ฉบับที่ 262 ปักษ์แรก 1-15 กันยายน 2548

[01] ทำงานรับใช้ใคร?
[02] ธรรมะพ่อท่าน: "เมื่อเจอผัสสะต้องอ่านที่ใจ (ตอน ๑)"
[03] บันทึกปัจฉาสมณะ : โบราณนวทัศน์ กับลัทธิ FUNDAMENTALISM
[04] ชมร.เชียงใหม่สร้างจุดขาย ใช้ผักพื้นบ้านและผักป่าทำอาหาร สมาชิกส่วนใหญ่พอใจบริการ.
[05] เกษตรเมืองขุนแผน หนุนผักปลอดสารพิษ
[06] นิสิตปริญญาโทมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ศึกษาวิจัยศาสนาสู่หลักเดิมพุทธ
[07] น้ำท่วมลานนาอโศก ย้ายโรงครัวขึ้นที่สูง พายเรือได้สบายมาก
[08] ร้ายกว่าไวรัสคอมฯ (ตอนจบ)
[09] จากสึนามิสู่ชเลขวัญ
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า:
[11] เขาคือใคร ?
[12] ลูกคุณวางมือถือหรือยัง?
[13] กิจกรรมชมรมเพื่อนช่วยเพื่อนปฐมอโศก - อินทร์บุรี:
[14] ปฏิทินงานอโศก


ทำงานรับใช้ใคร?

การทำงานที่รับใช้ผู้อื่นอย่างสัมมาทิฏฐิ

จะไม่นำไปสู่ความเครียดเพิ่มขึ้น

แต่จะช่วยให้ความเครียดลดลง

ดังนั้นคนที่บอกว่าตัวเอง ทำงานเพื่อหมู่คณะ เพื่อพ่อท่าน เพื่อพระศาสนาจริง ก็จะไม่เครียด

สังเกตตัวเองได้ในเวลาประชุม ใจของเราจะไม่ยึด เมื่อไม่ยึด ก็จะไม่มีอาการลุ้นให้ได้ดั่งใจที่ยึด

จะมีสักกี่คนที่อ่านจิตตัวยึด หรือ ตัวลุ้นให้ได้ดั่งใจออก หรือเมื่ออ่านออกแล้ว ก็พร้อมที่จะสลายกิเลสตัวนี้อย่างเอาจริงเอาจัง

ถ้าชาวเราทำงานแล้วไม่เข้าใจ อรูปอัตตาตัวนี้ มันก็จะก่อตัวไปเรื่อยๆ (มโนมยอัตตา) จนกระทั่งคลั่งระเบิดแขวะระบายขายอนุสัย (แสดงโอฬาริกอัตตา) ออกมาอย่างไม่รู้ตัว

คนเหล่านี้บางทีเครียด ก็ยังไม่รู้ตัวว่าเครียดด้วยซ้ำไป

ยิ่งไม่มีเวลาคบหาสัตบุรุษ ไม่ใส่ใจในการฟังธรรม ก็ยิ่งจะไม่เกิดศรัทธาในการรักษาศีล ซึ่งจะเป็นตะแกรง อันวิเศษ ที่จะช่วยให้เรา รู้จักตัวกิเลสภายในจิตวิญญาณได้แยบคายละเอียดลออมากยิ่งขึ้น

ฉะนั้นเรามาทำงานอย่างมีศีลกันเถอะ เพื่อเราจะได้ทำงานรับใช้ผู้อื่นได้อย่างสัมมาทิฏฐิ คือยิ่งทำงานยิ่งเครียดน้อยลงหรือยิ่ง เบิกบานเบาสบายมากยิ่งขึ้น.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


เมื่อเจอผัสสะต้องอ่านที่ใจ (ตอน ๑)

ธรรมะพ่อท่านฉบับนี้ขอเสนอธรรมะจากงานครบรอบ ๑๓ ปี ของ ชมร.ช.ม.เมื่อวันที่ ๒ ส.ค.๔๘ ซึ่งพ่อท่านได้เมตตาต่อชาว ชมร.ช.ม. โดยการแสดงธรรมทางโทรศัพท์จากบ้านราชฯ

บัวดาว...นมัสการค่ะพ่อท่าน ชมรมมังสวิรัตินะคะ ครบรอบ ๑๓ ปี ค่ะพ่อ กราบนิมนต์พ่อให้ศีลให้พรลูกๆ ทางนี้นะคะ ปีนี้ไม่ได้เอาเสียง ออกข้างนอกนะคะ อยู่เฉพาะลูกๆ ภายในนะคะ กราบนิมนต์พ่อค่ะ เมื่อเช้านี้ก็เปิดโรงบุญ
พ่อท่าน...เออ...ก็ดีแล้ว อยู่กันมากมั้ยนั่นน่ะ ?
บัวดาว...ก็เกือบร้อยค่ะท่าน ญาติธรรมค่ะ
พ่อท่าน...เกือบร้อยคนเลยหรือ ?
บัวดาว...เกือบร้อยค่ะ พ่อ
พ่อท่าน...เอ้า...เจริญธรรมทุกๆคน
พร้อมกัน...สาธุ ค่ะ/ครับ
พ่อท่าน...เออ...ฝนตกมั๊ย ?
เมืองหิน...ตกครับ

พ่อท่าน...ฝนตกก็ทำให้อาการอากาศหรืออะไรต่ออะไรเย็นนะ นั่นก็เย็นทางฝน แต่ถ้าเผื่อว่าฝนไม่ตก หน้าร้อนอะไรพวกนี้ฝนก็ไม่ตก อากาศ ก็ร้อนๆ มันก็ร้อนกาย แต่ว่าพวกเรามาปฏิบัติธรรมแล้ว เราก็ต้องพยายามปฏิบัติให้จริง แล้วจะเห็นว่า อาการร้อนกายก็แค่ร้อนกาย มันเชิง ฟิสิกส์ ใครๆก็ร้อน พระพุทธเจ้าหรืออรหันต์ก็ร้อนทั้งนั้น อากาศมันร้อนก็ร้อนด้วยกัน แต่ว่า...ใจนี่มันไม่ร้อน กายมันร้อนได้ แต่ใจมันไม่ร้อน ใจ มันอิ่มสุข สุภาพ อันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าที่ท่านสอนคน ที่ท่านพาคนให้ปฏิบัติธรรมแล้วเนี่ มันไม่ร้อนในใจ มันร้อนกายก็ร้อน ทนได้ ก็ทน ที่จริงมันก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรมากมาย มันร้อน ก็ร้อนจริงๆ เท่านั้นแหละ แต่ถ้าเผื่อว่าสามารถปฏิบัติธรรมได้แล้วเนี่ย มันจะดีมาก ไม่ร้อนใจ

ร้อนกายเป็นอะไรต่ออะไรมันเรื่องของโลกเป็นอะไรต่ออะไรสารพัด สภาพที่ไม่ใช่จะร้อนทางฟิสิกส์อย่างเดียว ทางโลกมีทั้งการเข่นฆ่า เอาเปรียบ เอารัด ทรมานทรกรรม แย่งกันอย่างโน้นอย่างนี้อะไรสารพัด สิ่งเหล่านี้แหละเป็นสิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้ แล้วเราจะต้องฝึกใจ อ่านให้จริงว่า ในโลกนี้มันมีสารพัดที่จะมี ใจเรานี้ก็อย่าไปหวั่นไหวกับโลกีย์ ฝึกจิตให้ชนะโลกีย์

เพราะฉะนั้น การทำงานก็ดี กระทบสัมผัสกัน อยู่ด้วยกันหมู่กลุ่มใหญ่ๆมีสารพัดจริงๆ คนละจริต คนละอย่างนั้นคนละอย่างนี้ คนละยึด ยึดอย่างนั้น ยึดอย่างนี้ ยึดเป็นคราวๆ ก็ยังได้นะ คราวนี้ยึดอย่างนี้ คราวหน้า ยึดอย่างโน้น คราวนั้นกลับไปยึดที่มันยังไม่เคยยึด มายึด อย่างที่เราเคยยึด กลับไปอีก มันไม่ค่อยเที่ยง เพราะฉะนั้นแล้วแต่อารมณ์ แล้วแต่โอกาส อย่างนี้ เป็นต้น

สรุปแล้วก็คือ อยู่ด้วยกันอบรมกัน ก็ตักเตือนกัน พูดกัน ปรึกษาหารือกัน ช่วยกันคิดช่วยกันตัดสินที่จะมีมติอะไรก็แล้วแต่ ที่เราทำกันอยู่ทุกวัน เป็นการฝึก ที่จะเรียนรู้ และก็จะเข้าใจธรรมชาติ เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้ มันไม่มีอะไรหรอก ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็มีอย่างนี้แหละ มันไม่มีอะไร ร้ายเท่ากับใจเรา ใจเราไม่วุ่น ใจเราวางได้ เห็นความจริงตามความเป็นจริง ก็รับรู้กันไป โดยใจเรานิ่งๆ ใจเราเย็นๆ แล้วเราก็ จะเป็นคนมีความสุข อยู่ทางเชียงใหม่อากาศมันเย็นมากกว่าที่อื่นได้กำไรแล้ว แต่ที่จริงก็ไปได้อีกมุมหนึ่ง บางทีมันเย็นๆกายมันไม่ค่อยได้สุข ใจมันร้อน มันไม่สุขด้วย มันก็เป็นไปได้เหมือนกันนะ เพราะฉะนั้นระวัง ยังไงๆกระทบสัมผัสกัน มันก็ต้องเกิดอาการอย่างงั้นอย่างงี้แหละ ทำงานไป เราก็ฝึกไป. (อ่านต่อฉบับหน้า)

- เด็กวัด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

โบราณนวทัศน์ กับลัทธิ FUNDAMENTALISM

กลางพรรษาแล้วน้ำยังไม่ท่วมบ้านราชฯ เข้าใจว่าปีนี้คงไม่ท่วมกระมัง เพราะปกติเดือนกันยายนน้ำมามากแล้ว จากระดับน้ำ ที่มีผู้ไปทำ เครื่องหมายบอกวันที่ไว้ สูงสุดของปี'๔๕ เป็นวันที่ ๒ ต.ค. และปี'๔๓ วันที่ ๑๓ ก.ย. ขณะกำลังเขียนต้นฉบับอยู่นี่เป็นวันที่ ๖ ก.ย. ระดับน้ำ ยังห่างไกล จากปีที่น้ำเคยท่วมอยู่มาก ถนนทางเข้า-ออกหมู่บ้านราชธานีอโศก ไม่ว่า จะเป็นเส้นผ่านหมู่บ้านคำกลาง หรือหมู่บ้าน กุดระงุม ยังผ่านเข้าออกได้สบายๆ

น้ำไม่ท่วมก็ดี ข้าวของสูญเสียน้อย ผักพืชในพื้นที่ก็ยังมีให้กินได้ ผู้ใหญ่ก็ไม่ต้องเป็นกังวลกับเด็กๆตัวเล็กๆ หายไปไหน จมน้ำหรือเปล่า คนใน พื้นที่เองก็สามารถทำงานได้ตามปกติ ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเป็นภาระกับการขนย้ายข้าวของเพื่อหนีน้ำ คนจะมาดูงานก็สะดวก งานอบรม ก็ไม่สะดุด

ณ วันนี้ บ้านราชฯกลายเป็นแหล่งอบรม และคนมาดูงานมากกว่าพุทธสถานใดไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นศีรษะอโศกหรือปฐมอโศก สมาชิก ของชุมชน ก็มากกว่าด้วย จำนวนผู้ชาย ก็มากเกือบจะพอๆกับฝ่ายหญิง พรรษานี้ฝ่ายชายมีวิศวกรทั้งสมณะ พระอาคันตุกะ ฆราวาส รวม ๖ ท่าน ทำให้การจะก่อสร้างอะไรขึ้นมา ก็ต้องมีแบบมีผังตามหลักการของวิศวกรรม

ต้นพรรษามีผู้คิดปรับปรุงโรงสี เพื่อถนอม สุขภาพของผู้ทำงาน รวมถึงการพัฒนาประสิทธิภาพของเครื่องสีข้าวให้สูงขึ้นด้วย แทนที่จะ ปรับปรุง โรงสีอย่างเดียว จึงมีผู้คิดทั้งระบบปรับสร้างเชื่อมโยงกัน ให้มีทั้งโรงสี โรงปุ๋ย โรงเต้าหู้ และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนจากไบโอแก๊ส ที่ได้จาก กากของเสียต่างๆเหล่านั้น สืบเนื่องจากโครงการปรับขุดลอกบุ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในฤดูแล้งปีหน้า จะได้ดินจำนวนมหาศาล จึงคิดจะใช้ ดินเหล่านั้นเพื่อถมที่ให้สูงกว่าระดับน้ำที่เคยท่วม ปรับทำเป็นย่านวิสาหะกิจชุมชนดังกล่าวนั้น งานนี้ถือเป็นยักษ์ตัวใหญ่ๆ ทีเดียว ราวกับจะล้อเลียน Mega Project ของภาครัฐ

