560921_รายการสงครามสังคมฯ
เรื่อง โปรดอย่าถามว่า จะชนะเมื่อไหร่?

        พ่อครูจัดรายการที่สวนลุมฯ... (๒๑ กันยายน ๒๕๕๖)

วันนี้จะพูดเรื่อง งานชุมนุมประท้วง ที่เรากำลังทำงานกันอยู่ หลายคน ไม่เห็นว่า มันเป็นงาน ประท้วงเลย เขาว่างานประท้วง ต้องคึกคัก มึงมาพาโวย ตีรันฟันแทง พ่อครูว่าอย่างนั้น ใครก็รู้กันแล้ว มันเก่ามาก (มันเก่าแล้วล่ะลุง!!) มาเปลี่ยนใหม่ได้ไหม มาเป็นการประท้วง มีศักดิ์ศรี มีความรู้ ปัญญา พัฒนาประชาธิปไตย ที่จะต่อสู้กัน ด้วยภูมิปัญญา หรือผู้เข้าใจวิธีการ ของมนุษยชาติที่พัฒนา

        การชุมนุมประท้วง พ่อครูว่าเป็นลักษณะสำคัญ ของประชาธิปไตยเลยที่เดียว ก็ยืนยันว่าประชาธิปไตย คืออะไร? คืองานหลักของประชาชน ต้องออกมาประท้วง อาจจะมี กฎหมายย่อย มีวิธีการ ลงคะแนนเสียง เลือกผู้แทน ไปบริหาร ก็เป็น องค์ประกอบหนึ่ง เป็นอำนาจขั้น ๔ หรือ ๕ ของประชาธิปไตย แต่ประชาชน มีอำนาจ ขั้นที่ ๑ เบอร์ ๑ ตลอดกาล ก็ต้องดูว่า ผู้จะไปบริหาร หรือข้าราชการ ที่ไปทำงาน รับใช้ประชาชน จนถึงข้าราชการการเมือง ที่เราจะแต่งตั้งไปทำงาน รับใช้บริหาร ประเทศ ก็ต้องล้วนแล้วแต่คือ ผู้ที่ได้รับอำนาจ จากประชาชน ประชาชนเป็นเจ้าของ อำนาจทั้งสิ้น ประชาชนต้องเอาตาดูหูแล ทั้งสิ้น

        ทุกวันนี้ ไม่เข้าใจรัฐศาสตร์ ก็เลยปล่อยให้ ข้าราชการเบ่งอำนาจ แต่ที่จริง เขาคือ ผู้รับใช้ ประชาชนให้เงินเดือน ไว้เลี้ยงชีพ ต้องเข้าใจสัจธรรม ให้ถูกต้อง ให้รู้จักหน้าที่ รัฐธรรมนูญ ระบุไว้ว่าประชาชน ต้องมีหน้าที่ดูแล รักษาประเทศนะ  ตามมาตรา ๗๐ นั่นแหละ “บุคคลมีหน้าที่ พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ในระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุช ส่วน ม.๗๑ บอกว่า บุคคลมีหน้าที่ ป้องกันประเทศ และรักษาผลประโยชน์ชาติ ตามกฎหมาย

        แต่เขากำลัง จะขายชาติ ให้ไปเป็นอื่น จะเอาหรือ?... อ่อนรัฐศาสตร์ กันมากเลย นักรัฐศาสตร์ ก็ไม่สอน นักปกครอง ก็ไม่สอน เขาไม่อธิบายเพราะ บอกเดี๋ยวเขา ไม่ได้เป็นผู้ปกครอง ตอนหาเสียง ก็ว่าจะมารับใช้ แต่พอได้อำนาจ ก็เปลี่ยนไปทั้งนั้น

        เรามานี่ ไม่ได้มาชุมนุม อย่างวุ่นวายอลเวง แต่เรามาชุมนุมประท้วง เรียกร้อง ความจริง เสนอสิ่งที่เป็นความจริง อย่างสงบ สันติ เราควรมา อย่างฉลาด ผู้ดี นำสมัย ประเทศต่างๆในโลก ยังไม่มีมาประท้วงอย่างนี้ เท่าที่พ่อครูเคยรู้ เหมือนที่ พวกเราทำ มาให้ความรู้ แก่มนุษยชาติ อย่างไม่เห็นแก่ เหน็ดเหนื่อย ไม่รู้ว่า เราจะสิ้นสุด วันไหน จนกระทั่ง เราเป็นศูนย์กลาง การประท้วง อย่างชาวสวนยาง ก็ให้พวกเรา ออกสื่อสารให้ เขาประท้วงเขื่อนแม่วงค์ ก็ให้เราสื่อออกให้ นี่คือ การแสดงออก อย่างประชาธิปไตย เราทำหน้าที่ แก่ประเทศชาติ ตามมาตรา ๗๐ และ ๗๑ อย่านึกว่า เราทำเล่นนะ ถือว่า เป็นเกียรติอย่างยิ่ง ของมนุษยชาติ ที่มีสำนึกมีปัญญา โดยเฉพาะ คนมาทำนี่ ด้วยปัญญา ไม่มีใครบังคับ ในประชาชน ๖๕ ล้านคน คนที่มานั่งอยู่ที่นี่ คือคนที่เข้าใจ ประชาธิปไตย ที่แท้จริง นี่คือสัจจะ ไม่ใช่พูดปะเหลาะ ให้พวกคุณจะได้อยู่นานๆ จะได้มาเป็นมวล เป็นเบี้ย ว่าพวกนี้ มาชุมนุมนี่ มีอะไรแฝง ทำให้คณะนั้น คณะนี้ก็ไม่มี เราทำเพื่อ ประชาชน ทั้งประเทศ ไม่ได้เพื่อคนใด หรือพรรคใด คณะใด ทำเพื่อความถูกต้อง เหมาะควร ที่ประเทศควรมี การปกครอง บริหารประเทศดีขึ้น

