560608_ทวช.งานอโศกรำลึกครั้งที่ ๓๒ ที่บ้านราชฯ โดยพ่อครู  
เรื่อง ปลดฐานอโศกผู้ติดแป้น(ยัก)

                ชีวิตคนเราเมื่อความหม่นหมอง โศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาส ไม่มีในใจ เป็น อโสก  มันร่าเริงเบิกบาน  เราต้องอ่านจิตใจเรา ถ้าเป็นนักปฏิบัติธรรม ต้องมีสติ รู้ตนเอง รู้กายหรือกาโย คือเรารู้รอบถ้วน คำว่า สติ คือต้องรู้ตัวทั่วพร้อม ทั้งภายนอก ภายใน ในฐานะที่เรายังมีลมหายใจเข้าออก คือเรายังไม่ตาย เรายังมีอายุอยู่ เราจะต้อง มีสติรู้จักกาย
                ในอานาปานสติ  ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน จะต้องระลึกรู้ภายนอก แม้จะเข้าภวังค์ ทิ้งภายนอกไม่ได้ ต้องรู้ลมหายใจเข้าออก คือถ้าเรายังมีลมหายใจ เข้าออกอยู่ ก็คือเรายังไม่สิ้นสติ
                แต่ถ้าใครไม่รู้ลมหายใจเข้าออกก็คือ หมดกาย ไม่รู้กาย คือสติไม่ครบ ถ้าผู้ใดไม่เข้าใจครบ ก็จะไปเข้าใจ อานาปานสติ แบบไม่มีกาย จะปฏิบัติทิ้งกายนอก ไม่มีผัสสะ รูปภายนอก ไม่มี พหิทธา รูปานิ  ปัสสติ
                ในอานาปานสติสูตร ให้สังเกตคำสอน ที่ชัดเจนว่า มีคำว่า กายภายนอก คือลมหายใจ และมีเนื้อความว่า จะต้องรู้กายภายนอก และกายภายใน กำชับกำชาอยู่ แล้วท่านก็อธิบาย การทำใจภายใน ให้สะกดระงับกิเลส จนจบ ๑๖ ขั้น ที่เป็นรายละเอียด ที่จะถึงนิโรธ นิพพาน ดับสนิท
                จะต้องรู้ความเป็นกาย ที่พ่อครูลงลึกขนาดนี้ เพราะไม่เห็นสำนักไหน หรือใคร สอนเรื่องกาย ที่จะปฏิบัติ ให้สัมมาทิฎฐิ ซึ่งพ่อครูเห็นว่า ขาดพร่องในสัจธรรม ก็ไม่ได้มรรคผล ที่บริบูรณ์ พ่อครูไม่มีเจตนา ลบหลู่ใคร แต่ต้องมาเก็บตก
                ใครไม่รู้เรื่องกาย อย่างสัมมาทิฏฐิ บริบูรณ์ ต้องมีสัมมาทิฏฐิ เข้าใจว่า ต้องเกี่ยวเนื่องกับกาย จะแยกชัดว่า รูปรูป รูปกาย , นามรูป นามกาย ครบครันอย่างไร จะกำหนดรู้ วิญญาณฐิติ ๗ และสัตตาวาส ๙ ไม่ได้  จะพิจารณากิเลส ที่เนื่องมาจาก นอกถึงใน ไปถึงสัญญาเวทยิตนิโรธได้ เรียนรู้กาย ในสัตตาวาสไม่ได้ คุณก็พ้น สัตตาวาสไม่ได้ พ้นความเป็นสัตว์ ทางจิตวิญญาณไม่ได้
                เวลาเราปฏิบัติต้องทำให้มีความรับรู้ มีวิญญาณฐิติ ๗ คือคุณไปดับ หลงว่า เป็นนิโรธ เป็นกิณหะ อยู่ในภพใน การดับมีสองอย่าง คือ อสัญญีสัตว์ เนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ ซึ่งในวิญญาณฐิติ ๗ ไม่มีอสัญญีสัตว์ และ เนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ เพราะไม่มีกายให้พิจารณา ไม่ครบองค์ธรรม ที่เป็นสัตวโลก ที่ครบสมบูรณ์ ไม่เป็นโลกที่ อิธ พรหมจริยวาโส