โครงการอื่นๆที่จะก่อที่จะสร้างกันต่อไป ก็ยังผุดขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นท่านถักบุญ หรือท่านคมคิด แต่ละโครงการก็แสนจะมหึมา งานใหญ่ งานยากอย่างนี้ อย่าว่าแต่ทำเลย แค่คิด ผู้เขียนเองก็ไม่กล้าคิดแล้ว แต่ผู้ทำเขาตั้งใจทุ่มเทจะทำให้ได้จริงๆ คาดว่าอีก ๕ ปี ข้างหน้า บ้านราชฯจะมีอะไรเพิ่มขึ้นและเปลี่ยนแปลง ไปอีกเยอะมาก ตัวอย่างเบาะๆแค่ออกพรรษาไปจนถึงปีใหม่ อาคารเฮือนศูนย์สูญ ก็จะมีเปลือกหุ้ม ที่เปลี่ยนไปแล้ว จากผิวสีปูนฉาบธรรมดาๆ จะเป็นปีกไม้เปลือกไม้ที่เกิดจาก ปูนปั้นทั้งหลัง ท่านผู้อ่านลอง จินตนาการ ดูเอาเอง ก็แล้วกันว่า ปูนปั้นลายผิวไม้เปลือกไม้โดยรอบอาคารเฮือนศูนย์สูญทั้งหมดจะเป็นอย่างไร

บ้านราชฯ เรือก็เยอะ หินก็แยะ และมีทีท่าว่าจะขนกันมาอีกทั้งเรือและหิน วันก่อนมีคณะหนึ่งไปติดต่อซื้อที่ดินแถวโขงเจียม ๑๗ ไร่ ซึ่งมีหิน ก้อนใหญ่ๆจำนวนมาก เพื่อการขนหินโดยเฉพาะ วันเดียวกันอีกคณะหนึ่งก็มาบอกให้ซื้อไม้สัก ๓๐ ไร่ ราคาไม้ ๗ แสน เพื่อจะได้มาใช้ ตบแต่ง กับเรือต่างๆ ซึ่งยังจะต้องใช้ไม้อีกเป็นจำนวนมาก ด้วยนโยบายทำเรือให้เป็นที่พักจริงๆจังๆ แทนการก่อสร้างอาคารหอพัก เพื่อให้ ผู้เข้าอบรมได้พักรวมถึงพวกเราเองด้วย

การสร้างบ้านแปลงเมืองของบ้านราชฯ เป็นฐานงานที่ใหญ่ และคึกคัก มีคนหนุ่มและนักเรียนหลายคนอยู่ในฐานนี้ เมื่อมีข้อมูล ความเสื่อม เกิดขึ้นว่า บางคนมีทิฐิว่าตั้งใจมาทำแต่งาน ไม่ได้คิดจะมาขัดเกลาลดกิเลส ไม่สนใจฟังธรรม เริ่มกินอยู่อย่างบำเรอตน ชักชวน กันไปกระทำผิด จากศีลธรรมและวัฒนธรรมของชาวอโศก

พ่อท่านเทศน์กัณฑ์พิเศษ(๖ ก.ย.๔๘) โปรดผู้ทำงานฐานช่างโดยเฉพาะว่า "...พวกเราที่ขัดใจกันนี่มันเป็นสิ่งประเสริฐ ไม่เหมือนสังคมทั่วไป ที่เขาขัด เพื่อเอาชนะคะคานหรือเพื่อเอาเปรียบเอารัด เพื่อถล่มเข่นฆ่ากัน ต่างจากพวกเราที่ขัดเพื่อให้พวกเราได้พัฒนาขึ้น

อาตมาขอประกาศว่าคนที่จะอยู่ที่นี่ต้องปฏิบัติธรรม ถ้าไม่ปฏิบัติธรรมก็ออกไป ถ้าใครบอกว่าอยู่เพื่อทำงานเท่านั้นก็ออกไป คนที่จะอยู่ที่นี่ ทำงานก็ต้องปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ทำงานเพื่อที่จะละเมิด เอางานมาเป็นอำนาจต่อรอง เพื่อจะอยู่อย่างละเมิด แล้วมาเป็นตัวอย่างที่เลวๆ ทำให้เด็กๆ เอาอย่าง

ขอเถอะอย่ามาทำลายสิ่งที่อาตมาทำมาด้วยยากด้วยเย็น อาตมาไม่ยอมที่จะให้มาทำอย่างนี้ ละเมิดมีโทรทัศน์ส่วนตัว นี่ได้ข่าวว่า มีอยู่ในรถดู เอาออกเชียวนา ส่วนตัวแต่ละบ้านยังไม่ให้มีเลย อวดดีอย่างไงจะเก่งดูโทรทัศน์เอง มันมอมเมาขนาดไหน มันเลวร้ายขนาดไหน พวกคุณไม่รู้ อย่างที่อาตมารู้หรอก โทรทัศน์นี่คือมหรสพที่เป็นอบายมุขทั้งโรง เพลงอะไรก็มอมเมามหาศาล ซีดี วีซีดีก็ไปเปิดดูกันเอง โดยไม่ผ่าน หลักเกณฑ์ ไปทำอะไรตามอำเภอใจ

ถ้าราชธานีอโศกเคร่งครัดขนาดนี้ แล้วพวกเราจะไปกัน ไม่เอาแล้ว ก็ไปเลย ถ้า บ้านราชฯจะหยุดอยู่เท่านี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้คนหรือวัตถุก็ตาม ก็เอาเถอะ ได้เท่าไรก็เอา ขอให้เป็นคนดีอยู่ในเกณฑ์ก็พอแล้ว ไม่มากกว่านี้ ก็ไม่เป็นไร จะแค่นี้ไปอีก ๑๐๐ ปี อาตมาก็เอาแค่นี้แหละ

เพราะฉะนั้น ใครอย่ามาอ้างเด็ดขาดว่าจะเอางานนี่เป็นหลัก เอางานมาต่อรอง ขอยืนยันว่างานไม่ใช่เรื่องใหญ่ คนเป็นเรื่องใหญ่ เราจะต้อง พัฒนาตนเองทุกคนให้มีคุณธรรม นั่นเป็นเป้าหมายหลัก อาตมาไม่เห็นทางว่าสังคมมนุษย์จะไปรอดด้วยวิธีการใดๆ จะใหญ่ จะโต จะร่ำ จะรวย จะมีวัตถุสมบัติมากอย่างไร อาตมาก็ว่าไปไม่รอด ตราบใดที่คนมีกิเลส..."

เทศน์กันฑ์นี้ได้ส่งสัญญาณไปยังพุทธสถานและชุมชนอื่นๆด้วย ๗ แห่ง เนื่องจากแต่ละที่ก็จะมีคนในลักษณะที่กล่าวนี้อยู่บ้าง จะได้รู้ เป็นนโยบายหรือทิศทางที่ควรจะเป็น ท้ายๆเปิดโอกาสให้ซักถามปัญหา

วันรุ่งขึ้น ๗ ก.ย. คณะทำงานฐานช่างทั้งหมด ๑๖ คน ได้มากราบขออภัยพ่อท่าน พร้อมกับอ่านจดหมายเปิดผนึกดังความโดยย่อว่า ด้วยสำนึก ในความผิด พร้อมจะเปลี่ยนพฤติกรรม ให้อยู่ในกฎระเบียบ ลดละกิเลส รักษาศีล ๕ ตั้งใจจะช่วยพ่อท่านสร้างบ้าน สร้างเมือง ให้ได้มากที่สุด และลงท้ายจดหมายเปิดผนึกนี้ว่า ต่อไปจะเป็นลูกที่ดีของพ่อ จะไม่ทำให้พ่อเหนื่อยมากกว่านี้อีกครับ แล้วลงลายมือชื่อ ของทุกคน ไว้ต่อท้ายมาด้วย เพื่อสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรต่อพ่อท่าน

ซึ่งพ่อท่านได้ย้ำว่าเป้าหมายหลักของอาตมาคืองานสร้างคน ไม่ใช่งานที่จะมาลบล้าง ทางธรรม มันไม่ได้ถ้าไปหลงใหลในงาน เอาอำนาจ ในงานมาต่อรองทางธรรมนี่ มันจะไปไม่รอด จริงงานก็ต้องทำ แล้วเราก็ต้องอาศัยงาน มันเกื้อกูลกัน แต่ถึงอย่างไรการปฏิบัติธรรม ก็ต้อง เป็นหลัก เป็นเอก เพราะฉะนั้นตั้งใจให้ดีๆ อย่าไปเผลอไผลผิดพลาด ถึงอย่างไรคนเราก็ย่อมผิดพลาดได้ เมื่ออินทรีย์พละยังไม่แข็ง กิเลสยังมี ถ้าผิดพลาดแล้วก็ต้องยอมรับ อย่าไปทำเป็นเชิงอวดดี ประชดประชัน แดกดัน มันไม่ดี จะทำด้วยตั้งใจเจตนา หรือไม่เจตนา ก็ตาม ต้องมีสำนึก มีความละอาย มีหิริโอตตัปปะ ตอนนี้มันมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งรัดพัฒนาไม่ว่าทั้งงานและบุคคล เอ้า ดูแลกันและกัน ให้ดีๆ ทำขบวนการกลุ่มก็ไม่ได้หมายความว่าตั้งกลุ่มขึ้นมาเพื่อทำสังฆเภท อย่างนั้นมันบาปตายเลย มันต้องเป็นมวล รวมกัน ประสานกัน จะฝ่ายไหนๆ ก็ต้องมาประชุมร่วมกัน

เหตุการณ์นี้ถ้าเปรียบพ่อท่าน ในฐานะผู้บริหารบริษัทหรือผู้นำคณะบริหารบ้านเมือง เมื่อลูกน้องคนในบริษัท หรือคณะบริหารบ้านเมือง คนใด มีพฤติกรรมที่ไร้คุณธรรม หรือให้ความสำคัญในคุณธรรมน้อยกว่างาน แม้จะเก่งงาน บริหารงานได้ดี พ่อท่านก็ให้ปลดออก ได้ทันที แม้จะไม่ได้ทุจริต คอรัปชั่นก็ตาม ได้งานแต่ไม่ได้สร้างคน คนทำงานกลับเสียคน หลงตัว หลงงาน จนละเมิดศีลธรรม ละเมิดวัฒนธรรม อันดีงาม อย่างนี้ก็ให้ออกไป แม้งานจะหยุดชะงัก กิจกรรมไม่ก้าวหน้าก็ตาม เพื่อสร้างคนเป็นสำคัญมากกว่าสร้างงาน

พ่อท่านมีความเป็นเถรวาทและมหายานในตัว ขณะที่การเน้นประโยชน์ตนเชิงเถรวาทก็ถูกมองว่าเคร่งครัดเกินไป เช่นเดียวกับการเน้น ประโยชน์ท่าน เชิงมหายานก็ถูกมองว่าก้าวกระโดดไกลไป แม้ในหมู่ชาวอโศกด้วยกันเอง ก็ยังรับไม่ได้หรือไม่เข้าใจ ในเชิงมหายาน บางอย่าง ที่พ่อท่านนำมาใช้ นามปากกาโบราณนวทัศน์ เหมือนบอกให้รู้ว่าพ่อท่านจะผสมผสานความเป็นเถรวาทและมหายานเข้าด้วยกัน ไม่ได้แยกส่วน เป็นเชิงเดี่ยวหรือรับอย่างหนึ่งและปฏิเสธอีกอย่างหนึ่ง

ปลายเดือนที่ผ่านมา ๓๐ ส.ค. คณะนิสิต ปริญญาโท สาขาพระพุทธศาสนา มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มจร. ประกอบด้วยพระ ๓ รูป ภิกษุณี ๑ รูป ฆราวาส ๕ คนได้ขอมาสนทนากับพ่อท่านและศึกษาดูกิจกรรมต่างๆของสันติอโศก เนื่องด้วยอาจารย์ในวิชา ศาสนา เปรียบเทียบ ให้นิสิตจับกลุ่มทำรายงาน บางกลุ่มก็ได้ศาสนาคริสต์ บางกลุ่มก็ได้ศาสนาอิสลาม แต่กลุ่มที่มานี้ได้ศึกษากลุ่มศาสนาลัทธิ Fundamentalism คือลัทธิความเชื่อในคำสอนดั้งเดิม หรือลัทธิปฏิวัติความทันสมัยของโลก กำเนิดในอเมริกา ๑๙๑๐-๑๙๑๕ แล้วแผ่กระจาย ไปในยุโรปและตะวันออกกลาง อย่างกลุ่มของศาสนาอิสลามค่อนข้างจะรุนแรง คือปฏิวัติถึงระดับการเมืองด้วย ซึ่งอาจารย์ ที่สอนก็มองว่า อยากจะให้ศึกษามองกลุ่มศาสนาพุทธ ที่มีลักษณะต่อต้านลัทธิบริโภคนิยม แล้วก็ย้อนตนเองเข้ามาสู่พุทธแบบดั้งเดิม มีไหม ให้นิสิตไปหาดู คณะนิสิตกลุ่มนี้ได้คุยกันแล้วก็เห็นว่าน่าจะเป็นสันติอโศก จึงได้ติดต่อขอมาศึกษาสนทนาเก็บข้อมูล ก่อนทำรายงาน ส่งอาจารย์

