เรื่อง วิหารหินฟ้า ๑ (ค่าสัมประสิทธิ์แห่งโพธิ)
 560313 รายการขอบุญโฮม ที่ศีรษะอโศก โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์

ฤกษ์งามยามดี ฝนฟ้าก็ปรอยมาทำให้ชุ่มเย็น วันนี้ฝนตก ต้องใส่บาตรที่ ในศาลาบุญถ่วม 

ในเรื่องความเป็นชีวิต ก็ต้องบอกย้ำซ้ำซากว่า พระพุทธเจ้าคือ ผู้ศึกษาชีวิตมนุษย์ และเรื่อง สังคม ท่านสำเร็จเรื่อง มานุษยวิทยา มีประสิทธิภาพ ในการกำหนดจิตตัวเอง ให้จิตตัวเอง เป็นตัวสั่ง กำหนดให้ทำเช่นนั้นเช่นนี้ ได้อย่างละเอียดลออ และเก่งกว่าสั่งอีกคือ มีธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ สามารถ วิจัยธรรม ทั้งนอกและใน ทั้งรูปธรรม และนามธรรม  วิจัยได้เร็ว อะไรดี อะไรไม่ดี ไม่ดีไม่ทำ ที่ดี จนเก่งถึงขนาด อัตโนมัติเลย มันวิจัยเอง โดยไม่ต้องควบคุม ระมัดระวัง จิตตัวนี้เรียกว่า จิตตถตา พระพุทธเจ้า ได้ชื่อว่า "ตถาคต" เป็นผู้ทำให้จิต สำเร็จความจริง อย่างสัมบูรณ์ มันจัดแจงเลือกเฟ้นเอง มันทำงานอัตโนมัติเลย

นี่คือความรู้ของพระพุทธเจ้า ที่ได้ศึกษาฝึกฝน ได้แล้วเอามาประกาศ ให้คนได้รู้

คนทั่วไปก็ทำเองโดยอัตโนมัติ เรียกว่า สัญชาติญาณ คือญาณ ที่สั่งสมมาเป็นชาติ ที่บังเกิด แล้วทำงาน แล้วมันทำของมันเอง ไม่ได้ควบคุม หลายอย่าง มันก็ทำไปเอง มันจัดแจงของมันเอง แต่ละคนมี แต่มันไม่เก่ง ไม่มีปัญญาลึกซึ้ง จะจัดแต่งควบคุม จัดการกิลสได้ ถ้าจะทำอย่างล้างกิเลส ต้องเรียนรู้ แล้วมีวิธีกำจัดมัน อย่างถูกตัวถูกตน ได้อย่างเด็ดขาด สมบูรณ์ได้

ผู้ที่ได้เรียนและฝึกมาตามลำดับ โสดาฯ สิกทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ท่านแบ่งบุคคล เป็นหลายอย่าง แบ่งเป็นสาย พุทธิจริต ก็เป็นสายปัญญา ส่วนสายศรัทธา ก็เอาความเชื่อ เป็นตัวนำ แบ่งเป็น สัทธานุสารี และธัมมานุสารี

ธัมมานุสารี คือผู้เลือกเฟ้นธรรม คือสายปัญญา รู้จักพุทธรรม ให้ถูกทฤษฏี อย่างถูกต้อง ตั้งแต่ต้น รู้จักรูปและนาม ที่ทำงานปรุงแต่ง อยู่ตลอดเวลา ไม่แยกกันเลย มีคุณสมบัติ บวกลบ หรือมีคุณสมบัติ และโทษสมบัติ ของรูปและนาม

ผู้ใดสามารถรู้จักรูปและนาม ต้องพยายามมาแยกแยะ ตั้งแต่ มหาภูตรูป แล้วเนื่องไปสู่ อุปาทายรูป เนื่องไปถึงนามธรรมภายใน เป็นเหตุปัจจัย ต่อเนื่องกันไป แต่คนไม่มีญาณหยั่งรู้ว่า มันเป็นอัตตา ที่ห่างไกล จากกิเลสหรือยัง คือผู้ที่ได้ลดละกิเลส ได้หรือยัง เมื่อเราสามารถ ทำอัตตาเรา ให้อาศัยได้แล้ว เราก็ใช้อาศัยอยู่อย่างสบาย

พระพุทธเจ้าท่านได้ศึกษาเรียนรู้ ความเป็นมนุษย์ ละเอียดลออ ถึงรูปและนาม ถึงพลังงานในจิต ที่ละเอียดชนิดที่ ไม่มีใครรู้เท่าท่าน ในแต่ละยุค จะไม่มีพระโพธิสัตว์ ที่จะมามีความรู้ ใกล้เคียงกับ พระพุทธเจ้าเลย อย่าว่าผู้ที่จะเสมอ ก็ไม่อยู่ในฐานะ ที่จะมีได้ ท่านไปไกลกว่า คนอื่นมากมาย  

แม้แต่พระโพธิสัตว์นั้น  ก็ยังเห็นว่า ความรู้ความจริง ที่พระโพธิสัตว์มีนั้น คนอื่น ไล่ไม่ทันหรอก อัตราเร่ง ท่านสูงกว่า อย่างเทียบไม่ได้ นี่คือ ภาวะสัจจะที่เป็นจริง อย่างโลกๆ เขาพูดว่า แข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แต่จะแข่งบุญวาสนา แข่งไม่ได้ นี่ก็จริง แต่ที่พูด ก็อย่าท้อถอย  ต้องติดตามใกล้ชิด ติดตามผู้มีบุญวาสนา ให้ใกล้ชิดเลย

ผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว อยู่ในร่างฆราวาสก็มี ในร่างนักบวชก็มี แต่ผู้มาบวช โดยปัญญา ปฏิภาณ มาบวชนี่เน้นโลกุตระ ไม่ได้เน้นไปโลกียสุข ต้องชัดในประเด็นนี้เลย ถ้าผู้ใดยังไม่ชัด มาบวชแล้ว ก็ยังหาทางไปล่าโลกธรรม ล่ากามอยู่ ไม่หาทาง ลดละกิเลส ผู้นั้นก็ไม่ชัดเจน ทำให้ศาสนาเสื่อม ผู้มาบวช ประกาศต่อประชาคม ว่าจะมาเป็น โลกุตรบุคคล เวลามาปฏิบัติ ก็ทำอย่างสัญญาประชาคม เขาก็ให้เกียรติ เขาก็ศรัทธา มีอภิสิทธิ์เยอะนะ

ส่วนผู้ที่ไม่บวช เป็นฆราวาสก็ปฏิบัติ บางคนมีคุณธรรม มากกว่านักบวชก็มี บางคนมีวิบาก ไม่ได้มาบวช แต่มีบารมีทางธรรมเยอะ ยกตัวอย่าง คุณจำลอง พอมาเห็นว่าอย่างนี้ ที่ต้องไปล่า ลาภยศ สรรเสริญ สุขนั้น เป็นเรื่องผิด เขาก็สละออก ลดละไป ก็ทำได้ มีคนที่เข้าใจ อย่างคุณจำลองมาก แต่ก็ไม่มีบารมี ก็ทำไม่ได้ แต่จะทำอย่างไร ก็ต้องฝึกฝนทำ ใส่ใจให้มาก ยิ่งไม่มีบารมี ยิ่งต้องใส่ใจให้มาก บุญวาสนา เราเตี้ยต่ำ เราก็ต้องยิ่งทำ สั่งสมเพิ่ม เจริญให้ได้มากขึ้นอีกๆ ต้องคิดให้ถูก

สรุปว่า เกิดมามีชีวิต ควรที่สุดต้องมารู้ มาศึกษา ให้ได้ธรรมะ ของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่ศึกษา ก็จะเกิดมา อีกกี่ชาติ ก็จะมาล่า ลาภยศ สรรเสริญสุข เป็นคู่วิบากกันมา ไม่รู้กี่ชาติ แก้แค้นกันมา ไม่รู้กี่ชาติๆ สารพัด เพราะไม่รู้ เลยไม่เข็ดไม่หลาบ ถ้ารู้แล้วก็เข็ดหลาบ มาตั้งใจลดละ ทำจริงก็เป็นได้จริง

ถ้าชัดเจน มีสัมมาทิฏฐิ ว่าพุทธเรา ยังมีผู้รู้นำพาไปได้ พ่อครูว่าชาวอโศก ที่พ่อครูพาทำ อย่างสัมมาทิฏฐิ เกิดจากผู้เข้าใจ แล้วเอาตัวมาปฏิบัติ รวมกันเป็นสังคม ตามกิเลส ก็ยังมีบ้าง แต่เป็นโสดาบัน เป็นต้นไป รู้จักทางไปสู่นิพพานแล้ว (อลมริยา) ก็ต้องเรียน รู้จักกิเลส สักกายะ ตัวเรายังทำไม่ได้ ก็ต้องให้อาหารมันบ้าง แต่ตัวที่เรามุ่งมั่น ลดละ ในระดับอบาย ของแต่ละคนๆ ซึ่งจะไม่เท่ากันหรอก ความต่ำของใคร ก็ของมัน แล้วเราก็เอาขั้น อบายก่อน อย่าตะกละ ทำไม่มีขอบเขต ทำไม่ได้หรอก ธรรมะพระพุทธเจ้า ลาดลุ่ม อย่างฝั่งทะเล ไม่โกรกชัน เหมือนเหว จะทำอย่างมีลำดับ ได้แล้วเสร็จเกลี้ยง ไม่กลับคืน ไปตามลำดับ ให้กำหนดโดยตนเอง (เอโก) แล้วก็เอกังสะ (เป็นของตนเอง) รู้กิเลสตน แล้วก็กำจัด ตัวแรกคือ สักกายะ เมื่อกำจัดได้ อย่างไม่ลังเลสงสัย ก็ทำอย่างมี ศีลพรต ตามที่เรารู้หลักเกณฑ์ มรรคองค์ ๘ ทำให้มีสัมมาสมาธิ ของพระอาริยะ มีสติสัมโพชฌงค์ มีสติปัฏฐาน แล้วทำให้มีคุณภาพ ถึงขั้นตรัสรู้ ลดละกิเลส กำจัดได้จริง อย่างถาวร นั่นคือปัญญาพุทธะ ตามเห็นความไม่เที่ยง ของกิเลส แล้วปหาน ๕ เมื่อทำได้แล้ว ก็ทำให้มาก ทำซ้ำ จนมันเป็นอย่างถาวร ทำอย่างไม่ประมาทเลย ไม่กลับกรอก กลับกำเริบ