                ไม่เป็นมนุษย์ชมพูทวีป ที่มี สติมันโต บางพระไตรฯ ท่านว่าไม่มีคำว่า สุรภาโว แต่มีคำว่า สูรา แต่พ่อครูเห็นว่า จะครบชมพูทวีป ต้องมี สุรภาโว สติมันโต อิธ พรหมจริยวาโส , สุรภาโว คือธาตุที่กล้า ที่พร้อม เพราะอรรถกถาจารย์ ท่านอาจเติม จากสูรา เป็นสุรภาโว                
                คือโลกที่ครบพร้อม ทั้งกายและใจ คืออิธ พรหมจริยวาโส ถ้าปฏิบัติไม่ครบ นั่งหลับตา ไปเข้าภวังค์ ทิ้งกายนอก ก็ไม่บริบูรณ์ เป็นแนวลึก ที่มาเตือนสติ นักปฏิบัติธรรม
                ฤาษีเข้าใจว่า ต้องเข้านั่งสมาธิ ให้มีจิตเอกัคคตา ในภาวะข้างใน และถือว่า จะเป็นสมาธิ ต้องตัดภายนอก สำเร็จด้วยซ้ำ แต่ความจริง นอนหลับ คือสลบ หรือ ตกภวังค์ ก็ตัดภายนอกทั้งนั้น พ่อครูว่า ใครตอบมาอย่างนี้ ให้ตก ให้คะแนน ๐ เลย พ่อครูไม่ได้มาข่ม หรือลบหลู่
                แต่การทำเจโตสมถะ ก็เพื่อ เตวิชโช มาระลึกว่า วันหนึ่ง เราเกี่ยวข้องกับอะไร แล้วเกิดเรื่องราว ซึ่งมีการรบรา มีสงคราม มีรณะ หรือสรณะ อะไรบ้าง ถ้าคุณไม่สามารถ รู้วงจร ที่มันเกิด-ดับในแต่ละวัน มันก็รู้ทุกโอกาส ไม่ได้หรอก แต่ในชีวิต เราต้องรู้ ทบทวน การผ่านไปว่า มีกิเลสไปปรุงร่วม เรื่องราวอย่างไร จนเป็นผล เราก็สร้างแต่ ความเป็นผี สะสมใจเรา ไม่รู้ว่าวันหนึ่งๆ เรามีนิทานอย่างไร
                และไปเข้าใจว่า เตวิชโชคือ ระลึกชาติได้ อย่างนั้นเป็นภาษาหยาบ พิจารณาไม่ถึง จิต เจตสิก รูปนิพพาน ซึ่งนิทานที่สำคัญ แต่โบราณาจารย์ ที่เป็นอัตตา ยึดติด เป็นเทวนิยม คือสองเรื่องใหญ่ คือ รามเกียรติ และ มหาภารตะ ถ้าเข้าใจ ก็จะรู้ว่า นี่คือ ธรรมะทั้งหมด เป็นธรรมาธิษฐาน แต่คนเข้าใจเป็น บุคลาธิษฐานหมด
                เมื่อคนไม่สามารถรู้กาย ที่อย่างในสัตตาวาส ๙ ,วิญญาณฐิติ ๗ ไม่ได้กำหนดรู้ คือปริญเญยยะ (ควรกำหนดรู้ ทั่วไป) แต่สัญญา คือใช้การกำหนดรู้เลย , สัญญาเมื่อรู้ ก็เป็นปัญญา (คือรู้ความจริง ตามความเป็นจริง) คือรู้ว่าตากระทบรูป, หูกระทบเสียงฯ เป็นสิ่งที่ปรากฏ ให้เรารู้ เมื่อรู้ ก็เป็นภาวะที่ปรากฏสามัญ คือทุกคนรับรู้ เหมือนกันหมด ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และมีรูปภายใน ที่พึงกำหนดรู้ด้วยสัญญา คือในใจ ที่เป็นอรูป
                ภพ มีกายนอก -รูป-อรูป ซึ่ง รูปรูป หมายถึงแต่มหาภูตรูป คือธาตุ ๔
