อรชุนน้าวศรการเมืองใหม่
 


 

โดย อัญชะลี ไพรีรัก 11 มีนาคม 2552 13:25 น.
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000027857

พลเอกปรีชา เอี่ยมสุพรรณ หรือลุงปรีชาของพันธมิตรฯ กรุณาให้ยืมหนังสือมาอ่านเอาเรื่อง หนึ่งเล่มคือ “Chamlong Srimuang and the new Thai politics” ซึ่งเขียนโดย Dr.Duncan Mccargo ปัจจุบันสอนวิชารัฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง อยู่ที่ University of Leeds ประเทศอังกฤษ

หนังสือที่ได้มาไม่ใช่ตัวหนังสือที่แท้จริง แต่ลุงปรีชาไปขอก๊อบปี้มาจากลุงจำลองอีกที แปลกตรงที่ว่า การก๊อบปี้นั้นประณีตเหลือเกิน กล่าวคือ ได้มีการจัดรูปเล่มออกมา เหมือนต้นฉบับเป๊ะๆ ผิดกันตรงที่หน้าปก ที่เป็นขาวดำ ไม่ใช่สีอย่างของเดิม

อดีตเสนาธิการทหารคนดังแห่งกองทัพบก และเสนาธิการตัวจริงแห่งกองทัพนักรบมือตบ เล่าแนบท้ายตอนให้ยืมหนังสือว่า ด็อกเตอร์ ดันแคนคน แม๊คคาร์โก้ เขียนหนังสือเรื่อง จำลอง ศรีเมือง และการเมืองใหม่ จากข้อมูลมากมาย เมื่อครั้งทำวิทยานิพนธ์ ตอนเรียนปริญญาเอก ที่ SOAS , School of Oriental and African Studies , University of London

นักวิชาการคนนี้ให้ความสนใจในศิลปะ – วัฒนธรรม และการเมืองในเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้มาก เมื่อเขาศึกษาในระดับ ด็อกเตอร์ จึงเลือกที่จะมาวิจัย เกี่ยวกับวัฒนธรรมการเมือง ในประเทศไทย และตอนทำวิทยานิพนธ์นั้น เขาเทียวไล้เทียวขื่อ เมืองไทยไม่ใช่น้อย จนรู้จักเพื่อนฝูง ในแวดวงวิชาการ –การเมือง และนักคิดนักเขียนมากมาย

เมื่อจะลงมือเก็บข้อมูลจริงจัง เขาถึงกับมาฝังตัวในเมืองไทย โดยขอใช้ห้องทำงาน ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีนักวิชาการ มากมายในคณะนี้ และนอกรั้วจุฬาฯ ให้ความร่วมมือกับการวิจัยเต็มที่

ในจำนวนนั้น มีชื่อดร.สุจิต บุญบงการ –อ.ประหยัด หงส์ทองคำ –ดร.ปณิธาน วัฒนายากร –ดร.สมบัติ จันทรวงศ์ และ “งามพรรณ เวชชาชีวะ กับครอบครัวของเธอ” ติดอยู่ในบรรทัดขอบคุณที่บทนำ อย่างโดดเด่น ในฐานะผู้ช่วยเหลือ ด้านการค้นหาข้อมูล ภาคสนาม โดยมีชื่อของ “วสันต์ ภัยหลีกลี้” รั้งท้ายในฐานะเพื่อนรัก จากสถาบันเดียวกัน ที่ช่วยด้านข้อมูลดิบ เกี่ยวกับประเทศไทย และประวัติศาสตร์การเมืองไทย

หนังสือเรื่อง จำลอง ศรีเมือง และการเมืองใหม่ในเมืองไทย เป็นหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นมา ภายหลังจากที่ ด็อกเตอร์ดันแคน สำเร็จปริญญาเอก ในปี 1993 เขาเก็บเนื้อหาจาก งานวิจัยที่เยิ่นย่อ ทบทวนและคัดเอาแต่ข้อมูลเนื้อๆ มารวบรวมเป็น พอกเกตบุ๊ค จัดพิมพ์โดยบริษัท Hurst & Company, London และจำหน่ายในเดือนเมษายน 1997