ในภาคปฏิบัติที่เป็นมรรค คือทำอย่างสัมมาทิฏฐิ ต้องมีสติกับความเพียร ประกอบเสมอๆ ตามสัมมาทิฏฐิ ที่เป็นตัวนำร่อง รู้นำแล้วสั่งการ ทำงานปฏิบัติไป ให้มีสติสัมโพชฌงค์ มีสติปัฏฐาน รู้กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม แล้วมีโพชฌงค์ ๓ เป็นตัวทำ หรือขยายเป็น โพธิปักขิยธรรม ๓๗  มีมนสิการ ซึ่งการทำใจในใจนั้น ไม่ได้ขาด จากภายนอก มีการกระทบทวารนอก แล้วมีการปรุงแต่งอย่างไร ตามความเป็นจริง หรือ ปรุงเป็นสุขทุกข์ เราก็วิจัย ถ้าวิจัยไม่ออกก็หยุด ถ้าเราไม่ให้มันแล้ว จะเห็นมันดิ้น นี่คืออุบายเครื่องออก มันอยากได้อันนี้ เราไม่ให้มัน (กาม โลกธรรม อัตตา) จะเห็นความเป็นสัตว์นรก ถ้าติดมาก ก็เป็นสัตว์นิรยะ ดิ้นพราดๆ ถ้าไม่ถึงดิ้นพราด ก็เป็นเปรต ใจมันอยากๆๆๆ บางทีก็ออกมา ให้คนอื่นเห็นได้ มันอยากแสดงแต่ก็อดไว้ คิดว่าไม่มีคนเห็น แต่มันก็ปิดไม่มิด บางคน ออกมาทางสายตา ตามันมีแววแห่งกาม แววแห่งพยาบาท ก็ได้ ยิ่งออกมา ทางวาจา กาย ก็เป็นได้ คนมีปฏิภาณปัญญา ก็อ่านออก

เป็นเรื่องของจิตของกายที่เป็นจริง ถ้าตั้งใจศึกษาอันนี้แล้ว เป็นสิ่งสนุก เป็นสิ่งวิเศษ จะรู้ว่า เรานั้น ตะกละตะกรามน่าดู ไอ้นี่ก็จะได้ จะมีจะเป็น น่าดูเลย จะเห็นความจริงว่า เราไปหลงอะไร ถ้าเราลดได้ ตัวเราก็จะแข็งแรง จะสมตัวพอเหมาะ (ปโหติ) เราลดไม่ให้มัน สุขภาพกลับจะดี แม้คนผอม พอมาลดละอันนี้ ก็อ้วนขึ้น ส่วนคนอ้วนมาลด ก็แน่ล่ะ ว่าผอมลง ส่วนนามนั้นยิ่งชัด ถ้าลดความโลภ พลังจะเกิด ยิ่งลดยิ่งมีพลังดีขึ้นๆ เมื่อลดได้ ก็ยิ่งแข็งแรง มีพลังสร้างสรรได้มาก วิมุติ มีพลังเป็นเครื่องแสดง มีการสร้างสรร เพิ่มขึ้นจริงๆ ยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์ ยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์ใดๆ สามารถจัดแจงกายใจเรา แล้วเราก็บอกคนอื่น ให้ไปทำเองได้ ทำได้ก็เกิดปัจจัตตัง (ปัจจัตตะ คือของส่วนตน) ปัจจะคือสว่าง อัตตาคือตัวตน รวมคือ สภาวะอันสว่าง ด้วยตัวเอง ตัวเองทำได้เอง มีสภาวะของตนเอง วิญญาณเรา ก็เจริญขึ้นๆ โดยมีเวทิตัพโพ ได้ความรู้ของ พระพุทธเจ้า แล้วไปเป็นของตนเอง  

ผู้ปฏิบัติไตรลักษณ์ ที่เป็นสามัญลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป อย่างสามัญ แต่ผู้ปฏิบัติแบบพุทธ จะรู้ไตรลักษณ์ของกิเลส จนมันไม่ตัวตน ได้หยุดได้ ที่เราไม่เคยหยุด พลังงานโง่ มันพาสังขารไป แต่เราหยุดได้ อย่างเที่ยงแท้ ทำอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของกิเลสได้ อย่างเที่ยงแท้ ผู้ที่ได้ลักษณะ ไตรลักษณ์เช่นนี้ เรียกว่า "ปัจจัตตลักษณ" ซึ่งสูงส่งกว่า สามัญลักษณ์ ที่ทุกคนก็มีเหมือนกัน แต่เราจะรู้ว่า จะมีไตรลักษณ์กับกิเลส เป็นเป้าหมายสำคัญ แล้วดับมันได้ อย่างเที่ยงเลย โดยความหมด เหตุแห่งทุกข์ ถ้าเราสามารถ ปฏิบัติได้ชัดเจน เราก็จะดับอัตตาไปเรื่อยๆ เป็นปัจจัตตลักษณ์ จนถึงอนัตตา ก็จะชัดเจนๆ ชาวอโศกเรามีบารมีบ้าง เข้ามาเรียนรู้ ไม่ใช่ว่าพ่อครู สอนหมดทุกอย่าง

