_560911_คำต่อคำ รายการเผชิญหน้า (Face Time) จากช่องสปริงนิวส์
สัมภาษณ์พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ที่สันติอโศก วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๖
 

spring_news
 เผชิญหน้ากับสมณะโพธิรักษ์ ช่วงที่ ๑    

            ดนัย... เปิดรายการ.....ระยะนี้เขาเรียกกันว่า หน้าข้าวหน้าเหล้า เกิดความอึกทึก ครึกโครม ทางการเมืองเต็มไปหมด ประชาธิปัตย์ กำลังเดินสาย เชื่อมโยงองค์กร ขณะเดียวกัน คุณสุริยใส กตศิลา เขาเรียกตัวเขาเองว่า ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน แต่ผม ไม่แน่ใจว่า กลุ่มกรีน กับคุณสุริยใส นั้นเป็นหน้าฉากของใคร ผมไม่ทราบ คุณสุริยใส กำลังเดินสาย อีกทางหนึ่ง เชื่อมโยง ๕๐ องค์กร แต่สุดท้ายปลายทาง ก็ต้องยอมรับกันว่า ประชาธิปัตย์ สุริยใส ๑๒ องค์กร ๕๐ องค์กร มีปลายทางเดียวกัน ก็แยกกันเดิน สักครู่ เดี๋ยวเขาก็จะไหล มารวมกัน ในภาวะที่จะไหล มาหลอมรวมกันนั้น หนึ่งในองค์กรที่ ทั้งประชาธิปัตย์ และสุริยใส บอกว่า จะเรียงร้อย หลอมเข้ามาเป็นหนึ่ง ในขบวนการ เพื่อล้มรัฐบาล คุณยิ่งลักษณ์ ก็คือ สำนักสันติอโศก
            หลายคน มีคำถามเยอะ หลายคน เขาตั้งปุจฉากันขึ้นมาว่า ถ้าเปรียบกับพระ ที่ร้อนผ้าเหลือง นอนวัดไม่ได้ ทุกๆจังหวะ ทีได้ทีเสียทางการเมือง ต้องออกมานอน นอกวัด ต้องออกมานอน ข้างถนน ทุกครั้ง ไม่เข้าใจ นี่คือประเด็น ที่ทำให้ต้อง นำคุณผู้ชมมา สันติอโศก มา กราบนมัสการ ท่านสมณะโพธิรักษ์ เจ้าสำนักสันติอโศก

            ดนัยว่า.... กราบนมัสการครับท่านครับ เมื่อสักครู่ ผมเปิดรายการ แรงไปไหมครับ?

            พ่อครูว่า... ก็คุณพูดเบาๆจะแรงได้อย่างไร....

            ดนัย... คำถามคือ.... เขาบอกว่าท่านร้อน ร้อนอะไรไม่ทราบนะฮะ ทุกจังหวะที่การเมืองเขายุ่ง ท่านนอนวัดไม่ได้เลย ต้องออกมานอน ข้างถนนทุกที

             พ่อครูว่า... อาตมาเป็นคนที่ทนไม่ได้ ต่อใจกรุณา พระพุทธเจ้าสอนว่า เรามาเรียนรู้จักทุกข์ แล้วก็มาแก้ทุกข์ซะ ก็เห็นว่า การแก้ทุกข์ได้นี่ มันวิเศษ สำหรับมนุษย์ อาตมาก็ฝึกตนเอง ให้เรียนรู้ทุกข์ และก็แก้ทุกข์ ให้กับตนเองได้ เมื่อรู้จักทุกข์ เห็นทุกข์ตนเองได้ คนอื่น เขาก็เป็นคน เหมือนอาตมา คนอื่นๆเขาทุกข์ อาตมาก็เห็นคนอื่น เขาก็ทุกข์ อาตมาก็เห็นใจเขา เมตตาเขาว่า เขาไม่มีทางออก เหมือนอาตมา อาตมาก็จำเป็น ที่จะต้องมาบอกเขา เพื่อที่จะให้เขาพ้นทุกข์ ออกมา เมื่อเห็นคนทุกข์ คนที่ทุกข์มีจำนวนมาก ในประเทศ อาตมาก็ยิ่งจำเป็น ที่จะต้องออกมา มันผิดหรือไง?

            ดนัยว่า... ด้วยความเคารพจริงๆครับ หลายคนเขาสับสนในจุดยืนทางการเมือง ของท่านโพธิรักษ์ก็คือ เพราะใครชวนไปล้มรัฐบาล ไปหมด เขาชวนไปล้ม รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ไป ชวนไปล้ม รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ไป งั้นจุดยืนทางการเมือง ของท่าน...

            พ่อครูว่า...  จุดยืนของอาตมาก็คือ... อาตมาเข้าใจว่า การเมืองก็คือ การไปทำงานเสียสละ ผู้ไปรับใช้ประเทศชาติ ไม่ใช่ไปละโมบโมโทสัน ยิ่งไปทุจริต คิดโกงอย่างนั้นไม่ใช่งานการเมือง นั่นมันโกงเมืองกินเมือง ไม่ใช่การเมือง เพราะฉะนั้น ผู้ไปปฏิบัติก็ปฏิบัติ เราก็พอมีปัญญา แม้ไม่ฉลาดเฉลียวเท่าไหร่ ก็เห็นได้ว่าไม่ซื่อสัตย์ เขามาเอาเปรียบเอารัด แทนที่จะมารับใช้ประชาชน ตามที่เขาหาเสียง แต่เสร็จแล้ว เขาไม่ได้รับใช้ประชาชน เขามาขูดรีด เอาเปรียบประชาชน เอาประชาชน เป็นเบี้ยล่าง ด้วยวิธีการอะไร ก็แล้วแต่ อาตมาก็ไม่ฉลาดนัก แต่พอรู้ว่า เขามาเอาเปรียบประชาชน อยู่เหนือประชาชน มาเอาเปรียบเอารัด ไม่ได้มารับใช้ประชาชนจริง ก็ ๘๑ ปีมาแล้ว ตั้งแต่รัฐบาล ประชาธิปัตย์ อย่าว่าแต่รัฐบาลนี้เลย ตามปัญญาอาตมาเห็น คนอื่นไม่เห็น ก็ไม่รู้ แต่มันเห็นจริงๆว่า ไม่เข้าท่า เราก็ออกมา จึงต้องออกมา แต่ตอนไม่ถึงยุค ที่อาตมาต้องออกมาทำ อาตมาก็ยังไม่ออกมา พอถึงยุคที่อาตมา พร้อมจะออกมาทำ อาตมาก็ออกมาทำ ช่วงที่อาตมาพร้อม จะออกมาทำ อาตมา ก็เห็นรัฐบาลชุดนี้ เท่าที่เห็นได้รู้ได้ ว่ามันไม่ใช่นี่ อย่างนี้ประชาชน แสนทุกข์ทรมาน อาตมาก็ออกมาท้วง ออกมาทำงาน ช่วยประชาชน ตามที่อาตมาบวช แล้วมาทำงานนี่ แล้วตอนบวชใหม่ๆ ก็ไม่ได้ออกมา แต่เมื่อถึงเวลาพร้อมก็ออกมา เมื่อออกมาแล้ว ในช่วงที่อาตมาเห็น ก็ไม่เห็นว่า รัฐบาลคณะไหน ที่จะเป็น อย่างที่อาตมาคิด

