560714_รายการวิถีอาริยธรรม โดยพ่อครู และส.เพาะพุทธ
เรื่อง อ่านปัญหาของคุณ ๘๗๐๕ ตอน ๔ (รู้สัมผัส ๖ จึงพ้นนรกสู่นิพพาน)

            ส.เพาะพุทธดำเนินรายการที่ศาลาฉัน สันติฯ....

เกริ่นนำเรื่อง sms ของคนที่ขวนขวายส่งมา ทำให้พ่อครู ได้นำเสนอประเด็น ที่เขาได้ ส่งมาโต้แย้ง เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง และเป็นการฟังความเห็นต่าง เป็นสิ่งที่เราสามารถ เปลี่ยนเป็นสิ่งที่ มีประโยชน์ได้ เพื่อให้เกิดสติปัญญาที่เจริญขึ้น

            พ่อครู... วันนี้มีเวลายาว พ่อครูก็จะใช้วันนี้ ตอบประเด็นของคุณ ๘๗๐๕ แสดงถึง ความเห็นต่าง อย่างเฉลียวฉลาด เรียนรู้มาก หลายอย่าง ก็รู้ได้มากกว่าพ่อครู ส่วนที่เขาว่า พ่อครูโง่ ก็อาจเพราะปรารถนาดี พ่อครูก็ว่า ได้ใช้ความฉลาด ในการเข้าใจแล้ว แต่เป็นการเข้าใจ ไม่ตรงกัน เขาก็ถือว่าเราผิด เอาความถูกมาเสนอ ก็ไม่เข้าใจเสียที แต่ที่จริง พ่อครูก็ว่า เข้าใจในสิ่งที่ คุณเสนอมา ไม่ได้ขาดตกบกพร่อง เสมอเลย แต่ก็รู้ว่า ความเห็นมันแตกต่างกัน ก็เป็นธรรมดา แต่พ่อครูเข้าใจคำว่า ยึด กับคำว่า ยืนหยัด นั้นต่างกัน พ่อครูว่าไม่ได้ยึด แต่ยืนหยัดยืนยันในความเห็นของตน

            ของคุณอาจถูก พ่อครูอาจผิด แต่ก็มีสิทธิ์ ที่จะยืนหยัดยืนยัน ในความเห็นของตน แต่ว่า คุณก็ว่าพ่อครูโง่ ซึ่งพ่อครูว่า ที่คุณเจรจามา ก็เข้าใจทุกที เอาความเห็นคุณ มาขยายความทุกที แต่คุณก็ยืนยันว่า เราโง่ทุกที แต่ไม่เป็นไร เราก็ขยายความอีก

            0888705xxx ทำไมถึงโง่นัก?.. เว้นสมุจเฉทวิมุตแล้ว, ก็ตทังควิมุต กับ วิกขัมภวิมุตไง.. ที่เป็นวิมุตของปุถุชน!

            ลักษณะอารมณ์ที่ว่างๆ อย่างเคหสิตอุเบกขาเวทนา นั้นมนุษย์ทั่วไป ก็เป็นได้ ทั้งนั้น คุณเห็นว่า ปุถุชนก็วิมุติได้ แต่พ่อครูเห็นแย้งว่า ปุถุชนไม่มีวิมุติ แต่ว่า มีอารมณ์ว่างได้ อารมณ์ที่ไม่มีนิวรณ์ เป็นอารมณ์เฉย คือ อทุกขมสุข หรือ อัพยากฤต แต่ไม่ใช่วิมุติ ขอย้ำยืนยันได้ว่าไม่ใช่ อันนี้ขอแก้ทิฏฐิถ้าแก้ได้ อย่างนั้นเรียกว่า เคหสิตอุเบกขาเวทนา

            ซึ่งต่างจาก เนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา เนกขัมมะคือ การออกจากโลกโลกีย์ โดยปรมัตถ์แล้ว จิตมีการหลุดพ้น เลิกมาจริงๆ ปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิ มีสัมมาปฏิบัติ และ สัมมาปฏิเวธ ท่านเรียกว่า ธาตุของโลกุตระ ไม่ใช่โลกียะ

            ถ้าเข้าใจลักษณะอาการของ จิตเจตสิก อย่างนี้ไม่ได้ ก็แยกระหว่าง โลกียะ กับโลกุตระ ไม่ได้

            0888705xxx สมสมณญาณ เห็นเกิด-ดับก็จริง แต่เห็นด้วย จินตามยปัญญา! ส่วนอุทัพยญาณ ถึงเห็นเกิด-ดับด้วย ภาวนามยปัญญา!