ข้อมูลเชิงลึกจากผู้ที่ไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนก็คือ อาจารย์มีทัศนคติที่เป็นลบต่อสันติอโศก โดยมองว่าเป็นกลุ่มศาสนาหัวรุนแรงแบบ เดียวกับ กลุ่มตาลีบัน กลุ่มของอุสมาบินลาดิน

หัวหน้าคณะที่มาหรือตัวแทนนิสิต ได้กล่าวถึงการได้มาสัมผัสสันติอโศก หลังจากได้สนทนาและเดินชมกิจกรรมบางส่วน ก็รู้สึกว่า ได้กลับเข้า สู่พุทธแท้ๆแต่ดั้งเดิมจริงๆ

ประเด็นคำถามแรกว่าที่ท่านตั้งสันติอโศก มีแรงจูงใจมาจากอะไร ซึ่งพ่อท่านตอบว่าไม่มีแรงจูงใจอะไร มันเกิดโดยธรรมชาติ จากนั้น พ่อท่าน ได้อธิบายความเป็นโพธิสัตว์ที่เถรวาทไม่เข้าใจ ต่อด้วยประวัติตั้งแต่ก่อนบวช จนถึงการประกาศแยกตัวออกมาเป็นนานาสังวาส แล้วก็เกิด เป็นชุมชน

เมื่อถูกถามว่ามอง Fundamentalism เป็นอย่างไร พ่อท่านตอบว่า Fundamentalism อย่างที่เกิดขึ้นเพราะแรงกดดันของอำนาจนิยม บริโภคนิยม กามนิยม หรูหรานิยม หรือทุนนิยม ชาวอโศกเราไม่ได้เกิดเพราะถูกกดดันจากสิ่งเหล่านั้น เพราะเราเข้าใจสิ่งเหล่านั้น และเรา ไม่ได้ไปแย่ง ไปแข่งในสิ่งเหล่านั้นด้วย แต่ในส่วนดีของ Fundamentalism เราก็มีด้วยเช่นการยึดเอาหลักคำสอนเดิมมาปฏิบัติ อย่างนี้เราเอา ซึ่งหัวหน้าคณะ ที่มาได้สรุปหลังจากได้ฟังคำอธิบายของพ่อท่านแล้วว่า ลัทธิ Fundamentalism จะปฏิวัติสังคมโดยใช้กำลัง แต่ของสันติอโศก ใช้ธรรมะในการปฏิรูปสังคม

พระนิสิตที่มาด้วยได้ซักถามหลายคำถามเหมือนกัน เป็นต้นว่าการประกาศเป็นพระอาริยะ หลักการปฏิบัติของสันติอโศกที่เด่นๆมีอะไร หลวงพ่อ ได้เอาหลักพุทธธรรมมาใช้ในการจัดองค์กรอย่างไร และอื่นๆอีกที่น่าสนใจ แต่เสียดายด้วยนะ เพราะพื้นที่ตรงนี้เลยขีดแดงอีกแล้ว

เกร็ดเล็กๆท้ายสุดจริงๆ หัวหน้าคณะนิสิตวิจารณ์สันติอโศกมีสิ่งที่ย้อนยุคไปสู่ความเป็นพุทธแต่ดั้งเดิม ขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ความทันสมัย ไม่ได้ปฏิเสธเทคโนโลยี เลือกใช้เทคโนโลยีบางอย่าง ราวกับเขาจะมองความเป็น โบราณนวทัศน์ ในตัวพ่อท่านออกเหมือนกัน กับชาวเรา.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ชมร.เชียงใหม่สร้างจุดขาย ใช้ผักพื้นบ้านและผักป่าทำอาหาร
สมาชิกส่วนใหญ่พอใจบริการ

อยากให้ขายอิ่มละ ๒๐ บาท
ใช้ผักจากตลาดได้ แต่ต้องไร้สารพิษ
เสนอให้ขยายสาขาไปสี่มุมเมืองเชียงใหม่

เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๔๘ ทางชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย สาขาเชียงใหม่ (ชมร.ช.ม.) ได้ให้ น.ส.ชมัยพร อวดคล่อง นร.สัมมาสิกขา สีมาอโศก ชั้น ม.๔ และ นร.สัมมาสิกขาภูผาฟ้าน้ำ ชั้น ม.๓ จำนวน ๒ คน ซึ่งได้แก่ ด.ญ. ขวัญหทัย ศรีสวัสดิ์ และ ด.ญ.พัชรินทร์ แสงแก้ว ดูแล โดย คุรุรัตนาภรณ์ บุญยัง (เลขาฯ ชมร.ช.ม.) ดำเนินการศึกษาแบบบูรณาการ เกี่ยวกับการใช้พืชผัก จากแหล่งต่างๆ เพื่อนำมา ประกอบอาหาร ให้กับสมาชิกที่มารับประทานอาหารมังสวิรัติว่า มีความเหมาะสม หรือเป็นที่ต้องการ ของสมาชิกอย่างไร โดยสอบถาม ความคิดเห็น จากสมาชิกโดยตรง

ทั้งนี้ก็เพื่อนำข้อมูลที่ได้นำไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงและพัฒนา คุณภาพของการประกอบอาหารมังสวิรัติให้ดียิ่งๆขึ้นไป

จากการสอบถามสมาชิกที่มารับบริการในร้านของ ชมร.ช.ม.จำนวน ๑๐๐ คน เป็นเพศชาย ๕๐ คน เพศหญิง ๔๘ คน ไม่ระบุเพศ ๒ คน

อาชีพของสมาชิกที่ตอบแบบสอบถามจำนวนมากที่สุด คือ เป็นพนักงานบริษัทนับได้ ๒๕ ราย (ชาย ๑๒ คน,หญิง ๑๓) รองลงมาคือ อาชีพ รับราชการ ๒๓ ราย (ชาย ๑๖ คน หญิง ๕ คน ไม่ระบุเพศ ๒ คน) รองลงมาอีกคือ อาชีพพ่อบ้านแม่บ้าน ๑๖ ราย (ชาย ๔ คน หญิง ๑๒ คน) ถัดมาคืออาชีพธุรกิจส่วนตัว ๑๓ ราย (ชาย ๗ คน หญิง ๖ คน) รองจากนั้นเป็นอาชีพนักเรียน ๖ คน (ชาย ๑ คน หญิง ๖) นอกจากนั้น เป็น อาชีพอื่นๆ ได้แก่ ไม่ประกอบอาชีพ ๕ ราย รัฐวิสาหกิจ ๓ ราย ค้าขาย ๓ ราย รับจ้าง ๒ ราย ตัวแทนประกัน ๒ ราย หมอนวดแผนไทย ๑ ราย ข้าราชการบำนาญ ๑ ราย

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามนักเรียนสัมมาสิกขาที่ทำรายงาน ก็ได้ผลสรุปว่า สมาชิกที่มารับประทานอาหารมังสวิรัติที่ ชมร.เชียงใหม่ มีความ ต้องการ พืชผักไร้สารพิษสูงสุด โดยเฉพาะพืชผักพื้นบ้านและผักป่า ได้รับความนิยมสูงสุด (ประมาณ ๘๐ %) ส่วนพืชผัก ที่ซื้อมาจากตลาด ได้รับความนิยม ประมาณ ๒๐ % เท่านั้น

นอกจากนี้ยังมีความเห็นของกลุ่มนักศึกษาที่มาใช้บริการได้แสดงความรู้สึกไว้ว่า
- อาหารหลากหลาย ทำให้ได้เลือกรับประทาน แต่ละอย่างก็รสชาติดี ทานแล้วได้ประโยชน์-อาหารอร่อย ปรุงด้วยผักพื้นบ้าน ราคาก็ไม่แพง
- อาหารรสชาติดี เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพก็อร่อย

สำหรับสมาชิกทั่วไปได้ให้ข้อคิดเพิ่มเติมแก่ทาง ชมร.ช.ม.ว่า
- นอกจากสารตกค้างแล้ว ความสะอาดก็เป็นเรื่องที่สำคัญ
- ผักที่นำมาประกอบอาหารก็ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา หากปลอดภัยก็ OK
- อิ่มละ ๕ บาท จัดได้เพียงเดือนละครั้ง น้อยเกินไป ทางร้านก็ขาดทุน หากจัดอิ่มละ ๒๐ บาท ก็สามารถจัดได้ทุกๆวัน ลูกค้าก็สามารถ ที่จะทานอาหารได้หลากหลาย
- ผักจากตลาดต้องไร้สารพิษ ผักที่นำมาประกอบอาหารควรหลากหลาย โดยเฉพาะเครื่องเทศ
- น่าจะอยู่ใกล้ๆสมาชิกกว่านี้อีก
- ทำได้ดีมาก อยากให้ขยายสาขา โดยเฉพาะ ๔ มุมเมืองเชียงใหม่

ผู้สื่อข่าวได้สัมภาษณ์ น.ส.ชมัยพร อวดคล่อง นร.สส.ส.ชั้น ม.๔ ซึ่งเป็น ๑ ในทีมงานรวบรวมความคิดเห็นของสมาชิก ที่มารับประทาน อาหาร ใน ชมร.ช.ม. ว่ามีความรู้สึกนึกคิดอย่างไรที่ได้มาทำรายงานในเรื่องนี้ส่งคณะคุรุ

น.ส.ชมัยพร(เจี๊ยบ) ให้สัมภาษณ์ว่า "งานชิ้นนี้ส่วนใหญ่น้องๆ ๒ คนในทีมงาน มีนุ่นกับปุ๋ย เป็นคนสัมภาษณ์สมาชิกที่มารับประทาน อาหาร ก็รู้สึกประทับใจ ในความขวนขวายของน้องๆ ทำให้มีผลงานออกมาได้ตามเป้าหมาย และจากการที่ได้มีโอกาส ไปสัมพันธ์กับสมาชิก หลายๆ คน ก็รู้สึกว่า ส่วนใหญ่มีอัธยาศัยดี ให้ความร่วมมือในการตอบแบบสอบถาม และเป็นคนรักษ์สุขภาพ ซึ่งส่วนใหญ่นิยม รับประทานอาหาร ที่ปลอดภัยจากสารเคมี โดยเฉพาะพืชผักไร้สารพิษของที่นี่ สมาชิกส่วนใหญ่จะให้ความเชื่อถือมากกว่าแหล่งอื่นๆ".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


เกษตรเมืองขุนแผน หนุนผักปลอดสารพิษ

โครงการการปลูกผักปลอดสารพิษเมืองสุพรรณบุรี จึงเกิดขึ้นโดยการรวมตัวของเกษตรกร โดยมีสำนักงานเกษตรจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นผู้ที่ประสานและให้ข้อมูล

นายปรีชา พรประสิทธิ์แสง ประธานชมรมผู้ปลูกผักปลอดสารพิษ จ.สุพรรณบุรี อยู่ที่บ้านเลขที่ ๒๑๔ หมู่ที่ ๑ ต.โคกโคเฒ่า อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี เล่าว่าตนนั้นเกิดมาด้วยสายเลือดเกษตรกรโดยแท้ โดยตนเองหลังจากที่สร้างครอบครัวเริ่มชีวิตด้วยการเลี้ยงสัตว์ การเลี้ยงเป็ด เป็นอันดับแรก ก่อนที่จะหันไปเลี้ยงหมู คิดเสมอว่าราคาน่าจะคงที่เพราะมีความต้องการของตลาดมาก แต่ก็ประสบปัญหาเดียวกัน โดยเรียกได้ว่า แทบหมดตัว

จากนั้นให้สัญญากับตัวเองไว้ว่าจะเลิกเลี้ยงสัตว์โดยเด็ดขาด โดยหันมาปลูกผักที่มีความต้องการของตลาด โดยไปดูงานที่อำเภอ ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี กลับมาขุดเป็นร่องสวน ใช้พื้นที่ทั้งหมดจำนวน ๑๖ ไร่ โดยการขุดร่องให้มีน้ำหล่อเลี้ยง เพื่อสะดวก ในการรดน้ำ การพรวนดิน ให้ปุ๋ย

ปลูกผักที่เป็นเถาเลี้อย เช่น บวบ มะระ ถั่วฝักยาว ปลูกคร่อมอยู่ในร่องน้ำ โดยใช้เชือกสลิงกับไม้เป็นร้าน เพราะใช้ลวดสลิง เพื่อความแข็งแรง ให้ผักเลี้อย และสามารถเก็บผลผลิต บนหลังร่องเป็นพื้นที่ว่างเปล่า ปลูกพริกเป็นพืชหลัก ทำอย่างนี้เป็นเวลากว่า ๑๐ ปีแล้ว