สรุปว่าชีวิตคน พระพุทธเจ้าให้มาศึกษาชีวิต และสังคม ต้องศึกษาไปถึงจิต ที่เป็นประธาน แล้วก็จัดการ ให้หมดอกุศลเหตุ ทำได้สนิทจริง เป็นปัจจัตตลักษณ์ เป็นปัจเจก แล้วก็เป็น สยัง อภิญญา แล้วก็เป็นสยัมภู คือพระพุทธเจ้า เจริญสูงสุด

พ่อครูก็นำพาให้มาพากเพียร มันเหนื่อยก็พัก มีคนต้านมาก็รับไว้ ถ้าประเด็น น่าสนใจ ก็หยิบมาอธิบาย ให้เกิดความเข้าใจ เพิ่มขึ้นอีก

มาพูดถึงพวกเรา มีผู้มีบารมีบ้าง ผู้ที่ไม่มีบารมีจริง คืออเวไนยสัตว์ มันไม่เอา จะไปเอาโลกๆ ทำทุจริตเลวทราม พูดไปไม่เข้าหูเลย ไม่ใส่ใจเลย ผู้อเวไนยสัตว์มีมาก และยังมี ผู้ที่เป็นเวไนยสัตว์ ที่แสวงหา แต่ก็ไปเมาอยู่กับโลกียะ ที่ถูกคนมอมเมา ลวงว่าเป็นโลกุตระ ก็ได้แต่สวรรค์เก๊ เป็นเทพบุตรมาร เป็นมารแต่ปลอมตัวเป็นเทพ ส่วนผู้แสวงหา ที่ไม่พยายามจะทำต่ำ แต่ก็ยังพอมีภูมิปัญญา ใส่ใจ พากเพียร แต่ก็ยังอยู่ในเขตของ อเวไนยสัตว์ ดีไม่ดี เป็นคนเก่งด้วย เรียกว่า ปทปรมะ (ปทคือบทเรียน) คือผู้รู้ธรรม สอนธรรมมาก แต่ตนไม่ได้บรรลุธรรมเลย มีสอนถูกสอนผิด ก็มาก แต่ชาตินั้น ก็บรรลุธรรมไม่ได้ ในชาตินั้น แล้วก็เถียงเก่งด้วยนะ วนไปวนมา เป็นอเวไนยสัตว์ ระดับปทปรมะบุคคล ก็น่าสงสารอยู่ เขายึดของเขา

ผู้ที่พ้นอเวไนยสัตว์ สามารถมองเห็นสมณะพราหมณ์ ผู้ปฏิบัติดีก็มี เอาความรู้ไปใช้ แต่ไม่บอกเรา กลัวเสียเหลี่ยมกำนันก็มี ก็ให้แอบเอาไปเยอะๆ ผู้ที่ไม่แอบ มาขอเลย ก็ยิ่งยินดี กลายมาเป็น เวไนยสัตว์ เป็นผู้สอนได้ แล้วรู้ได้ ทำได้ก็บรรลุธรรม จึงมีคนได้ทำตามธรรม สมควรแก่ธรรม คือผู้ที่
๑.ได้พบสัตบุรุษ ๒.ฟังสัทธรรม ๓.โยนิโสมนสิการ ๔.ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ (ปัญญาวุฒิ ๔)

เมื่อปฏิบัติได้บริบูรณ์ ทำสุจริตกรรม ๓ ได้บริบูรณ์ ในอวิชชาสูตร เมื่อได้ธรรมสมควรแก่ธรรม จึงมีบุคคลมารวมตัวกัน เป็นหมู่กลุ่มชาวอโศก ก็ไม่ได้คิดมาก่อน ว่าจะมีหมู่กลุ่ม แต่ก็เกิดมา จนบัดนี้ มีวัฒนธรรมอโศกแล้ว เราทรงไว้ซึ่งธรรมะ เป็นสังคม ที่เป็นกลุ่มโลกุตรธรรม เป็นชาวอริยกะ ไม่ใช่ชาวมิลักขะ เมื่อมาประชุมกัน เราก็มีปัญญา รู้ว่า อย่างนี้มีแนวโน้ม ไปสู่พระนิพพาน (อลมริยา) ก็จะยอมกัน ก็มีไม่ยอมกันบ้าง ตามกิเลส แต่เมื่ออยู่ในหมู่ สิ่งที่ถูก ก็จะมีมากกว่า ต้องใช้มติหมู่กลุ่มเป็นหลัก อย่าไปทำตามใจตัว ตามอัตตาตัว ก็เจริญมาได้ทุกวันนี้ เกิดทั้งรูปทั้งนาม ทั้งวัตถุ ทั้งนามธรรม ก็เจริญ วัตถุก็ค่อยๆงอกเงยไป คนเขาก็เห็นว่า พวกเรารวย แต่ในพวกเรานั้น แต่ละคนก็รู้ว่า ไม่สะสม แต่มันไปสะสม อยู่กับส่วนกลาง เราเองใช้น้อย กินน้อย แต่ทำงานมาก ลงทุนน้อย แต่ประสิทธิภาพมาก เหมือนในหลวง ท่านตรัสว่า ขาดทุนคือกำไร คนเขาซักต่อ ก็ว่าอย่างนั้นแหละ ก็อธิบายไม่ออก บางอย่าง พ่อครูก็อธิบายต่อไปไม่ออก