                ถ้าเป็น รูปกาย ก็คือ ทวาร ๕ พร้อมกับใจ ถ้าเรามีสันตติต่อเนื่อง รูปกายเรา ก็เป็นกายใน ถ้าตัดรูปรูป ก็จะเหลือ กายใน เป็นอุปาทายรูป ที่ต่อเนื่องมาจากนอก แล้วก็ไปกำหนด เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมต่อไป
                องค์ประชุมที่เนื่องมาจากรูปรูป เรียกว่า นามกาย หรือนามรูป
                ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิ ก็จะเข้าใจยาก ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสถึงบุคคล ๔ เป็นสิ่งยืนยัน ในแนวทาง การปฏิบัติ ให้ได้ผลต่างๆไป
                คำว่า เอกัคคตา เขาเข้าใจไม่บริบูรณ์ หรือไม่สัมมาทิฏฐิ ว่าต้องตัด การรับรู้ ภายนอก ก็กำหนดรู้กายไม่บริบูรณ์ แตกต่างจากสภาวะสัจธรรม จะรู้เทวดา มาร พรหม ที่แท้ได้
                พรหมคือจิตปราศจากกิเลส แต่ถ้าปฏิบัติไม่ถูก ก็จะมีพรหม ที่ไม่บริสุทธิ์  เพราะไม่ได้ ตรวจสอบ ความบริบูรณ์ ตามอรูปฌาน ๔ คือ ตรวจความว่าง ดู อากาสา ก็ต้องดู รูปกาย ส่วนวิญญานัญจาฯ ก็ต้องดู นามกาย , และจะดู อากิญจัญฯ ก็ต้องดู รูปกาย ส่วน เนวสัญญาฯ ก็ต้องดูนามกาย
                แต่ถ้าหลงผิด ก็จะมีการหลงผิด ไปหลงสว่างคืออาภัสรา และไปหลงมืด คือสุภกิณหะ (สายนั่งหลับตาดับ ซึ่งมีมาก) ส่วนสายสว่าง มีสองพวกคือ พวกสาย นั่งแล้วใส มีลูกแก้วใส หรือสว่างใน กับพวกที่สายสว่าง อย่างไม่หลับตา แต่ใจว่าง ปล่อยวาง หลงเป็นอาภัสรา ดื่มด่ำ ลืมตา
                กายอย่างเดียวกันคือ กำหนดความใสเหมือนกัน อย่างพวกปฏิบัติแบบ มีสติ รู้นิ่งเฉย อะไรก็ไม่ใช่ตัวตน สัพเพธัมมานาลัง อภินิเวสายะ , และแบบ ยึดนั่งหลับตา สว่าง ก็เป็นพรหมอีกแบบ บางคน เอาทั้งสองอย่าง คือลืมตาก็สว่าง แบบสติรู้นิ่งเฉย ส่วนหลับตา ก็ไปปั้นความสว่างใส อีกภายใน
                แม้จะมีองค์ประชุมเป็นสักขี ที่คุณหลงว่าเป็น อาภัสราพรหม ซึ่งพ่อครูว่า เคยมีฝรั่ง มาเล่าว่า เคยนั่งหลับตา ได้สว่างใส แต่ว่าได้แค่ทีเดียว ก็มาตามหาว่า เอาเทพอาภัสราของเขา คืนมาให้หน่อย ซึ่งเขาแยกไม่ออกหรอกว่า เป็นอากาสาฯ หรือ วิญญานัญจาฯ เขายึดถืออากาสาฯ ว่าเป็นกาย ซึ่งเขามาเจอพ่อครู ก็บอกความจริงให้ ก็กลับไปเลย ไม่ลาเลย
                ถ้าไม่สัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย เป็นแค่กายสักขี ก็ไม่สำเร็จอรหันต์ได้ อาจมีอาสวะ บางอย่าง ดับได้ แต่ก็ไม่เป็นอรหัต์ได้ เพราะต้องสัมผัส วิโมกข์ ๘ ด้วยกาย ต้องรู้รูปรูป และรูปกาย