"ขณะนี้เรามีสมาชิกที่รวมกันอย่างเหนียวแน่น ดำเนินการในทิศทางเดียวกัน สำหรับการดำเนินการปลูกผักปลอดสารพิษ เราจะรู้จักใช้ สมุนไพรใกล้ตัวเรานำมาใช้อย่างรู้คุณค่า โดยการใช้ข้าวกล้องจากข้าวสาลี ผสมถั่วเหลืองบดละเอียด นำมาคลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้น นำไปนึ่งพอสุก ใส่ในถังปิดสนิทเป็นเวลากว่า ๑ เดือน จึงกรองน้ำหัวเชื้อมาใช้ ในอัตรา ๓๐ ซีซี ผสมกับน้ำสะอาดจำนวน ๒๐ ลิตร หลังจาก ที่ผสมจะนำไปฉีดพ่นกับผักระยะออกดอกได้ผลดีเป็นอย่างมาก"

นายปรีชาแนะอีกว่า แต่มีอยู่ในช่วงเดียวคือฤดูฝนที่ต้องนำสารกำจัดเชื้อราเข้ามาใช้ ขณะนี้มีพื้นที่ปลูกผักปลอดสารพิษหลายร้อยไร่ ในกลุ่ม มีที่จำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง โดยเกษตรกรจะนำไปจำหน่ายเอง จะมี เจ้าหน้าที่ เช่น กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เข้ามาสุ่มตรวจสินค้าที่วางขายอย่างสม่ำเสมอ ขณะนี้มีจุดจำหน่าย อยู่ที่บริเวณ หน้าห้างสรรพสินค้าสุพรรณพลาซ่า ห้างสรรพสินค้าบิ๊กเฮง และสถานที่ท่องเที่ยวแหล่งใหญ่เมืองสุพรรณฯ ที่บริเวณ อุทยาน ผักพื้นบ้าน บึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ.
(จาก นสพ.ข่าวสด ฉบับวันที่ ๑๕ ต.ค.๔๖)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


นิสิตปริญญาโทมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย
ศึกษาวิจัยศาสนาสู่หลักเดิมพุทธ

เมื่อวันอังคารที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๔๘ เวลา ๑๔.๐๐ น. คณะนิสิตปริญญาโทจากมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีพระภิกษุ ๓ รูป ภิกษุณี ๑ รูป และฆราวาส ๗ คน เดินทางมาศึกษาดูงานและสัมภาษณ์พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ ที่พุทธสถานสันติอโศก

นิสิตคณะนี้เรียนวิชาศาสนาเปรียบเทียบจากอาจารย์ผู้สอนคนเดียวกัน โดยเรียนแยกกันคนละห้องเรียนคือ ห้องเรียนที่สอน เฉพาะพระ กับ ห้องเรียนคฤหัสถ์ อาจารย์ให้งานนิสิตกลุ่มนี้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับกลุ่มศาสนาที่นับถือหลักเดิม อนุรักษ์สิ่งดั้งเดิม(Fundamentalism) ของศาสนาพุทธ ตัวอย่างเช่น ในศาสนาคริสต์มีกลุ่มโปรเตสแตนด์ ศาสนาอิสลามมีกลุ่มอัลกออิดะ (บินลาดิน) ส่วนพุทธศาสนา ในเมืองไทย มีการมองว่าน่าจะเป็นกลุ่มสันติอโศกกับกลุ่มธรรมกาย เป็นต้น จึงมีการนัดหมายกันมาศึกษาลงพื้นที่จริง และสัมภาษณ์ สมณะโพธิรักษ์ โดยทางกลุ่มมอบหมายให้ซือฟู่ (ภิกษุณี) เป็นตัวแทนติดต่อประสานงานกับกลุ่มสันติอโศก

เมื่อคณะนิสิตฯเดินทางมาถึงพุทธ-สถานสันติอโศก ฝ่ายต้อนรับพระภิกษุ มีสมณะฟ้าไท สมชาติโก ส่วนภิกษุณีและฆราวาส มีคุณแซมดิน คุณข้าพุทธ ฝ่ายบริการอาหารและน้ำดื่ม คุณมีดี เตรียมการต้อนรับไว้อย่างพร้อมสรรพ เชิญคณะนิสิตฯ นั่งพักเหนื่อยทานอาหาร และดื่มน้ำ แบ่งกลุ่ม แนะนำตัวซักถามปัญหาที่ใต้โบสถ์ จากนั้นจึงพาเดินชมสถานที่ เริ่มจากพระวิหารพันปี เจดีย์บรมสารีริกธาตุ พระภิกษุ ๒ รูป นำกล้องถ่ายรูปนิ่งดิจิตอลออกมาถ่าย และขอถ่ายรูปสมณะฟ้าไท ที่หน้าน้ำตก ฆราวาส อีกคนถ่ายวิดีโอ ท่านก็ชี้ให้ชมพระพุทธรูป ปางตรีลักษณ์ ที่อยู่บริเวณน้ำตก ซึ่งมีความหมาย ๓ ระดับ คือ ๑.โลกุตตรจิต (เหนือโลก) ๒.โลกวิทู (รู้โลก) ๓.โลกานุกัมปายะ(ช่วยผู้อื่น), มองสูงขึ้นไปอีกหน่อย จะพบวงชั้นล่างสุดยังไม่ได้ทำ นับเป็นวงรอบที่ ๓ จะเป็นภาพเหมือนของจริง เป็นศิลปะแบบ เรียลลิสติค (Realistic), วงรอบที่ ๒ เป็นภาพใกล้จริง ผสมจินตนาการ เป็นศิลปะ แบบไอเดียลิสติค (Idealistic), วงรอบที่ ๑ วงชั้นบนสุดเป็น ภาพจินตนาการ เป็นศิลปะแบบแอบสแตค (Abstract Art), รูปหล่อ พญาแร้ง, ข้างบนสุดเป็นพระเจดีย์ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

แล้วพาชมกุฏิดิน ดูชอบใจกัน ชมว่าเย็นดี พร้อมกับเอาแก้ม ไปแนบกับผนังห้อง กุฏิสมณะ กว้าง ๗ คืบ ยาว ๑๒ คืบ ผ่านตึกสัปปายะหญิง ห้องน้ำ ๒ ชั้น ต่างอุทานออกมาว่านึกว่าเป็นห้องพัก ผ่านกุฏิสิกขมาตุก็เดินเข้าไปชม เลื่อนฝาไม้ ที่เปิดปิดเป็นช่องระบายอากาศได้ ดูคณะ นิสิตฯ จะชอบใจกันมาก พาเดินชมต่อไปถึงโรงเรียนสัมมาสิกขาสันติอโศกซึ่งจัดการศึกษาแบบบุญนิยม เน้นการฝึกฝน ตามหลักปรัชญา ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา การเรียนรู้เน้นการปฏิบัติจริงที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตประจำวัน ในชุมชนและสัมพันธ์กับสังคม ผู้ปกครอง ที่จะส่ง ลูกหลาน มาเรียนที่นี่ควรสนับสนุนส่งเสริมให้ลูกหลานของตน ฝึกฝนถือศีล ๕ ละอบายมุขและกินมังสวิรัติ ทางโรงเรียนมีสวัสดิการ ให้นักเรียน ทั้งเสื้อผ้า เครื่องใช้จำเป็น อาหาร ค่าเล่าเรียน ที่พักฟรี คือกินอยู่หลับนอน เรียนและทำงานใน ชุมชนตามแนวการศึกษาวิถีพุทธ คุรุไม่มีเงินเดือน (สอนฟรี)

นิสิตท่านหนี่งถามว่า "ขอนำวิธีการแบบนี้ไปใช้ได้ไหม?" สมณะฟ้าไทตอบว่า "ได้เลย ยินดีมาก" จากนั้นพาเดินเข้าไปในอาคารเรียน พบ นักเรียนชั้นม.๓ กำลังนั่งรอคุรุ พอนักเรียนแลเห็น พระภิกษุ ต่างก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ลงมานั่งกับพื้น ก้มลงกราบพระโดยพร้อมเพรียงกัน เห็นแล้ว น่าชื่นชมยิ่ง พระภิกษุ ๒ รูปนำกล้องถ่ายรูปนิ่งดิจิตอลออกมาถ่ายแบบต่อเนื่อง

ฝ่ายต้อนรับพาไปชมกุฏิที่พ่อท่านพัก บริเวณกลางกุฏิมีบาตรวางอยู่ จะเห็นได้ว่าผู้นำของชาวอโศกพักกุฎิหลังเล็กๆแค่นี้ นิสิตต่างยกมือไหว้ ไปที่กุฏิพ่อท่าน ถ่ายรูป และวิดีโอไว้หลายภาพ เสร็จแล้วเดินชม กุฏิสมณะ แวะชมดอกไม้งามพระอาริยะ ซึ่งเป็นสิ่งที่เตือนสติ ให้ระลึก การเกิดแก่เจ็บตาย ชีวิตนี้น้อยนัก อย่าพึงประมาท วันคืน ล่วงไปๆบัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ กรรมดีหรือชั่ว และชมเครือแห ขอบคุณ ซึ่งกำลัง ผลิตน้ำยาซักล้าง ยาหม่อง พิมเสนน้ำ ฯลฯ จบการเดินชมสถานที่ พักดื่มน้ำสักครู่รอพ่อท่าน ลงมาสนทนา ด้วยที่บริเวณศาลา ฟังธรรม มีเก้าอี้ จัดวางเรียงเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว

ตัวแทนนิสิตฯกล่าวแนะนำตัว เกริ่นถึงเป้าหมายการมาศึกษากลุ่มศาสนาที่นับถือหลักเดิม อนุรักษ์สิ่งดั้งเดิม (Fundamentalism) ของ ศาสนาพุทธ คือกลุ่ม สันติอโศก พ่อท่านกล่าวต้อนรับ เล่าประวัติความเป็นมาของชาวอโศก เริ่มตั้งแต่ พ่อท่านเริ่มปฏิบัติธรรม ตอนเป็น ฆราวาส จัดรายการทีวี กินมังสวิรัติ พูดธรรมะตามวัดต่างๆ เช่น ลานอโศกที่วัดมหาธาตุฯ วัดนรนารถฯ ฯลฯ จนเห็นว่า ควรเปลี่ยนรูปแบบ เป็นนักบวช จึงออกบวชที่วัดอโศการาม แล้วต่อมาการอยู่ร่วมกับหมู่สงฆ์ใหญ่ไม่ผาสุก จึงประกาศนานาสังวาส ขอแยกตัว ออกมาเป็น หมู่กลุ่มเล็กๆ เรียกว่า ชาวอโศก และตอบปัญหาข้อสงสัยต่างๆ ของนิสิต เช่น ศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยม สันติอโศก อยู่กึ่งกลาง ระหว่าง เถรวาท และมหายาน อัตตา - อนัตตา ฯลฯ เสร็จแล้วพ่อท่านได้มอบหนังสือธรรมะ ให้คนละถุงผ้า คณะนิสิตถ่ายรูปหน้าป้ายสันติอโศก เป็นที่ระลึก ก็มีเสียงอุทานขึ้นมาพร้อมกันว่า "โอ้..น่าเสียดาย! ลืมขอถ่ายรูป ร่วมกับพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ ไม่รู้จะมีโอกาสอย่าง วันนี้ อีกหรือเปล่า? (ตื่นเต้น เกร็งไปหน่อย)"

หลังจากนั้นบางคนแยกย้ายเดินทางกลับ บางคนไปซื้อของที่ บจ.พลังบุญ ต่างอำลากันด้วยความสุข...สาธุ.