หนังสือเล่มนี้แค่เริ่มต้นในบทนำก็ตื่นเต้นชวนค้นหาหน้าต่อไปเสียแล้ว เพราะดร.ดันแคน เก็บข้อมูลจากทุกส่วนที่เกี่ยวกับการเมือง ทุกคนให้ข้อมูล ทัศนคติ และ มุมมอง ไปในวันข้างหน้า ที่ว่าด้วยเรื่องปัญหาเมืองไทย ที่ตกหล่มการเมืองเก่า และต้องมีการเมืองใหม่ มาแก้ไข

แปลว่า คนสำคัญๆ ในบ้านเราทุกภาคส่วน ล้วนแต่มองเห็นปัญหาการเมืองไทย อย่างต้องตรงกันว่า มีที่มาจากวงจรอุบาทว์ อันประกอบด้วย นักการเมืองสามานย์ นายทุนฉ้อฉล และข้าราชการทรยศ ต่างผนวกกัน บนความละโมบโลภมาก

ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามเรียกร้องการผลัดเปลี่ยนกระบวนทัศน์ทางการเมือง เพื่อเปลี่ยนประเทศไทย ให้ใสสะอาด บนรากฐานของ ความตรงไปตรงมา ที่ปราศจาก แรงจูงใจของ “อำนาจเงิน” และ “อำนาจการเมือง”

น่าสนใจอย่างยิ่งตรงที่ว่า คนสำคัญๆ ในบ้านเราที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มนี้ร่วมกับ “ลุงจำลอง” ลุกขึ้นมาพูดและถกเถียงถึงเรื่อง “การเมืองใหม่” เมื่อ 19 ปีที่แล้วเป็นอย่างน้อย หรือบางที อาจมากกว่านั้นก็เป็นได้ใครจะรู้

ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ใช้วิธีการเขียนแบบ Autobiography กล่าวคือ เป็นการเขียน อัตชีวประวัติบุคคล ด้วยการสัมภาษณ์ตัวตนที่แท้จริง จากปากคำของ พลตรีจำลอง ศรีเมือง และสอบถามความเห็น ไปยังบุคคลรอบข้าง ทั้งฝ่ายเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย

การใช้ชีวิตพลตรีจำลองเป็นตัวเดินเรื่องทั้งหมดนั้น คนเขียนเขามองในมุมของ “การเมือง” แต่เพียงประเด็นเดียว โดยเริ่มต้นบทแรก จากการเมืองไทย กับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง สังคม และเศรษฐกิจ

ตามมาด้วยขนบธรรมเนียมปฏิบัติที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในการเมืองไทย แต่ก็เกิดเป็นประจำคือ การปฏิวัติ – รัฐประหาร-ยึดอำนาจ ด้วยคณะ นายทหาร ซึ่งผลที่ตามมาคือ วังวนของอำนาจ เผด็จการ เติบโตเข้มแข็ง แต่ความน่าเชื่อถือของประเทศหดหาย

จากนั้นเขาจึงเข้ามาถึงประวัติชีวิตของพลตรีจำลอง ศรีเมือง ตั้งแต่ยังเยาว์วัย และไล่ไป ตั้งแต่ครั้งเรืองอำนาจกับปฏิบัติการ “ยังเติร์ก” ที่ฉายภาพ ความเด็ดขาดของ พลตรีจำลอง ในเหตุการณ์เดือน ตุลาคมทั้งสองครั้ง และผ่านมาถึง จุดเริ่มต้นการเมือง ด้วยตำแหน่ง เลขาธิการ นายกรัฐมนตรีในสมัย ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์

ดร.ดันแคนพาชีวิตของพลตรีจำลองโลดแล่น และลัดเลาะการเมืองไทยไปแต่ละยุคแต่ละสมัย เขาลงน้ำหนัก กับการเมืองใหม่ ของพลตรีจำลอง เป็นครั้งแรก ด้วยความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับ “สันติอโศก”

โดยผู้เขียนเขามองว่า สำนักสงฆ์แห่งนี้มีอิทธิพลทางความคิด และเป็นฐานการเมืองที่ยิ่งใหญ่ ของพลตรีจำลอง โดยเฉพาะ สมัยที่ตัดสินใจ ลงสนาม “ผู้ว่ากรุงเทพมหานคร”

