับวิธีการใด ข้อสำคัญ คือต้องอาศัยผู้ที่รู้จริงคอยอบรมสั่งสอนชี้แนะแนวทางให้ถูกต้อง ซึ่งก็นับว่าเป็นบุญของพวกเราแล้วที่ได้พบผู้รู้จริง.
- กิ่งธรรม -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


กิจกรรมชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน ปฐมอโศก - อินทร์บุรี

สมณะเสียงศีล ชาตวโร ได้รับนิมนต์ให้ไปร่วมงานสัมมนา "คืนชีวิตให้แผ่นดิน" ซึ่งงานจัดระหว่างวันที่ ๓-๔ ธ.ค.๔๗ ที่มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ มาบเอื้อง จ.ชลบุรี ของ อ.วิวัฒน์ ศัลยกำธร โดยร่วมกับ กรมพัฒนาที่ดิน,ธ.ก.ส. มีผู้หลักผู้ใหญ่ไปร่วมงานนี้เป็นจำนวนมาก เช่น อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน, พลเอกหาญ ลีลานนท์ เป็นต้น งานนี้คุณชินกร ไกรลาศ ได้ไปทำพิธีบายศรีสู่ขวัญบูชาแม่พระธรณีแม่โพสพด้วย

โดยในช่วงเช้าเวลา ๐๕.๐๐-๐๘.๐๐ น. ของวันที่สองของงาน สมณะเสียงศีล ชาตวโรได้บรรยายร่วมกับ อ.วิวัฒน์ ศัลยกำธร เรื่อง "ธรรมะกับการเกษตร" ได้ให้ ข้อคิดเห็นไว้ว่า การทำเกษตรอินทรีย์หรือเกษตรธรรมชาติให้ประสบผลสำเร็จต้องมีพื้นฐานของธรรมะ ถ้าจิตมีแต่ความโลภ อยากได้มากๆ เพื่อหาเงิน มาฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย เที่ยวอบายมุข ต้องไปกู้หนี้ยืมสินเขามาลงทุน เริ่มต้นก็ผิดทางแล้ว หนี้สินจะพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ทำมาหากินได้มาก็ส่งพ่อค้าปุ๋ย ผ่อนต้น ผ่อนดอกหมดไม่เหลืออะไร เหนื่อยเปล่าเห็นมาเยอะแล้ว

เกษตรกรจะต้องตั้งหลักตรงที่ ทำให้พออยู่พอกิน เหลือจึงขาย พึ่งตนเองให้มาก ทำปุ๋ย ทำน้ำชีวภาพใช้เอง จึงจะอยู่รอด ต้องรู้จักเชื่อมัน อดทน รอคอย และให้อภัย อย่าไปหลงใหลอบายมุข เมืองไทยเราอุดมสมบูรณ์ที่สุด ไม่น่ามีคนจน แต่ทุกวันนี้เป็นหนี้เป็นสินกันทั้งบ้านทั้งเมือง

เรามีตัวอย่างของเกษตรกรที่เคยอบรมสัจธรรมชีวิตกับเรา แล้วมีชีวิตที่ดีขึ้นหมดหนี้หมดสินหลายราย เพราะเขารู้จักนำธรรมมาใช้กับชีวิตประจำวัน รู้จักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเขาจึงอยู่รอด สนใจรายละเอียดของงาน ดูได้จากวีซีดีจาก ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน ปฐมอโศก.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 