- คนเดินทาง -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


น้ำท่วมลานนาอโศก ย้ายโรงครัวขึ้นที่สูง พายเรือได้สบายมาก

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ประชาชนชาวเชียงใหม่จำนวนมากได้รับผลกระทบในหลายๆด้านจากปัญหาน้ำท่วมใหญ่ ซึ่งก็ได้รับ ความช่วยเหลือ จากภาครัฐ เอกชน ตลอดจนมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ด้วย

สำหรับทางลานนาอโศกก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยเช่นกัน ทำให้ต้องงดกิจกรรมซึ่งเป็นโครงการ อเทวนิยม อบรมคุณธรรม ครั้งที่ ๑๓ ซึ่งคาดไว้ว่าจะจัดในวันเสาร์ที่ ๒๐ ส.ค.๔๘ (ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๙) แต่ภาวะฝนที่ตกหนัก ทำให้น้ำท่วมพื้นศาลา ส่วนพื้นครัวนั้น น้ำท่วมสูงถึงหัวเข่า แม้ในวันนี้น้ำที่ศาลาและพื้นครัวได้ลดลงแล้ว แต่ก็ยังใช้งานไม่ได้ ผู้อยู่ประจำที่ลานนาอโศกมีแม่จุม แม่ยิ้ม คุณใบไม้ ต้องย้ายไปพักที่ ที่พักฝ่ายหญิงหลังใหม่พร้อมโรงครัว โดยมีเทวดาจากภูผาฟ้าน้ำ มาช่วยยกช่วยย้ายสิ่งของ ทั้งจากที่ศาลาและครัว จนเรียบร้อย

ดังนั้นในวันเสาร์ที่ ๒๐ ส.ค.ช่วงเช้าได้มีญาติธรรมเข้ามาลานนาอโศก ๕ คน แล้วเดินทางกลับไป ๔ คน ตอนบ่ายคุณใบเพชรเข้ามา ส่วนในช่วงเย็น มีญาติธรรม ใหม่เข้ามาอีก ๒ คน พวกเรารวม ๗ คน จึงได้พากันทำวัตรเย็นที่ใต้ถุนบ้านพักฝ่ายหญิงหลังใหม่รวมได้ ๗ คน ซึ่งก็ทำให้ ได้ระลึกไปถึงโพชฌงค์ ๗

น้ำท่วมลานนาอโศกครั้งนี้เกิดจากน้ำฝน ที่ตกหนักในอำเภอแม่แตง อ.เชียงดาว แล้วไหลบ่าเข้ามาในตัวเมืองเชียงใหม่ น้ำระบายออก ไม่ทัน จึงไหลล้น ท่วมลานนาอโศก

และเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๔๘ ฝนที่ตกหลายวันติดต่อกัน ทำให้น้ำไหลบ่าเข้าท่วมลานนาอโศกอีกเป็นครั้งที่ ๒ ในรอบปี ซึ่งไม่เคย ปรากฏมาก่อน และท่วมมากกว่าครั้งแรกอีก ปริมาณน้ำที่ท่วมในครั้งนี้สามารถนำเรือมาพายได้สบายเลย.

- ใบจริง นาวาบุญนิยม รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ร้ายกว่าไวรัสคอมฯ (ตอนจบ)

๑. นั่งคอตรง เพราะหากคุณนั่งคอเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง จะทำให้เกิดการทำงานของกล้ามเนื้อคอที่ไม่สมดุล เกิดปัญหา ปวดกล้ามเนื้อ คอและบ่า จนอาจส่งผลให้มีอาการปวดร้าวมายังขมับและเบ้าตาตามมาได้

๒. นั่งหลังตรงให้น้ำหนักตกลงที่กระดูกก้น เพราะหากนั่งหลังค่อมตามสบายจะทำให้เกิดแรงกดบนหมอนรองกระดูกสันหลังระดับเอว และมีการ ทำงานของกล้ามเนื้อหลังมากกว่าท่านั่งหลังตรง ฉะนั้นควรนั่งเชิดเข้าไว้เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่ออาการปวดหลัง

๓. เก้าอี้ต้องมีความสูงสมดุลกับความสูงของโต๊ะ โดยโต๊ะควรสูงระดับเดียวกับข้อศอก(ขณะข้อศอกงอประมาณ ๙๐ องศา) และเก้าอี้ ไม่ควรสูงหรือเตี้ยเกินไป เพราะหากเก้าอี้สูงเกินไป ขาจะลอยไม่แตะพื้น ทำให้เกิดการกดหลอดเลือด และเส้นประสาท ที่อยู่ด้านหลัง ของขาท่อนบน และหากเก้าอี้เตี้ยเกินไป จะทำให้ขาท่อนบนไม่ถูกรองรับไว้ มีผลให้ต้องใช้กล้ามเนื้อในการทำงานเพิ่มขึ้น ดังนั้นเบาะ รองนั่งของเก้าอี้ ควรสูงระดับสะโพก โดยขาท่อนบนวางขนานกับพื้น และระหว่างโต๊ะกับเก้าอี้ ควรมีช่องว่างเพื่อให้สามารถ ขยับเขยื้อน ขาได้ง่าย ไม่อึดอัด เท้าต้องวางราบกับพื้นพอดี หรืออาจใช้หนังสือแผ่นไม้รองให้เท้าวางพอดีบนพื้นก็ได้ และเก้าอี้ควรมีพนักพิง หรือหมอน รองบริเวณหลัง ไว้เพื่อลด น้ำหนักที่ผ่านไปยังกระดูกสันหลังระดับเอว รวมทั้งควรมีที่วางแขนในระดับที่ข้อศอกงอประมาณ ๙๐ องศา เพื่อไม่ทำให้เกิดการยกไหล่ขึ้นขณะ ทำงาน และทำให้ข้อไหล่ผ่อนคลาย นอกจากนี้ควรมีที่พักข้อมือ และขณะพิมพ์งาน ควรให้ข้อมือ ตรงเสมอ เพื่อทำให้สามารถทำงานได้นานอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะเกิดการล้าหรือการบาดเจ็บ ของกล้ามเนื้อ และเอ็นบริเวณมือ

๔. สำหรับความสูงในการวางคอมพิวเตอร์ ควรมีระดับความสูงของหน้าจอคอมพิวเตอร์และมีระดับการมองที่วางเอกสาร ในระดับเดียว กับสายตา หรือต่ำกว่าระดับสายตาเล็กน้อย ประมาณ ๑๘ ถึง ๒๔ องศา เพื่อให้กล้ามเนื้อคอและกล้ามเนื้อตาไม่ทำงานมากเกินไป

และเมื่อเราจัดท่านั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ให้ถูกต้องจนเป็นนิสัย ก็จะทำให้เราทำงานได้นานโดยไม่มีโรคภัย เพราะท่านั่ง ที่ไม่ถูกต้อง มาเบียดเบียน.

(ข้อมูลจาก นสพ.โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๒๒ ส.ค.๔๘)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


จากสึนามิสู่ชเลขวัญ

นับแต่วันที่เกิดคลื่นยักษ์ "สึนามิ" ถล่ม ๖ จังหวัดภาคใต้ ชายฝั่งทะเลอันดามันเมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗ ได้สร้างโศกนาฏกรรม ครั้งยิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะในจังหวัดพังงาซึ่งได้รับความเสียหายมากที่สุด ศูนย์คุณธรรมนำโดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง จึงได้นิมนต์พ่อท่าน คณะสมณะ - สิกขมาตุ และญาติธรรม ธรรมยาตรามายังพื้นที่เกิดเหตุเพื่อซับขวัญ และเป็นกำลังใจกับผู้ประสบภัย

จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นแม้จะสร้างความสูญเสียทั้งทางด้านทรัพย์สิน ชีวิต และจิตใจของผู้คนมากมาย แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นแรง ขับเคลื่อน ที่ทำให้ชาวอโศก แถบชายฝั่งอันดามันเกิดพลังแห่งการรวมศูนย์กันอย่างเหนียวแน่นเพิ่มขึ้น หลังจากตกผลึกมานานร่วม ๒๐ ปี และในครั้งนั้น พ่อท่านได้แวะเยี่ยมดูพื้นที่ซึ่งญาติธรรม (คุณวาสนา สุวรรณสาโรจน์) ได้บริจาคให้เป็นที่ทำการกลุ่มพิงกันอโศก จำนวน ๑ ไร่ เมื่อเดือน ตุลาคม ๒๕๔๗ เป็นผลให้เปลี่ยนใจบริจาคที่ทั้งหมดจำนวน ๑๐ ไร่ให้ เป็นที่ส่วนกลางในการทำกิจกรรมต่างๆ ทางด้านศาสนา เพื่อถวาย เป็นปิตุบูชาเนื่องในโอกาสครบรอบ ๗๒ ปี ของพ่อท่าน พื้นที่ดังกล่าวตั้งอยู่บ้านเลขที่ ๔๘/๓ หมู่ ๓ ตำบลพอแดง อำเภอ ท้ายเหมือง จังหวัดพังงา และพ่อท่านได้ให้นามอันเป็นมงคล แก่แผ่นดินแห่งนี้ว่า "ชเลขวัญ" (ขวัญของทะเล) เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๔๘

เมื่อเดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ ท่านสมณะดินดี ท่านสมณะพอแล้วได้นำพาชาวชเลขวัญพัฒนาพื้นที่ และเริ่มดำเนินการก่อสร้าง อาคารที่พัก โรงครัว กุฏิ ศาลาฟังธรรม และในช่วงนี้ก็ได้มีกลุ่มเด็กๆ ซึ่งเป็นลูกหลานชาวบ้านพอแดง ประมาณ ๙-๑๐ เข้ามาเที่ยวเล่น และพูดคุย กับสมณะ ทำให้ได้มีโอกาสคบคุ้นและทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับเด็กๆ เช่น การเคลียร์ พื้นที่เก็บเศษไม้ แนะนำตัว ร้องเพลง และเล่นเกมส์ ตอบปัญหา แสดงละคร จากการสัมผัสเด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กที่มีความอ่อนโยน สั่งสอนกล่อมเกลาได้ง่ายและฉลาด เช่นให้เขาแบ่งกลุ่มกันคิด บทละคร ขึ้นมาแสดง

กลุ่มที่ ๑ แสดงเรื่องคำสอน ของหลวงพ่อ เขาล้อธรรมะที่หลวงพ่อสอนเขา โดยแสดงบทเป็นสมณะ และชาวบ้านมาขอหวย หลวงพ่อ สอนความไม่ดี ของอบายมุข

กลุ่มที่ ๒ แสดงเรื่องความรักของแม่ที่มีลูกติดยาเสพติด และได้พยายามสั่งสอน แต่ปรากฏว่าลูกไม่เชื่อฟังแถมโมโห และทุบตี แต่แม่ก็ ไม่เคยโกรธลูกและให้อภัยลูก แต่ตอนจะแสดงจริง ปรากฏว่านักแสดงที่ซ้อมไว้หายไป ๓ คน เด็กทั้ง ๒ กลุ่มที่เหลือก็แก้ปัญหาโดยการนำ ๒ เรื่อง มาผูกเป็นเรื่องเดียวกันทันที โดยไม่ได้บอก สะท้อนให้เห็นความฉลาด ที่เขาสามารถแก้ปัญหา และทำงานร่วมกันเป็นทีมได้ จนผู้ใหญ่ รู้สึกทึ่ง

อีกตัวอย่างที่เขาได้สื่อออกมาจากจินตนาการด้วยการวาดรูปจากสิ่งที่พวกเขาได้มาสัมผัสที่นี่ มีเด็กผู้ขายคนหนึ่งเขาวาดรูปแมว และรูปปลา ที่มีแต่ก้าง และก็เขียนกำกับที่ตัวแมวว่า "กินไม่ได้" ซึ่งคาดไม่ถึงว่าเขาสามารถสื่อสิ่งที่มาสัมผัสได้อย่างชัดเจนและเป็นสาระ

จากการที่เด็กๆ ได้มาคบคุ้นที่นี่บ่อยๆ เป็นผลให้ท่านสมณะและชาวชเลขวัญได้เกิดความคิดทำกิจกรรมกับเด็กๆ ทำให้บรรยากาศ ชาวชเลขวัญ มีชีวิตชีวาขึ้น

ในช่วงประมาณ ๒-๓ สัปดาห์แรกที่เด็กๆ มาทำกิจกรรม บรรดาพ่อแม่ของเด็กๆ ไม่เข้าใจและไม่ไว้วางใจ เพราะมีความเป็นห่วง กลัวลูกหลาน ถูกหลอก คุณปางหนึ่งกับคณะได้พากันไปเยี่ยมเยียนผู้ปกครอง สร้างความคุ้นเคย และชี้แจงถึงเป้าหมายของ บุกเบิกสร้างชเลขวัญ

จากเริ่มต้นที่เด็กมา ๙-๑๐ คน ณ ปัจจุบันมีเด็กแวะเข้ามาร่วม ๓๗ คน เด็ก ที่มาเป็นประจำประมาณ ๒๒ คน (หญิง ๑๒ คน ชาย ๑๐ คน) ประกอบด้วย เด็กมัธยมฯต้น ๒ คน ประถมฯ ๒๐ คน

พัฒนาการของเด็กประมาณ ๖ สัปดาห์ เด็กเริ่มมีความสังวรระมัดระวังในเรื่องการถือศีล เช่น เริ่มตั้งจิตไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่ตกปลา ไม่ยิงนก ไม่ตบยุง ทานอาหารเนื้อสัตว์น้อยลง มีสัมมาคารวะ และ กตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เช่น ตื่นนอนแต่เช้าทำ ๕ ส. บ้าน ก่อนไปโรงเรียน เป็นต้น (ข้อมูลได้จากการสัมภาษณ์ผู้ปกครองและเด็กนักเรียน) ตลอดทั้งผู้ปกครองนักเรียน ก็เริ่มเข้ามามีส่วนร่วม ในการช่วยกัน ทำอาหาร ที่โรงครัวกลาง

กิจกรรมที่เรามีในชเลขวัญกับเด็กๆ เช่น การทำแปลงกสิกรรม เพาะเห็ดนางฟ้า และอีกหลากหลายกิจกรรมที่เด็กสนใจเช่น ทำพิมเสนน้ำ เทียนตะไคร้หอม กันยุง ฝึก สนทนาภาษาอังกฤษ ฝึกเป็นผู้นำ มีความสามัคคี ฝึกงานด้านศิลปะ ตลอดจนการเรียนรู้ ด้านขนบธรรมเนียม ประเพณีไทย