                ไม่รู้เนวสัญญานาสัญญายตนะ อากิญจัญฯ ก็ไปหลงว่า นิโรธต้องนั่งหลับตา ดับปี๋ เป็นสุภกิณหา แต่ถ้าสัมมาทิฏฐิ ก็ไม่ต้องนั่งหลับตา แต่อ่านจิตวิญญาณที่ อสรีรัง แล้วอ่าน จิตวิญญาณที่มี เวทนา สัญญา สังขาร เรารู้จักสัญญา และใช้เป็นตัว กำหนดรู้ สังขาร ที่รวมกันก็คือ วิญญาณ
                รู้เวทนา สัญญา  สังขาร ครบ รู้เวทนา ๑๐๘ แล้วกำหนดรู้เวทนา ที่ไม่มีสังขาร ที่ไม่มีเหตุปัจจัย ที่เป็นกิเลส อย่างละเอียดเลย พ้นอรูปฌาน ๔ หรือแม้ไม่พ้น ก็อ่านเป็น ใช้สัญญาระดับ เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญาได้ อ่านได้ตั้งแต่ อากาสานัญจายตนสัญญา วิญญานัญจายตนสัญญา อากิญจัญญายตนสัญญา เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา ต้องกำหนดรู้ ให้ครบบริบูรณ์ สมบูรณ์ พ้นสังโยชน์ ๑๐ พ้นอวิชชานุสัย ก็เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ อย่างลืมตาสามัญ
                คนที่จะรู้จักวิโมกข์ วิมุติ คือการออกจากโลก หลุดจากโลก ที่วนเวียน ดับสนิท อย่างไม่มีธุลีละออง หรือคุณยังกำจัดไม่หมด ก็ยังไม่นิโรธ แต่ถ้าดับได้สนิท ก็คือนิโรธ คือดับชาติ หลุดพ้นจากภพ และดับชาติ
                นิโรธและวิมุติ มีนัยต่างกัน แต่มีคุณสมบัติเดียวกัน เป็นไวยพจน์กัน คนได้วิมุติ หรือนิโรธ ก็หยั่งลง สู่อมตะเช่นกัน ตามมูลสูตร วิมุติคือ หลุดพ้นจากภพ ส่วน นิโรธคือดับชาติ เป็นอภินิพพัตติ 
                มีคนถามว่า ดับสัญญาสมาบัติ ดับได้เท่าไหร่ สัญญาปฏิเวธ ก็มีเท่านั้น ก็สงสัย ว่าดับอย่างไร
                ผู้ที่ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ แม้ไม่รู้ภาษา สัญญาสมาบัติ คือการกำหนดรู้ การเกิดขึ้น , อุบัติขึ้น, บรรลุถึง (คำว่าสม คือผ่านแล้ว , ส่วนคำว่าอุป คือเกิดขึ้น หรืออุบัติเช่นกัน)  เช่น เราอ่านกิเลสอบายเราออก แล้วกำจัดได้ จางคลายได้ อย่างอนุปัสสี ๔ คุณก็ได้นิโรธ หรือ สัญญาปฏิเวธ คือทำทวนแล้วทวนอีก กำหนดรู้ผล ที่ตนทำได้อย่างดี คือ ดับสัญญาสมาบัติ ไม่ใช่ดับสัญญา แต่กำหนดรู้สมาบัติ คือกำหนดรู้ผลที่ได้ เห็นความจริง ครบสมบูรณ์ ในปฏิเวธ
                ในเวทนา ๑๐๘ ท่านให้สั่งสมผลกาละอดีต จากมโนมวิจาร ๓๖ , คุณอยู่กับ ชาวโลก มีกายอยู่กับโลก รู้อยู่ว่า เขาปรุงแต่งอย่างไร ก็รู้ทันไม่หลงไปกับเขา จะปรุงแต่ง หวือหวา พิศดารอย่างไร ก็รู้ตามได้ เรียกว่า เคหสิตะ แต่คุณมีเนกขัมมสิตะ ที่หลุดพ้นได้ ตรวจสอบใน มโนปวิจาร ๓๖ ไม่ได้หนีโลกไป