หน้าปัดชาวหินฟ้า

เจริญธรรม สำนึกดี พบกับ นสพ. ข่าวอโศก ฉบับที่ ๒๔๙(๒๗๑) ปักษ์หลัง ๑๖-๒๘ ก.พ.๔๘

สำหรับข่าวประจำฉบับในรอบปักษ์นี้ มีดังนี้

สะเก็ดข่าวงานพุทธาฯ...ปีนี้จิ้งหรีดรู้สึกว่า มีญาติธรรมมาร่วมงานน้อยกว่าหลายปีที่ผ่านมา สังเกตได้จากการนับจำนวนผู้เข้าร่วมฟังธรรม ในแต่ละช่วงเวลา จะไม่ถึง ๑,๐๐๐ คนเหมือนปีก่อนๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เพราะการลงไปช่วยผู้ประสบภัยจากคลื่นยักษ์สึนามิทางภาคใต้ที่ผ่านมาหรือเปล่า ทำให้อ่อนเพลีย หรือ สิทธิ์ในการลางานหมดไป หรือต้องอยู่สะสางภารกิจที่สะสมในช่วงลงใต้ จึงเป็นเหตุให้ไม่สามารถไปร่วมงาน เช่นหลายปีที่ผ่านมาได้... แต่ในวันมาฆบูชา พวกเราก็ทยอยมาร่วมฟังธรรมนับพัน พ่อท่านเทศน์ที่ทุ่งศาลีในภาคค่ำ จิ้งหรีด เห็นญาติธรรมมาฟังธรรมกันเต็มทุ่งศาลี ก็รู้สึกอนุโมทนา ที่พวกเราเห็นความสำคัญ อย่างน้อยก็ให้ความสำคัญกับวันสำคัญทางพุทธศาสนามากกว่าวัน วาเลนไทน์...เชื่อหรือไม่ มีการสำรวจ ผู้นับถือศาสนาพุทธ ในประเทศไทย มีจำนวนถึง ๘๕ % แต่ไม่เข้าวัดฟังธรรมกันมากถึง ๖๐-๗๐ % และจะเห็นความจริงว่า ให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์มากกว่า... ดังนั้น จิ้งหรีด จึงไม่สงสัยเลยว่า ถ้าคนส่วนใหญ่จะเห็นด้วยกับการเอาเหล้าเบียร์และกิจการอบายมุขเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้การขายน้ำเมา หรืออบายมุข เจริญก้าวหน้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ คนเราที่คิดสั้น เห็นแก่กิน ก็มองไม่เห็นโทษภัย กว่าจะรู้สึกตัวก็เมื่อคนในครอบครัวของเรา ติดเหล้าเบียร์ หรืออบายมุขนั่นแหละ จึงจะรู้ว่าไม่น่าวางเฉย ต่อความเสื่อมของสังคม นี่ชาวเราในฐานะชาวพุทธก็ไปร่วมกับประชาชน ที่มีน้ำใจต่อสังคม ร่วมกันไปยื่นหนังสือ คัดค้านการนำน้ำเมาเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็พิสูจน์ว่า โลกีย์มีฤทธิ์แรงต่อสังคมขนาดไหน แม้จะประท้วงไม่สำเร็จ เราก็สบายใจ ที่ได้ทำหน้าที่ของชาวพุทธ อย่างเต็มที่แล้ว คือไม่ส่งเสริมสนับสนุนในสิ่งที่จะทำให้คนผิดศีล ๕ มากขึ้น ยังไงๆใครที่ไม่ได้ไปร่วมในวันยื่นหนังสือคัดค้าน ก็สามารถ เขียนจดหมาย ไปคัดค้านได้...

ครูโจ๊ก แม้จะมีภารกิจสอนหนังสือที่ มร. และช่วยงานที่สถาบันฝึกอบรมผู้นำ ที่ จ.กาญจนบุรี ก็ยังอุตส่าห์มาร่วมงานพุทธฯ ฟังธรรม วันมาฆบูชาแล้ว วันรุ่งขึ้น ก็ต้องรีบกลับไปสอนนักศึกษาที่ ม.รามคำแหง ช่วงพ่อท่านฉัน ครูโจ๊กก็ได้เล่าให้ จิ้งหรีดฟังว่า แต่ก่อนจะรีบมานั่งทานอาหารอยู่หน้าอาสนะที่พ่อท่านนั่งฉัน เพราะพ่อท่าน จะเอาอาหารที่ฉันไม่หมดให้ญาติโยมได้กิน ครูโจ๊ก ก็คิดว่า อาหารที่มีผู้นำมาถวายพ่อท่าน จะต้องเป็นอาหารชั้นดี และในที่สุดครูโจ๊ก ก็ได้กินอาหารชั้นดีตามปรารถนา ปรากฏว่า ครูโจ๊กไม่คิดขวนขวายมารับอาหารชั้นดีเหมือนเมื่อก่อน เพราะรสชาติอาหารชั้นดีที่ครูโจ๊กได้กิน ไม่อร่อย อย่างที่คิดไว้ นี่แหละอาหารของนักบวช จะช่วยตัดกิเลสผู้ติดยึดในเรื่องอาหาร...