นับจากหลังเหตุการณ์สึนามิจนเกิด ชเลขวัญ ขณะนี้เด็กหญิงชเลขวัญอายุครบ ๖ เดือน ซึ่งถือว่ายังอยู่ในวัยทารกอยู่ แต่ด้วยบารมี ของพ่อท่าน ที่ได้เป็นหลักในการรวมพลังงานต่างศักย์ ให้ชาวชเลขวัญเกิดการรวมตัวกันสร้างทานบารมีครั้งยิ่งใหญ่ ด้วยใจตระหนักถึง การมีส่วนร่วมที่จะรังสรรค์ ให้ดินแดนชายฝั่งอันดามันแห่งนี้ ให้เป็นที่พึ่งทางจิตวิญญาณแก่มวลมนุษยชาติ.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

หน้าปัดชาวหินฟ้า

เจริญธรรม สำนึกดี พบกับ นสพ. ข่าวอโศก ฉบับที่ ๒๖๒(๒๘๔) ปักษ์แรกวันที่ ๑-๑๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๘

ส่วนข่าวความเคลื่อนไหวในแวดวงชาวเราประจำฉบับนี้มีดังนี้

มุ่งมาจน...ในช่วงเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ตระกูลของชาวบุญนิยมที่ดังไปทั่วโลกกว่าทุกตระกูล ก็คือตระกูล "มุ่งมาจน" ซึ่งก่อนได้นามสกุล นี้มา ทาง นสพ.ข่าวอโศก ก็ได้รายงานให้ชาวเราได้รู้ถึงที่มาที่ไป และปฏิกิริยาของคนภายนอก จนกระทั่งได้มาซึ่งตระกูลมุ่งมาจน แต่พออยู่ๆ ก็มีนักข่าว เอาเรื่องของ "นายตายแน่ มุ่งมาจน" ไปลงใน นสพ.โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๒๔ ส.ค.๔๘ พอวันรุ่งขึ้นก็มีข่าวออกทางทีวีหลายช่อง เท่าที่รู้ ก็มี ช่อง ๓ ช่อง ๗ และช่อง ๑๑ ในความเห็นของจิ้งหรีดนั้นคิดว่า รายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" ทางช่อง ๓ ที่มีคุณสรยุทธ์ เป็นพิธีกรนั้น ดูจะสมบูรณ์ที่สุด เพราะได้มีการติดต่อให้คุณตายแน่ ออกอากาศสัมภาษณ์กันสดๆ ในตอนเช้า เพื่อจะได้เข้าใจถึงเจตนารมณ์ว่า เหตุใด จึงเปลี่ยน ชื่อเดิมจาก นายราเมศ เชียวเขตวิทย์ เป็นนายตายแน่ มุ่งมาจน

ในเช้าวันที่ ๒๕ ส.ค. หลังทีวีช่องต่างๆออกข่าวไปแล้ว จิ้งหรีดก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณตายแน่ จึงได้รู้ว่า นักข่าวได้ไปสัมภาษณ์ คุณตายแน่ ออกวิทยุใน จ.อุบลราชธานี เมื่อเช้าวันที่ ๒๔ ส.ค.ถึง ๒ สถานี ส่วนวันที่ ๒๕ ส.ค.นั้น นสพ.คมชัดลึก ก็ลงเรื่องนี้ ในหน้า ๑ เลย และ พอวันต่อมา นสพ.แทบทุกฉบับ ก็ได้ลงเรื่องนายตายแน่ มุ่งมาจน

หลังจากออกทีวีไปแล้ว ก็มีนักข่าวอีกหลายสำนัก ขอมาสัมภาษณ์ แต่เขาก็ยังทำหน้าที่เหมือนเดิม คือ ไปช่วยส่งข้าวที่ บจ.แด่ชีวิต ที่อยู่ หน้าสันติอโศก แต่ระหว่างทางที่กลับจากไปส่งเด็กที่ จ.สุรินทร์ รถเกิดวิ่งติดหล่ม คณะที่มาด้วยกัน ๓ คน ก็ต้องลงไปขนข้าว ๘๐ กระสอบ ลงจากรถ (รวมน้ำหนักถึง ๒ ตัน) เพื่อให้รถขนข้าวเบาขึ้น ก็ได้ผล รถสามารถวิ่งขึ้นจากหล่มได้ พอรถขึ้นจากหล่มได้ นายตายแน่และคณะ ต้องแบก กระสอบข้าวสารไร้สารพิษทั้งหมด กลับขึ้นรถอีก แล้วเดินทางไปยังชุมชนสันติอโศก กทม. เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

จิ้งหรีดก็ถามนายตายแน่ว่า รู้สึกอย่างไรที่ต้องขนข้าวขึ้นลงเช่นนี้ ซึ่งก็เป็นการทำงานฟรีไม่มีรายได้ เขาก็บอกว่า ก็ไม่เห็นเป็นไร แก้ปัญหาได้ ก็พอใจแล้ว จิ้งหรีดได้ฟังแล้วก็ต้องร้อง โอ้โฮ! แล้วทำให้ได้คิดว่า ตระกูลมุ่งมาจน นี่เลี้ยงง่าย บำรุงง่ายจริงๆ ถ้าคนในประเทศไทย มุ่งมาจน ได้อย่าง นายตายแน่ เอาแค่จำนวนเท่ากับคนติดคุกในปัจจุบันก็พอ หรือคนเสียจริตที่ล้นโรงพยาบาลในทุกแห่ง (ซึ่งมีประมาณแค่ ๑ % ของประชากร ในประเทศไทย) ไทยเราคงพ้นจากความเป็นทาสทุนนิยม และรวยน้ำใจแม้จะจน แต่ถ้าหลงแต่รวยก้าวหน้า โดยไม่มุ่งศึกษา การลดละกิเลส ก็กู้ประเทศไม่ได้ แค่กู้รถบรรทุกข้าวจากหล่ม ก็ยังไม่ได้เลย เพราะไม่ยอมเสียแรง โดยไม่ได้เงินค่าแรงไงฮะ...จี๊ดๆๆๆ .....

บ้านราชฯ...จิ้งหรีดจากบ้านราชฯเมืองเรือ บอกมาว่า ตอนนี้กำลังฟิตเพื่อเตรียมพร้อมต้อนรับน้ำท่วม ก็ไม่รู้ว่าปีนี้จะท่วม จนสามารถ จัดงานฉลองน้ำได้หรือไม่...ฝ่ายโรงสีก็มีลูกสาวคนขยัน(ตาล) แม้จะผอมแต่แกร่ง คอยดูแลเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ ด้วยเหมือนกัน... คุณกรักน้ำใจ พรรษานี้ย้ายจากปฐมอโศกไปฝึกตัวเองที่บ้านราชฯ ตอนนี้ก็มีข่าวดีให้เพื่อนกรัก -ปะทั้งหลายว่า ไม่ต้องห่วงเรื่องน้ำจะท่วม เพราะตอนนี้ พายเรือเป็นแล้ว หัดแค่ ๓-๔ ครั้งเท่านั้นฮะ...คุณรพินทร์ พร้อมกับคุณลักษณ์(ภรรยา) ย้ายจากภูผาฯไปช่วยงาน ที่บ้านราชฯ เมืองเรือ ทางภรรยาก็รับช่วยงาน ด้านบัญชีเพราะเรียนมาทางด้านเกี่ยวกับเงินๆทองๆ ส่วนรพินทร์ เรียนมาทางวิศวะฯ ก็ร่วมทีมวิศวะ ซึ่งมีพระอาคันตุกะ อีก ๓ รูป ที่ขอมาจำพรรษา ถ้าจิ้งหรีดแนะนำ หลายคนคงรู้จักและร้องอ๋อ

๑. พระนฤทธิ์ เป็นศิษย์เก่าสัมมาสิกขา ศีรษะอโศก ลูกชายป๋านรินทร์ ญาติธรรมศีรษะฯ แต่ตอนนี้มาทำมาค้าขายใน จ.อุบลฯ พระนฤทธิ์นั้น จะเก่งเรื่องคอมพิวเตอร์

๒. พระดรีม เป็นหลานชายของสมณะด่วนดี สุชโว เป็นช่างซ่อมรถแทรกเตอร์

๓. พระเที่ยงทน เป็นน้องชายต่างมารดาของคุณดาวเพ็ญ เป็นวิศวกรด้านพลังงาน ท่านบอกจิ้งหรีดว่า แม้จะลาสิกขา แล้ว ก็จะมา ช่วยงานศาสนาที่บ้านราชฯ

๔. สมณะถักบุญ อาจิตปุญโญ จิ้งหรีด ตั้งให้เป็นผู้ปรึกษาของทีมวิศวะแล้วกัน ปีนี้ไม่ได้จำพรรษาที่ภูผาฯ เพราะถูกเรียก ให้ไปช่วยงาน ที่บ้านราชฯ เมืองเรือ ที่ขาดบุคลากรเป็นจำนวนมาก ที่จะรองรับงานที่มีมากมาย

ส่วนคุณรพินทร์ ก็ช่วยประดิษฐ์เครื่องบอกสัญญาณเตือนภัยเมื่อไฟดับ ข่าวบอกมาว่า เสียงดังมาก เพื่อให้ชาวบ้านราชฯรู้ว่า เครื่องปั๊มน้ำ จะหยุดทำงาน ให้รีบไปช่วยแก้ไขก่อนที่น้ำจะท่วมเรือจนจม แล้วจะกู้ลำบาก ดังที่เคยเป็นมาแล้ว นอกจากนี้ยังช่วยทำ อีกหลายอย่าง จนน้ำหนัก ตอนนี้ลดไป ๙ กก.แล้ว จิ้งหรีดก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เป็นเพราะงานมาก หรือเพราะยึดผลงาน หรือเพราะฝึกกินมื้อเดียว เรื่องอย่างนี้ ใครสงสัยก็ให้ไปสอบถามกันเองนะฮะ... จี๊ดๆๆๆ .....

ซาบซึ้งในหลวง...ช่วงวันแม่แห่งชาติ จิ้งหรีดได้มีโอกาสฟังเทศน์ก่อนฉันที่เฮือนศูนย์สูญ ท่านเดินดิน กล่าวเปิดงาน โดยอ่านบทความ ฉบับหนึ่ง ซึ่งกล่าวยกย่อง ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ของเรานี่แหละว่า พระองค์ท่านทรงเป็นผู้มีความกตัญญูอย่างยิ่ง และประหยัดอย่างมาก เช่น รองเท้าที่ทรงใช้ จะปะแล้วปะอีก จนเจ้าของร้านปะรองเท้า ได้ขอนำไปบูชาไว้เลย และที่ซาบซึ้งยิ่ง ก็ในช่วงที่พระองค์ท่าน ไปดูแลสมเด็จย่า (พระชนนีฯ) ซึ่งประชวรหนัก ก็จะเสด็จไปเสวยพระกระยาหารเย็น ที่โรงพยาบาลด้วยพระองค์เอง เกือบทุกวัน (สัปดาห์ละ ๕ วัน) และตอนที่สมเด็จย่า จะสิ้นพระชนม์ ในหลวงเพิ่งเสด็จกลับจากการเยี่ยม เมื่อได้รับข่าวสิ้นพระชนม์ ของสมเด็จย่า ในหลวงของเรา ก็รีบเสด็จ กลับไปที่โรงพยาบาลศิริราช อีกครั้ง พระองค์ท่านทรงกราบสมเด็จย่า แล้ว ทรงหันพระพักตร์แนบพระอุระ ของสมเด็จย่า สักพักหนึ่ง เมื่อทรงเงยพระพักตร์ขึ้น น้ำพระเนตรได้หลั่งไหลออกมา จิ้งหรีดเขียน มาถึงตรงนี้ ก็อดร้องไห้ด้วยความซาบซึ้ง เป็นครั้งที่ ๒ ไม่ได้ ตอนแรกที่จิ้งหรีดฟังท่านเดินดินอ่านบทความนี้ ก็ยังไม่ค่อยสนใจมากนัก แต่พอฟังไปเรื่อยๆ ก็เกิดความรู้สึกซาบซึ้งใจ ในความกตัญญู ของในหลวงเรายิ่งนัก ถือเป็นแบบอย่างที่ดีเยี่ยมแก่พสกนิกรปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงไว้ ซึ่งทศพิธราชธรรม...