                นี่ก็เห็นต่างจากพ่อครูอีก ซึ่ง ญาณ ๑๖ หรือโสฬสญาณ ที่โบราณาจารย์ ท่านเรียบเรียงไว้ ซึ่งสมสณญาณ เป็นญาณเห็นความเกิดดับ นั้นตรงกัน แต่ว่าพ่อครูว่า ยังไม่ใช่ ภาวนามยปัญญา ก็ตรงกัน คือยังไม่เกิดผล เห็นความเกิดดับ ที่เป็นจิตเจตสิก แล้ว มีญาณหยั่งรู้ การเกิดดับ ของจิตเจตสิก คือตั้งแต่ นามรูปปริเฉทญาณ ก็เริ่มเห็นแล้ว แต่สมสณญาณ ก็แยกแยะได้ แต่ความต่างของ ความเห็นนั้นคือ อย่างคุณว่า เป็นแค่ จินตามยปัญญา ก็คือคุณได้แค่นั้น มีภูมิแค่นั้น เป็นแต่จินตามยปัญญา เท่านั้น ยังไม่เข้าใจ ปรมัตถ์เท่าไหร่ ยังเรียบเรียงพยัญชนะ สับสนอีกเยอะเลย

                และการกดข่มนั้น คนธรรมดาก็ทำ แต่ว่าอย่างพุทธ ต้องมีปัญญาที่มีพลัง เข้าไป สลายกิเลสให้ฝ่อ ไม่ใช่ข่ม เราจะเห็น อย่างมีปัญญา เราจะเห็นความต่าง ระหว่างกดข่ม กับแบบใช้ปัญญา

                และเมื่อเข้าใจโลกหน้า โลกนี้ไม่ถูก ไปเข้าใจแค่ การเกิดตาย ทางร่างกาย อย่างนั้น เขาเข้าใจกัน มานานแล้ว ไม่ยากอะไร แต่โลกนี้ - โลกหน้า อย่างพระพุทธเจ้า สอนนี่สิ คำว่าโลกนี้ก็คือ โลกโลกียะ ไปสู่โลกหน้า คือโลกุตระ เช่นโลกนี้ ที่เราวนเวียน กับโลกธรรม เราก็ได้ปฏิบัติ ให้จิตใจ เปลี่ยนแปลงสู่ โลกใหม่ คือโลกุตระ อยู่เหนือโลก โลกียะได้ แต่ถ้าไม่เข้าใจเช่นนี้ ก็ไม่มีแผนที่ ที่จะไปสู่นิพพานได้ ก็ไปอย่างหลงผิด น่าสงสาร
                888705xxx สมัยที่เรายังเป็นเด็กเล็กๆ อายุ3-4ขวบ บ้านของเรา อยู่ริมคลอง เรานั้นได้ไปเล่น ที่สะพานริมน้ำหลังบ้าน โดยไปเขย่ากระแป๋ง ที่คว่ำอยู่บนเสาก ที่กลางสะพาน แต่กระแป๋งมันลื่น และหมุนโคลงเคลง เรานั้นจึงได้พลัดตก ลงไปในน้ำ แต่จิตวิญญาณของเรา มิได้ตกน้ำไปด้วยกับร่าง เพราะกลับรู้สึกได้ว่า กำลังอยู่บนบ้าน! ซึ่งในขณะนั้น เราก็มิได้สำคัญว่า เรานั้นยังมีร่างอยู่ หรือว่ามิได้มีร่างอยู่แล้ว! แต่ว่าเรา.. ก็ได้เห็นพ่อ วิ่งมาที่หลัง
0888705xxx บ้าน เห็นพ่อยืนมอง ไปที่สะพาน และพ่อก็พูด (กับตัวเอง)ว่า ลูกตกลงไป ในน้ำนี่! แล้วพ่อก็ถอดเสื้อออก และกระโดด ลงไปในน้ำ เพื่อช่วยเรา ซึ่งเรานั้น ก็จำได้แค่นี้! เพราะไม่รู้ว่า เมื่อพ่องมร่างของเรา ขึ้นมาจากน้ำแล้ว.. จิตวิญญาณของเรา เข้าไปอยู่ในร่าง ตั้งแต่เมื่อไร! ซึ่งที่เอาเรื่องของเราเอง! มาเล่าให้ฟังนี้.. ก็เพื่อจะบอกว่า นี่แหละ ที่เรียกว่า อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ ที่แปลว่า ไม่สำคัญ ในรูปภายใน
0888705xxx (=รูปของตน) แต่ย่อมรู้แจ้ง (=ปัสสติ) รูปภายนอกได้! อธิบายว่า ขณะที่ เรานั้น มิได้ใส่ใจในรูปภายใน คือร่างของเราเอง หรือคือไม่สำคัญ ในรูปของตนแล้ว นั่นหมายความว่า ขณะนั้น เราย่อมไม่มีรูปกายอยู่ด้วย.. คงมีแต่ใจ (=มโน) อย่างเดียว เท่านั้น! ซึ่งใจหรือที่ชื่อว่า นามกายนี่แหละ.. เป็นที่เกิดแห่งจิตวิญญาณ! (=มโนวิญญาณ) ที่สามารถรู้แจ้ง รูปภายนอกได้! หรือคือเห็นรูปภายนอกได้ เช่นเดียวกับด้วย จักขุวิญญาน! อีกทั้งฟังเสียงก็ได้..
0888705xxx เช่นเดียวกับด้วย โสตะวิญญาณ! เป็นต้น ซึ่งนั่นก็คือ การที่รู้สึกได้ว่า เรากำลัง อยู่บนบ้าน (ทั้งๆณ.ที่นั้น ก็ไม่มีร่างของเรา!) และโดยที่ไม่มีทั้งตา, ไม่มีทั้งหู แต่เพราะด้วย จิตวิญญาณนี้เอง.. ก็สามารถที่จะเห็นพ่อ วิ่งมาช่วย และแถมยังได้ยิน เสียงพ่อพูด (กับตัวเอง) อีกด้วย! ซึ่งหากเป็นคนที่ ไม่มีประสบการ อย่างนี้แล้ว.. เช่นพธร. เป็นต้น ก็ย่อมจะคิดไม่ออกว่า เมื่อไม่มีตาแล้ว.. จะไปเห็นรูปได้อย่างไร! หรือไม่มีหูแล้ว.. จะได้
0888705xxx ยินเสียง ไปได้อย่างไร! (..จึงต้องปล่อยให้พธร. งมโข่งกันต่อไป!) และก็เพราะ เหตุที่พธร. มิได้ถือกำเนิดเป็นมนุษย์ มาด้วยไตรเหตุกะ ปฏิสนธิ(คือ ญาณสัมปยุต +อุเบขา +อสังขาริก).. พธร.จึงย่อมปราศจาก สัมผัสที่ 6 หรือคือ มโนวิญญาณ ไม่ยอมทำงาน นั่นเอง! ฉะนั้น จึงให้น่าสงสารพธร. มาก ที่ไม่รู้ว่า จิตวิญญาณนี้ มีความสามารถแท้จริง เป็นเช่นไร! (เปรียบเหมือน คนตาบอด ที่ไม่เคยเห็น ความงาม ของแสงจันทร์ เป็นต้น!) พธร. จึงไปนึกเอาเองว่า เมื่อคนเรา
0888705xxx ตายไปแล้ว จะเหลือแต่ จิตวิญญาณ เท่านั้น! หนำซ้ำยังต้อง อยู่เดี่ยว เดียว ดาย ในภพของตนๆ โดยไม่สามารถ จะติดต่อ หรือสัมผัสเห็นใครๆ ในภพไหนๆ ได้อีกแล้ว! ฉะนั้น เพื่อที่จะช่วยพธร. ให้หายโง่ เกี่ยวกับเรื่องของ จิตวิญญาณนี้..