เราก็มีกรรมกิริยา สร้างสรรไป อย่างมีสรรถนะ มีประสิทธิภาพ ทั้งที่เราไม่ได้เอากาม เอาโลกธรรม อัตตา มาล่อ ไม่ได้มีอามิส แต่เราทำด้วยใจ เป็นเอโก ตัวเองสมัครใจ พอใจทำเอง มันเป็นกรรม การงานที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่เป็นหนี้ใครเลย มีแต่บุญ ทำให้เขาหมด ไม่เอาตอบแทนเลย ให้เขาหมด เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ ในพวกเรา อาจมีแฝง เอาอามิสบ้าง แต่ก็จะอาย ยิ่งคนไม่มีกิเลสจริง ก็จะยิ่งสร้างสรร มีชีวิตกินใช้ กับหมู่นี่แหละ เราทำเต็มที่ของเราไป ผลการงานก็เกิด ทั้งรูปธรรม ทั้งกรรมที่ทำ เราบอกว่า เราทำอย่างไม่เอา เขาก็ไม่เชื่อหรอก แต่บางคนก็เชื่อนะ ว่าเราทำฟรี แต่เบิกบานสดชื่น คนที่ทำอย่างมีอามิส เมื่อได้มา ก็หน้าแป้นดีใจ แต่พอไม่ได้มา ก็หน้าปุ้ม แต่พวกเรา หน้าแป้นตลอด ทั้งได้มาและไม่ได้มา พวกเรามีพฤติกรรมเช่นนี้ แสดงออกไป คนที่มีปัญญาจะเห็น เราทำไปวันแล้ววันเล่า ยิ่งยืนยัน พิสูจน์ไปเรื่อยๆ

เมื่อการกระทำยืนยันแล้วนั้น ก็พิสูจน์จิตวิญญาณ จิตมันเอาจริง แต่มันทำ แล้วมันไม่เอา ไม่เอาจริงๆด้วย มันไม่มีภาษาจะพูดแล้ว พวกเรานี่ เมื่อชัดเจนแล้ว จะเอาจริง มั่นใจว่า พวกเราที่ตั้งมั่น เรียกว่าเสถียร มีธาตุที่คงที่แล้ว แล้วมีตัวที่ปรับปรุงอยู่ เป็นตัวแปร ที่จะทำกุศล ให้เจริญขึ้นๆ เรียกว่าค่า สัมประสิทธิ์ (Coefficient) ประสิทธิ์คือ การสำเร็จผล โดยมีพลังบวก เป็นพลังเสถียร และมีพลังลบ เป็นพลังเคลื่อน ส่งสมการสังขาร ที่วิสังขาร มีปรุงแต่ดี ไม่มีส่วนไม่ดี ไปปรุงร่วมด้วย หรือเรียกว่า อภิสังขาร ปรับปรุงพลังงาน ให้เป็นสัมประสิทธิ์ ซึ่งมีค่าเป็นตัวคูณ เป็นอัตราก้าวหน้า ถ้าทำได้ถูกต้อง ทำได้จริง .... ใครพอเข้าใจยกมือซิ..... มีคนยกมือหลายคน

จิตจะมีทั้งธาตุที่เสถียร และธาตุที่เป็นตัวแปร จะบวกลบคูณหารกัน แล้วมีการวิจัยธรรม ว่าอันไหนควรทำ อันไหนไม่ควรทำ แล้วจะมีตัวเร่ง เป็นตัวคูณ เราทำได้ถึงบวกก็ได้ดี ถ้าเก่งก็ทำได้อย่าง ขนาดคูณ ถ้าทำได้มากๆ ก็ถึงขนาด ยกกำลังเลย

สัมประสิทธิ์ มีค่าคงที่อันหนึ่ง แล้วตัวแปรที่เกิดผลก็คือ สัมประสิทธิ์ (ประกอบให้เกิดผล) ตัวคงที่คือ อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา จะเรียกว่า พลังงานบวกก็ได้ คนที่มีวิชชา ก็เอาตัวดีเป็นตัวหลัก คนอวิชชา ก็เอาตัวไม่ดีเป็นตัวหลัก แล้วก็เอาไป ปรุงแปรไป ส่วนคนดีมีวิชชา ก็เอาตัวดีมาปรุงแปร เป็นการเจริญ พัฒนาก้าวหน้า 

เช่น มีแกนแน่นเท่านี้ ก็เหวี่ยงได้เร็วเท่านี้ ถ้าแกนแน่นขึ้นอีก ก็จะหมุนเหวี่ยง ได้เร็วกว่าอีก ไปเรื่อย เหมือนกับจิตเรา ถ้ามีตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ คือตัวปรุงจัดแจง ฆ่าตัวไม่ดีออก แล้วก็มารวมกัน เป็นสังกัปปะ ฆ่าตัวไม่ดีได้เท่าไหร่ ก็สั่งสมเป็น สังกัปปะเพิ่มอีก แล้วมันสั่งสมอยู่ ใครมีเท่าไหร่ ก็ใช้ได้เท่านั้น อย่าไปยุ่งกับคนอื่น เขาจัดแจงของเขาเอง

ค่าสัมประสิทธิ์ จึงเป็นสิ่งที่มีตัวคงที่และตัวแปร ตัวคงที่โลกียะ คือสันดาน ตัวแปรคือกิเลส มีกิเลสในสันดานเท่าไหร่ มันก็ทำแรงตามกิเลส ค่าสัมประสิทธิ์ก็แปรไป ตามวิชชา หรืออวิชชา ที่จะมีแรงอะไร มากกว่ากัน แม้รู้ แต่ว่าไม่มีแรงพอ ก็จะไปทำตามกิเลสอีก