            ดนัยว่า... แปลกใจว่าสมัยก่อน ที่พันธมิตรฯ มาชวนท่านออกไป ล้มรัฐบาล คุณอภิสิทธิ์ ท่านก็ออก กาลเวลาต่อมา เปลี่ยนเป็นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ประชาธิปัตย์มาชวน ไปล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ท่านก็ออก เขาจึงสับสนจุดยืน ทางการเมือง ของท่าน

            พ่อครูว่า... สับสนเพราะเขาเอง เขาไม่เข้าใจว่า อาตมาเอง ต้องการการเมือง แบบไหน? จึงมาเสนอการเมือง แบบที่อาตมาต้องการ ดังนั้น ที่ไม่ต้องการ เราก็ต้องล้ม นี่เป็นสิทธิตาม รัฐธรรมนูญเลย

            ดนัยว่า... ทีนี้ถึงจุดที่น่าสนใจ... ก็ออกมา ด้วยคำอธิบายว่า เพราะรัฐบาล ทำไม่ถูกต้อง ไม่ว่ารัฐบาลหน้าไหน ก็แล้วแต่ ก็ออกมาเลย

            พ่อครูว่า... ไม่ใช่หน้าไหน คุณอย่าไปพูดอย่างนั้น เมื่อใดที่หน้าไหน

            ดนัยว่า.. เมื่อใดที่รัฐบาลชุดไหน ทำไม่ถูกต้อง ท่านก็จะออก

             พ่อครูว่า... คุณใช้อย่างนี้ถูกต้อง

            ดนัยว่า... ออกมาอยู่กับมวลชน ทีนี้มันก็มีสิ่งที่ น่าสนใจ อยู่อย่างหนึ่งคือ บริบทของสังคม เปลี่ยนไปมาก บริบทประเทศ บริบทการเมือง บริบทประชาชน
ก็เปลี่ยนไปเยอะ สมัยก่อน วิธีชุมนุม อาจจะกดดัน และก่อให้เกิดจุดเปลี่ยน ทางการเมืองได้ แต่ว่าเดี๋ยวนี้ ฟืนมันเปียก จุดไม่ติด วิธีการชุมนุมผู้คน ปรากฎว่า ไม่สำเร็จอีกแล้ว ท่านไม่ลองคิดใหม่ ทำใหม่ วิธีการใหม่ๆ ในการที่จะสร้างจุดเปลี่ยน ทางการเมืองบ้างหรือ?

            พ่อครูว่า... แหมอาตมา ก็ไม่เชื่อว่า คุณจะไม่เข้าใจอาตมานะ อาตมาเชื่อว่า คุณจะต้องฟังๆ ดูๆแลๆพฤติกรรม ที่อาตมาพากันทำ นี่บ้างเหมือนกัน แต่ทำไมไม่เข้าใจ อาตมาว่า อาตมาออกมาทำงานการเมืองนี่ อาตมาทำงานการเมือง ในวิถีใด เป้าหมายใด มี Concept ใด คุณน่าจะเข้าใจ อาตมาบอก แม้ไม่กี่วันนี่ อาตมาก็พูด ที่เวทีที่สวนลุมฯ นี่ว่า อาตมา มาทำงานการเมือง นี่อาตมาไม่พาพวกเรามาชนะ ไม่ได้มาข่มใครแพ้ ไม่ได้ต้องการเอาแพ้ชนะใคร แต่อาตมา มาทำงานการเมือง เพื่อให้มันเจริญ อาตมา ก็พูดหยกๆเลย อาตมาไม่ได้มานั่งเข่นฆ่า จะได้ไปชนะ จะต้องไปรุกรานใครไม่ อาตมาต้องการ มาพัฒนาการเมือง พัฒนาการเมืองหลัก ของอาตมาก็คือ พัฒนาประชาชน เพราะฉะนั้น นักการเมือง ก็ประชาชน ผู้ที่จะไปทำงานการเมือง ก็ประชาชน อาตมาตีถัว ทำงานให้ประชาชน รับรู้ว่า การเมือง ต้องเป็นเช่นนี้ นี่คือหลักการ ของอาตมา

             ดนัยว่า... ผมจะหยิบเอาประเด็น ที่ท่านพูดตอนแรกว่า ธง เป้าหมาย สิ่งที่ต้องการ อยากเห็นคือ ถ้าผมจะออกจากบ้าน แล้วเดินตามท่าน ไปนอน ที่ข้างถนนด้วย ผมย่อมอยากรู้ว่า ท่านมีแนวคิด ที่จะออกแบบระบบ ออกแบบประเทศอย่างไร ก็อยากจะกราบเรียน ความชัดเจน จากท่านตรงนี้ อย่างที่เขาพูดกันว่า แนวคิดของท่าน และอีกหลายท่าน ในพันธมิตรฯ คือ ต้องการที่จะแช่แข็งประเทศ ๕ ปี อะไรประมาณนั้น ท่านออกแบบไว้อย่างไร

            พ่อครูว่า... อาตมานิยามการเมือง หรือประชาธิปไตย เอาไว้ ๑๐ ข้อ ว่าการเมือง หรือประชาธิปไตย ควรจะเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่ออกมาปรากฎตัว เริ่มมาทำงาน การเมืองอย่างนี้ อาตมาก็นิยาม อันนี้มาแล้ว

            การเมืองใหม่ที่เป็น ประชาธิปไตยแท้ๆ
1. งานการเมือง ต้องมีคุณธรรม และเป็นกุศล
2. นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้
3. นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตย ให้กับประชาชน (ประชาชน ก็ใส่ใจ ขวนขวายเรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่า ไปเลือกตั้ง เท่านั้น) 
4. นักการเมือง ต้องเป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว
5. นักการเมือง ต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ 
6. นักการเมือง ต้องไม่ทำงานการเมือง เป็นอาชีพหากิน 
7. งานการเมือง ต้องเป็นงานอาสาเสียสละ
8. นักการเมือง จะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ ๔)
9. นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม
10. งานการเมือง ที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา เพื่อครอบครัว เพื่อหมู่พวก เพื่อพรรค แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมือง เพื่อประชาชนทั้งมวล เพื่อผู้อื่น ที่พ้นไปจากตัวเอง พ้นไปจากครอบครัว พ้นไปจากหมู่พวก แม้แต่พ้นไปจาก “พรรค” ของตน

            ดนัยว่า.. คิดว่ามุมคิดตรงนี้คือ ต้องการคนดี ที่จะเข้ามาบริหาร จัดการประเทศนะฮะ

            พ่อครูว่า... ถูกต้อง อันนี้คุณพูดรวม ถูกต้องแล้ว

            ดนัยว่า...  แล้ววิถีที่จะนำไปสู่ จุดเปลี่ยนตรงนั้น สมัยเสธ.อ้าย ก็เคยถามเสธ.อ้าย เขาก็ว่า จะแช่แข็ง นักการเมืองไป ๕ ปี ถ้าผมถามสมัยเสธ.อ้าย ผมถามเสธ.อ้ายว่า จะนำไปสู่ จุดเปลี่ยนตรงนั้น อย่างไร เสธ.อ้ายก็บอกว่า ต้องแช่แข็งนักการเมือง ๕ ปี เพื่อจัดระเบียบ ประเทศใหม่ ถ้าผมกราบเรียน ท่านสมณะโพธิรักษ์ จะว่าอย่างไรครับ?

            พ่อครูว่า... อย่าว่าแต่ ๕ ปีเลย มากกว่า ๕ ปีก็ได้ ถ้าไม่พร้อม ก็ควรจะต้อง ให้มีคณะมาทำงานไปพลางก่อน โดยไม่สำเร็จรูป อย่างที่มันเป็นอยู่นี่ สำเร็จรูปแล้ว มันก็ล้มเหลว กันอยู่อย่างนี้ เพื่อชะลอ แล้วก็มีการจัดทำ ให้มีการปรับปรุง จัดแจง ให้เรียบร้อย เพราะฉะนั้น ในแนวคิดที่ เสธ.อ้ายพูดนั้น อาตมาก็เห็นด้วยกับ เสธ.อ้าย ก็เลยไปร่วม เพราะว่าที่ทำกันอยู่นี่ มันใช้ไม่ได้ พูดก็พูดเถอะว่า วิธีทำการเมือง หรือ รัฐศาสตร์ในไทย ทำไมเข้าใจการเมือง และสอนอย่างนี้ การเมืองคือ การรับใช้ประชาชน ก็เป็นภาษาพูด พูดว่าไปรับใช้ แต่พฤติกรรม ไม่ได้รับใช้ประชาชน ไม่ได้เสียสละ ให้แก่ประชาชนเลย มีแต่โลภโมโทสัน เอาเปรียบประชาชน เอาแค่พฤติกรรม นิดๆ หน่อยๆ ที่เห็นง่ายๆ คือผู้แทนประชาชน มีเงินเดือนเป็นแสน ยังไม่พออีก ต้องไปหา เบี้ยเลี้ยง หาเงินที่จะได้ข้างเคียงอีกมากมาย อย่างนี้ มันไม่ใช่มาทำงานการเมือง

            ดนัยว่า... เราจะแก้ปัญญาที่เกิด เฉพาะหน้าอย่างไร ก็กลับมาสู่ประเด็น วิถีหรือวิธี ที่จะนำไปสู่ จุดเปลี่ยน อย่างที่เราต้องการ ท่านบอกว่า เห็นด้วยกับ แนวคิดของ เสธ.อ้าย คือการแช่แข็ง นักการเมืองไป ๕ ปี หรือมากกว่านั้น ในจังหวะที่ แช่แข็งนักการเมือง ก็เอาคนที่บทบาททางการเมือง ออกไปให้หมดก่อน และก็จัด บุคคลกลุ่มหนึ่ง เข้าไปบริหารประเทศ ชั่วคราวก่อน บุคคลกลุ่มนั้น ใครเป็นคนจัดหา? และมาอย่างไร?

            พ่อครูว่า... ถ้าเผื่อว่า มันเป็นผลสำเร็จ เราจัดการได้ ก็นั่นแหละ พวกเรา จะเป็นคนจัดหา ตามเหมาะตามควร ตามที่เรามั่นใจว่า ถ้าทำอย่างนั้น มันไม่ได้เรื่อง เราจะหาคนอย่างนั้น ไปทำงานซ้ำ มันก็โง่ตาย ต้องหาคน ที่จะทำได้ดีกว่านี้ ขึ้นไปทำ

            ดนัยว่า... คนที่จัดหานั้น ต้องมีคณะ เช่นคณะพันธมิตรฯ คณะกองทัพธรรม คณะกปท. หรือบรรดาแกนนำ ม๊อบทั้งหลาย จะเป็นผู้ที่ สรรหาบุคคล ไปบริหารประเทศ ชั่วคราว?

            พ่อครูว่า... ก็ต้องอย่างนั้นสิ ก็ต้องพยายาม เราไม่ทำให้เป็นเหมือนเดิม เราจะไปทำ เหมือนเดิม ก็โง่ตายสิ ทำแล้ว แล้วเราจะทำ ให้เป็นเหมือนเดิม หรือ เลวกว่าเดิม มันก็โง่ตายเลย ไปทำทำไม มันต้องทำให้ดีขึ้น เท่าไหร่ เราก็พยายามทำ ให้สุดความสามารถ ไม่แกล้งหรอก ได้แค่ไหน ก็แค่นั้น

            ดนัยว่า... ถ้าท่านสมณะโพธิรักษ์น่ะฮะ ผมกราบท่าน ได้สนิทใจ ผมเจอหน้า พล
ต. จำลอง ศรีเมือง ผมก็กราบได้ โดยสนิทใจ แต่บรรดาแกนนำ หลากเผ่าหลายพันธุ์ ที่ไหลมารวมกัน เพื่อล้มรัฐบาลนะฮะ มันมีที่มาแตกต่าง หลากหลายกัน มีวาระที่ไม่เหมือนกันเลยเสียทีเดียว แต่ถ้าบุคคลเหล่านี้ รวมกัน แล้วมีอำนาจ ไปเลือกคนมา ปกครองประเทศ มันไม่เสี่ยง เกินไปหรือ จะไว้ใจเขาได้หรือ?

            พ่อครูว่า... ไว้ใจก็ต้องใว้ใจสิ นั่นเป็นวิธีการ ของคนอยู่แล้ว ใครก็ต้องเลือก คนที่เขาไว้ใจอยู่แล้ว เราก็ต้องเลือก ที่สุดแห่งที่สุด ของความคิด อย่างที่คุณบอก เราก็ต้องหาคนที่ไว้ใจ หาคนที่มีสมรรถนะ ความสามารถ อย่างเหมาะอย่างควร อันนี้เป็นสามัญธรรมดาคนก็มีปฏิภาณ ทำอยู่แล้ว ทำได้เท่าไหร่ เราก็ทำสุดที่เท่านั้น จะต้องไปกะเกณฑ์ว่า จะต้องให้ได้เท่านี้ ไม่ดีกว่านี้ไม่ทำ ไม่ทำ แล้วคุณจะไปทำ ทำไม

            ดนัยว่า...  ถ้าเช่นนั้น หลักคิดตรงนี้ ก็ถึงจุดที่คน ทั้งสังคม คนทั้งแผ่นดิน ต้องตัดสินใจแล้วล่ะ ว่าไปทางซ้าย คือแนวทางของท่าน นั่นก็คือว่า ให้คนกลุ่มหนึ่ง ตัดสินใจเลือกคนขึ้นมา บริหารประเทศ จะช่วงเวลากี่ปี ก็แล้วแต่ อีกทางเลือกหนึ่งนั้น ให้ประชาชนทั้งประเทศ เขามีโอกาส ได้ตัดสินใจ ด้วยตนเองผ่าน ระบบการเลือกตั้ง หาคนที่จะมาทำหน้าที่ ปกครองประเทศ ถึงจุดที่มันต้องเลือกอย่างนี้ ใช่ไหมครับ?

            พ่อครูว่า... วิธีนั้น เขาก็ทำกันมาแล้ว วิธีเลือกตั้ง ไม่เห็นว่ามันดีขึ้น วิธีการเลือกตั้ง มีแต่เลวลงๆ คุณเห็นด้วยหรือไม่? หรือคุณคิดว่า การเลือกตั้งทุกวันนี้ มันดีขึ้น? การเลือกตั้งขณะนี้ มันใช้ได้หรือ? เพราะฉะนั้น การเลือกตั้งนี่ พักไว้ก่อนเลย เราไม่ได้หมายความว่า ประชาธิปไตย ไม่เอาการเลือกตั้ง มันเป็นวิธีการที่สากล แน่นอนอยู่แล้ว แต่มันต้องพร้อม แต่ตอนนี้ยังไม่พร้อม ต้องระงับไว้ก่อน ต้องทำ หลักใหญ่ก่อน หลักใหญ่ที่อาตมาหมาย ก็คือ "สร้างคน"

             ดนัยว่า...มันคล้ายๆอย่างนี้ไหมครับ คล้ายๆกับจะย้อนกลับไป เมื่อ ๒๕๔๙ มีการรัฐประหาร แล้วคัดเลือกคนมา กลุ่มหนึ่ง ทำหน้าที่บริหารประเทศ ซึ่งคณะรัฐมนตรี สมัยพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ลงมาถึง ระดับรัฐมนตรี ส่องกล้อง มองทีละคน มีข้อดีทั้งนั้นเลย ดีจริงๆ ประวัติดีมาก เกียรติประวัติยอดเยี่ยม ไหลมารวมกัน เป็นครม. คมช. บริหารประเทศ สังคมไม่สมใจ ประชาชนผิดหวัง นั่นคือวิธีการ ที่จะแก้ปัญหา ของประเทศ ได้จริงหรือไม่?

            พ่อครูว่า.. เป็นวิธีการเดียวกัน แต่คนที่เลือก กลุ่มคนที่เลือก ก็คงจะไม่ใช่ กลุ่มเดียว

             ดนัยว่า.. สมัยปี '๔๙ ทหารเลือก ต่อไปนี่ ๒๕๕๗ จะเป็นแกนนำ ผู้ชุมนุม หลากหลายกลุ่ม ที่ไหลมารวมกัน เป็นตัวเลือก อาจจะเป็น คุณสนธิ คุณจำลอง อาจจะเป็นไทกร พลสุวรรณ อาจจะเป็น ท่านสมณะโพธิรักษ์ มาเลือกคนบริหารประเทศ ใช่ไหม?

            พ่อครูว่า... ใช่ เราต้องใช้วิธีนั้น แล้วทีนี้ อีกอันหนึ่ง ที่คุณพูดนั่นน่ะ คุณเอง คุณอย่าไป ยึดมั่นถือมั่นว่า ทุกอย่าง มันจะต้องเป็นเช่นนั้น นิรันดร คือคนที่เลือกเข้ามา กลุ่มที่เลือกเข้ามา จะใช้ไม่ได้ ใช้ไม่ได้ อาตมาว่า คุณอย่าทำงานดีกว่า คุณดูถูกคนเกินไป ว่าคนดีกว่านี้ ไม่มีอยู่ในสังคมโลก หรือสังคมประเทศ ก็คนดีในสังคมประเทศ อาตมา ให้เกียรติเขาอยู่ว่า กลุ่มคนดีกว่านี้ และเราพอจะรู้ว่า คนในประเทศไทยนี้ ดีกว่านี้ มีจำนวนพอที่จะขึ้นไปบริหารประเทศได้ เราคิดว่านะ พอเข้าใจ ที่ว่าเราจะไม่ให้ เป็นแบบเดิม เรามีตัวอย่างให้เห็นแล้ว เราก็ต้องพยายาม อย่าให้ซ้ำรอย ที่มันล้มเหลวสิ ข้อสำคัญ มันอยู่ที่ความจริงใจของคนทำงาน คนทำงานนี่จริงใจ จะทำให้ประเทศ ให้พัฒนา ยกฐานะจาก ที่มันทรุดเสื่อมให้มันเจริญขึ้น จริงหรือไม่ หรือว่า อาศัยงานการเมือง เพื่อตัวเอง จะได้มาฉวยโอกาส อย่างที่เป็นนี่ มันตรงนี้ต่างหากเล่า

            ดนัยว่า.. ผมเข้าใจว่า เป้าหมายการมองปัญหา ที่ตรงกันก่อนนะ มันอาจจะต่างกัน ตรงที่วิถี ที่จะนำไปสู่ จุดเปลี่ยนนะฮะ เราพักสักครู่ แล้วจะนำไปสู่ ช่วงที่สอง

            ดนัยว่า... ผมจะกลับมาถามท่าน ตรงๆนะครับ ทำไม ท่านไว้ใจประชาธิปัตย์ ทั้งๆที่ครั้งหนึ่ง ท่านเคยชุมนุม ไล่เขามาก่อน ผมจะกลับมา หาคำตอบจากท่าน ในช่วงที่สอง

            ท่านผู้ชม วันนี้ผมเริ่มจากการที่ ไล่เรียงโครงความคิด ความเชื่อ เฉพาะกลุ่ม สันติอโศก เสียก่อน เป็นพื้นฐาน จึงได้เข้าใจ เมื่อเห็นร่องรอย ของความคิดตรงนี้ แล้วก็จะเข้าใจ ในเชิงของ รายละเอียด ว่าทำไม ต้องเคลื่อนไหวอย่างนั้น ไปร่วมกับ กลุ่มนั้น ในช่วงสุดท้ายนี้ เป็นคำถาม ที่ต้องขอคำตอบ กันเลยว่า ทำไมจึงไว้ใจ ประชาธิปัตย์ เขามาเชิญให้ท่านสมณะโพธิรักษ์ ออกไปร่วมเคลื่อนพล บนท้องถนน ไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทั้งๆที่ท่านสมณะโพธิรักษ์ ก็เคยชุมนุม ขับไล่รัฐบาลประชาธิปัตย์ มาก่อน และเพื่อร่วมรบ สหายร่วมรบ ของท่านสมณะโพธิรักษ์ อย่างพันธมิตรฯ ก็ประกาศ ตัดชื่อประชาธิปัตย์ ก่อนหน้านี้ไม่นาน ก็น่าแปลก

เผชิญหน้ากับสมณะโพธิรักษ์ ช่วงที่ ๒
            ดนัยว่า... กลับมาเผชิญหน้า กับสมณะโพธิรักษ์กันต่อ... ผมอยู่นรก ขุมสุดท้าย แล้วจะสนทนา กับท่านนี่ ผมต้องแหงนคอ ในสนทนาจริงๆน่ะครับ ….

 ทำไมจึงไว้ใจประชาธิปัตย์ ครั้งหนึ่ง ท่านเคยร่วมกับพันธมิตรฯ ไล่รัฐบาลประชาธิปัตย์ ต่อมาแกนนำพันธมิตรฯ ประกาศยุติบทบาท ก็มีที่มามีมีชนวน มาจากประชาธิปัตย์ กระพริบตาที่เดียว เหลียวหน้ามาอีกที เขาส่งเทียบเชิญท่าน ให้ไปข้างถนน ไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ท่านตอบรับเลย

            พ่อครูว่า... ที่ไหน? อาตมาไม่ได้ไปร่วม กับประชาธิปัตย์

            ดนัยว่า... คุณหญิงกัลยาล่ะ

             พ่อครูว่า... นั่นเขามา มาขอพบอาตมา ตามมารยาท ก็ต้องให้พบ จะใจร้ายใจดำ ไม่ให้พบ ได้อย่างไร

            ดนัยว่า... คุณนิพิฐ อินทรสมบัติ คุณสุริยใส กตศิลา บอกว่า สันติอโศก เป็น ๑ ใน ๑๒ เป็น ๑ ใน ๕๐ องค์กร ที่จะร้อยหลอมรวมกัน เป็นสายธารเดียวกัน

             พ่อครูว่า... ต้องพูดเป็นสองประเด็น คือเขาให้อาตมาไปร่วม กับประเด็นว่า อาตมาเห็นด้วย เต็มใจจะไปร่วมกับเขา อย่างเต็มที่ มันเป็นสองประเด็นใหญ่

            อาตมาไปทำ ถ้าจะบอกว่าร่วมก็ร่วม ในส่วนที่อาตมาร่วมได้ อาตมาก็พูด ชัดเจนกับ คุณหญิงกัลยา กับคุณนิพิฐ ชัดเจน ไม่ได้ขัดแย้ง ไม่ได้ทำงานนี้ อย่างไม่มีเป้าหมาย แต่อาตมาทำนี้ มีเป้าหมายเหมือนกัน เป้าหมายนั้น ไม่ได้ปิดบังเลย เป้าหมายคือ ไม่ต้องการวิธีปฏิบัติ ที่บริหารประเทศขณะนี้ อย่างนี้ที่เขาเรียกว่า ทักษิโณมิก ซึ่งความร่วมอันนี้ประชาธิปัตย์ เขาก็ร่วม อาตมาก็ร่วม เป็นแนวร่วม ที่ไม่เห็นจะต้อง ขัดข้องอะไรเลย เมื่อจุดร่วม มันมีอยู่ได้ เราก็สงวนจุดร่วม สิ่งที่ต่าง มันก็ต้องต่าง เท่านั้นเอง

            ดนัยว่า... อย่างรูปธรรมก็คือ ไม่ต้องการรัฐบาลชุดนี้ ถูกไหมฮะ? แต่ว่า ธงอาจจะแตกต่างกัน? ท่านก็ธงหนึ่ง ประชาธิปัตย์ เขาก็มีอีกธงหนึ่ง

            พ่อครูว่า... ไม่ไม่ ก็ธงเดียวกัน ตรงกันเป๊ะเลย เป็นแต่เพียงว่า แต่คนละคณะ คนละนโยบาย คนละวิธีดำเนินชีวิต คนละ Concept คนละทฤษฏี เท่านั้นเอง ที่อาตมาร่วม ก็เพราะว่า ประเทศต้องการอย่างยิ่ง เดือดร้อนอย่างยิ่ง ในขณะที่ผู้บริหาร ปัจจุบันนี้ มันกำลังทำลายประเทศ ทุกข์ร้อนกันจริงๆ ทุกหย่อมหญ้า เราก็ต้องเห็นว่า อันนี้ต้องจัดการก่อน เพราะเมื่อมันมีไฟ มาไหม้บนหัวเราร้อนๆ เราก็ต้องเอาไฟ ที่ไหม้บนหัว ออกไปก่อนอื่น อย่างอื่นค่อยว่ากัน จะมีอะไร ที่จะทุกข์อย่างอื่น ข้างเคียงบ้าง แต่ไฟนี่ มันร้อนจัดกว่า เราก็ต้องจัดการก่อน เพราะฉะนั้น เมื่อประเด็น ของประชาธิปัตย์ กับประเด็นของเรานี่ ตรงกัน เราก็ร่วมกันทำ อันนี้ก่อน เพราะอาตมา เห็นว่า ที่รวมกับประชาธิปัตย์นี่ เขาเองเขาเคยบริหาร แต่คณะประชาธิปัตย์นี่ เคยบริหารมา อาตมาก็ว่า เขาฉลาดสู้คณะที่บริหาร ขณะนี้ไม่ได้ คณะที่บริหาร อยู่ปัจจุบันนี้ ฉลาดกว่าเยอะเลย ฉลาดอันนี้ อาตมาขอใช้ภาษาไทย อย่าหาว่าหยาบเลย ไม่ใช่คำหยาบนะ คือเขาฉลาดฉิบหายน่ะ ฉลาดฉิบหายกว่า จริงๆ

            ดนัยว่า...ก็คือยุคนี้ จะฉิบหายกว่ายุค อภิสิทธิ์สิ
             พ่อครูว่า... แน่นอนๆ
            ดนัยว่า... ถ้าหากความรู้สึกต่อต้านนี่ จะต่อต้านน้อยกว่า ต่อต้านยิ่งลักษณ์
             พ่อครูว่า... แน่นอนๆ

            ดนัยว่า...ดังนั้นอภิสิทธิ์นี่ แม้เคยไล่เขามาก่อน แต่เขามาชวนให้ร่วม ก็ร่วมเลย ประเด็น อยู่ตรงนี้นะครับ อย่างที่เรารู้ว่า ธงของท่าน กับประชาธิปัตย์ ต่างกัน ธงของท่านคืออย่างหนึ่ง แต่ว่าประชาธิปัตย์ พอล้มยิ่งลักษณ์แล้ว เขาต้องการ ขึ้นสู่อำนาจแทน แล้วท่านจะว่าอย่างไร?

             พ่อครูว่า... เขาขึ้นสู่อำนาจแทน เราก็มีธงอยู่ เราก็พูดอยู่ว่า มาร่วมกันทำนี่ อย่างไร แต่คุณเอง คุณจะขึ้น เราเองเราก็บอกอยู่ว่า เราไม่เตะหมู เข้าปากหมา เราก็ทำอยู่ ตลอดเวลา

            ดนัยว่า... ประชาธิปัตย์ไม่ใช่หมา อย่าไปเปรียบนะครับ เดี๋ยวเขาว่า

            พ่อครูว่า... เปรียบหรือไม่เปรียบนี่ มันเป็นสำนวน คุณอย่ารับสิว่า คุณเป็นหมา คุณไปรับเองว่า คุณเป็นหมา

             ดนัยว่า... ชัดเจนว่า จะไม่เตะหมูเข้าปากหมา ล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แล้วอภิสิทธิ์ จะขึ้นสู่อำนาจแทน ไม่ได้

            พ่อครูว่า... แน่นอน อันนี้แน่นอนอยู่แล้ว

            ดนัยว่า... ตรงนี้คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช เขายอมรับ หรือครับ

             พ่อครูว่า... ไม่ได้พูดกัน ถึงรายละเอียดอะไร?

            ดนัยว่า...แต่ผมอ่านข่าว มีที่ท่านให้สัมภาษณ์ว่า ก็รอประชาธิปัตย์ เขาเป่านกหวีด อยู่เหมือนกันว่า จะได้มีท่าที ในการเข้าร่วมอย่างไร?

             พ่อครูว่า... อันนี้มันต้องมีรายละเอียด มีพลความว่า รวมประชาชน ไม่ใช่หมายความว่า รวมเฉพาะ ประชาธิปัตย์กับเรา อาตมาว่า ประชาชนนี่ ไม่ว่าคณะไหน ก็แล้วแต่ มาเข้าร่วมกันหมดเลย เอาทักษิโณมิกนี่ ลงก่อน นี่เป็นเป้าหมายหลัก

            ดนัยว่า... ลงก่อน แล้วจากนั้น ก็จัดหาคณะ ผู้ปกครองประเทศ ชั่วคราว ก็ช่วยๆกันหา แต่ต้องไม่ใช่ประชาธิปัตย์ ขึ้นสู่อำนาจแทน

            พ่อครูว่า... ก็พยายามที่จะเอาอะไรควร อะไรไม่ควร จะไปตอบตายตัว อย่างนั้น ก็ไม่ได้ เพราะจะไปว่า ประชาธิปัตย์ ไม่มีคนดีเลย ก็ไม่ได้

            ดนัยว่า... ก็โดยวิธีคิดอย่างนี้ก็คือ คนกลุ่มหนึ่ง จะมีกี่สิบ กี่ร้อยคน ก็ไม่รู้ล่ะมาตัดสิน อนาคตประเทศไทย แทนคน หลายสิบล้านคนเลย นะฮะ

             พ่อครูว่า... นี่คือวิธีของ ประชาธิปไตยเลยแหละ คือต้องเลือกคน ที่เหมาะที่ควร ในหลวง ท่านก็บอกว่า ต้องเอาคนดี ขึ้นมาบริหาร

            ดนัยว่า... ท่านกำลังบอกว่า การเมืองมีปัญหา เพราะประชาชนไม่พร้อม เมื่อประชาชนไม่พร้อม ก็ให้คนกลุ่มหนึ่ง ก็จะต้องจัดการ แทนประชาชน ที่ไม่พร้อม อย่างนี้ใช่ไหมครับ?

            พ่อครูว่า... ถูกต้อง เราถึงต้องลงมาร่วมกัน เป็นคนกลุ่มหนึ่ง ที่มาช่วยกัน

            ดนัยว่า... ถ้าอย่างนี้ การก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยน ของท่านสมณะโพธิรักษ์ ก็คือ ต้องฉีกรัฐธรรมนูญ ต้องรัฐประหาร อีกครั้งนะ ไม่เช่นนั้น ทำไม่ได้นะ

             พ่อครูว่า... อันนั้นเป็นเรื่องของอนาคต ที่เราเอง เราจะไปทำ ถึงขนาดนั้นหรือไม่น่ะ มันมีทางออกอื่น มีวิธีการอื่น อีกตั้งเยอะตั้งแยะ ไม่ใช่ว่า จะต้องฉีกรัฐธรรมนูญ อย่างเดียว มันมีวิธีการ ที่ลึกซึ้งกว่านั้น ตั้งเยอะตั้งแยะ ผู้ฉลาดที่เขาทำ เขาก็ทำได้อยู่

            ดนัยว่า... แสดงว่าพันธมิตรฯ กับท่านนี่ ก็ต้องมีพิมพ์เขียวอะไรไว้นะ ในจังหวะเปลี่ยนผ่าน ของประเทศ

            พ่อครูว่า... อันนี้ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก อาตมาเอง อาตมาไม่เชื่อว่า คนไทยนี่นะ ปัจจุบันนี่ คนไทยที่มีชีวิต อยู่ในขณะนี้ และผู้ที่มีหน้าที่ มีวัยวุฒิ มีคุณวุฒิ ที่จะทำงาน ให้แก่ประเทศชาติได้ คนในระดับนี้น่ะ อาตมาว่ามีคนฉลาด และมีคนปรารถนาดี ต่อประเทศชาติอยู่พอ พอที่จะรวมตัวกัน ขึ้นมาทำงานได้ แต่ตอนนี้ มันถูกอำนาจมืด ที่เก่งฉิบหาย มันกันไว้ได้หมดเลย ถ้าเผื่อว่า เราจัดการได้ เชื่อว่าคนดีๆ จะกล้าเสนอตัวออกมา ตอนนี้คนดีๆ เขาไม่กล้า

            ดนัยว่า... ผมชักฝัน ตามท่านแล้ว ผมอยากเห็นภาพ ที่อยู่ข้างหน้าละ แล้วผมเกิดอารมณ์ร่วม

            พ่อครูว่า.... คุณมาสัมภาษณ์อาตมาวันนี้ อาตมามีผลสำเร็จแล้ว คุณเกิดปิ๊งอันนี้ขึ้นมา อาตมาว่า อาตมามีผลสำเร็จแล้ว

            ดนัยว่า... ผมขอถามต่อ สักนิดสิครับ ว่าเมื่อเปลี่ยนผ่าน สู่จุดนั้นแล้ว จะเอาใคร มาเป็นนายกฯครับ

            พ่อครูว่า... ไม่มีๆๆ

            ดนัยว่า... คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ?

             พ่อครูว่า... ไม่มีๆๆ อาตมาไม่มีเป้า ไม่มีอะไร อาตมาไม่ได้ดูถูกคนไทยว่า ในคนไทยนี้ คนที่อาตมา ยังไม่รู้จัก ยังไม่นึกว่า ในประเทศไทย ที่จะโผล่ออกมา หรือว่าจะพยายามหาดู ในวาระนั้น ทุกๆกาละ ทุกเวลา ในภาษาของพระนั้น ท่านเรียกว่า "สมัย" ซึ่งเป็น Status quo เป็นกาละปัจจุบัน เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ ตรงนั้นเลย

             ดนัยว่า... จริงๆ คือปรากฏการณ์ ที่ไม่ถาวร เดี๋ยวก็เปลี่ยน ณ ขณะนี้ ก็เห็นปรากฏการณ์นี้อยู่ ช่วงหน้า ปรากฏการณ์ ก็จะเปลี่ยน

            พ่อครูว่า... ใช่ๆ เพราะฉะนั้น เราเอาปัจจุบันนั้นเลยว่า อาตมาเชื่อว่า ในปัจจุบันที่จะถึง ข้างหน้านี้ ขณะนี้เลย ก็จะเห็นว่า คนไทยไม่ได้ไร้สมรรถนะ ไม่ได้โง่ ไม่ได้ปรารถนาร้าย ต่อประเทศไทย และไม่ใช่ ไม่มีคนซื่อสัตย์สุจริต ที่จะทำงาน ให้แก่ประเทศ น้อยไป อาตมาว่ามีพอ

             ดนัยว่า... วิธีคิดแก้ปัญหาแบบนี้ มันเป็นแนวทาง แบบอำนาจนิยมนะครับ

             พ่อครูว่า... อำนาจนิยมนี่ มันก็ต้องเข้าใจคำว่า "อำนาจ" อำนาจที่บริสุทธิ์ แม้จะเป็นเผด็จการ แต่เป็นอำนาจที่บริสุทธิ์ ไม่ได้เห็นแก่ตัวเลย เห็นแก่ประเทศชาติ เห็นแก่ประชาชน ยกตัวอย่างเช่น ในหลวงของเรานี่ ถ้าอำนาจอย่างนี้ สมมุตินะว่า ในหลวงจะเป็นผู้เผด็จการ อาตมาว่า แจ๋วเลยนะ แต่ที่นี้มาในยุคนี้ มันพูดไม่ได้ มันไม่ได้แล้ว ในหลวงก็จะต้องอยู่ใต้ ประชาธิปไตย มันก็จะต้องเป็นอย่างนี้ แต่อาตมาเชื่อ ในคุณธรรม ของมนุษย์ ถ้าคุณธรรมของมนุษย์ ผู้บริหารประเทศ เป็นคนดี คนวิเศษ ประเสริฐจริงๆ มีทศพิธราชธรรม อย่างในหลวงนี่ คุณให้อำนาจเถอะ มีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในโลกนี้ยุคไหนๆ คนที่จิตใจ เห็นแก่ประชาชน เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ช่วยประเทศ แต่ละประเทศ เขามานี่มันมีทุกประเทศแหละ

            ดนัยว่า... วิธีคิดเราสนทนากันไปเยอะ มาสู่วิธีทำ วิธีการเคลื่อน สู่จุดที่ให้เกิด การเปลี่ยนแปลง อย่างที่เราต้องการ มีคนบอกว่า แม้กระทั่ง พันธมิตรฯ อย่างคุณสนธิ คุณจำลอง ก็คิดใหม่ทำใหม่ ประกาศยุติบทบาทชั่วคราว แต่ว่าท่าน ยังไม่คิดใหม่ ทำใหม่ พอประชาธิปัตย์ เขามาชวน ท่านก็รีบ ตอบรับ ท่านไม่ลอง คิดใหม่ทำใหม่ ในการที่จะเคลื่อนไหว บ้างหรือครับ? แทนวิธีการเดิมๆ ที่จะต้องไปนอนข้างถนน กับม็อบทุกครั้งไปที่มีการเคลื่อนไหว ทางการเมือง มีวิธีอื่นไหมครับ

             พ่อครูว่า... ขออภัยนะ ที่จะว่า คุณเอง คุณไม่เข้าใจเลยว่า คำว่าคิดใหม่ทำใหม่ ที่คุณถามอาตมานั่นน่ะ คุณถามอาตมาแล้ว คุณเข้าใจอาตมา ถูกหรือเปล่า? คุณเข้าใจอาตมาผิด อาตมาคิดใหม่ทำใหม่ มากกว่าคุณสนธิ ถ้าจะบอกว่า มากกว่าคุณจำลองก็ได้ ความคิดใหม่ๆ ของอาตมานี่ ของอาตมานี่ ใหม่เลย เรียกว่า "เก่าสมัยใหม่เสมอเลย" เป็นการใหม่ชนิดที่เรียกว่า ลอกของพระพุทธเจ้ามาเลย ขอยืนยันว่า ประชาธิปไตย ของอาตมานี่ ลอกพระพุทธเจ้ามาเลย แล้วเอาทฤษฏีนี้มาใช้ ซึ่งอาตมา เอาทฤษฏีนี้มาใช้ นี่ไม่ได้เอามาใช้อย่างฝันเพ้อ อาตมาได้เอาทฤษฏี ของพระพุทธเจ้า มาทำแล้ว ๓๐-๔๐ ปีมาแล้ว อาตมาได้คนที่ทำตาม ทฤษฏีของอาตมา ได้ประชาธิปไตยมาแล้ว ในชาวอโศก ที่มาพิสูจน์ประชาธิปไตย แบบชาวอโศกว่า รัฐศาสตร์ ของชาวอโศก เป็นอย่างไร เศรษฐศาสตร์ของชาวอโศก เป็นอย่างไร สังคมศาสตร์ ของชาวอโศก เป็นอย่างไร เชิญมาพิสูจน์ได้ เอหิปัสสิโก

            ดนัยว่า.... ก็ขยายขนาดของ ชุมชนบุญนิยมนี้ ให้มันเป็น ชุมชนบุญนิยม ระดับประเทศ แต่ว่าการจะก้าว ไปสู่จุดนั้นได้ เมื่อประชาชนไม่พร้อม ก็หาคนกลุ่มหนึ่ง มาตัดสินใจ แทนประชาชนไปก่อน เป็นคนนำทำ ซึ่งคนนั้น จะเป็นใคร ก็ยังไม่รู้ล่ะ

             พ่อครูว่า... ก็ต้องรวบรวม อย่าดูถูกคนไทย อย่าดูถูกประชาชนว่า คนเหล่านั้น จะไม่มีคุณสมบัติ ที่จะช่วยประเทศชาติได้

            ดนัยว่า... ฟังดูอย่างนี้ ท่านก็ยังยืนหยัดยืนยัน ในแนวทาง ที่จะร่วมชุมนุม กับมวลชน ถ้ามีธง ในเรื่องของการต่อต้าน ทักษิโณมิก เสมอไป

            พ่อครูว่า... ปัจจุบันเป็นเช่นนั้น

            ดนัยว่า... วันที่คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เป่านกหวีด ท่านก็จะออกเหมือนกัน

            พ่อครูว่า... ต้องดูตอนนั้นก่อน อาตมาเป็นคน ไม่ยึดมั่นถือมั่น เพราะอาตมา บอกกับ ทุกคนเลยว่า อยู่ในยุคนี้เป็นยุค "อภิมหาอนิจจัง" ทุกอย่างตัวแปร มันทั้งเร็วทั้งไว นึกไม่ทัน นึกไม่ออก มันมาได้เสมอ มาได้อย่างประหลาดเสมอ เราเอง เราจะต้อง ไม่ไปยึดมั่นถือมั่น ทุกวินาที

            ดนัยว่า... คำถามสุดท้าย ด้วยความเคารพครับ ถ้าผมลงนรก ขุมสุดท้ายนี่ ช่วยฉุดผม ขึ้oสวรรค์ด้วยนะฮะ ไม่ถามไม่ได้เลย

             พ่อครูว่า...กรรมใครกรรมมัน

            ดนัยว่า... ที่คนวิจารว่า ท่านเหมือนพระ ที่ร้อนผ้าเหลือง มีเสียงปี่เสียงกลองทีไร อยู่กับวัดไม่ได้ ทุกที มันร้อน ไม่ปล่อยและไม่วาง ต้องออกไป โลดแล่นกับเขา ทุกทีไป

             พ่อครูว่า... อันนี้ใส่ความอาตมา... อาตมาบวชมา ๔๓ ปี อาตมาเป็นพระมา ๔๒ ปี อาตมาเริ่ม มาออกมาที่นี่ เริ่มต้นปี ๔๙ คุณว่ากี่ปี อาตมาตลอดเวลา ก่อนปี ๔๙ ตั้งแต่บวช พ.ศ.๒๕๑๓ มาจนถึงปี ๒๕๔๙ เพราะฉะนั้น ตอนนั้น อาตมาไม่ได้ออกมา ทำไมไม่ว่า อาตมาอยู่เย็น การออกมานี่ อาตมารอเวลา พร้อมที่จะออกมาทำ ก็ออกมา อาตมาผิดที่ไหนล่ะ อาตมาต้องรอเวลา เมื่อพร้อมและเห็นควร ก็มาทำ อย่าใส่ความอาตมาสิ

            ดนัยว่า... ก่อนที่จะมาสัมภาษณ์ ผมเข้ายูทูป ไปฟังเพลงสองเพลง เพลงฟ้าต่ำ แผ่นดินสูง อีกเพลงหนึ่ง โรแมนติกมาก เพลงกระต่ายเพ้อ เพื่อเรียนรู้ความเป็น ท่านสมณะโพธิรักษ์ แต่หนหลัง

            พ่อครูว่า... คุณเข้าใจรู้จัก ล้วงจิตลึกๆ ของอาตมาเชียวนะ

             ดนัยว่า... วันนี้ก็เป็นความพยายาม ที่จะสนทนาเพื่อตีแผ่ ที่จะขีดเส้นใต้ เพื่อให้สังคมได้เห็น รูปรอยทางความคิด ของท่านสมณะนะ ส่วนได้รับชมแล้ว จะสรุป อย่างไร จะออกมา เดินตามท่านหรือไม่ สุดแต่ใจนะฮะ วันนี้ต้อง กราบนมัสการ ขอบพระคุณ มากครับ ที่ให้โอกาส ขอบพระคุณครับ.... เหนื่อยจังเลย จบบทสนทนา กับท่าน สมณะโพธิรักษ์นี่ ผมลืมไปเลยนะฮะว่า อรรถรสของเพลง ฟ้าต่ำแผ่นดินสูงนี่ มันไพเราะ และมันกัดกิน เข้าไปถึง หัวจิตหัวใจอย่างไร แหม หลับฝันดีนะฮะครับ ลากันไปก่อนครับ สวัสดีครับ....                         

จบ

 
๑๑ กันยายน ๒๕๕๖ ที่สันติอโศก กทม.