                ในเวทนา เราก็สั่งสมการเป็นอยู่กับมนุษย์ และมีมโนมวิจาร ครบ ๓๖ ก็อ่านว่า เรามีเนกขัมมะ แข็งแรง ทุกปัจจุบันที่สัมผัส ก็ตรวจในกาละทั้ง ๓ กาละ คืออย่างละ ๓๖ ก็รวมเป็น ๑๐๘ ซึ่งอดีตกับอนาคต เราทำไม่ได้ แต่เราทำปัจจุบันได้
                อรหันต์ตายนี่ตื่นจะรู้หมด ทั้งนอกและใน เป็นเรื่องที่คิดเอาไม่ได้ เข้าใจได้ แต่คุณทำไม่ได้ ต้องเป็นเองจะรู้ได้
                การเกิดขึ้นของความดับ ก็กำหนดรู้เป็นปฏิเวธ ที่สมบูรณ์ จากการตรวจสอบ ทั้งอดีต และอนาคต เป็นเอกัคคตา หนึ่งเดียวไม่เป็นอื่น เป็นนิโรธถาวร กระทบเมื่อไหร่ ปัจจุบันก็สูญ อย่างแน่นอนเลย อนาคตเรากำหนดไม่ได้ แต่อรหันต์ กำหนดได้เลยว่าสูญ , นอกจากใจเร็ว ด่วนได้ตัดสินเร็ว ว่าเราหมด พอไปเจออีก มีกิเลสอยู่ ก็จะรู้ตัวเอง อย่างอนาคามี ก็จะอายตนเอง ถ้ามีกิเลสภายในอยู่ ยังไม่อรหันต์

                สืบเนื่องจากมีข้อความมาแย้งว่า
0888705xxx พุทธเจ้าตรัสว่า รูปคือสิ่งที่ต้องแตกดับ และนามก็คือ สิ่งที่ต้องแตกดับ เช่นกัน! ฉะนั้น พุทธเจ้าจึงปรินิพพาน โดยปราศจากทั้งรูป ปราศจากทั้งนาม! (หรือที่เรียกว่า หายไป เปรียบเหมือนไฟดับ.. อย่าได้ถามว่า แล้วไฟไปไหน!) ซึ่งก็คือ ปรินิพพาน ในระหว่างรูปฌาน (=รูป) กับอรูปฌาน (=นาม) นั่นเอง ส่วนอาฬารดาบส และอุทกดาบส ตายไปอยู่ใน อรูปพรหม ที่มีแต่นาม(กาย) โดยไม่มีรูปกาย และด้วยเหตุที่ ไม่มีรูปกายนี้เอง.. พุทธเจ้าจึงไม่สามารถไปโปรดได้!

        พ่อครูว่า สัจธรรมของจิต ที่ไปตกอยู่ในภพในนั้น มันจะจมอยู่นานมาก เพราะไม่มีอะไร จะดึงออกมาเลย คุณจมอยู่ในจิตธาตุ และคุณก็ชอบติดด้วย และไม่มีสิ่งดึงเลย คุณจะจมไป นานขนาดไหน พระพุทธเจ้าจึงว่า ฉิบหายแล้วหนอ พวกที่ตาย ขณะมีนิโรธแบบฤาษี ซึ่งเวลาตอนตายไปนี่ ไม่รู้นานเท่าไหร่
                อย่างมีเรื่องเล่าว่า เทพธิดาบนสวรรค์ เก็บดอกไม้ แล้วหายไปแวบหนึ่ง กลับมา บอกเพื่อนว่า ไปเกิดมา มีลูกมีผัว อยู่ในโลกมนุษย์มา ซึ่งคนที่เข้านิโรธดับ นึกว่าแวบเดียว แต่ที่จริงนานมาก อย่างเทพธิดา นึกว่าไปแวบเดียวเอง แต่ทั้งชาติเลย ที่อยู่ในโลกมนุษย์ ซึ่งในโลกวิญญาณ มันนานมาก นับไม่ได้เลย