ในช่วงบ่าย ๒ เศษของวันมาฆบูชา ได้เกิดไฟลามทุ่ง เกือบจะไหม้ บ้านญาติธรรม ในชุมชนศาลีอโศก ปรากฏว่าพวกเราระดมพลังช่วยกันดับไฟลามทุ่ง รวมตัวกันไม่ถึง ๕ นาที ก็มาช่วยดับไฟกันแน่น แม้แต่พ่อท่านพอรู้ข่าว ก็ออกมาช่วยให้กำลังใจดับไฟ ไฟไหม้ ครั้งนี้จิ้งหรีดก็ต้องขอขอบคุณชาวเรา ที่ช่วยกันดับไฟ เด็กๆก็ช่วยกันอย่างสนุกสนาน บางคนก็ไปโดดน้ำให้ตัวเปียก แล้วจึงมาช่วยดับไฟ โดยเฉพาะสมณะนวกะกับเด็กดอยที่เคยช่วยดับ ไฟป่า งานนี้ก็ได้ใช้ประสบการณ์ช่วยกันดับไฟอย่างเต็มที่...จี๊ดๆๆๆ...

วิธีหลอกเด็กปฐมฯใจอ่อน...ฟังเรื่องนี้แล้วก็หวังว่า เด็กๆที่ปฐมอโศกคงไม่ถือสาจิ้งหรีดนะฮะ แต่จิ้งหรีดได้รู้มาจริงๆว่า ถ้าจะหลอกเด็กสาวๆ ชาวปฐมฯ ที่ไม่ค่อยชอบผู้ใหญ่ดูแลแบบเข้มงวด ก็จะอดใจไหลลงไม่ได้ ถ้าเจอพี่ที่ ๑.ความหล่อ ๒.เอาใจเก่ง พูดจาหวานๆไพเราะๆ ๓.เปิดเพลงโลกีย์ให้ฟัง (จนน้องต้องอ้อนขอจากพี่)

พี่ๆคนไหนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้กับน้องๆ สส.ฐ. จนน้องๆรู้สึกรักพี่แต่รำคาญผู้ใหญ่ที่มีพระคุณ ก็ขอให้รู้ว่าเป็นพี่ชายตัวปลอม จิ้งหรีดว่าสูตรมาร ของพี่ชาย ตัวปลอมแบบนี้ เด็กสาวสัมมาสิกขาที่ไหนที่อยู่เรียนแบบไม่ยินดี ก็มีโอกาสใจแตกได้ทั้งนั้นนะฮะ ก็ขอให้พี่ๆที่ปรารถนาดีต่อน้องๆ ช่วยกันดูแลน้อง ให้รักศีล มิใช่มอมเมาน้องให้ผิดศีลนะฮะ...จี๊ดๆๆๆ...

มีศรัทธา...เมื่อวันมาฆบูชาที่ผ่านมา จิ้งหรีดเห็นป้าเสน่ห์-ลุงปุ้ย และลูกสาว(คุณปุ่น) เหมารถตู้พร้อมชวนญาติธรรมอีกหลายคน ขนอาหารไปทำบุญ วันมาฆบูชาถึงงานพุทธาฯที่ไพศาลีเลยทีเดียว วันนั้นคุณปุ่นลงทุนลงแรงต้มแปะก๊วยจำนวนมากบรรจุกล่องอย่างดี ส่วนป้าเสน่ห์ก็นำขาเห็ดหอมไปถวาย ทั้งสมณะและสิกขมาตุ เห็นแล้วก็น่าชื่นใจ อนุโมทนาบุญไปกับครอบครัวนี้จริงๆ สาธุ...จี๊ดๆๆๆ...