คุณปะสร้อยแก้ว ที่ย้ายจากสันติอโศกมาบ้านราชฯ ในช่วงเข้าพรรษา ก็กำลังฝึกทำงานทั่วไป ตรงไหน ขาดก็เสริมได้ ไม่ติดภพ จิ้งหรีดรู้สึก ประทับใจ ในการบำเพ็ญของคุณปะผู้นี้ โดยเฉพาะเมื่อวันที่ ๑๒ ส.ค.ที่ผ่านมา ทางอุทยานบุญนิยมขาดคนทำอาหาร คุณปะสร้อยแก้ว ก็มีน้ำใจ ออกไปช่วยทำให้ วันแม่ปีนี้จิ้งหรีดมีเหตุการณ์ที่ประทับใจหลายเหตุการณ์ แม้วันแม่จะผ่านไปแล้ว แต่ความซาบซึ้งประทับใจ ก็ยังติดตาตรึงใจ มาจนถึงปัจจุบัน เรื่องนี้สิกขมาตุแสงฝนยืนยันได้ จริงไหมฮะ...จี๊ดๆๆๆ .....

สันติอโศก...บรรยากาศการศึกษาที่ สส.สอ.ช่วงนี้ในชุมชนสันติอโศกก็คึกคัก เมื่อ ๑๔ ส.ค.ที่ผ่านมา จิ้งหรีดได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุม กับท่าน กอบชัย ท่านชนะผี ท่านฟ้าไท ท่านมองตน ท่านธรรมทาบฟ้า และสิกขมาตุบุญจริง ก็ได้มีการพัฒนาหลังจากเริ่มหลักสูตร บูรณาการ มาได้ระยะหนึ่ง ก็มีการปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ให้เหมาะสมลงตัวยิ่งขึ้น คณะคุรุฐานก็ปรับขบวนใหม่ เพราะต้องอยู่กับเด็ก มากขึ้น ดุจแม่ไก่กับลูกไก่ เด็กป่วยก็ต้องตามไปดู หากต้องส่งโรงพยาบาลก็ถือว่า คุรุฐานมีหน้าที่รับผิดชอบ ดูแลเป็นพิเศษ เด็กคนไหน ไม่มาทำงาน ตามเวลา คุรุฐานก็ควรเอื้ออาทรไต่ถาม ดูแลใกล้ชิดขึ้น...ในช่วงประชุมคุรุฐาน คุรุวิชาการ และม.วช.ในวันเดียวกัน ซึ่งท่านฟ้าไท พอดีมีหน้าที่ สอนวิถีพุทธ จึงถือโอกาสให้ ม.วช.ได้เข้าร่วมประชุมรับฟังด้วย ในที่ประชุมก็มีเรื่องแจ้งเรื่องรายงาน พฤติกรรมเด็ก เรื่องไบโอดีเซล เรื่องฐานคลอง ๑๓ ฯลฯ ก็เป็นการบูรณาการการศึกษา ของ ม.วช. จะได้รู้ปัญหา และความเป็นไป ของคนในชุมชน... พูดถึงเรื่องไบโอดีเซล ก็เหมาะกับยุคประหยัดน้ำมัน ตามนโยบายรัฐบาลทักษิณ ๒ คุณวิศิษฏ์ จิตตนุปัสน์ กรรมการกองทัพธรรมมูลนิธิ และ นายกสมาคม นักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรมฯ เสนอให้รถของกองทัพธรรมฯ ในกทม.เปลี่ยนมาใช้น้ำมันไบโอดีเซล ซึ่งผลิตจากน้ำมันพืช ใช้แล้ว ทำให้ลดมลพิษ ลดควันดำ และกลิ่น ไม่ฉุนมาก โดยทางมูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน ได้ทดลองใช้มาแล้วถึง ๓ ปี ปรากฏว่า ใช้ได้ผลดี และเป็นการประหยัด ค่าใช้จ่ายด้วย จิ้งหรีดได้ข่าวว่า ทางบ้านราชฯเมืองเรือ ต้องจ่ายค่าน้ำมันดีเซล ตกปีละประมาณ ล้านกว่าบาท ท่านเที่ยงทน ก็กำลังหาวิธีช่วยประหยัด ด้วยการให้ทางบ้านราชฯ ใช้น้ำมันไบโอดีเซลเช่นกัน จิ้งหรีดก็มีความเห็นว่า ถ้าพวกเรามีหน่วยผลิต น้ำมันไบโอดีเซลโดยตรง ด้วยการซื้อน้ำมันพืชจากแหล่งผลิตโดยตรง เป็นน้ำมันดิบ หากราคาถูก ก็สามารถนำมาทำเป็นน้ำมันไบโอดีเซล ใช้กันในหมู่ภายในก่อน ก็อาจช่วยประหยัดพลังงาน ซึ่งถือเป็นการช่วยประเทศชาติไปในตัว...ศิษย์เก่า สส.สอ. ๒ คน แม้จะอยู่คนละที่ ก็โทร. มาหาครูบาอาจารย์ในวัด กันคนละทีสองที สองคนนี้ก็คือ น.ส.เยาวทัศน์ (กระแต) และ น.ส.นฤมล นี่แหละลูกศิษย์ กตัญญู หลายคน โดยเฉพาะที่สันติอโศก คงรู้จักกันดี จิ้งหรีดก็ยังหวังอยู่ลึกๆว่า ในอนาคตอาจมาช่วยดูแลน้องๆ สัมมาสิกขา เพื่อถ่ายทอด ประสบการณ์ ในการทำความดีไม่มีโทษภัย จนจบ ม.๖ ได้...ส่วน ม.วช.พุดสามสี แม้คุณแม่จะจากไปแล้ว ก็ยัง มีศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ ในการพัฒนา จิตวิญญาณ แถมยังมีเพื่อนซี้แสนดีอย่างคุณสวยใส จิ้งหรีดก็ขออนุโมทนาด้วยนะฮะ...จี๊ดๆๆๆ .....

คติธรรม-คำสอนของพ่อท่านประจำฉบับ
เห็นคนอื่นเป็นกระจกเงา
อย่าเขลาเห็นเป็นกระสอบทราย

(งานปลุกเสกฯ ครั้งที่ ๑๘/๒๕๓๗)
(จากหนังสือโศลกธรรม สมณะโพธิรักษ์ หน้า ๙๕)

พบกันใหม่ฉบับหน้า
- จิ้งหรีด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


เขาคือใคร ?

นายวันชัย ศิริรัตน์ ชื่อใหม่ ภูพง อายุ ๔๑ ปี สามีของคุณภูงาม จบการศึกษาชั้น ป.๔ เป็นลูกคนที่ ๕ ในพี่น้องทั้งสิ้น ๗ คน

ชีวิตครอบครัวมีบุตรรวม ๒ คน คนโตอายุ ๑๕ ปี ส่วนคนที่ ๒ ชื่อ ต้นข้าว ขณะนี้เรียนอยู่ในชุมชนภูผาฟ้าน้ำ

ครอบครัวของคุณภูพง ก่อนหน้าที่จะเข้ามาอยู่ในชุมชนภูผาฟ้าน้ำนั้น เดิมทีทำงานธุรกิจห้องเช่า เปิดร้านเสริมสวย และตัดผม ซึ่งก็สามารถ เลี้ยงชีพอย่างเรียกได้ว่า ประสบความสำเร็จ จนได้ใบประกาศเกียรตินิยม พร้อมฉายาว่า "ช่างกรรไกรทอง" ประจำจังหวัด (แม้ว่าเขา จะพยายามถ่อมตัวว่า ไม่เก่ง ก็ตาม) แต่ทั้งจังหวัดนั้นเขายอมรับว่า คุณภูพง มีความสามารถสมกับฉายาจริงๆ

สำหรับชีวิตหลังเข้ามาอยู่ในชุมชนภูผาฟ้าน้ำแล้ว ก็ได้เข้ามารับผิดชอบช่วยตัดฟืนเข้าโรงครัว และช่วยทำกสิกรรมปลูกผัก

เมื่อผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงความเป็นมาจนทำให้ได้มารู้จักกับชาวอโศก คุณภูพงได้ย้อนอดีตให้ฟังว่า ช่วงที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพฯ เพราะทาง จ.แม่ฮ่องสอน ส่งไปเรียนตัดผม ที่สถานฝึกอบรมวิชาชีพตัดผม กรมประชาสงเคราะห์ กทม. ๘๘ ดินแดง มีเพื่อนได้นำหนังสือ พุทธเปลือกๆ มาให้อ่าน พออ่านแล้วก็พยายามตามหา จนได้มาเจอสันติอโศก ในปี พ.ศ.๒๕๒๗

ตอนไปอยู่สันติอโศกช่วงนั้นก็ยังไปๆมาๆ ก็ได้อดีตปะละมัยเป็นพี่เลี้ยงได้ติดต่อกันโดยการส่งหนังสือแสงสูญไปให้อ่าน

หลังจากกลับไปอยู่แม่ฮ่องสอนแล้ว ก็ได้แอบไปปฏิบัติอยู่ในป่าคนเดียวประมาณ ๑ ปี หลังจากนั้น ๒ ปีก็หลุด ไม่ได้กินมังสวิรัติต่อ เพราะกลับไป เรียนเสริมสวยอีก แรงศรัทธาจึงอ่อนกำลังลง เพราะขาดการติดต่อกับทางวัด (ก็คืออดีตปะละมัย) พอแรงศรัทธาลดลง ก็เลยอ่อนแอ จนไปมีครอบครัว

พอพูดมาถึงเรื่องนี้ ก่อนจบการสนทนาวันนั้นผู้สื่อข่าวเลยขอคำแนะนำฝากถึงเด็กๆ โดยเฉพาะฝ่ายหญิงเพื่อใช้ป้องกันตัวเองบ้าง คุณภูพง ได้แนะนำว่า ขอให้ระวังอย่าเผลอไปทอดสะพานให้เขา เพราะจะเปรียบเสมือนการเอาน้ำมัน ไปยื่นให้ไฟแช็ก พอเวลาน้ำมัน มันไปใกล้ไฟ มันก็จะลุก ดังนั้น ผู้หญิงควรสำรวมตัวเองให้ดี เพราะผู้ชายนั้น คุณภูพงว่า "ห้ามไม่ให้เขามาจีบเราไม่ได้" แต่สำคัญอยู่ที่เราสามารถ ห้ามใจเรา (ผู้หญิง) ได้ดีกว่า.

- น้ำกลั่น (สส.ม.) รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ลูกคุณวางมือถือหรือยัง?

...สื่อกำลังตั้งหน้าตั้งตาสอนลูกหลานของเราให้เป็นคนรักสนุก รักสบาย หนักไม่เอาเบาไม่สู้ ขาดความอดทน มีความสุขกับการซื้อหา สินค้า ทุกชนิดที่สื่อบอก ไม่สนใจอะไรนอกจากความสวยความงาม...

โทรศัพท์มือถือเป็นธุรกิจที่ก้าวร้าวที่สุดในขณะนี้ มันรุกตลาดอย่างรวดเร็ว เรารู้โดยดูจากโฆษณา ทุกค่ายทุกยี่ห้อแข่งกันโฆษณามือถือ รุ่นใหม่ๆ บริการใหม่ๆ แพ็กเก็จใหม่ๆ เกือบทุกวัน เห็นไม่ทันเท่าไหร่ก็เปลี่ยนไปอีกแล้ว

กลยุทธ์การตลาดของลัทธิทุนนิยมสมัยใหม่ช่วยโปรโมตให้มือถือกลายเป็นปัจจัยหนึ่งในการดำรงชีพของมนุษย์ได้สำเร็จไปแล้วในเวลา ไม่ถึง ๑๐ ปี

มือถือถูกสร้างภาพให้เป็นเครื่องหมายแทนสายใยความผูกพันระหว่างพ่อแม่ลูก ความรักระหว่างหนุ่มสาว ความมีประสิทธิภาพของ นักธุรกิจ ความโก้เก๋ของคนสมัยใหม่ รสนิยมที่ขาดไม่ได้ของวัยรุ่น แม้แต่คนหาเช้ากินค่ำ ชาวเขาชาวดอยก็ต้องการมือถือ เพื่อเป็น เครื่องหมาย ของความเป็น "คนที่พัฒนาแล้ว"

กลยุทธ์ขั้นต่อไปคือการกระตุ้นให้เกิดการโทร.เข้าโทร.ออกตลอดเวลา เพราะรายได้ของนายทุนไม่ได้อยู่ที่ตัวเครื่องราคาไม่กี่ร้อยกี่พัน แต่อยู่ที่ เงินสดๆ ที่ทุกคน ช่วยกันนำส่งเข้าบัญชีให้บริษัทมือถือทุกวัน

นายทุนมือถือจึงหาทางปั่นหัวให้คนเชื่อว่า มีมือถือแล้วต้องใช้ให้คุ้มแล้วพากันโหมโฆษณาแพ็กเก็จแบบใหม่ๆ หลอกประชาชนว่า "ยิ่งโทร. ยิ่งถูก" "ยิ่งโทร.มากยิ่งคุ้ม" ใครโทร.น้อยขาดทุน ใครโทร.มากฉลาด เพราะเพียงแต่จ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อยก็โทร.ได้มากกว่ากันเยอะแยะ

อุบาย "จ่ายมาก กำไรกว่า จ่ายน้อย" นิยมใช้กันไม่เฉพาะแต่มือถือ เสื้อ ๒ ตัว ๗๐ ถ้าซื้อ ๓ ตัว ๑๐๐ คนซื้อจะรู้สึกว่าได้กำไรทันที ๕ บาท ทั้งๆ ที่เสื้อตัวที่ ๓ เป็นส่วนเกินไปแล้ว แต่คนซื้อยังคงคิดว่าตัวเองได้กำไร ไม่เคยคิดว่าขาดทุนไป ๓๐ บาท เพราะได้เสื้อที่ไม่จำเป็นกลับมา

สำหรับมือถือ จ่ายมากได้โทร.มากก็จริง แต่สิ่งที่แลกมาคือการโทร.ที่ไร้สาระเป็นส่วนใหญ่ เหมือนเสื้อตัวที่ ๓ ที่ไม่มีความจำเป็นแล้ว

ถ้าประชาชนเราฝึกอ่านอุบายของสื่อให้เก่งๆ จะมองเห็นพิษภัยจากการโฆษณามือถือได้ชัดเจน เช่น โฆษณาชุด "อะไรเอ่ย" ที่มีอยู่หลายตอน ยกตัวอย่าง ตอนที่หนุ่มนายหนึ่งโทร.ไปถามคำถามกับเพื่อนว่า "อะไรเอ๋ย สวยแต่เหม็น" แล้วคำตอบก็คือ "นางงามตด" !!