                พ่อครูว่า ถ้าคุณยังเข้าใจคำว่า กาย เป็นแค่ ร่างหรือสรีระภายนอก ก็ไม่เข้าถึง ปรมัตถสัจจะ ไม่เข้าใจ กายกลิ (กิเลส) กายทหะ กายปาคุญญตา (ความคล่องแคล่ว ของกาย) กายกัมมัญญตา (ความเหมาะควรแก่การงาน ของกาย) ก็จะเข้าใจ คำเหล่านี้ ไม่ได้ เพราะยึดว่า กายเป็นแค่สรีระ

                สัมผัส ๖ คือทางทวาร ๖ ก็ต่างกันคำว่า “สัมผัสที่ ๖”
                คำว่า สัมผัสที่ ๖ นี้ที่คุณ ๘๗๐๕ หมายคือ นอกเหนือจาก สัมผัส ๕ ไม่เกี่ยวกับ ทวาร ๕ มีแต่ใจ ลอยมาจากอากาศ เหมือนภิกษุสาติเข้าใจ ไม่ใส่ใจร่างกาย จึงล่องลอย ตัดขาดจากร่างกาย นี่คือลัทธิ ภิกษุสาติแท้ เขาก็จะเห็นว่า จิตล่องลอย ไปเห็นอย่างนั้น อย่างนี้ เป็นเรื่องของ magical เป็นเรื่องลึกลับ พิสูจน์ไม่ได้ จริงหรือไม่จริง ก็เป็นเรื่อง นอกพุทธ ๑๐๐๐ % เลย อย่างฤาษีคันธารี ซึ่งไม่ได้ปฏิเสธ ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ว่า มันนอกพุทธ พระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่ได้ปฏิเสธ จะมีอภินิหาร มากสักเท่าใด ก็เป็นของ ฤาษีคันธารี ฤาษีมันลิกา มันเป็น Magician คือนักเล่นกล เอาเรื่องลึกลับ มาแสดง นักมายากล บางคน ก็จริงหรือไม่จริง แต่พิสูจน์ยาก พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน เอาของยาก มาให้ซับซ้อนอีก มีแต่มืดหน้า

                พระพุทธเจ้าทรงเห็นโทษภัย จึง อึดอัด (อัฏฏิยามิ) ระอา (หรายามิ) เกลียดชัง (ชิคุจฉามิ) ในอิทธิปาฏิหาริย์ และ อาเทสนาปาฏิหาริย์ แต่ทรงยกย่องให้สอน ให้ทำใจ ให้เข้าถึง อนุสาสนีปาฏิหาริย์