หมั่นคอยดูแล...ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศบ้านเราช่วงนี้เปลี่ยนแปลง หรือว่าชาวเราอายุมากขึ้น หรือว่าทั้งสองประการหรืออย่างไร ช่วงที่ผ่านมา จิ้งหรีด จึงได้ยินมาว่า ชาวเราหลายคนสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ อย่างคุณป้าจินดา จันทร (ประธานมูลนิธิธรรมสันติ) ที่จิ้งหรีดนับถือ ก็ได้ข่าวว่า ไม่ค่อยสบาย (เป็นไข้หวัด) จิ้งหรีดก็ขอส่งแรงใจ ขอให้คุณป้าหายเร็วๆนะฮะ รวมไปถึงชาวเราอีกหลายๆท่าน ก็ขอให้พวกพ้องน้องพี่ ผู้ใกล้ชิดได้ช่วยกันดูแลเอาใจใส่ ให้ผู้อายุยาวของเรา สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ อยู่เป็นกำลังใจให้ลูกหลานนานๆ ด้วยนะฮะ สาธุ...จี๊ดๆๆๆ...

มรณัสสติ
สมณะแจ้งจริง อมโล อายุ ๘๙ ปี ๙ เดือน ๒๖ วัน มรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ ก.พ.๔๘ ฌาปนกิจศพวันศุกร์ที่ ๒๕ ก.พ.๔๘ ที่พุทธสถาน ศาลีอโศก จ.นครสวรรค์

คติธรรม-คำสอนของพ่อท่านประจำฉบับ

"เห็นดีจริง" คือประโยคที่ยิ่งใหญ่
เมื่อไรที่เข้าถึงสภาวะนี้จริง
พลังมหาศาลจะเกิดตามมา
เมื่อดีจริงต้องให้คนอื่นได้ต่อ
แม้จะเหนื่อยแสนเหนื่อย แม้จะหนักแสนหนัก
นี้คือการกตัญญูต่อพระพุทธเจ้า
นี้คือการกตัญญูต่อศาสนา
และนี้คือการสืบทอดศาสนา.
(จากหนังสือโศลกธรรม สมณะโพธิรักษ์ หน้า ๑๑๑)

พบกันใหม่ฉบับหน้านะฮะ จี๊ดๆๆๆ...

- จิ้งหรีด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


จดหมายจากตะกั่วป่า

๓๑ มกราคม ๒๕๔๘
สวัสดีครับคุณฝนฟ้า
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณมากครับ ที่คุณฝนฟ้ากรุณาส่งหนังสือมาให้ ตอนนี้ได้รับหนังสือแล้ว ไม่ทราบว่าผลการประเมินมาตรฐานการศึกษาเป็นอย่างไรบ้างครับ

ตอนนี้บรรยากาศที่ศูนย์พักชั่วคราวจะมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าตอนมาอยู่ใหม่ๆมาก ตอนนี้การเก็บขยะไม่มีปัญหาเหมือนเมื่อก่อน เพราะว่าทาง อบต.จ้างคนงานภายในศูนย์ให้มีหน้าที่เก็บขยะบ้าง ล้างห้องน้ำ และยังมีอาสาสมัครจากที่ต่างๆมาช่วยด้วย เลยดูสบายตาขึ้นมาอีกเยอะ และพวกผม ขอขอบคุณคณะของชาวอโศกทุกคนที่มาช่วยแนะนำและเป็นกำลังใจให้พี่น้องชาวน้ำเค็มทุกคนให้มีกำลังใจที่จะต่อสู้ต่อไป และยังช่วยแนะนำ การประกอบ อาชีพต่างๆให้พี่น้องชาวน้ำเค็มได้นำไปประกอบอาชีพในการเลี้ยงครอบครัว ตอนนี้ผมพร้อมด้วยนายมานัส ช่วยกันบอกวิธีการทำ น้ำยาล้างห้องน้ำ ให้พี่น้องภายในศูนย์ได้นำไปปฏิบัติกันต่อไป