คนทำได้ ก็จะชัดขึ้น ทุกขณะที่มีกรรม ก็จะอ่านตน เห็นกระบวนการของ สังกัปปะ ๗ เราไม่ต้องใส่ใจ ในตัวเสถียรมาก แต่ใส่ใจในตัวที่เป็นตัวแปร ตัวเคลื่อน แล้วเลือกทำ สั่งสมเป็นตัวกุศล ให้สะสมเป็นตัวเสถียร เพิ่มขึ้นๆ สั่งสมจนเป็นอดีต ที่เที่ยงแท้ ให้มากๆๆ เป็นสูญ ให้มากๆๆๆพอ จนมั่นใจ อย่างพระพุทธเจ้า ท่านทำมาจริงๆ ไม่มีใครที่จะไล่ทันได้หรอก

ยกตัวอย่าง ร.๙ ท่านสั่งสมมา จนนักการเมือง นักเศรฐศาสตร์ คนไหน ก็ทำได้ ไม่เท่าท่าน ท่านมีแฟนานุแฟนมาก จนใครทำไม่ทันเท่าท่าน

สิ่งที่เป็นจริงพวกนี้ ก็สรุปว่า ชีวิตคือการศึกษา ๓ (อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา) คือศึกษาที่ยิ่งใหญ่ ในจักรวาล และไม่ใช่ไปแยกส่วน ไปนั่งหลับตา แต่ให้เรียนรู้ ไปกับโลกได้ ในวิชาทางโลกก็ทำไป แล้วมันยิ่ง จะทำได้มาก เพราะโลกุตระ ไม่ต้องไปเสียเวลา คิดว่า จะไปเอากำไรอย่างไร ของเราทำไปเถอะ ไม่มีเกี่ยงงอน ไม่ต่อรอง ไม่เปรียบเทียบ ทำไปเลย เมื่อยก็พัก ไม่เมื่อยก็เพียร แม้อโศกเรา กลุ่มเล็กนิดเดียว แต่ทำงานมีผล คนเห็นได้

คนที่มีกลุ่มใหญ่จัดตั้งมาก ใหญ่กว่าอโศก มีมากมาย ในด้านต่างๆ กลุ่มเขามากกว่า อโศกทั้งนั้น เขาเป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน อโศกเรามีไม่กี่พัน แต่เราทำอย่าง ไม่หวงแหน จึงไม่มีพลังงานต้านมาก ถึงกลุ่มไม่ใหญ่ แต่ก็ทำงาน เข้าตากรรมการ จนเขานึกว่า กลุ่มเราใหญ่ เชื่อว่าเรารวย เรามีกำลัง มีวัตถุดิบ มาขออาหาร ขอเต็นท์ ขอคน เขานึกว่า เรามีมาก แต่เขาไว้ใจเรา และ เขาพอใจ เพราะมันขยันทำดี ไม่เกี่ยง ซื่อสัตย์ แล้วเขาได้ฟรี ได้เปรียบ ได้กำไรด้วย เราทำอย่าง ไม่คิดหนี้บุญคุณเลย ทำเสร็จแล้วเลิก ทำอย่างเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา นี่คือคุณสมบัติของ พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่

เราพึ่งแต่หมู่เราก็ได้แล้ว เราไม่เปลืองมาก กินน้อยใช้น้อย แต่ทำงานมากๆ คนอื่น ก็ไม่รังเกียจเรา คนอื่นอยากช่วยเรา ถ้าเป็นวัตถุก็ได้ แต่ถ้าเป็นเงิน ต้องมีกติกาการให้ได้

สังคมเรามั่นใจ ทำมา ๔ ทศวรรษแล้ว พ่อครูบวชมาตั้งแต่ ๒๕๑๓ มาถึงวันนี้ก็ ๔๓ ปีแล้ว เราก็ไปร่วม กับสังคมมากขึ้น หลายด้าน เช่นการสื่อสาร เขาก็อยากให้เรา ไปถ่ายทอด เพราะเราทำให้ฟรี เราร่วมกับสังคมได้เท่านี้ คิดว่าในอนาคต จะถึงรอบที่เป็น รอบการจุดชวาน หรือการถึงจุดสันดาป คือถึงความร้อนเท่านี้ จะเป็นจุดที่ ติดเป็นเปลว คือมันอั้นไว้คนไม่รับๆๆ อั้นๆไว้ จนถึงจุด ก็จะแปรตัวไป เมื่อถึงจุดสันดาป หรือจุดชวาน พอถึงวาระก็จะ อัตราการก้าวหน้าทวี เป็นระดับคูณ ทุกวันนี้ เรามีอัตรา การก้าวหน้า เป็นระดับบวก ไม่หวังถึงระดับยกกำลัง แต่เอาแค่ระดับคูณก็ได้ ทุกวันนี้ เราชนะรายทาง เป็นบวกเรื่อยๆ บวกสูงสุด ก็ได้แค่บวกสิบ แต่มีอัตรา การก้าวหน้า เพิ่มกว่าการบวกเก่าๆ อยู่นะ มีคูณอยู่น้อยๆ