                โสดาบันเป็นไม่ยาก หากมาฝืนๆหน่อย ก็เป็นสกิทาคามี ต้องอ่านออก จิตเราเป็นอย่างไร จิตหยาบของเรา ที่หลุดพ้นมา เป็นอย่างไร แต่ก่อนเราหยาบ ต้องมีได้มากๆ มาเสพสุขเหมือนเขา คนที่เผลอไปติด พอรู้ตัว จะเห็นความเหน็ดเหนื่อย ที่ไปแย่งชิง ลาภ ยศ สรรเสริญ หรือแม้แต่กามราคะ ที่เราต้องไปเอา ตามสเปค อย่างนั้น อย่างนี้ เมื่อรู้แล้ว จิตเราจะเบื่อหน่าย จะรู้จักพอ มันเหนื่อย แล้วจะลด ตามลำดับจริง ต้องรู้ตัว อย่างจริง อันหนึ่งเลย แล้วพากเพียรเสริม ไม่ให้ติดแป้น อย่างวิสาขา ที่เป็น วัฏฏภิรตโสดาบัน เป็นโสดาบัน ที่ติดในภพ นั้นแหละ ต้องสวยงาม ต้องสะอาดสะอ้าน ยังหลงในรูปรส กลิ่นเสียงสัมผัส ไม่น้อย พวกเราก็มีไม่น้อย ที่ยังหลงอยู่ มีมาก ในพวกเรา ที่หลงโสดาบันอยู่ ต้องพากเพียรตัด รู้ละลด กว่าจะได้อนาคามี
                พวกเราที่ทิ้งสมบัติภายนอก มาอยู่ข้างในเรา แต่ก็ยัง ยักสมบัติไว้อยู่ กลัวอยู่ไม่ได้ นี่ก็คือ สกิทาคามียัก คือยักเอาไว้อยู่เยอะ กว่าจะมาอยู่อย่าง สกิทาคามีสบาย แล้วมีอนาคามีมรรค โดยกินอยู่สาธารณโภคี มีโลกอุเบกขา มีแวบมา ไม่นานก็หาย อนาคามี ถือศีล ๑๐ ไม่ต้องมีทรัพย์สิน แต่งตัวมอซอ ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ในฌาน ๔ ก็ต้องล้างกิเลสต่ออีก เราไม่ต้องการเสพ ภายนอกมากแล้ว เราก็ต้องมีผัสสะสด ในปัจจุบัน ดับกิเลสไป ก็เป็นคนไม่มีอนาคต คือพระอรหันต์ เป็นอมตะบุคคล ไม่กลัวตาย
                พวกเราโสดาบันมีมาก เป็นสกิทาคามียัก ก็มีเยอะ จะไปยักไว้ทำไม ทำให้ตน เป็นยักษ์ เป็นยักษา ยักขีเลย ก็ไม่ล้างกิเลส สกิทาคามี อยู่หรือเป็นโสดาบัน แบบวิสาขาอยู่ จะเป็นทรัพย์สมบัติพัสถาน ก็ยักไว้อยู่ ผู้ใดชัดเจน ก็ลองทิ้งมาสิ นี่คือ พรากไม้ ที่ชุ่มด้วยยาง ไม่ใช่ว่าพรากไม้ที่ชุ่มด้วยยาง คือนั่งเข้าภพ อย่างที่คุณ8705 ว่าไว้
                สัตว์ที่มีองค์ประชุมทางกายต่างกัน เห็นมนุษย์ก็ต่างกัน เห็นพรหม เห็นเทวดา สัตว์นรก ก็ต่างกัน อย่างคุณ 8705 กับพ่อครู ก็เห็นเทวดา มนุษย์ก็ต่างกัน เขาเห็นมนุษย์ ที่บำเพ็ญ ก็ไปนั่งเข้าภพ หนักเข้า ก็ว่ามาว่า

0888705xxx พวกคนที่สูบเฮโรอีนประชุมกันว่า ต่อนี้ไปพวกเรา จะเลิกสูบแล้ว แต่ก่อนที่จะเลิก.. มาสูบกันเป็น ครั้งสุดท้ายเถอะ! แต่หลังจากได้สูบ ที่คิดว่า จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว.. ก็ไม่ปรากฏว่า จะมีใครที่เลิกได้จริงสักคนเลย! ในหมู่นักบวช ชาวพุทธ ก็มีลัทธิหนึ่ง ที่คิดด้วยปรัชญาเอาเองว่า จะสามารถ ล่วงพ้นกามด้วยกาม ล่วงพ้นทุกข์ด้วยทุกข์ ล่วงพ้นผัสสะด้วยผัสสะ ฉะนั้นจึงจัดให้มีปาร์ตี้ เสพสม กามรสกันขึ้น! ด้วยได้ยินมาว่า นิพพานอยู่ท่าม