เรื่องที่คุณฝนฟ้าจะส่งเทปธรรมะมาให้ขอขอบพระคุณมากครับ ตอนนี้ผมได้รับเทปธรรมะแล้วครับ มีคนส่งให้ผมแล้ว ผมได้เปิดฟังแล้วครับ เพราะตอนนี้ มีคนมาแจกเทปให้ห้องละ ๑ เครื่อง เรื่องที่คุณฝนฟ้าให้ไปถามที่อยู่พี่ถาวรนั้น ผมไปถามหาแล้ว แต่พี่ถาวรได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านพักชั่วคราวที่น้ำเค็มแล้วครับ ต้องรออีกหน่อยเดี๋ยวผมจะพยายามไปถามหาดู

สุดท้ายขอให้คุณฝนฟ้าจงพบแต่ความโชคดี

ขอบพระคุณอย่างสูง

กิติศักดิ์ จั่นเอียบ

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


จี้ถอดป้ายหวิว โฆษณา "ชั้นใน" ร้อง ก.วัฒนธรรม หวั่นเด็กเอาอย่าง

นักวิชาการจุฬาฯ จี้กระทรวงวัฒนธรรมจัดระเบียบป้ายโฆษณาชุดชั้นในชาย-หญิง ส่ออนาจารโผล่ทั่วกรุง แฉบางภาพวาบหวิวจนเห็นอวัยวะ หวั่นเยาวชน ตกเป็นเหยื่อเลียนแบบ ค่านิยมที่ไร้ศีลธรรม แนะแก้กฎหมายลงโทษให้หนักขึ้น

ปัจจุบันแผ่นป้ายโฆษณาขนาดยักษ์ที่มีเนื้อหาและภาพที่ล่อแหลมส่อไปทางลามกอนาจารได้ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด

ตามถนนหนทาง และตึกสูงในกรุงเทพมหานคร โดยหลายฝ่ายมองว่า ภาพโฆษณาลักษณะนี้เป็นทั้งมลพิษทางทัศนียภาพ และเป็นภาพอุจาดตา ที่อาจทำให้ เด็กและเยาวชนลอกเลียนแบบพฤติกรรมที่ไร้ศีลธรรมของนายแบบและนางแบบในภาพ ดังนั้นจึงมีการเรียกร้อง ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ออกมาจัดระเบียบ ในเรื่องความเหมาะสมกับภาพโฆษณาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน

ล่าสุดเมื่อวันที่ ๑๐ ก.พ. นายอมรวิชช์ นาครทรรพ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนไปยัง กระทรวง วัฒนธรรม เพื่อให้ดำเนินการกับป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ทั่วกรุงเทพฯ ที่มีเนื้อหาส่อไปในทางลามกอนาจาร เช่น ภาพผู้ชายกับผู้หญิงใส่ชุดชั้นในนอนไขว้กัน หรือป้ายโฆษณายกทรงที่เห็น รูปร่างของอวัยวะอย่างชัดเจนรวมไปถึงภาพโฆษณาที่ดาวน์โหลดผ่านโทรศัพท์มือถือที่มีภาพโชว์หน้าอก กัน และการโฆษณา บริการหาคู่ในหนังสือกีฬา ซึ่งภาพประเภทนี้มีผลต่อพฤติกรรมเด็กและเยาวชนที่อาจตกอยู่ในวงล้อมค่านิยมเสรีทางเพศมากเกินไป จนอาจเกิดปัญหาตามมา


อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวต่อว่า ปัจจุบันบทลงโทษในเรื่องดังกล่าวมีค่อนข้างน้อย เช่น พ.ร.บ.สิ่งพิมพ์ มาตรา ๒๘๗ มีโทษปรับแค่ ๒,๐๐๐ บาท ทำให้บริษัทที่ผลิตโฆษณาไม่สนใจที่จะปฏิบัติตาม เพราะเงินค่าปรับน้อยมาก หากเทียบเท่ากับผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับตัวสินค้า ที่ได้เผยแพร่ ออกไป ดังนั้นรัฐบาล

ควรต้องมีการแก้ไขและปรับปรุงกฎหมายใหม่ให้เหมือนในต่างประเทศ เช่น เพิ่มค่าปรับเป็นหลักแสน ขึ้นไป รวมทั้งให้มีการระงับโฆษณาสินค้าดังกล่าว อย่างเด็ดขาด

ด้าน น.ส.ลัดดา ตั้งสุภาชัย หัวหน้ากลุ่มเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรมได้รับการร้องเรียนในเรื่อง ดังกล่าว จากประชาชนบ่อยมาก ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ได้ร่วมประชุมกับสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อหารือมาตรการการลงโทษและการจัดระเบียบป้ายโฆษณา ทั้งนี้ ที่ประชุม ได้ยกตัวอย่างป้ายโฆษณากางเกงในยี่ห้อหนึ่งที่ตั้งโชว์อยู่บนถนนหลายสายใน กทม. โดยเป็นภาพชายหญิงใส่แต่กางเกงในนอนคลอเคลีย ไขว้กันอยู่ มองเห็นรูปร่างของอวัยวะอย่างชัดเจน

"การโฆษณาในลักษณะนี้เป็นการทำผิดกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคที่สร้างความเสื่อมเสียในเรื่องศีลธรรมโดยในที่ประชุมได้ให้ผู้ผลิตถอดป้ายโฆษณาออกแล้ว แต่ผู้ผลิตก็ยังไม่ทำตาม" น.ส.ลัดดา กล่าวต่อว่า ทางคณะกรรมการจึงขอความร่วมมือให้ กทม. และกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งมีหน้าที่โดยตรง ช่วยกันเร่งออก มาตรการจัดระเบียบป้ายโฆษณาที่มีลักษณะล่อแหลมต่อศีลธรรมให้เป็นทิศทางเดียวกัน รวมไปถึงป้ายโฆษณาที่มีลักษณะล่อแหลมอีกหลายชิ้น อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้ทำหนังสือรายงานไปยังคุณหญิง ทิพาวดี เมฆสวรรค์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อให้รับทราบเรื่องดังกล่าว และพิจารณา จะดำเนินการอย่างไร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ส.ว.นครราชสีมา ได้ออกมาเคลื่อนไหวให้ทุกฝ่ายหันมาแก้ปัญหาเรื่องป้ายโฆษณาสินค้าอย่าง จริงจัง โดยพยายามผลักดันเสนอร่างกฎหมายใหม่ ที่ควบคุมทั้งสถานที่ ขนาด ประเภท เนื้อหา จำนวน และ เพิ่มบทลงโทษ เนื่องจากเห็นว่าป้ายโฆษณา ดังกล่าว เป็นมลพิษทางทัศนียภาพ อุจาดตา และเป็นบ่อเกิดของอุบัติเหตุบนท้องถนน อีกทั้งเป็นการยัดเยียดให้ประชาชนต้องบริโภคสินค้า ซึ่งไม่มีประเทศไหน ในโลกนี้ที่ปล่อยให้ป้ายโฆษณาสินค้ามากเหมือนประเทศไทย.