จุดนี้เองที่ “การเมืองใหม่” เริ่มลงหลักปักฐานในนามกลุ่มพลังธรรม และพัฒนาเป็น พรรคการเมือง ที่มีบทบาทสำคัญ กับการเมืองไทย ในเวลาถัดมา

ผู้เขียนตีแผ่สำนักสันติอโศกกับการเมือง และศาสนาถูกขยายลึกลงไปในประวัติศาสตร์ ถึงเบื้องหลัง การเมืองไทย ที่มักจะมีคณะสงฆ์ เป็นตัวแปรสำคัญ มาตั้งแต่ครั้งในอดีต

นั่นคือเหตุผลของความผูกพันระหว่างประชาชนกับศาสนา ทำให้ธงการเมืองที่เข้มแข็ง ถูกโบกสะบัด นำวิถีประชาด้วยผ้าจีวร มานับครั้งไม่ถ้วน

ครั้นพลตรีจำลองถือธงธรรมนำหน้าโดยมีสันติอโศกเคียงบ่าเคียงไหล่ ในบทสัมภาษณ์ตอนนี้ เริ่มฉายภาพ ให้เห็นชัดเจน ถึงแนวทาง การเมืองใหม่ ของพลตรีจำลอง ศรีเมือง ในฐานะผู้ชนะ “ม้วนเดียวจบ” บนสนามผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ซึ่งถือเป็นสนามแรกเริ่ม เพื่อชิมลาง การเมืองใหม่

พลตรีจำลองพูดถึงการเมืองใหม่ว่า เป็นการปรับกระบวนทัศน์ของคนในสังคมใหม่ ให้หันกลับมายึดถือ “จริยธรรม” และเชื่อมั่นในพลังของ “ธรรมะ” เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น อย่างยั่งยืน โดยไม่ทิ้งรากเหง้า ของตัวเอง โดยปักหมุดบนเวทีการเมือง ที่เปี่ยมคุณธรรม และบริหาร ชาติบ้านเมือง ด้วยจริยธรรม

“ศาสนากับการเมือง เกี่ยวพันกันอย่างแยกกันไม่ออก” พลตรีจำลองบอกไว้ และ ต่อไปว่า “เพราะศาสนาคือ รากเหง้าของมนุษย์ คือ แหล่งศิลปะ วิทยาการ และการบ่มเพาะ ศาสนา คือ ธรรมะในจิตใจกับการปฏิบัติที่งดงาม ตามครรลอง ถ้าการเมืองไม่มีศาสนา มาข้องเกี่ยว การเมืองนั้นๆ จะวุ่นวายสับสน และเดินลงสู่หุบเหว แห่งการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ผลประโยชน์ มัวเมาในอำนาจ และปราศจาก การพัฒนา อย่างที่ควรจะเป็น” พลตรีจำลองระบุรายละเอียด ในความตอนหนึ่ง ของบท Chamlong and Santi Asoke

หนังสือเล่มนี้ยังกล่าวถึงการเริ่มต้นการเมืองใหม่ในศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ของพลตรีจำลอง “จำลอง” กับนโยบายต่อต้าน การทุจริต- คอร์รัปชัน ทุกรูปแบบ การปฏิเสธ อามิสสินจ้าง ไม่ซื้อสิทธิ ขายเสียง การดำรงตนของนักการเมือง และข้าราชการ ด้วยความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน

โดยผนวกกับการนำแนวคิดวิถีพุทธมาสู่ฟันเฟืองทั้งระบบ จนถึงรายละเอียดปลีกย่อย เช่น การแก้ปัญหา “สุนัขจรจัด” ด้วยการทำ “ทุ่งสีกัน” จนพัฒนาไปสู่ “โรงเรียนผู้นำ” และ “มูลนิธิสุนัขจรจัด” เป็นต้น