การใช้มือถือโทร.สิ่งเหล่านี้ เป็นการโทร.ที่คุ้ม หรือเป็นการโทร.ของคนไร้สาระขาดสติกันแน่

ยุ ให้โทร.มากๆ ยังไม่พอ ขณะนี้กลุ่มธุรกิจมือถือกำลังไต่ระดับไปอีกขั้นหนึ่ง คือปลุกกระแสให้โทร.นานๆ ยิ่งนานยิ่งดี นานข้ามวัน ข้ามคืนเลย นานจนไม่ต้องทำอย่างอื่น เหมือนคนบ้าที่ขาดสติ หาแก่นสารอะไรให้กับชีวิตตนเองไม่ได้มากขึ้นไปกว่าเก่า

โฆษณาในเดือนที่ผ่านมาเริ่มส่อเค้าความชั่วร้ายให้เห็นมาเรื่อยๆ ตั้งแต่โฆษณาชุดคนพูดมือถือจนต้องไปแบกน้ำมากรอกปากตัวเอง เป็นแกลลอนๆ ต่อด้วยชุดเด็กวัยรุ่นชายหญิง ๒ คนคุยมือถือกันตั้งแต่ตื่นนอนเช้าจน "ไม่" เข้านอน จนหมดเรี่ยวหมดแรง ถือมือถือ ไม่ไหว ต้องลงนอน แล้วเอามือถือวางไว้บนหู ปากก็ยังพูดพล่ามไปเรื่อยๆ

สิ่งที่พล่ามก็มีประโยคเดียว ท้าให้อีกฝ่ายหนึ่งวางหูก่อน "วางก่อนดี่ๆๆๆ" แต่สปอตทำให้เห็นว่าไม่มีใครยอมวาง

ได้ยินลูกศิษย์เล่าว่า ยังมีอีกชุดหนึ่งแต่บังเอิญไม่ได้เห็นเอง วัยรุ่นใช้เวลาตอนกลางคืนคุยมือถือเพราะเสียค่าโทร.ราคาถูก แต่เอาเวลา กลางวันไปนอนแทน

๒-๓ วันนี้ออกมาแล้วอีกชุดหนึ่ง เป็นเด็กหญิงน่ารักวัยอนุบาล ฉอเลาะผ่านมือถือไปถึงพ่อที่ออฟฟิศเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่โรงเรียน จ้ออยู่ คนเดียว จนลงไปนอนกลิ้งกับพื้นก็แล้ว ลุกขึ้นมาร้องเพลงให้พ่อฟังก็แล้ว เต้นแร้งเต้นกาประกอบการเล่าก็แล้ว แกก็ยังไม่หมดเรื่องพูด

นี่มันอะไรกัน!?

ทำไมจึงต้องทำให้เด็กหนุ่มเด็กสาวในวัยกำลังเจริญเติบโตกลายเป็นบุคคลไร้คุณค่า หัวสมองฝ่อเหมือนคนเสียสติ?

ทำไมจึงจงใจละเลงสีเลอะเทอะเปรอะเปื้อนให้กับเด็กที่แสนน่ารักบริสุทธิ์ไร้เดียงสา จนดูเหมือนเป็นเด็กเสียสติไปอีกคน?

น่าเป็นห่วงจริงๆผ่านจากขั้นนี้ไปแล้ว ยังจะมีอะไรที่ชั่วร้ายออกมาอีก ในเมื่อหัวใจของทุนนิยมก็คือ profit maximization คือการไล่กำไร ให้สูงขึ้น เรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด จะได้มาต้องใช้ทั้งเล่ห์ ทั้งกล ทั้งมนต์ ทั้งคาถา

สุดปัญญาที่คนธรรมดาอย่างเราจะคาดคิดถึง

โฆษณาเหล่านี้ป้อนสารที่เป็นพิษให้ประชาชนทุกวัน แต่ผู้ชมกลับติดใจและชอบดูโฆษณามือถือเป็นพิเศษ ชมว่าสนุก มีอารมณ์ขัน ความคิด สร้างสรรค์ดีเยี่ยม ออกมาแต่ละชุดจึงเป็นที่กล่าวขวัญและจดจำกันได้ทั่วบ้านทั่วเมือง ก็เพราะธุรกิจพวกนี้ทุนหนา มีเงิน ทำโฆษณา ได้ไม่อั้น ใช้เทคนิคสูง ใช้หลักจิตวิทยาสูง อันตรายของมันจึงสูงตามไปด้วยเหมือนยาพิษที่เคลือบน้ำตาลหนาเป็นพิเศษ ทำรูปร่าง สีสันให้น่ากิน น่าจับต้องเป็นพิเศษ

เด็กๆรู้ไม่ทันโฆษณาจึงมองเห็นแต่ความสนุก

วัยรุ่นติดใจไอเดียแปลกๆ ที่มากับโฆษณา

ผู้ใหญ่อาจคิดว่ารู้เท่าทัน รู้ว่าโฆษณา ทำหน้าที่ขายสินค้า เปล่า! หน้าที่สำคัญที่สุดของโฆษณาคือ "ขายความคิด" เพราะสินค้าเปลี่ยน ไปได้ เรื่อยๆ แต่ความคิดนั้นเมื่อขายสำเร็จทำให้ประชาชนยอมรับไปแล้ว ต่อให้สินค้านั้นเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาไปอย่างไรเปลี่ยน รุ่นไปอีกกี่รุ่น ประชาชน ก็จะติดตามหาซื้อของสิ่งนั้นมาบริโภค

ธุรกิจมือถือหากินกับการขายความคิดมาตั้งแต่ต้น ไม่มีใครปฏิเสธว่ามือถือเป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์ให้บริการที่สะดวกรวดเร็ว แก่ผู้ใช้ เป็นอย่างยิ่ง

แต่การขายความคิดที่เกินเลยออกไปจากความถูกต้องดีงาม และขยายต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่คำนึงถึงผลเสียหายที่จะเกิดกับสังคม และ ประเทศชาติ ถือว่าเป็นการทำธุรกิจที่ไร้จรรยาบรรณ

ที่สำคัญที่สุดและน่าเป็นห่วงที่สุดก็คือ เด็กและเยาวชนจะตกเป็นเหยื่อของการขายความคิดที่เกินเลยไปจากความถูกต้องดีงามเสมอ

นายทุนที่เห็นแก่ตัวรู้ดีว่า คนกลุ่มนี้เชื่อง่าย ชักจูงง่าย และจ่ายง่ายโฆษณามือถือตั้งแต่ยุคแรกจึงเริ่มโปรโมตคำขวัญ "วัยรุ่นวัยทอล์ก" และ ขณะนี้ ก็กำลังโปรโมตให้วัยรุ่นเป็นวัยที่ทำอะไรไม่เป็นนอกจากทอล์กๆๆ ทอล์กจนไร้สาระมากขึ้นทุกวัน

ใครก็ตามที่ขันอาสารับผิดชอบคนไทย ถ้าไม่เชื่ออิทธิพลของโฆษณา ก็เชิญมานั่งหน้าโทรทัศน์สักคืนหนึ่งแล้วดูโฆษณาทุกชิ้นที่ผ่านจอ ท่านจะพบว่า สื่อกำลังตั้งหน้าตั้งตาสอนลูกหลานของเราให้เป็นคนรักสนุก รักสบาย หนักไม่เอาเบาไม่สู้ ขาดความอดทน มีความสุข กับการซื้อหาสินค้าทุกชนิดที่สื่อบอก ไม่สนใจอะไรนอกจากความสวยความงาม และเสน่ห์จากเพศตรงข้าม ใช้ชีวิตอย่างไร้แก่นสาร ปราศจาก หลักยึดเหนี่ยวทางจิตใจ สื่อสอนให้เด็กสร้างปัญหาแต่ไม่เคยสอนให้แก้ปัญหาเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น จึงแก้ไม่ได้ หันไปใช้ ความรุนแรงบ้าง จบปัญหาด้วยการฆ่าตัวตายบ้าง...

จะแก้ปัญหาเด็กวัยรุ่น แก้ปัญหาสังคมจึงต้องทำไปพร้อมกับการแก้ไขสื่อ โดยเฉพาะสื่อโฆษณาทางโทรทัศน์ เพราะเป็นสื่อที่เข้าถึง ประชาชน ได้ง่าย ตอกย้ำซ้ำซาก ใช้หลักจิตวิทยาในการจูงใจสูงที่สุดและใช้เทคนิคหลอกลวง ได้แนบเนียนที่สุด แต่เราจะมองหาใคร มาช่วยที่ตรงจุดนี้?

กระทรวงวัฒนธรรมอยู่ที่ไหน? ทำไมปล่อยคำว่า "ตด" คำอะไรก็ไม่รู้ที่ออกเสียง "ดี่ๆๆๆ" ออกมาบาดหูผู้คนทางโทรทัศน์

กกช.อยู่ไหน?

กสช.เมื่อไหร่จะเกิด?

มีใครช่วยตรวจสอบสื่อบ้างในขณะนี้? แล้วพ่อแม่ผู้ปกครองที่รู้สึกร้อนใจแทนลูกหลาน จะไปร้องเรียนหน่วยงานไหนในประเทศนี้ได้บ้าง?

วานใครช่วยบอกที!

เมื่อยังมองไม่เห็นใคร ก็ต้องคิดถึงท่านนายกฯ ท่านก็เป็นเจ้าของมือถือ วานท่านช่วยบอกลูกน้องของท่านให้คิดทำโฆษณาชุดต่อไป เป็นโฆษณาแนวใหม่ ที่สอนเยาวชนให้ใช้มือถืออย่างสร้างสรรค์ อย่างเป็นเหตุเป็นผล และเป็นประโยชน์

เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับมือถือรายอื่นๆ ได้หรือไม่เจ้าคะ?

(จาก นสพ.มติชนรายวัน ฉบับวันที่ ๓๑ มี.ค.๔๗ โดย วิภา อุตมฉันท์)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


กิจกรรมชมรมเพื่อนช่วยเพื่อนปฐมอโศก - อินทร์บุร

สมณะเสียงศีล ชาตวโร ได้รับนิมนต์ให้เข้าร่วมประชุมที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมี พลตรีจำลอง ศรีเมือง ประธานคณะกรรมการ ดำเนินงาน ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ คุณสุนัย เศรษฐ์บุญสร้าง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นรองประธาน กรรมการฯ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่าน เช่น ปลัดกระทรวง รองปลัดกระทรวง อธิบดี รองอธิบดี รวมทั้งผู้มีชื่อเสียงด้าน เกษตรอินทรีย์ หลายท่าน เช่น ดร.อรรถ บุญนิธิ, ผวจ.สุรินทร์ เกษมศักดิ์ แสนโภชน์, พลตรีพิเชษฐ์ วิสัยจร ฯลฯ ทุกท่านรวมทั้ง สมณะ เสียงศีล ชาตวโร ล้วนได้รับแต่งตั้งจาก รมว.เกษตรและสหกรณ์ ให้เป็นกรรมการดำเนินงานส่งเสริมเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ตามคำสั่งที่ ๑๘๐/๒๕๔๘ ลงวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๔๘.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ปฏิทินงานอโศก
งานมหาปวารณา ครั้งที่ ๒๔ ณ พุทธสถานปฐมอโศก ศุกร์ที่ ๔ - เสาร์ที่ ๕ พ.ย. ๒๕๔๘
ตักบาตรเทโว และวันเกิดปฐมอโศก ณ พุทธสถานปฐมอโศก อาทิตย์ที่ ๖ - ๗ พ.ย. ๒๕๔๘

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
67/1 ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. 10240 โทร.02-3745230 ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ 1,600 ฉบับ

[กลับหน้าสารบัญข่าว]

อ่านฉบับย้อนหลัง: