560814_เทศน์กัณฑ์พิเศษ ณ ที่ชุมนุม ณ สวนลุมฯ
เรื่อง Go on and see out (ดูไป) เข้าสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง

       พ่อครูเริ่มเทศน์ตอน ๑๗.๑๕ น. ณ สวนลุมพินี กทม.

       พ่อครูเดินทางมาจากอุบลฯ ตั้งใจมาร่วมกับพวกเรา  ในฐานะประชาชน คนไทย เห็นเหตการณ์ว่า น่าจะมาร่วมจริงๆ ใครจะเข้าใจอย่างไร ว่า การออกมา ชุมนุมประท้วง เป็นเรื่องการเมือง แล้วผู้เป็นนักบวช หรือภิกษุ ไม่ควรมายุ่ง เป็นconcept ของประชาชน ทั่วไป พ่อครูได้พูดมามากแล้ว ในหลายครั้ง ที่ไปชุมนุม หน้าสหประชาชาติ ถนน ราชดำเนิน ก็ไปมาแล้ว หรืออยู่ข้างสวนลุมฯ ตั้งแต่ประท้วง การนำเหล้าเบียร์ เข้าตลาด หลักทรัพย์ จนมาถึงข้างทำเนียบ สะพานชมัยฯ ก็ทำมาแล้ว เป็นต้น

       พ่อครูเชื่อมั่นว่า การที่เรา จะมาช่วยประชาชน ให้มีความรู้ ความจริงสัจธรรม ไม่ใช่ ข้อละเว้น ของนักบวช เป็นเรื่องควรอย่างยิ่งด้วย เป็นเรื่องที่นักบวช ต้องมาช่วย ประชาชน โดยเฉพาะศาสนาพุทธ มีแก่นแท้ที่ พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ เป็นเนื้อแท้ เป้าหมายสำคัญ เป็นเนื้อของศาสนาเลย

       เมื่อเข้าใจอย่างนี้ ก็ต้องปฏิบัติ ส่วนใครจะเห็นต่างไป ก็อยู่ที่แต่ละคน เหตุการณ์ ครั้งนี้ พ่อครูเห็นว่า เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ ของสังคมไทย ไม่มั่นใจว่า เราควร ทำอย่างไร ก็เลยต้องมา แสดงความเห็น ในฐานะคนในประเทศ ประชาธิปไตย ที่จะแสดงความเห็น ในฐานะที่ทำได้ พอมาแล้วเขาก็บอกว่า ขึ้นบรรยายได้เลย ก็แจ้งบอก ชาวอโศก ที่เป็นลูกๆ ว่าเหตุการณ์ที่เรา ได้มาปักหลัก ชุมนุมประท้วงที่ สวนลุมพินี แห่งนี้ เป็นการชุมนุม เรื่องประชาธิปไตย ที่แท้จริง เป็นประชาธิปไตย ที่ถูกต้องที่สุด เป็นธรรมาธิปไตย เพราะการมาชุมนุม คือการมาแสดงเสียงของ ประชาธิปไตย ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ ในระบอบ ประชาธิปไตย ทุกประเทศ เมื่อประชาชน เป็นเจ้าของอำนาจ ก็มาแสดง ความเป็นเจ้าของอำนาจ แต่ว่าคน ไม่ค่อยเข้าใจ ว่าตนมีอำนาจอย่างไร และจะแสดงอำนาจเมื่อใด

       ไทยเราให้นักวิชาการ นักรัฐศาสตร์ สอนว่าประชาธิปไตย คือต้องไปลงคะแนนเสียง เลือกผู้แทน แล้วให้เขา ไปใช้อำนาจแทนเรา แล้วก็จบ เอาอำนาจให้ผู้แทน ไปปู้ยี้ปู้ยำ อย่างไรก็ได้ จึงเป็นเช่นนี้ แล้วล้มลุกคลุกคลานมา ๘๐ กว่าปี ไปเข้าใจว่า การเลือกตั้งผู้แทน ไปทำหน้าที่แทน คือประชาธิปไตย อ้างนักอ้างหนา พ่อครูก็อธิบาย มามากแล้วว่า นั่นคือประชาธิปไตย ขั้นที่ ๕ ไม่ต้องไปพูดเลย ว่าการเลือกตั้ง เป็นการเลือกตั้งที่เลว ใช้ไม่ได้ ใช้เล่ห์เหลี่ยมซื้อเสียง มีกลโกง อำนาจ สารพัด มันผิด และ เรื่องของการเลือกตั้ง ได้ผู้แทน แล้วผู้แทนก็คือ อำนาจอธิปไตยขั้นที่ ๕
       ขั้นที่ ๑ อำนาจเป็นของประชาชน ๑ คน ๑ เสียง
       ขั้นที่ ๒ คือในหลวง ที่พูดเช่นนี้ เป็นการอธิบายอธิปไตย ที่แท้จริง
       ขั้นที่ ๓ คือกฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือองค์รวมของกฎหมาย แล้วปฏิบัติตาม มาตรา ๓ ของรัฐธรรมนูญ  มาตราที่ ๒ บอกว่า อำนาจเป็นของประชาชน เมืองไทย เป็นประชาธิปไตยสองขา คือมีกายกับใจ ส่วนประเทศที่เป็น ประชาธิปไตยขาเดียว คือไม่มี พระมหากษัตริย์  ยืนยันตาม Supreme law พระมหากษัตริย์เป็น Supreme law แม้ท่านจะไปในประเทศไหนๆ จะปกครองระบอบใด ก็ยอมรับว่า ท่านเป็นรัฐาธิปัตย์ มีอำนาจสูงสุด ในประเทศ ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒ ก็บอกว่า ประเทศไทย มีการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย (รวมประชาชน กับอำนาจแล้ว) ส่วนอำนาจ ประชาธิปไตย เป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ ทรงใช้อำนาจนั้น ผ่านรัฐสภา ครม. (บริหาร) และศาล (ตุลาการ) ผ่านสามสถาบัน ท่านใช้อำนาจ ของประชาชน ผ่าน ๓ สถาบัน นี่คือ หลักฐานความจริง

       พูดถึงความจริงใน ๓ สถาบัน นั้น สถาบันบริหารเป็นไง? ไหวมั้ย? พ่อครูก็ว่า ล้มเหลว อย่างสิ้นเชิง ส่วนทางสภาล่ะ เละยิ่งกว่าขี้แพะ แหลกเลย เละยิ่งกว่าขี้ ที่มันท้องเสีย พูดให้มันน่ากลัว จะน่าเกลียดบ้างก็เถอะ เหลือสถาบันตุลาการ ก็ถูกเลื่อย ขาเก้าอี้ กันอย่างหนัก จะล้มแหล่ ไม่ล้มแหล่แล้ว แล้วจะไปหวังอะไร ประชาชน ก็ต้อง ออกมาแสดง อำนาจอธิปไตย ของตนเอง เป็นเวลาที่ต้อง ออกมาแสดง บอกว่า ไม่เอานะ การบริหารแบบนี้ แสดงความเห็น ร่วมกัน ไม่ต้องออกมา ๑๕ ล้านเสียงก็ได้ อย่างที่เขา คุยนักคุยหนา เขาก็อ้างอิงอันนี้ อยู่ทุกวัน ที่ได้รับเสียงเลือกตั้ง  แต่ว่า ประชาชน ที่เป็นอำนาจแท้ ไม่รู้เลยว่า เขาจะบุกรุก เอาทรัพยากร ประเทศของตัวเอง ไปทำอย่างไร ก็แล้วแต่ ท้วงอย่างไร เขาก็ดูดาย พอปล่อยเขาทำ ก็ฉิบหาย สิคะคุณพี่ ก็หมดสิ จะเหลืออะไร ประชาชนควร ตื่นรู้เสียทีว่า เขาบริหารอย่างไร ที่เขาโฆษณานั้น ถูกต้องหรือไม่ ปรากฏการณ์จริง เป็นอย่างไร ใช้ปัญญา ตรวจสอบบ้าง
       ตอนนี้ จะเอาเงินอนาคตไปใช้ ๒.๒ ล้านล้านบาท เอาเงินที่มีในคลัง ไปใช้ไม่ว่า แต่นี่ ไปกู้เงินในอนาคต ที่จะต้องใช้หนี้ ไปอีก ๕๐ ปี จะบ้าหรือ? นี่ก็ทบทวน เท่านั้นนะ

       สรุปคือ ประชาชนต้อง ออกมาดูแลประเทศ อย่าปล่อยให้เขา ปู้ยี้ปู้ยำประเทศ จะปล่อยไปหรือ ออกมายับยั้งบ้าง จะมีกี่กลุ่มมาช่วยกัน ก็ออกมา เราก็เป็นกลุ่มหนึ่ง ที่จะออกมา แสดงสิทธิหน้าที่ ตามรัฐธรรมนูญ ที่บอกว่าประชาชน มีสิทธิหน้าที่ ในมาตรา ๗๐ เป็นหน้าที่จะต้อง ออกมาส่งเสริม สนับสนุนประชาธิปไตย ผู้ใดไม่ออกมา ก็แย้งได้ อย่างเดียวว่า ฉันมีอิสรเสรีภาพ ไม่ออกมาก็ได้ แต่ว่ามีมาตราที่ ๑๕๗ บอกว่า ไม่ทำหน้าที่ก็ผิด เป็นแต่เพียง ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ แต่เป็นหน้าที่ของประชาชน ตามมาตรา ๗๐ นั่นแหละ “บุคคลมีหน้าที่ พิทักษ์รักษาไว้ ซึ่งชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ ในระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุช ส่วน ม.๗๑ บอกว่า บุคคล มีหน้าที่ป้องกันประเทศ และรักษาผลประโยชน์ชาติ ตามกฎหมาย แต่นี่เขากำลัง ทำลาย ทรัพยากรของชาติ ใช่ไหม แล้วประชาชน ที่ไม่ออกมา ผิดกฎหมาย ม.๗๐ กับ ๗๑

       พ่อครูว่า อยู่ภายใต้กฎหมาย แม้จะเป็นภิกษุ อาศัยอยู่และกินอาหาร ในประเทศไทยนี้ ไม่ใช่ที่ลาว ถ้าจะปล่อยปละ ละเลย ไม่กตัญญู ก็เลวแล้ว ก็ต้องออกมาทำงาน ส่วนใคร จะเข้าใจว่า ศาสนาไม่เกี่ยว ก็อธิบายว่า คนนั้นเข้าใจว่า ศาสนาเป็นสิ่งบริสุทธิ์ แต่การเมือง เป็นเรื่องสกปรก ไม่มีสิ่งดี เพราะฉะนั้น คนธรรมะ อย่าเอาตัว มาแปดเปื้อนนั้น พ่อครูก็เข้าใจเขา แต่ว่าพ่อครู เป็นลูกพระพุทธเจ้า เมื่อปฏิบัติ ก็มีภูมิธรรม มีฤทธิ์อำนาจ ที่จะเข้าไป แล้วไม่ให้อำนาจการเมือง มามีอำนาจ เหนือกว่าเรา คนก็เข้าใจว่า การเมืองมีฤทธิ์แรง กลัวธรรมะจะเสีย ก็เป็นความเข้าใจ ปรารถนาดี แต่ว่าพ่อครูว่า พ่อครูไม่ใช่คนเช่นนั้น คือไม่ถูกเขาเอาอำนาจ มาเล่นงาน และสอง คือไม่กลัวตกอยู่ใน อำนาจการเมือง

       พ่อครูทำงานการเมือง คือการรับใช้ประชาชน ที่แท้จริง มาช่วยความเดือดร้อน ของประชาชนจริง ไม่มีใครจ้าง ไม่ได้มาหาเสียง หรือเพื่อแย่งชิง อำนาจรัฐบาล มาทำงาน การเมือง แต่ไม่ต้องการ อำนาจทางการเมืองเลย ทำงานเพื่อให้ประชาชน ได้สิ่งที่ ดีกว่าเก่า ได้เท่าไหร่เท่านั้น ไม่ตะกละ ไม่ได้เราก็รู้ว่า เราไม่มีฝีมือ ขอบอก โดยเฉพาะ ลูกๆอโศก จะเป็นศิษย์เก่า แม้ไม่ใช่นร. ก็ตาม แยกไปอยู่ข้างนอก ตอนนี้นี่ อโศกต้องการ ที่จริงก็ชาติต้องการ อโศกต้องการ มาช่วยกันหน่อย ตั้งใจว่า เมื่อมาประท้วง นี่คือจิตของ ประชาธิปไตย ย้ำอีก หมื่นแสนล้านครั้งพูดว่า ประชาธิปไตย คืออกมาชุมนุมกันประท้วง หรือ protest เมื่อมีเหตุการณ์ ที่ต้องประท้วง นี่คือเนื้อแท้ ประชาธิปไตย แสดงเมื่อไหร่ คืออำนาจ ประชาธิปไตย รวมตัว แสดงสิทธิ์ว่า เราไม่เอาอย่างนี้ ที่เป็นข้อบกพร่อง

       ขออ่านบทความของ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ว่า ในแนวหน้า ๑๓ เม.ย. ๕๖

บทเรียนผู้นำ 3 คน แธตเชอร์, ทักษิณ, คิม จอง อึน จาก8K’s 5K’s
สัปดาห์นี้ จะขอยกตัวอย่าง ผู้นำ 3 คน มาเปรียบเทียบ ให้ผู้อ่านศึกษาจุดอ่อน จุดแข็ง โดยใช้แนวคิด 8K’s 5K’s ของผม และนำไปวิเคราะห์ดูว่า จะเป็นผลเสียอย่างไร ต่อคนไทย
คนแรกคือ มาร์กาเร็ต แธตเชอร์
จุดแรกที่เด่น คือ ทุนทางจริยธรรม และทุนทางปัญญาใน 8K’s คือมองอนาคต อังกฤษว่า ต้องปฏิรูป วิธีการบริหารประเทศ ลดบทบาทของ สหภาพแรงงาน มองอนาคตไกลว่า อังกฤษต้องมี ระบบเศรษฐกิจเสรี พึ่งการตลาด สร้างศักยภาพการแข่งขัน และที่สำคัญ ก็คือ มองผลประโยชน์ในระยะยาว ของประเทศเป็นหลัก มีการพูดถึง ภาวะผู้นำ ของแธตเชอร์ ในหลายด้าน แต่ 2 เรื่องที่สำคัญมากๆ ก็คือ

ด้านแรกคือ กล้าทำอะไรที่รุนแรง และอาจเสียคะแนน แต่ทำและยอมรับ ผลที่เกิดขึ้น เช่น ยอมเสี่ยง ต่อการแพ้ การเลือกตั้ง แต่โชคดี ที่ได้รับเลือกกลับมา เพราะปัจจุบัน นักการเมือง ในโลกส่วนมาก กลัวเสียคะแนน จึงเน้นประชานิยม เอาใจผู้เลือกตั้ง ไม่สร้างนโยบาย ที่เสียคะแนนนิยม ตัวอย่างของแธตเชอร์ คือถ้าแพ้ ก็ต้องยอม เพื่อแลกกับ นโยบายปฏิรูป เพื่อผลระยะยาว ของอังกฤษ

อีกด้านหนึ่ง ที่สำคัญคือ มีความมุ่งมั่นสูง กล้าหาญ อดทนและแข็งแกร่ง แธตเชอร์ ถูกขนานนามว่า หญิงเหล็ก “Iron Lady” อย่างการจะลดบทบาท ของสหภาพแรงงาน ในอังกฤษ ทำได้ยาก แต่แธตเชอร์ ก็ทำได้สำเร็จ

ในทางวิชาการ วิธีการแบบนี้ เรียกว่า Conviction Style คือ เชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ และเดินหน้า ถึงจะมีคนคัดค้าน หรือเสียคะแนนก็ตาม

แต่ในโลกการเมือง ปัจจุบัน ส่วนมาก ยังเน้นแบบ Consensus Style คือ จะทำอะไร กลัวเสียคะแนน ทุกๆ ฝ่ายเห็นชอบได้มากกว่าเสีย แต่อาจจะเสียหาย ในระยะยาว
ส่วน คิม จอง อึน ผมคิดว่า การเป็นผู้นำของเขา น่าวิตกตรงที่ว่า เขาขาด ทุนทางปัญญา คือยังอายุน้อย และขาดประสบการณ์ คือเน้นที่ประเทศของเขา มองมุมเดียว การขาด ทุนทางปัญญานำไปสู่ความหายนะ ระดับโลกได้ จากความไม่รอบคอบ และ ไม่แตกฉาน ของเขา จึงนำมา ซึ่งการตัดสินใจผิด แบบเข้าข้างประเทศของตน มากเกินไป
ประเด็นที่สอง ก็คือ ขาดปัญญาเรื่อง การบริหารความเสี่ยง ไม่รับผิดชอบว่า อะไรจะเกิดขึ้น ที่ขาดอีกทุน คือทุนทางจริยธรรม เพราะมีการลงทุน ทางการทหาร มากที่สุด แต่ประชาชน ชาวเกาหลีเหนือ กว่า 2 ล้านคน อดอยาก

ส่วนคนสุดท้าย คุณทักษิณ ผมพูดหลายครั้งว่า เป็นคนเก่งมากๆ ใน 2 ทุน คือ
- Creativity Capital ทุนแห่งการสร้างสรรค์
- Innovation Capital ทุนทางนวัตกรรม

เพราะมีความคิดใหม่ๆ ทั้งด้านการเมือง และเศรษฐกิจ แต่ขาดทุนทางจริยธรรม เพราะทำ ทุกอย่าง ไม่โปร่งใส เพื่อตัวเขา และครอบครัว

และขาดทุนทางอารมณ์ คือ เป็นผู้นำที่ขาดสติ ในการควบคุม อาจจะมีความแค้น และอาฆาต ต่อคู่ต่อสู้ ไม่ปล่อยวาง หากถูกกระตุ้น จากคู่แข่ง จะขาดการควบคุม ทางอารมณ์ จากมุมมอง ในเรื่องดังกล่าวข้างต้น ผมหวังว่า จะเป็นประโยชน์ กับผู้อ่าน ไม่มาก ก็น้อย และหวังว่า ผู้อ่านจะนำส่วนดีๆ ของผู้นำมาใช้ และหลีกเลี่ยง สิ่งที่ไม่ดี เช่น ประชาธิปัตย์ เขานำนโยบายบางอย่าง ของคุณทักษิณ มาใช้บริหาร ความหลากหลาย ของคนเก่ง ในหลายๆกลุ่ม ให้พรรคประชาธิปัตย์ มีคะแนนในภาคอีสาน และ ภาคเหนือด้วย โดยเน้นเรื่อง ความโปร่งใส ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ มีมากกว่า ส่วนคุณทักษิณ ก็คงต้องเอานโยบาย บทเรียน คุณมาร์กาเร็ต แธตเชอร์ มาใช้ เช่น นโยบาย จำนำข้าว คือหายนะแน่ๆ ก็ควรเลิกตอนนี้ ดีกว่าเลิกเมื่อ ชาติล่มจมแล้ว หรือ หยุดกู้ 2 ล้านล้านบาท ก่อนที่จะหายนะ ด้วยหนี้ท่วมประเทศ “คุณทักษิณ ฟังหรือเปล่า”

ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ 
เลขาธิการมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ระหว่างประเทศ
[email protected]

              ส่วนประชาธิปไตย แบบพรรค พฟด. นี้ไม่เหมือนใคร แม้นักรัฐศาสตร์ จะว่าเพ้อฝัน เราก็จะทำ พิสูจน์ว่าเราทำได้ ตอนตั้งพรรค เราเป็นพรรคที่ ๔๖ ตอนนี้ เลื่อนมาเป็น พรรคที่ ๗ แล้ว เพราะพรรคอื่น ล้มละลายไป ถูกกกต. ยุบพรรคไปบ้าง คนไม่รู้จักเรา เพราะเราไม่หาเสียง แต่คนที่เราทำงานด้วย เขาก็รู้จัก เราไม่บอก ชื่อพรรคเรา แต่เราทำงาน รับใช้ประชาชน อันนี้ก็คือ งานหนึ่งของพรรค พฟด. หัวหน้าพรรค ก็มาทำงานช่วยคน ไม่บอกชื่อ ปล่อยให้งงเท่านั้น ไม่ใช่ไซโคโลยี่ด้วย

              ประกาศต่อประชาชนว่า เราจะมาทำงานการเมือง คือการออกมาชุมนุม นี่คือการใช้อำนาจ ขั้นที่ ๑ เลย อำนาจขั้นที่สองคือ พระมหากษัตริย์ อำนาจขั้นที่สามคือ พระมหากษัตริย์ใช้อำนาจผ่าน ๓ สถาบัน อำนาจขั้นที่ ๔ คือกฎหมายให้ประชาชน ใช้สิทธิ์เลือกตั้งผู้แทนฯ ส่วนผู้แทนเป็นอำนาจขั้นที่ ๕ อย่ามาทำกร่าง ส่วน นายกฯ เป็นอำนาจลำดับ ๖ ต่อจากสส. ที่ไปโหวตนายกฯ แล้วนายกฯ ก็ไปตั้งรมต.อีก เป็นอำนาจลำดับ ๗ แล้วมาทำกร่างทุกวันนี้ อะไรกัน กร่างไม่เข้าเรื่อง อำนาจ ระดับล่างแล้ว ประชาชนต้องรู้ว่า เรามีอำนาจ ลำดับเท่าไหร่?... ลำดับ ๑ แล้วก็ปล่อย ให้เขา ปู้ยี้ปู้ยำอยู่ มันก็ไม่เหลือ

              จะมาชุมนุม แสดงความเป็นประชาธิปไตย ลำดับหนึ่ง ณ สวนลุมฯแห่งนี้ แล้ว “ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมา ให้มากๆหมดๆ”  ดังนั้นทุกคน go on and see out แปลเป็นไทยว่า “ดูไป” ไม่ใช่ดูไบนะ อย่าไปตัดหางตัวป.นะ หรือใช้ see through จะไปให้ถึงที่สุดเลย ไม่ใช่แค่ครึ่งซอย เราจะดำเนินไปเรื่อยๆ เราจะชุมนุมต่อไป เพื่อทำงานประชาธิปไตย ขอบอกว่า ที่นี่เราจะร่วมมือกับคณะเดิม คือ กองทัพประชาชน กับกองทัพธรรม จะร่วมชุมนุมไปเรื่อยๆ “ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมา ให้มากๆหมดๆ” ที่จะไขคือความรู้ประชาธิปไตย ที่แท้จริง ไม่ใช่ประชาธิปไตย เหลวแหลก อย่างทุกวันนี้

              ประชาธิปไตย ไม่ใช่มาล่าโลกธรรม คือลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แต่คนทำงาน การเมืองประชาธิปไตย ที่แท้จริง คือผู้มาเสียสละ ซึ่งพ่อครู มีนิยาม ประชาธิปไตยไว้ ๑๐ ข้อ

ประชาธิปไตยที่แท้จริงคือ
1. งานการเมืองต้อง มีคุณธรรมและเป็นกุศล
2. นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้
3. นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตย ให้กับประชาชน  (ประชาชน ก็ใส่ใจ ขวนขวายเรียนรู้  ไม่ใช่รู้แค่ว่า ไปเลือกตั้ง เท่านั้น) 
4. นักการเมืองต้อง เป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว
5. นักการเมืองต้อง เป็นผู้มักน้อยสันโดษ         
6. นักการเมืองต้อง ไม่ทำงานการเมือง เป็นอาชีพหากิน
7. งานการเมืองต้อง เป็นงานอาสาเสียสละ
8. นักการเมืองจะต้อง ไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ ๔) . .
9. นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม
10. งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา  เพื่อครอบครัว  เพื่อหมู่พวก  เพื่อพรรค  แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมือง  เพื่อประชาชนทั้งมวล  เพื่อผู้อื่น ที่พ้นไปจากตัวเอง  พ้นไปจากครอบครัว  พ้นไปจากหมู่พวก  แม้แต่พ้นไปจาก “พรรค” ของตน

               ก็มาช่วยกัน ผู้มีความรู้เรื่องการเมือง ก็มาให้ความรู้กัน เราก็จะค่อยๆ กระจายกันไป ในวันเวลาสถานที่ อย่างที่ทำนี้ แล้วเราออกโทรทัศน์ และเพื่อนๆ ที่จะเกี่ยวสัญญาณ ไปช่วยกันเผยแพร่ ความรู้ความจริง สู่สังคม เราจะทำ go on and see out แปลเป็นไทยว่า “ดูไป” ไม่ใช่ดูไบนะ อย่าไปตัดหางตัวป.นะ หรือใช้ see through จะไปให้ถึงที่สุดเลย ไม่ใช่แค่ครึ่งซอย เราจะดำเนินไปเรื่อยๆ เราจะชุมนุมต่อไป เพื่อทำงาน ประชาธิปไตย ขอบอกว่า ที่นี่เราจะร่วมมือ กับคณะเดิม คือ กองทัพ ประชาชน กับกองทัพธรรม จะร่วมชุมนุม ไปเรื่อยๆ “ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริง ออกมา ให้มากๆหมดๆ”

              ชาวอโศกเรา จะทำงานนี้ เป็นหลักก่อน มาทำงานเลี้ยงกัน ทุกวันๆ เรามีความชำนาญ พอสมควร เรายืนยันว่า เราไม่รุกราน รบรากับใคร เราทำตามกฎหมาย หลักเกณฑ์ แม้แต่เจ้าหน้าที่ จะมาทำร้ายเรา เราก็จะฟ้องร้อง ขอเชิญทนาย มาร่วมมือกับเรา ใครเห็นด้วย เพื่อทำงานการเมืองนี้ อย่างเป็นเรื่อง เป็นราว

               เราไม่เกี่ยว เรื่องฝนเรื่องหนาว เรื่องร้อน เหนื่อยเรามีความอดทน เราไม่ได้ ตั้งเป้าว่า เพื่อให้เกิด ความรุนแรง มาล้มคว่ำใคร แต่ถ้าประชาชน จะออกมาร่วมกัน แสดงมวล ให้เห็นว่า นี่คือคะแนนเสียง มวลนี่มีคะแนน หนึ่งหัว หนึ่งเสียง หนึ่งคน หนึ่งเสียง ถ้ามุ่งหมายว่า ประชาชนออกมา วันนี้เราจะร่วมกัน ไปยื่นว่า เราต้องการ อย่างนี้นะ รมต.คนนี้ หรือแม้แต่ข้าราชการคนนี้ ระบุชื่อเลยนะ ข้าราชการนี่คือ นักการเมืองประจำ แล้วอยู่ประจำเลย ชั่วไม่มี ดีไม่ปรากฏ ก็ได้ปีละ หนึ่งขั้น นี่คือ นักการเมืองประจำ ส่วนนักการเมืองจร มาได้รับเลือกตั้งชั่วคราว ส่วนข้าราชการ ก็กินเงินเดือน ไปตลอดชีวิต กินเงินเดือนประชาชนทั้งชีวิต เราไล่ออกได้ คนไหนผิด เรารวมตัว ไปไล่ออกได้ ตามกฎหมาย ไม่ใช่เราไล่ได้แต่ นักการเมือง ข้าราชการ คือคนทำ เพื่อบ้าน เพื่อเมือง

              ผู้รู้มาให้ความรู้กันได้ เราก็ขอดูแล ตามเห็นควร ให้ดีที่สุด ที่ควรเป็น ขอย้ำถึง ลูกหลานอโศก เราต้องการแรงงาน เพราะเราทำงานฟรี ไม่มีค่าจ้าง โดยเฉพาะ ทางด้านสื่อสาร ต้องการอยู่มาก ทางเทคนิค ลูกหลานอโศก ที่เคยช่วยกัน ก็มาได้ อื่นๆ หลายด้านก็มี ที่จะช่วยกัน อย่างน้อย มาช่วยเก็บกวาด อโศกมีฝีมือ เรื่องเก็บกวาด เช็ดถูนะ ขนาด ดร. ก็เก็บกวาดเก่ง แต่คุณไม่รู้หรอกว่า ที่กวาดอยู่นี่เป็น ป.โท ป.เอก ดร.หรือซีห้า ซีแปด ซีสิบ เขาไม่ติดป้ายติดเบอร์ พวกเรามาทำงาน ช่วยอะไรได้ก็ทำ เป็นสิ่งที่เรา ภาคภูมิใจ ไม่มีศักดินา เราเป็นธรรมะอยู่แล้ว เราไม่อยู่ในข่าย ศักดินาด่าไพร่ หรือ ไพร่ด่าศักดินา ก็เห็นแต่ไพร่ด่าศักดินา แล้วเสร็จแล้ว ไพร่ก็กลายเป็น ศักดินา เสียแล้ว

              สรุปว่า...จริงๆแล้ว พ่อครูขอพูดเรื่องส่วนตัวว่า อาตมาออกมาทำงาน ตั้งแต่ ออกบวช อายุ ๓๖ ตอนนี้ ก็อายุ ๘๐ ปีแล้ว หลายคนก็ไม่เชื่อว่า อายุ ๘๐  แต่ไปตรวจแล้ว หมอบอกว่า หัวใจน ี่อายุ ๑๘ ปี จริงๆนะ วัดตามเครื่องไม้ เครื่องมือ รพ.ใหญ่นะ เห็นหัวใจเลย เขาวัดตั้งแต่ ตอนเริ่ม ไม่ออกกำลังกาย หัวใจทำงานเท่าไหร่ แล้วให้ออก กำลังกาย ไปจนเหนื่อย แล้วก็วัดไปตลอด เทียบระหว่าง หัวใจตอนพัก กับเริ่มต้น แล้วเขาบอกว่า หัวใจเท่ากับ อายุ ๑๘ ปี แต่พ่อครูบอกว่า อายุพ่อครูนี้ ย่าง ๘๐ ปีนะ นี่ไม่ได้มาคุยโม้นะ คุยเล็กๆน้อยๆ

              ตั้งแต่บวชมา ก็เพื่อทำงานให้สังคม ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง มีแต่เสียสละ พาลูกๆทำ จนเป็นรูปร่างชาวอโศก จนเป็นพฤติกรรมหมู่กลุ่ม มีพฤติภาพว่า อโศก เป็นอย่างนี้ ผู้ที่รู้จักชาวอโศก เป็นคนเช่นนี้ๆๆ ส่วนคนไม่เชื่อเลย ก็ไม่มีปัญหา บางคนเห็นว่า บ้าบอ ทำร้ายสังคมก็มี คนเห็นว่าดี ใช้ได้ก็มี เป็นจริงตามบุคคล ใครเห็นดีหรือไม่ดี ก็แล้วแต่
               แต่เราทำอย่างจริงใจ ปรารถนาดี เราไม่มาเอาจากสังคม

พ่อครูมีหลักเกณฑ์ ๔ ข้อว่า
๑.ไม่เป็นหนี้ แต่ละชุมชนนะ ส่วนตัวก็ปลดหนี้ให้หมด บางคนไม่หมด ก็พยายาม พระพุทธเจ้าว่า การเป็นหนี้ เป็นทุกข์
๒.พึ่งตนเองให้รอด ทำงานทำการด้วยสุจริต อนวัชชะพละ เป็นงานที่ผู้รู้ ไม่เห็นดีด้วย เป็นแรงงานพึ่งตนรอด ไม่เบียดเบียนใคร
๓.ทำให้มาก เหลือเกินกิน เกินใช้
๔.แจกสงเคราะห์ผู้อื่น

              นี่คือหลักตายตัว อโศกทำ จะว่าดีก็ยังไม่ดีพอ สำเร็จ ข้อ ๑ กับ ๒ ส่วน ๓ กับ ๔ ก็พอเป็นไป อโศกทุกชุมชน ไม่เป็นหนี้ธนาคาร มีส่วนเกินจริง มากหรือน้อย ก็พอเป็นไป เรามาชุมนุม เปิดตลาดอาริยะ ก็มีผลดี เราทำมา ๓๐-๔๐ ปี เราก็ดำริว่า จะทำอีก แต่ก็เกี่ยวกับทุน จะไหวไหม เพราะเราไม่สะสม เราไม่เอาเปรียบ แล้วเรา เสียสละอีก เราจะไปรวยได้อย่างไร เราขาดทุนให้สังคม แล้วเราไม่สะสมอีก เราก็มีทุน สะสมน้อย แต่เราก็ดำริกันว่า จะทำซักเดือนละ สองครั้งนะ แต่ขอไปคุยกันก่อน เอาวันพระใหญ่ อาทิตย์เว้นอาทิตย์

              คนอื่นจะมา ร่วมมือร่วมไม้บ้าง ก็ทำได้ แต่เราไม่เรี่ยราย บอกบุญ อย่างโลกเขา น่าเกลียด เราไม่ทำ ใครจะมาร่วมก็ได้ …..

เอวัง

 

 
พฤหัสบดี ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๖ ที่สวนลุมพินี กทม.