                จึงขอแนะให้พธร. ลองไปฝึก ดูลมหายใจ เข้า-ออกอีกครั้ง! โดยที่ต้องฝึก จนกระทั่ง ลมหายใจ ที่เข้าหรือออก แต่ละครั้งนั้น.. กินเวลาเนิ่นช้ามากๆ คือตั้งแต่ เริ่มหายใจเข้า จนกว่าที่จะสุดนั้น.. ต้องกินเวลา ให้นานมากถึง 1 นาทีให้ได้! และเมื่อ สุดหายใจเข้าแล้ว.. ลมก็จะหยุดนิ่ง อยู่ครู่หนึ่ง! จากนั้น ถึงเริ่มจะหายใจออก และกว่าที่ จะสุดหายใจออก.. ก็ต้องกินเวลาให้
0888705xxx นานมากถึง1 นาทีให้ได้ อีกเช่นกัน! ซึ่งลมก็จะหยุดนิ่ง อยู่ครู่หนึ่ง.. ก่อนที่จะเริ่ม หายใจเข้าอีกครั้ง! ซึ่งพธร. น่าจะเลิก ฟุ้งฝอยธรรมะ (หยุดโม้)ไว้ก่อน.. แล้วให้ลอง หันกลับมา เริ่มต้นปฏิบัต แบบพระบวชใหม่อีกครั้ง! หากเพียงสามารถ จะฝึก จนลมหายใจ ที่เข้าหรือออก แต่ละครั้ง.. กินเวลาเนิ่นช้ามากๆ เหมือนอย่างที่เราแนะ ให้นี้ได้ละก็.. การันตีได้เลยว่า พธร. จักสามารถเห็นเทวดาจริงๆ ในอีกมิติหนึ่งได้.. ทั้งๆ ที่ยังหลับตา อยู่นี่แหละ!

                พ่อครูว่า พ่อครูเคยเล่นมา ตั้งแต่เป็นฆราวาส พ่อครูแค่ปลาซิว พอว่ายน้ำเป็น ไม่ต้องสอนหรอก ไปเมาสัมผัสที่ ๖ ไม่มาเรียน สัมผัส ๖ คือ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ วิญญาณ เกิดจากสัมผัส ๖ นี่แหละ แล้วจะเห็นเทวดาจริง เพราะมาเรียนสัมผัส ๖ แต่ก่อนพ่อครู ไปเล่นพวกนี้อยู่ พ่อครูมีสัมผัสที่ ๖ อย่างที่คุณว่า จนคนทึ่ง ทายเลขได้ก่อนเลย แต่ตอนนั้น ทายมีผิดมีถูก ทายว่าตายไปแล้ว เกิดเป็นอะไร เล่นไสยศาสตร์มา ๘ ปี พ่อครูมีคนขึ้น มีลูกค้า ก็เอามายืนยันเท่านั้น ไม่ได้ข่ม

                0888705xxx เพราะนั่น เป็นการเห็นด้วยจิตวิญญาณ หรือสัมผัสที่6 โดยเฉพาะ! และขอบอกด้วยว่า การเห็นด้วยจิตวิญญาณนี้ พิเศษกว่า การเห็นด้วย จักขุวิญญาณ! เพราะด้วยตาเนื้อ ธรรมดานั้น จะเห็นรูปได้ก็เฉพาะ รูปที่อยู่ข้างหน้า คือไม่เกิน 180 องศาเท่านั้น!

               พ่อครูว่าเห็นรอบทิศเลย มีตารอบตัว พ่อครูไม่สงสัย เพราะเคยเล่นมาแล้ว

                ส่วนจิตวิญญาน หรือสัมผัสที่ 6 นี้ จะเห็นได้ 360 องศา คือสามารถเห็นรูป ได้รอบทิศ พร้อมกันเลยทีเดียว! ซึ่งนี่แหละ ที่เรียกว่า รูปิ รูปานิ ปัสสติ ที่แปลว่า ผู้มีรูป ย่อมรู้แจ้ง (=ปัสสติ)รูปได้! อธิบายว่า ผู้มีรูปหมายถึงว่า เพราะผู้นั้น ยังสำคัญ ในรูปภายใน (=รูปของตน)อยู่.. ฉะนั้น ผู้นั้นจึงย่อมมีทั้ง นามกาย และรูปกายด้วย! (คือมิใช่มีแต่นามกาย อย่างเดียว!) ส่วนที่ว่า ย่อมรู้แจ้ง (=ปัสสติ) รูปได้นั้น! คือย่อมรู้แจ้ง ทั้งรูปภายใน (คือรูปกายของตน) และย่อมรู้แจ้ง ทั้งรูปภายนอก (คือรูปอื่นๆ ที่นอกเหนือจาก รูปกายของตน)
                เช่นเห็นเทวดาได้ หรือได้ยินเสียงเทวดาเป็นต้น! ถึงตอนนี้.. จึงต้องย้ำกับพธร. เสียก่อนว่า คำว่าปัสสตินี้.. กินความทั้งเห็นภาพ, ได้ยินเสียง, ดมกลิ่น, ลิ้มรส, รู้สัมผัส, และรู้ธรรมารมณ์ด้วย!
                ฉะนั้น ถ้าจะไปแปลปัสสติว่า=เห็น! เดี๋ยวชาวพุทธทั่วไป ก็จะนึกว่า ไม่เกี่ยวกับเสียง, กลิ่น, รส, สัมผัส, หรือธรรมารมณ์ เพราะว่า มิใช่มีแต่ภาพ (=แสงสี) ที่เห็นได้ด้วยตา.. ถือว่าเป็นรูป เท่านั้น! เพราะยังมีเสียง, กลิ่น, รส, สัมผัส, ธรรมารมณ์.. ก็ถือว่าเป็นรูป ด้วยกันทั้งสิ้น! เหตุนี้จึงควรแปล ปัสสติว่า=รู้แจ้ง! ก็เพื่อที่จะกินความ ได้ทั้งหมดนั่นเอง! หรือคือ รู้แจ้งรูปก็คือ.. เห็นภาพ, ได้ยิน, ดมกลิ่น, ลิ้มรส, รู้สัมผัส, และรวมทั้ง รู้ธรรมารมณ์ด้วย นั่นเอง! ส่วนบาลีที่ว่า สุภันเตวะ อธิมุตโต โหติ ก็หมายถึง เมื่อเข้าถึงวิมุตแล้ว.. บรรยากาศ จึงย่อมจะงดงามน่ารื่นรมย์เสมอ !
                สรุปว่า ที่เราอธิบายบาลี ในวิโมกข์ 3 ที่ยกมานี้ ก็เพื่อให้พธร. ได้เห็นถึง ความแตกต่าง ไปจากพธร. อย่างไร! แต่ที่สำคัญกว่านั้น, เรานั้นเห็นว่า พธร. ปฏิบัตผิด เป็นมิจฉาทิฐิ มานาน จนอายุ79 ปีแล้ว ถ้าเป็นพุทธเจ้า ก็ใกล้จะปรินิพพานแล้ว แต่พธร. ยังไปไม่ถึงไหนเลย!
                จึงอยากจะชี้แนะให้ว่า หลักของการปฏิบัตวิปัสนา ก็เปรียบเหมือนกับ การเล่น กระดานโต้คลื่น! ซึ่งผู้เล่นมีหน้าที่ เพียงอย่างเดียว คือจะต้องยืนอยู่ บนกระดาน โดยไม่ให้ล้มคว่ำได้! คลื่นแต่ละลูก ที่ทยอยถาโถมกันเข้ามา ลูกแล้วลูกเล่า..
                ก็เปรียบเหมือนกับ อารมณ์อันเกิดจากผัสสะ ที่เกิดขึ้น อารมณ์แล้ว อารมณ์เล่า! ผู้ปฏิบัต จึงมีหน้าที่เพียงอย่างเดียว คือเอาสติเข้าไประลึกรู้ ให้ทันกับอารมณ์ ทั้งหลาย ที่ไหลบ่า เข้ามานั้น อย่างต่อเนื่อง! โดยระวัง มิให้เผลอเกิดเป็น ความยินดี หรือเกิดเป็น ความยินร้าย ขึ้นครอบงำ จิตของตน จนล้มคว่ำได้! จึงเป็นอเบกขา ที่เฉยรู้! มิใช่เฉยเด๋อ เพราะหลับตาปี๋ เหมือนอย่างที่พธร. เข้าใจเอาเอง ด้วยความโง่เขลาของตน ก็หาไม่! และซึ่งคำว่า รู้ในเฉยรู้นี้.. ย่อมหมายถึง สติที่สามารถระลึกรู้ ได้ทันกับอารมณ์ ณ.ปัจจุบัน นั่นเทียว! ซึ่งผู้ที่เล่น กระดานโต้คลื่นนั้น ย่อมต้องจดจ้อง อยู่กับลูกคลื่น ไม่มีเวลาไปคิด เรื่องอื่นๆ ได้ฉันใด..
                ผู้ที่ปฏิบัตวิปัสนา ก็ฉันนั้นเหมือนกัน! เพราะจะต้องฝึกสติ ระลึกรู้ให้ทันกับ อารมณ์ ณ.ปัจจุบัน อย่างเดียวเท่านั้น! จึงไม่มีเวลาไปคิด, ไปนึก, หรือไปอ่านเอาเรื่อง ตามวิชา COMPREHENSION แบบพธร.ดอก! มิฉะนั้นแล้ว, ย่อมจะถูกคลื่นแห่ง อารมณ์ คือ ความยินดียินร้าย เข้าท่วมทับจิต ของพธร.ได้! เปรียบเหมือนกับ ผู้เล่นกระดาน โต้คลื่น ที่หากไม่จดจ้อง อยู่กับลูกคลื่น ให้ดีแล้ว.. ก็ย่อมจะพลัดตก จากกระดาน และถูกคลื่น ท่วมทับได้นั่นเอง!
                ซึ่งวิธีวิปัสนา ก็มีอยู่แค่นี้แหละ! ส่วนการที่จะบรรลุเมื่อไรนั้น.. เป็นผลที่ จักเกิดขึ้นเอง! ที่เรียกว่า มรรคญาณ -ผลญาณไง! แต่ถ้าเป็นDR. ที่ศรีธัญญาแล้ว.. ย่อมจะค้นคว้า อ่านเอาเอง จนทะลุเป็นอรหันต์ ไปก่อนอรหันต์พธร.เสียอีก จึงขอให้แง่คิดว่า สันติภาพ หรือสันติสุขนั้น ย่อมจะมีอยู่เสมอ ในผู้ที่เข้าถึงธรรมแล้ว เท่านั้น! แต่หากว่า ยังง่วนอยู่กับ NeoProtest หรือสงครามสังคม ธรรมะการเมือง อยู่ละก็.. ฟันธงได้เลยว่า สันติภาพ ยังอยู่อีกไกลนัก!
                พวกนักบวชหัวเส ชอบที่จะสอนว่า นรกอย่างกระทะทองแดง ไม่มีจริงๆดอก! นักบวชพวกนี้ จึงย่อมจะได้บริวารมาก และแถมยังได้บริวาร ที่รวยอีกด้วย! เพราะว่า คนที่ทำบาป แล้วรวย มีมาก! เมื่อมาเจอกับนักบวช ที่สอนว่า กระทะทองแดง ไม่มีจริง คนที่รวยบาป พวกนี้ จึงชอบพธร. เป็นอันมาก! เพราะตายไป ไม่ต้องไปกลัว ตกกระทะ ทองแดงแย้ว! ส่วนพธร. ก็ได้แต่หลอกตัวเองไปวันๆ.. รอการตัดสิน เมื่อครบ 151 ปีแล้ว เท่านั้นเอง ถ้ามรณภาพไปแล้ว จะนึกถึงคำของเราได้!

                พ่อครูว่า น่าจะขอบคุณนะ ที่บอกมา แต่เขาคงไม่เชื่อหรอกว่า เราเข้าใจ สิ่งที่เขา พูดมาหมด แม้แต่ว่า คุณจะกลับไปกลับมา จะเอาแต่ในอย่างเดียว หรือ เอานอกด้วย ก็ไปตรวจสอบเอง

                พ่อครู..จะขอขยายความโดยรวมเลย...

                “รูปโฉม” ที่มีร่าง(สรีระ) หรือหมายเอา “รูปรูป” เลย ขอยืนยันว่า “กาย” ไม่ได้แปลว่า “ร่าง” หรือ “สรีระ”แน่ๆ แต่หมายถึง องค์ประชุม ทั้งภายนอกและภายใน อันมีหมวดแห่งเจตสิกธรรม ประกอบด้วยเสมอ ที่สำคัญ คือ “กาย” นั้นมี “นาม” อยู่ด้วยไม่ขาด จะเป็นมนุษย์ - สัตว์เทวดา – สัตว์อบาย ต่างๆนานานั้น ต่างคนต่างก็ “สัญญา” (การกำหนดหมาย) ไปตามภูมิรู้ ที่มีหรือไม่มีกิเลส เป็น “พลขับ” สำคัญ

                ผู้มีภูมิ “สัตตาวาส” ขั้นที่ ๑ นี้มีแค่สามัญสำนึก ยังไม่มมีกฏเกณฑ์อะไร ในการเรียนรู้ ความเป็นมนุษย์ หรือเป็นสัตว์ทางจิตใจ (สัตว์โอปปาติกะ) โดยเฉพาะ คนปุถุชนธรรมดาทั่วไป หรือแม้จะศึกษาธรรมะ แต่ยังไม่ประสีประสา ก็กำหนดหมาย ความเป็นสัตว์ สะเปะสะปะ ไปตามอำนาจกิเลส ไม่มีความรู้ทางจิต หรือทางปรมัตถ์เลย ก็จะเชื่อว่า “กาย” ของความเป็น “สัตว์” เช่น สัตว์นรก หรือสัตว์วินิบาต จึงไม่ถูกต้อง ตามเป็นจริง เทพหรือพรหม ก็ไม่ถูกต้องตามเป็นจริง และส่วนมาก มักจะมี “ทิฎฐิ” ว่า สัตว์ทางจิตใจ (สัตว์โอปปาติกะ) นี้ “กาย” (องค์ประชุมของรูป-นาม) จะมีรูปร่าง หรือ มีสรีระ เช่นเดียวกับ ที่คนมี สัตว์มี ซึ่งประกอบไปด้วย มหาภูตรูป อันมีรูปร่างตัวตน อยู่นั้นเอง

                ผู้ที่อวิชชา หรือยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ จึงต่างก็มี “กาย” ใน”วิญาณฐิติ” หรือใน “สัตตาวาส” เป็น “กาย” ที่มีรูปร่างอย่างนั้นอย่างนี้ ตามที่ตนมี “การกำหนดหมาย” (สัญญา) ให้มันเป็นไป ตามทิฏฐิ ที่ตนมิจฉาทิฏฐิ ก็ วนเวียนถูกผูก (สังโยชน์) อยู่กับ “ความเป็นสัตว์ในภพ” พ้น “ความเป็นสัตตาวาส ๙” นี้ไม่หมดสิ้นไปสักที

                คนโบราณจึงสร้างงาน “ศิลปะ” ต่างๆ เป็นรูปคน มีศีรษะสัตว์ต่างๆ มีมือ มีแขน มีขา มีตัวตน เป็นรูปร่างสัตว์นานา อันแตกต่างไปจาก ความเป็น “คน” จึงดูแปลก ประหลาดไปจาก รูปร่างของความเป็น”คน” ซึ่งเป็นการสมมุติ ให้มีสรีระ เป็นสิ่งแทน เพื่อสื่อให้รู้ว่า “สัตว์ทางจิตใจของตน” (สัตว์โอปปาติกะ) นั้น มีความลึกซึ้ง แห่งองค์ประกอบ แห่งกาย อันมีทั้ง รูปกายข้างนอก และนามกาย ประชุมกันอยู่ ซึ่งสื่อให้รู้ว่า คนนั้นมีความเป็น “สัตว์” สารพัด อีกหลากหลาย

                เป็น “นิยาย” เป็น “นิทาน” เป็นทั้งงานวรรณกรรม งานปั้น งานวาด ซึ่งเป็นทั้ง “งานศิลปะ” ของผู้รู้จริง ที่เป็นศิลปินแท้ ทั้ง “งานที่เกิดจาก ผู้มิจฉาทิฏิฐิ” ปรุงแต่ง เสริมเติม ด้วยความไม่รู้จริง เข้าไปอีก จึงเลยกลายเป็น “สัตว์ทางจิตใจของคน” เละเทะ สะเปะสะปะ ไม่เป็น “ศิลปะ” แต่เป็น “งานที่ผิดไปจากสัจธรรม” (อนาจาร, ข้าศึกแก่กุศล) มากมาย ขึ้นมาในโลก

                (งานศิลปะเป็นมงคลอันอุดม แต่ถ้าเป็นงานที่ไม่ใช่ “ศิลปะ” ก็เป็นการมอมเมา เป็นงาน “อนาจาร” เพราะเป็นข้าศึกแก่กุศล ทุกวันนี้ มีกันอยู่เต็มโลก หลงว่าเป็น “ศิลปะ” ทั้งที่เจตนา และไม่เจตนา)

                ซึ่งผู้ยังไม่ประสีประสากับสัจธรรม ก็ หลงยึด ได้แค่ “รูป” (สรีระ) ของงาน “ศิลปะ” ไม่หยั่งลึก เข้าไปถึง “เนื้อแท้ - สาระสำคัญ” ที่เป็น ธรรมาธิษฐาน

                จึงได้แค่บุคคลาธิษฐาน ของงาน “ศิลป์” ทั้งหลายเหล่านั้น ก็ได้เพียง เปลือกนอก ซึ่งไม่ใช่สาระสำคัญ ที่ชื่อว่าเป็น “มงคลอันอุดม” ที่แปลว่า สิ่งที่นำพา ให้เจริญ สู่ความสูงสุด หรือ ธรรมะที่นำพาไปสู่ ความละหน่ายคลาย จนถึงขั้นสูงสุด สุขเกษม คือนิพพาน ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ว่า “ศิลปะ” เป็น “มงคลอันอุดม” (ไม่ใช่ “ข้าศึกแก่กุศล” หรือไม่ใช่ “อนาจาร”)

                แต่ถ้าไม่ใช่งาน “ศิลป” ซึ่งคนที่ไม่ใช่ “ศิลปิน” อีกมาก ก็ช่วยกัน จินตนาการ ของตนเอง เสกสรรปั้นแต่งตาม “อวิชชา” ของตน เสริมเข้าไปอีก ก็กลายเป็นงานมอมเมา เต็มบ้านเต็มเมือง เต็มโลกกันจริงๆ ด้วย “อวิชชา” คือ ไม่รู้ลึกซึ้ง ถึงความเป็น “ศิลป์” ที่เข้าข่ายเป็น “มงคลอันอุดม” ส่วนมาก จึงเป็นงาน ก่อกิเลส ก่อให้หลงใน รูป - รส - กลิ่น - เสียง - สัมผัส เพื่อเสพรสอัสสาทะ กันอย่างโลกีย์ เกือบทั้งสิ้น หรือไม่ก็เป็นงาน ก่อให้เกิดอัตตา จึงเป็นงานที่เป็น “ข้าศึกแก่กุศล” ที่เรียกว่า “อนาจาร” คือ ไม่ควรทำ
                ศิลปะ ชั้น “อุดม” ซึ่งหมายถึง ชั้นประเสริฐ เลิศ เข้าข่าย “อาริยะ หรือโลกุตระ” จึงหาได้ยาก

                “ศิลปิน” ที่สัมมาทิฏฐิ สร้างงานเข้าข่ายเป็น “ศิลปะ” ที่เป็น “มงคลอันอุดม” ที่ว่านี้ หาได้น้อยมาก ในโลกปัจจุบันนี้ ส่วนมาก ก็ติดอยู่แค่ รูปนอก แค่แสงสีเสียง หรือ รูป - รส - กลิ่น - เสียง - สัมผัส อันเป็นรส กามารมณ์ หรือไม่ก็ เพ้อฝันปั้น “อัตตา ๓” หนักหน้ากันไป จนอาตมาไม่สามารถ จะสาธยายได้หมด ที่นับวัน ก็มอมเมากัน หนักขึ้นๆ แล้วหลอกกันว่า “ศิลปะ”

                งานที่จะนำพาให้เจริญทาง “จิตวิญญาณ” โดยเฉพาะ ถึงขั้นพาไปสู่ขั้น “อาริยะ” ที่เป็น “โลกุตระ” ซึ่งจะกำจัดความเป็น “สัตว์ทางจิตใจ” (สัตว์โอปปาติกะ) จึงหาไม่ค่อยได้

                ผู้ที่ยังไม่มีสัมมาทิฏฐิ ในความเป็น สัตว์ทางจิตใจ ทั้งหลาย ดังกล่าวนี้เอง ที่จินตนาการ ของตนเอง เสกสรรปั้นแต่งให้ “จิต” ให้ “วิญญาณ” มี “รูป” มี “ร่าง” (สรีระ) ซึ่งค้านแย้งกับ ความตรัสรู้ ของพระพุทธเจ้า ที่ว่า จิต , มโน, วิญญาณนั้น ไม่มี “รูปร่าง” (สรีระ)