(จาก นสพ.คม ชัด ลึก ฉบับวันที่ ๑๑ ก.พ.๔๘)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


หัวข้อข่าว

นางงามรายปักษ์ ชื่อ นางถนอมรัตน์ พุกกะนัต
เกิด ๗ ก.ย. ๒๔๗๑ อายุ ๗๗ ปี
ภูมิลำเนา กทม.
การศึกษา ม.๖ ร.ร.พิทยศึกษา
สถานภาพ สมรส บุตร ๒ คน
ส่วนสูง ๑๔๙ ซ.ม.
น้ำหนัก ๕๒ กก.


งานพุทธาฯ ครั้งที่ ๒๙ ชาวศาลีฯ ดีใจที่ได้ต้อนรับพี่ๆน้องๆสู่งานบุญ ป้าถนอมรัตน์ก็เช่นกัน บ้านที่ป้าพักก็ได้ต้อนรับพี่น้องเหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา

*** ชีวิตลูกกำพร้า
ป้ามีพี่น้อง ๕ คน ที่บ้านประกอบอาชีพเป็นซินแสขายยาจีน พ่อตายตอนป้าอายุ ๗ ขวบ ถัดมาอีกปีแม่ก็ตาย พี่น้องกระจัดกระจายกันไปหมด พี่และน้อง ไปอยู่เมืองจีน ๒ คน ป้าและน้องอีก ๒ คน นายอำเภออยู่บ้านใกล้กันเห็นว่าพ่อแม่เราตาย จึงขอไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม เพราะท่านไม่มีลูก ท่านรักพวกเรา เหมือนลูก ต่อมาคนกลางตาย เหลือกัน ๒ คน แม่บุญธรรมอยากให้ป้าเรียนหมอ แต่พ่อบุญธรรมมาเสียชีวิตเสียก่อน ป้ากลัวแม่จะลำบาก จบ ม.๖ เลยไปเรียน ตัดเย็บเสื้อผ้า แล้วไปทำงาน บริษัท และมาเป็นผู้ช่วยครู ร.ร.นานาชาติ

*** ครอบครัว
แต่งงานตอนอายุ ๒๐ กว่า พ่อบ้านมาจากเมืองจีน ค้าขายข้าวสาร อายุเท่ากัน แต่งงานแล้วมีลูก ๒ คน คนโตเป็นผู้ชายจบดอกเตอร์ทำงานอยู่อเมริกา ส่วนลูกสาวอยู่ ขอนแก่น มีครอบครัวหมดแล้ว พอลูกสาวแต่งงาน ป้าก็หมดห่วง ปี ๒๕๓๐ ป้าไปบวชชีที่วัดนิคมสามัคคีชัย จ.ลพบุรี ส่วนพ่อบ้านทำปั๊มน้ำมัน อยู่กับแม่ของเขาอายุ ๙๐ กว่าที่สาธร กทม.

*** สู่ศาลีอโศก
ป้าไปล่ บุตรพริ้ง ไปร่วมงานอบรมที่วัดนิคมสามัคคีชัยที่ป้าบวชชีอยู่ ตอนนั้นป้าหกล้มร่างกายไม่ค่อยสมบูรณ์ ทำงานได้ไม่เต็มที่ กลัวอยู่วัดแล้วจะบาป ก็คิดจะสึก กลับไปอยู่บ้าน ตอนนั้นปี ๒๕๓๖ ป้าไปล่เขาเลยชวนไปอยู่ศาลีฯบอกว่าไปช่วยเก็บข้าว เก็บถั่ว ก็เลยมาทั้งๆที่ไม่รู้จักวัดอโศก ได้ฟังเท็ป พ่อท่านเทศน์แล้วรู้สึกว่าที่นี่สอนดีจัง ป้าบวชชีอยู่ ๖ ปีเขาไม่ได้สอนอะไรเลย จะมาชี้แจงเหมือนพ่อท่านนั้นไม่มี ตอนเป็นแม่ชีไปตลาด พระก็สั่งให้ทำลาบเลือด