0888705xxx กลางเตาหลอมเหล็ก หรือคือนิพพาน อยู่ท่ามกลาง ความร้อนของไฟ และเมื่อกามราคะ คือไฟแล้ว ฉะนั้น จึงย่อมค้นหานิพพานได้.. ท่ามกลางผัสสะ ของไฟกามรส นั่นเอง! ซึ่งจากต.ย. ของนักสูบเฮโรอีน ที่คิดว่าตน จะเลิกได้ ด้วยการสูบ เป็นครั้งสุดท้าย หรือพวกนักบวช ลัทธิมิจฉาทิฐิ ที่คิดว่า จะสามารถ เลิกกามได้ด้วยกาม เลิกผัสสะได้ด้วยผัสสะ! จึงนับว่าเป็นพวกที่ยังประมาท ในผัสสะโดยแท้! ซึ่งพุทธเจ้า ได้ตรัสว่า ฟืนเปียก ไม่อาจจุดไฟติด ฉันใด ผู้ที่
0888705xxx ยังชุ่มอยู่ด้วยกาม หรือยังเสพผัสสะทั้ง5 แบบสดๆ (=เปียกๆ) อยู่เสมอ.. จึงย่อม ไม่อาจเข้าถึงฌาน ที่รวมจิตเป็น1ได้ ฉันนั้น! และเมื่อปราศจาก ฌานแล้ว จะไปเผากิเลส ได้อย่างไร! จึงสรุปได้เลยว่า พธร.เป็นเดียถีนอกรีต.. ที่แหกตำรา คำสอน ของพุทธเจ้า โดยไม่รู้ตัว! อ่านพตปฎ. แล้วก็ไม่เข้าใจ พตปฎ. เพราะไปตีความ แบบตื้นเขิน ด้วยสมองบ้องตื้น ที่ไร้รอยหยักของตน! พอไปอ่านเจอ ผัสสะ6 เข้าหน่อย.. ก็เลยนึกว่า จะต้องเปิดรับผัสสะทั้ง6 เลยทีเดียว!

        อย่างอโศกเรามารวมกัน ทั้งหญิงชาย มาอยู่มา หลายสิบปี ถ้าไม่ได้จริง ก็เละเทะ หมดแล้ว แต่พวกเรา เรื่องกามก็มีไม่มาก ก็เรียบร้อยดี ที่อโศกเรา ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ที่นี่เราอยู่รวมกัน เหมือนฮาเร็ม แล้วจะอดได้หรือ ที่อื่นผู้หญิง น้อยกว่าที่นี่ ก็มีคดี มากมาย พระก็ปาราชิกกันเต็มเลย แต่ของเรา อยู่รวมกัน ทั้งสมณะ สิกขมาตุ ญาติโยม แต่ก็อยู่อย่างสงบ ไม่มีเรื่องมาก พูดไปก็อย่าประมาท ซึ่งกามราคะ ตัณหา อรตีเยอะ อย่าประมาท ผู้หญิงแต่งตัวมอซอนี่ ก็มีจริตจะก้านเยอะ สมณะก็สมณะเถอะ
                พูดนี่ให้รู้ว่า พวกเรามีของจริงอยู่ ก็อย่าประมาท ผู้หญิงก็จะมากขึ้น ผู้หญิงมาพร้อม มารยา ๕๐๐ เล่มเกวียน ใครมีมาก ก็ไม่ควรเอาเข้ามา ต้องป้องกันเชื้อร้าย ประมาทไม่ได้ ยารักษาไม่ไหว
                ของเขาไว้ใจยาก แต่เราก็ทำได้พอได้ แต่อย่าประมาท รักษาไว้ให้ดี ผู้หญิง ๕๐๐ เล่มเกวียน ก็อย่าเอาเข้ามา ผู้ชายก็ด้วย ของเรามีของจริง จึงไปรอด ทำงาน ร่วมกันอยู่ ถ้าไม่จริง ต่อให้ตาบอด ขี้เหร่ แขนขาด ก็ไม่เหลือ พวกเราก็ไม่ใช่หน้าตา ขี้เหร่หมด      

เพราะว่าทั้ง3นางคือ นางตัณหา นางราคา นางอาระตี ย่อมต้องไม่ปล่อยไว้แน่.. จำต้อง มายั่วยวน อย่างแน่นอน! อย่าลืมว่าหญิงมนุษย์ ที่สวยที่สุด ยังสวยไม่เท่า นางเทพอัปสร นางเทพอัปสร ก็สวยไม่เท่า นางเทพธิดา และในบรรดา นางเทพธิดา ทั้งหลาย ไม่มีใคร ที่จะสวย เทียบเท่า ทั้ง3นาง นี้ได้เลย!