พวกเรา ถ้าใครมีตัวตั้ง เป็นค่าคงที่ ว่าเรามีแค่นี้ กินเท่านี้ ใช้เท่านี้ เราก็พอแล้ว นี่คือค่าคงที่ เราน้อยลงก็พอ เราเจริญ จนกระทั่ง ไม่มีเลยก็พอ สูญก็พอ เราอาศัยใช้กิน เท่าที่จำเป็น ใครจะแบ่งไปใช้ ในทางดีก็ให้ไป มันก็เจริญขึ้น แต่อย่างการกักตุนไว้ ไม่ให้ใคร เศรษฐกิจ จึงติดแหงก เศรษฐกิจเสีย พวกเรามีแต่ เผื่อแผ่ออกไป ไม่กักเก็บนี่แหละ คือนักเศรษฐกิจ ตัวจริง ในไทยเรา มองเห็นเลยว่า ในหลวงเป็นตัวจริง และประชาชนที่เป็น นักเศรษฐกิจตัวจริง คือชาวอโศก

บอกข่าวบ้านราชฯ จะไปซื้อที่ดินอีกแปลง ที่สวย ใกล้ลำน้ำมูน จะสร้างตึกสูง เป็นอาคาร วิหารหินฟ้า หรือ Monolith Xantuary เป็นวิหารหินแท่งเดียว ที่ดินประมาณ ๓ ไร่ คุณฟ้าขวัญ น้องคุณหนึ่งฟ้า เป็นคนเสนอมา ราคา ๒๐ ล้านบาท ต้องรบกวนไปทาง กองกลาง เขาก็บอกว่า ถ้าจะซื้อจริงก็พอได้ แต่ต้องหยุดซื้ออย่างอื่นนะ เราจะสร้างวิหาร ที่เราจะขออนุญาต สร้างวิหาร ที่เกี่ยวข้องกับธรรม ที่จะทำเป็น คอมเพล็กซ์ เป็นที่รวมกิจการ ทั้งอะไรหลายอย่าง ของอโศก กิจการอบายมุข ทุนนิยม เราไม่เอา เราจะเอากิจกา รประดาบุญนิยม มีเข้าไปอยู่ในนั้น ไม่มีปัญหาเลย พ่อครูจะอยู่ดู เพื่อให้คนบุญนิยม มารวมกัน คนบุญนิยมคือ ผู้มีไตรสิกขา มีมรรคองค์ ๘ เราจะขอสร้าง ๑๐ ชั้น ชั้นล่างสุด เป็นที่จอดรถ ชั้นบนสุด เป็นเมรุเผาศพ เราไม่นับ ๒ ชั้น แล้วเรียกว่า วิหาร ๘ ชั้น

คอมเพล็กซ์บุญนิยมคืออะไร?... จะมีทั้งรายผลิตและรายขาย สินค้าบุญนิยม ในนั้น มีที่พักด้วย จะมีลานเอนกประสงค์ ให้ ๑ ชั้นเลย เหมือนสนามหลวง จะจัดงานอะไร ก็ได้เลย นอกนั้น ก็จะมีโรงพยาบาล โรงเรียน มีห้องแล็บ ห้องวิจัย อะไร ก็จะมีที่จำเป็น ส่วนชั้นสูงสุด ให้เป็นชั้นของ การสื่อสารบุญนิยม เรากั้นผนังเบา เอาง่าย สะดวก เหมือนสนามบิน สร้างแล้วรื้อง่ายดาย

การสร้างตึกจะง่าย คือให้แข็งแรง และให้โล่งที่สุด จะเป็นตึก สี่เหลี่ยมคางหมู ทำเผื่อรับน้ำ  หนักให้มาก ให้มีเสาให้น้อยที่สุด อาจมีเสากลางใหญ่ และมีเสาเล็กรอบๆดึง หรือจะให้โล่งหมด ไม่มีเสาเลย ตลอดสิบชั้นเลย จะดีมากๆ จะมีสังคมกลุ่ม เป็นวัฒนธรรมชาวพุทธ มีกรรมกิริยา อย่างนี้แหละ

มาดูว่า เรามาจน ดีอย่างไร เรามาเสียสละ มันไม่ดีอย่างไร ถ้าคิดว่าดี ก็รีบมาทำ คิดว่าไม่มีดี ก็ไม่ต้องมาทำ คนที่มีปัญญาเป็น เวไนยสัตว์ก็มากัน ไม่เชื่อว่าพวกเรา มาแกล้งทำ มาก็พัฒนาไปให้สูง อย่างมีที่หมาย ให้พวกเราไปอยู่นะ ไม่ใช่สิ้นทางแล้ว ไม่ใช่ มันมีทางจะไปได้อีกมาก เราพัฒนามาแล้ว ก็ยังมีทาง พัฒนาต่อไป