ยุคการเมืองใหม่ภายใต้ “พลังธรรม” ปักธงที่สนามกรุงเทพฯ นั้น ดร.ดันแคน เจาะใจ พลตรีจำลอง บนถนนการเมืองเก่า กับแนวคิดการเมืองใหม่ ที่ระบุว่า การต่อสู้ ทางความคิด ได้เริ่มต้นที่จุดนี้ และเดินทางไปสู่การชุมนุม ต่อต้านอำนาจ เผด็จการทหาร โดยขบวนนักศึกษา ปัญญาชน และชนชั้นกลาง ในเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” ที่ผู้เขียนให้บทสรุป ที่เจ็บปวด บนซากปรักหักพัง ของประเทศว่า No Winners, Only Losers ไม่มีใครชนะ มีแต่ผู้พ่ายแพ้

และบทสุดท้ายจากจำนวนทั้งสิ้น 9 บท 298 หน้า ดร.ดันแคน แม๊คคาร์โก้ ลงท้ายด้วยคำถามว่า แล้วการเมืองใหม่ ของพลตรีจำลอง กับสันติอโศก พร้อมแนวร่วมของเขาล่ะ จะประสบความสำเร็จ ในสังคมไทยมากน้อยแค่ไหน? หลังจากที่พลังธรรม ผุดขึ้นเป็น หน่ออ่อนๆ ในสังคมการเมืองไทย ที่หน้าไหว้หลังหลอก!!!

แล้วหนังสือเล่มนี้ยังตั้งข้อสังเกตอีกด้วยว่า การเมืองใหม่ภายใต้ธงธรรม จะนำน้ำดีมาไล่น้ำเสีย ได้หรือไม่? และประเด็นนี้ ถูกจริตคนไทย อย่างนั้นหรือ?

พลตรีจำลองตอบไว้ด้วยความมุ่งมั่นเมื่อ 19 ปีที่แล้วว่า “ได้” และ “ไม่แน่”

ใครจะเชื่อว่า 19 ปีให้หลังคำตอบของพลตรีจำลองจะเปลี่ยนไปเป็น “ได้” และ “ใช่” เมื่อกองทัพธรรม มาบรรจบพบกับขบวนการ “กู้ชาติ” ในนาม “พันธมิตรฯ” ที่ก่อเกิดกระบวนการ “ประชาภิวัฒน์” ของประชาชนที่ลุกขึ้นสู้เพื่อ “การเมืองใหม่”

นี่คือหนังสือสำคัญอีกหนึ่งเล่มที่พูดถึงชีวิต –และความคิดทางการเมืองของ พลตรีจำลอง ศรีเมือง กับแนวคิดการเมืองใหม่ ที่เผยโฉม มาในนาม “ก้อนหิน” ถามทางบนถนนการเมืองเก่า เมื่อ 19 ปีที่แล้ว

เหลือเชื่อ “การเมืองใหม่” กลับมาอีกครั้งในวันนี้ โดยการปลุกปั้นของผู้ชายสองคน ที่มาจากสองขั้วชีวิต ที่แตกต่างกันลิบลับ คนหนึ่งคือ “มหาจำลอง” และอีกคน คือ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ภายใต้ “ธงธรรม” ผืนเดียวกัน

หนังสือ จำลองกับการเมืองใหม่ เหมือนสัญญาณการเปลี่ยนแปลงเมืองไทยชนิด “หน้ามือเป็นหลังมือ”

โดยมีสารเร่งปฏิกิริยาสูตร “เทียนแห่งธรรม” พะยี่ห้อ “อรชุนน้าวศร”

เพียงแต่วันนี้ “อรชุน” ติดงานคอนเสิร์ตการเมือง ที่ลอสแองเจลิส ในวันที่ 14 มีนาคม

ขอให้รอกลับมาจากปราศรัยที่อเมริกาก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยว “อรชุน ผู้อวตารในภาค นักสื่อสารมวลชน” จะแผลงศร ชุบการเมืองใหม่ เพื่อจุดเทียนแห่งธรรม นำปัญญาไปไล่ นักการเมืองจัญไรให้ดู

ก่อนจากไกลไปอเมริกา “อรชุน ทิ้งทวน” ร่ายวัฏจักรการเมืองอุบาทว์ไว้ เมื่อคืนวันอังคาร ที่ผ่านมาทาง ASTV NEWS 1 ตอน 20.30 น. ทั้งเจ็บ ทั้งแสบ เหมือนราดทิงเจอร์ ใส่หมาขี้เรื้อน –รัฐบาลพลิกขั้วและทหารเฉโป.