สั่งให้ซื้อไก่ย่างมาฝาก บางทีก็บอกว่าอยากจะฉันอ่อมกบ ป้าบอกท่านว่ามันบาป ท่านเลยไปสั่งคนอื่น ลูกส่งเงินมาให้ใช้เดือนละ ๓-๔ พัน ป้าก็เอาไปทำอาหาร เลี้ยง พระ-ชีทั้งวัด ๖๐ องค์ พอใกล้จะสิ้นเดือนก็ต้องบอกลูกเป็นนัยๆ ทุกข์เหมือนกัน

มาอยู่ศาลีฯ จะทำบุญก็ทำด้วยความ สบายใจ ไม่รู้สึกว่าเป็นภาระ ไม่ทุกข์ ดีมาก ไม่ต้องทำบาป มาอยู่ที่นี่สบายใจหลายอย่าง มาใหม่ๆก็มาทำครัว เพิ่งมาเลิกทำ เมื่อ ๒ ปี นี้เอง เพราะเขาเห็นว่าป้าแก่แล้วเลยยอมให้พัก ไม่ใช่เขาปลดนะ ตอนนี้ก็ช่วยพับถุงกระดาษให้ร้านค้า เช้าก็ทำบุญใส่บาตรเป็นประจำ ไปค่อยได้ขึ้นศาลา เพราะขาไม่ค่อยดี ต้องนั่งห้อยขา ไม่อยากนั่งเก้าอี้ รู้สึกว่านั่งสูงกว่าพระ

*** ประทับใจ
มาอยู่ศาลีฯป้าผ่าตาต้อทั้ง ๒ ข้าง ท่านถ่องแท้ วินยธโร คอยดูแลเอาใจใส่ไปเยี่ยม ประจำ จนเตียงข้างๆเขาคิดว่าท่านเป็นพระลูกชาย ป้าบอกไม่ใช่ ท่านเป็น ครูบาอาจารย์ จนเขาประทับใจว่าครูบาอาจารย์ดูแลญาติโยม ยิ่งกว่าญาติเสียอีก ป้าก็บอกว่าพระที่วัดเป็นอย่างนี้ทั้งนั้นเลย

*** ทุกวันนี้
มาอยู่ที่นี่ ๑๒ ปี โดนเขาว่าป้าก็ไม่ทะเลาะกลับ ไม่ห่วงอะไรแล้ว ลูกชวนให้กลับไปอยู่กับเขาเหมือนกัน แต่ป้าอยู่วัดสบายใจกว่า เขาก็มาเยี่ยมเหมือนกัน ไม่กลัวตาย ถ้าตายเดี๋ยวนี้ก็ไม่เสียดาย ตอนนี้ไม่เจ็บไม่ป่วย มีแต่เส้นขาแข็ง ตอนเย็นก็ไปออกกำลังกายถีบจักรยานรอบสระ ตอนเช้าก็ทำโยคะ

แม้สุขภาพของป้าถนอมรัตน์ จะไม่แข็งแรงเหมือนเก่า แต่ความขยันของป้าก็ยังเหมือนเดิม ผู้ที่ยังมีสุขภาพที่แข็งแรง แต่กลับปล่อยวันเวลาให้ผ่านไป อย่างสูญเปล่า ช่างน่าเสียดายที่เขาได้ทำให้ขณะล่วงไปเสีย พระพุทธองค์ตรัสว่า คนเหล่านั้นเมื่อตายไปเขาพากันไปยัดเยียดอยู่ในนรก

- บุญนำพา รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ปฏิทินงานอโศก
งานปลุกเสกฯ ครั้งที่ ๒๙ ณ พุทธสถานศีรษะอโศก อาทิตย์ที่ ๓ -เสาร์ที่ ๙ เม.ษ.๔๘
งานคืนสู่เหย้าฯ ครั้งที่ ๓ ณ พุทธสถานราชธานีอโศก พฤหัสฯที่ ๑๒ -เสาร์ที่ ๑๔ พ.ค.๔๘

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
67/1 ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. 10240 โทร.02-3745230 ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ 1,500 ฉบับ

[กลับหน้าสารบัญข่าว]