                ดังนั้น “จิตวิญญาณ” จึงมีรูปมีร่าง ก็เกิดจาก ผู้มิจฉาทิฏฐิ ทั้งหลายสารพัด นี้เอง ที่เสกสรร ปั้นแต่งขึ้นมา สารพัดสัตว์ จากจินตนาการ มากขึ้นๆไม่มีลดลง ไม่มีจบสิ้น แถมพื้นฐานความเชื่อเดิม ของชาวเทวนิยม ก็เชื่อว่า จิตวิญญาณ มีรูปมีร่าง มาแต่ไหนแต่ไร อีกด้วย จึงยิ่งทำให้การชี้แจงสัจธรรมว่า จิตวิญญาณ ไม่มีรูป ไม่มีร่าง หรอกนะ นั้นยากสุดแสนยาก ยิ่งกว่าเข็นครก ขึ้นภูเขา

                จะพยายามทำให้คนเห็นสัจจะ ความจริงว่า “ความเป็นสัตว์ทางจิตใจ ความเป็นผี เป็นเทวดานั้น ไม่มีรูป ไม่มีร่าง ทว่าผู้มี “ตาทิพย์” เห็นความเป็นสัตว์ ทางจิตใจ ความเป็นผี เป็นเทวดทางจิตใจนั้นได้ด้วย “อาการ - ลิงค - นิมิต - อุเทศ”
                ซึ่งคนจะเชื่อ หรือจะเข้าใจได้นั้น ยากๆๆ มากจริงๆ
                คนมากกว่ามาก จึงยึดถือ คือมีอุปาทานว่า ความเป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ มี รูปร่าง - โฉมร่าง (สรีระ) ไม่หมดไปจากโลกนี้หรอก จนกว่าจะมีผู้มี “ญาณปัญญา” จนสามารถมี “ตาทิพย์” หรือที่เรียกว่า มี “วิชชา ๘” วิปัสสนาญาณ เป็นต้น

                เพราะความไม่มี “พุทธิปัญญา” ดังกล่าวนี้เอง จึงพลอยพาให้เข้าใจว่า แม้แต่ความเป็น จิตใจ หรือ วิญญาณ ยังมี รูปร่าง - โฉมร่าง เหมือนสัตว์ เหมือนบุคคล มีรูปร่าง เป็นตัวเป็นตน ตามที่ตาเนื้อ เห็นนี้แหละ

                จึงเชื่อสนิทใจว่า ความเป็น “จิต” เป็น “วิญญาณ” นั้นมี รูปร่าง - โฉมร่าง มี “ตัวตน” (อัตตา) เหมือนกับที่ตาเห็นรูป - หูกระทบเสียง - จมูกกระทบกลิ่น - ลิ้นกระทบรส - กายภายนอก สัมผัสเสียดสี เป็นเย็นร้อนอ่อนแข็ง เป็นโผฏฐัพพารมณ์ อย่างนี้แหละ เป็นสิ่งจริง ที่มีอยู่จริง อยู่ในทุกมิติ ทุกภพ ที่ยังมีจิต ไม่ว่า กามภพ รูปภพ อรูปภพ แม้แต่ในภพที่ไม่มี ทวาร ๕ ก็ยังมี รูป -รส - กลิ่น - เสียง - สัมผัส จึงยังเป็นสุข เป็นทุกข์ อยู่กับการกระทบสัมผัส จากทวารนอกทั้ง ๕ นี้อยู่ใน อุปาทาน ซึ่งจะมาก หรือน้อย จะแรงหรือจัดจ้าน หรือบางเบาอย่างไร ก็เป็นจริงตาม อุปาทาน (ความยึดว่า ภาวะนี้จริง) เท่าที่คนผู้นั้น ยังมีเหลือเป็นอนุสัย ของแต่ละคน

                “นรกเพราะทุกข์ สวรรค์เพราะสุข” จึงมีอยู่ในภาวะที่เรียกว่า “จิตวิญญาณ” ด้วยประการฉะนี้

                ผู้ได้กำจัด “อนุสัย” สิ้นเกลี้ยง “อนุสัย ๗” หรือ “สิ้นสังโยชน์ ๗” อย่างเที่ยงแท้ (นิจจัง) ยั่งยืน (ธุวัง) ตลอดกาล (สัสสตัง) ไม่แปรเป็นอื่น (อวิปริณามธัมมัง) ไม่มีอะไร หักล้าง (อสังหิรัง) ไม่กลับกำเริบ (อสังกุปปัง) แล้วจริงเท่านั้น ที่จะหมดสิ้นทุกข์ สิ้นนรก สิ้นสุข สิ้นวรรค์ เป็น “นิพพาน”

                ส.เพาะพุทธสรุป เราฟังมา แม้เข้าใจไม่หมด แต่ที่ได้คือ ทุกครั้งที่ได้พบ ความเห็นต่าง จงพยายามเข้าใจ ที่เขาเห็นต่าง ให้ได้มากหรือหมด อย่างท่าที ที่พ่อครูมี คือไม่ทุกข์.....

จบ

รอตรวจสอบ หรือแก้ไข คำสีแดงที่ขีดเส้นใต้อีกทีว่าถูกต้องหรือไม่

               

 
อาทิตย์ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ที่ สันติอโศก