จิตที่เป็นสอุตรจิต คือ เรามีจิตดีแล้ว แต่จิตที่ดีกว่านี้ยังมีอีก คนที่เข้าใจ ลดละมาแล้วได้เป็น สังขิตตัง จิตตัง (สายเจโต) หรือ วิกขิตตัง จิตตัง (สายปัญญา) คือมันได้แล้ว แต่ยังเคร่งคุม (ขี่จยย.เป็นใหม่ๆ มีล้มบ้าง) ยังเนมิตตกตา ไม่กุหนา ลปนาแล้ว คือยังเสี่ยงโชคอยู่ ก็ได้ไปเรื่อยๆ ขยายเพิ่มศีล ไปเรื่อยๆ เรารู้ทิศทาง และทำจริง จิตเราเป็นประธาน เรารู้จิตเราว่า มีสังขิตตะ หรือวิกขิตตะ แล้วก็ทำให้เจริญเป็น มหัคคตะ ไม่ให้เป็นอมหัคคตะ (คือจิตเจริญขึ้น) จากนั้นก็ไปสู่ สอุตตรจิต (จิตที่ดีกว่านี้ ยังมีอีก) ก็ทำให้ดีขึ้นเป็น สอุตตรจิต แล้วทำสูงสุดได้คือ อนุตตรจิต แล้วจะจบอย่าง สมาหิตัง จบอย่างวิมุตติ แต่ถ้ายังมีเศษเหลืออยู่ คืออวิมุตติ

เมื่อทำได้ก็จะชำนาญ มีวิธีทำหลากหลาย มีมโนมยิทธิ คือมีฤทธิ์ ฆ่ากิเลสได้ จนเนมิตตกตา ไปถึง นิปเปสิกตา คืออาชีพเราบริสุทธิ์ แต่เรายังไปรับใช้ ร่วมมอบตัวกับคนผิด เราร่วม แต่เราทำบริสุทธิ์ เช่นเราทำบริษัทที่ไม่บริสุทธิ์ แต่เราทำบริสุทธิ์ ก็ยังไม่ดี เราก็ออกมา ทำส่วนตัวให้สะอาด ไม่ต้องร่วมกับคนผิด หรือมาอยู่กับ หมู่กลุ่มที่ดีเลย ซึ่งคนเขาทำโกง ทำทุจริต มากมายเต็มที่ (ทวีป)

เมื่อเราออกมาบริสุทธิ์แล้ว เราจะไปร่วม เอื้ออนุเคราะห์เขาบ้าง ยามจำเป็นบ้าง จนกว่าจะพ้น ไปตามลำดับขั้น ไปถึงขั้น ลาเภ น ลาภัง นิชิคิงสนตา คือใจไม่ต้องการอะไร ตอบแทนเลย จิตเราไม่ได้ อยากได้อะไรตอบแทน ทำฟรีได้เลย แม้ได้ตอบแทนมา ก็ไม่ได้ยินดี หลงใหล ได้ปลื้ม คนนี้จะทำเหมือนอยากได้ แต่ใจไม่อยากได้เลย ทำได้เท่าไหร่ ก็ทำเข้าส่วนกลางหมด เหมือนคนขมีขมันทำงาน แต่ใจท่าน ไม่ได้อยากเอาเพื่อตัว (เรียกว่า อมตะบุคคล)

ใครไม่เชื่อ แต่เราได้แล้วก็ไม่เป็นไร และท่านจะมี สัจจานุโลมมิกญาณ ทำเพื่อคนอื่นได้ แม้เขาเข้าใจไม่ได้ก็ตาม เราก็ทำอย่างจริงใจ

พวกเราทำมาก ตรวจสอบว่า เข้าหลักเกณฑ์แล้วนะ อเวไนยสัตว์ จะต้านแย้งอยู่ ตลอดกาล จนกว่าไฟจะไหม้โลก กลียุค คนตายไป คือคนมีบาป คือตายไปตกนรกนาน ไม่มาเกิดง่ายๆ ส่วนคนมีบุญ ตายไปเดี๋ยวเดียว ก็มาเกิดง่าย ยิ่งล้างโลกเสร็จ คนมีบุญ จะมาเกิดง่าย ส่วนคนบาป จะต้องไปเข้าคุกก่อน ไม่มีนิรโทษกรรม

ที่อธิบายให้ฟังเป็นอจินไตย คนมีบุญจะมาเกิดในสวรรค์ ไม่มีข้อผูกมัด คุณจะไม่เอาก็ได้ แต่นรกนั้น มีข้อผูกมัด ไม่เอาไม่ได้ คนที่ตายทีก็คือ เปลี่ยนร่างที จะมีการสังเคราะห์กัน ให้ดีขึ้นๆ อย่างพ่อครู ได้อาการ ๓๒ ครบเท่านี้ ได้สัดส่วน อันพอเหมาะ ในยุคกาลนี้ แต่ยังมีสมบัติ ทั้งชั่วและดี ตามมาเสมอ สิ่งดีจะมาช้า แต่สิ่งไม่ดี เหมือนหมาล่าเนื้อ คอยเล่นงานเรา อย่าไปกลัว ใช้หนี้ไป อย่างเก่งก็ตาย ตายเราก็ใช้หนี้ไป เกิดมาใหม่ เราก็ได้ร่างกายใหม่ ทำดีเข้าไว้ ทำดีให้มาก แล้วก็ตาย แม้พระอรหันต์แล้ว ท่านจะตายสูญก็ได้ แต่ไม่เป็นอรหันต์นั้น ยังมีเจ้ากรรม นายเวร ที่เราทำไว้ของเรา นั่นแหละ แม้แต่พระพุทธเจ้า ก็ยังไม่หมดวิบากเลย แต่มันเบาลงๆ ต้องทำจริง จึงลดบาป แล้วบุญก็จะมาจริง ก็พิสูจน์ไป  เป็นการจ่ายแจก สัจธรรม ใครเห็นดี ก็เอาไปทำ
....จบ

 

  ชื่อหนังสือ