                นางตัณหา ราคะ อรตี หรือนางอัปสร ก็คือนามธรรม อย่างมโนมยอัตตา เมื่อสำเร็จ ด้วยกาม ก็ทำให้รูปธรรม หายหมด จะขี้เหร่อย่างไร ตาบอดอย่างไร ก็สวยหมด พอกาม หรือราคะเข้า นางตัณหา อรตีก็เข้ามาเต็มที่ ต้องหาเสพราคะ ที่เราต้องการ
                คนที่ยังมีเมถุนสังโยชน์ ๗ คือ ได้สัมผัสเสียดสี ก็สุขแล้ว เล็กน้อยก็สุขแล้ว เช่น คิดถึงหน้าเธอ ก็บุกบั่นไปหา เห็นแค่ผ้าถุงเธอก็สุขแล้ว , ได้นวดฝั้นก็พอใจ , ได้ยินเสียงเธอ จะเป็นเสียงร้องไห้ เสียงอะไรของเธอก็สุขใจ, นี่คือ พวกอนาคามี ระวัง มีในพวกเรามาก ไม่ได้หยาบอะไร ผู้หญิงผู้ชาย ได้สัมผัสเล็กน้อย ก็พอใจ เห็นหน้ากัน ก็พอใจ แม้แต่ได้ยินเสียงร้อง ได้กระซิกกระซี้ก็พอใจ ได้ไคลแมกซ์ สำเร็จความใคร่ ทางอารมณ์ ให้รู้ว่าเราบ้า อย่าเลี้ยงมันไว้ เป็นเรื่องละเอียด กิเลสทิพย์ หรือ ความสะอาดทิพย์ ก็ต้องเข้าใจ ระดับละเอียด พวกเรามีโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ
                พวกเรามาอยู่รวมกัน ถ้าไม่มีอนาคาฯ ก็เละหมดแล้ว ก็ระมัดระวังช่วยกัน อย่าให้เละ แม้แต่โลกธรรม หรืออัตตา ก็มีนัยยะคลายกัน โลภคือเอามาเป็นของเรา ราคะก็คือ เอามาเสพรส ทางทวาร ๕ อย่างไม่ได้สัมผัส ก็ได้เห็น คือฟาดเนตร สพเนตรก็พอ ได้เห็นผ้าถุงก็พอ เป็นต้น
                แม้อนาคามีก็พิสูจน์ ในเมถุนสังโยชน์ ๗ แม้แต่เป็นอัตตา ในเมถุนสังโยชน์ ๗ คือตั้งภพ เป็นเทวดา หรือ พรหมยิ่งใหญ่ทางธรรม ให้มีคนมานับถือ ว่าเรายิ่งใหญ่ เป็นต้น  อัตตานี่ลึกกว่ากาม อย่างอนาคาฯ ต้องล้างภายใน เป็นกามภายใน เป็นเรื่อง อัตตาภายใน
                ถ้าไม่รู้วิโมกข์ ๘ สัตตาวาส ๙ ต้องสัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย จึงจะบรรลุได้จริง ต้องสมบูรณ์ ทั้งนอกและใน ด้วยรูปกายและนามกาย พระพุทธเจ้ารับรอง หรือจะรับรองหรือไม่ คุณก็ต้องอยู่ในโลก ที่มีสัญญาและกาย เราต้องกำหนดรู้ ให้ถูกต้อง ถ้าจะกำหนดรู้ ต้องมีนามรูป ส่วนรูปรูป คุณก็ต้องรู้อยู่แล้ว ถ้ามีพิการ เมื่อกระทบ รูปรูป ก็รู้ตามธรรมชาติ แล้วคุณมีกิเลส ไปปรุงร่วมหรือไม่ ถ้าไม่มี กายคุณก็เป็นทิพย์ คือสิ่งที่ถูกรู้ สะอาดเป็นพรหมบริสุทธิ์ มีพรหมหลายแบบ ที่หมายถึง รายละเอียดของ อากิญจัญญะ ที่จะไม่ให้เหลือ แม้เล็กแม้น้อยอย่างไร

                วันนี้ไขความ ปลดฐานให้ ใครจะติดอยู่กับที่ ก็เชิญ .......

จบ

 

 
๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ ที่ พุทธสถานราชธานีอโศก