        เราก็ไม่ต้องบอกกันว่า เราจะชนะหรือแพ้ การได้มาชุมนุมนี่ คือเราได้ นำหน้าโลก นำหน้าประเทศ ที่เราได้มาชุมนุม อย่างสงบ เรียบร้อย ทำตามกฎหมาย เป็นประชาชน ทำหน้าที่ตาม มาตรา ๗๐ และ ๗๑ จะทำไปกี่ปี ก็ทำถูกต้อง ตามประชาธิปไตย มาอย่าง สมัครใจไม่มีใครจ้าง หรือบังคับ เป็นการชุมนุม ที่นำสมัยกว่า ทุกประเทศ ใครมีหลักฐาน ที่บอกว่า มีการชุมนุมที่ไหน ที่สวยงามอย่างนี้

        มีคนเขียนมาว่า ใครดีที่สุด คนนั้นจะเป็นผู้แพ้ เป็นกฏที่ถูกต้อง ใช้กับทุกคน ได้ไหม

        พ่อครูก็ไขว่า พวกเรามานี่ ไม่ได้มาเอาชนะหรือแพ้ การแพ้ชนะ เป็นเรื่องของ คนมีกิเลส คนมีกิเลส ก็จะเอาชนะเขา ตนเองไม่อยากเป็นผู้แพ้ มันมีอัตตา ถามว่า จะใช้กับทุกคน ก็ใช้กับปุถุชน แต่ถ้าผู้มีภูมิปัญญา พุทธศาสนาแล้วไม่ใช้ ไม่ได้มาเอา แพ้ชนะใคร เราก็รู้ภาษา แพ้ชนะของโลก แต่ถ้าเราทำ แล้วมีประโยชน์ ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ แต่เป้าหมายหลักใหญ่ ก็มีอยู่ เช่น เราจะโค่นรัฐบาลนี้นะ เป็นเป้าใหญ่ แต่จะล้มได้ หรือไม่ เราไม่ติดใจ ถ้าล้มก็ดี แต่ถ้าไม่ล้ม เราได้สร้างสภาวะความรู้ เข้าใจประชาธิปไตย ในประเทศ ไปเรื่อยๆ ได้ความรู้รัฐศาสตร์ และอื่นๆ ยิ่งเป็นธรรมศาสตร์ ให้แก่คน ได้เรื่อยๆ มีอัตราการก้าวหน้าอยู่ เป็นชัยชนะรายทางอยู่ แม้จะสิ้นสุด การชุมนุม มีเหตุให้เรา ต้องสลายชุมนุม ถือว่าแพ้ เหมือนคราว เสธ.อ้าย ซึ่งพ่อครูก็ว่า เราไม่แพ้ ชนะอะไร แต่จริงๆถือว่า เราชนะด้วยซ้ำ ว่าเรามีความก้าวหน้า มีคุณค่า อย่างแท้จริง เห็นพฤติกรรมมนุษย์ว่า มีความชั่วเลวอย่างไร มีดีอยู่ตรงไหน เกิดขึ้นอย่างไร การชุมนุม ครั้งนั้น เราได้ความรู้ที่แท้จริง

        การเข่นฆ่าเอาชนะคะคาน เป็นกิเลสโลก เขาจะว่าเขาชนะ ก็แล้วไป อันนี้ก็เหมือนกัน สมมุติไว้ล่วงหน้า ถ้าเผื่อว่า เราจะชนะโค่นรัฐบาลนี้ ที่สร้างอำนาจ บาตรใหญ่ น่าเกลียดน่าชัง แสดงออกทุกวัน แม้ในสภาฯ ก็แสดงทุกวัน ที่เขาประท้วง ก็แสดงอยู่ อย่างคนไปทุบรถ มีหรือที่ชาวบ้าน จะไปคิดวางแผน ปลอมตัว เป็นตำรวจ ไปทุบรถหลวง ชาวบ้านจะไปคิดออก คิดทำอย่างไร เขากลัวตายมากกว่า ก็อาจวิจารณ์ ไปตามความเห็น แต่ว่ามันได้ศึกษา มนุษยชาติว่า พฤติกรรมนี้ดีนี้ชั่ว ก็ได้ศึกษา อย่าลำเอียง

        เราก็ได้ความรู้ คนเราเกิดมา ได้ร่างคน ถ้าไม่ได้โลกุตรธรรม หรือลดกิเลส แม้ได้ กุศลโลกีย์ ก็เสียชาติเกิด แต่ก็ยังดีได้กุศลบ้าง แต่มันมีทฤษฎีของ พระพุทธเจ้า ที่ทำให้ เราหลุดพ้น ไม่วนเวียนสุข-ทุกข์ อยู่อย่างนี้

        ศาสนาพระเจ้าเขาว่า สุดท้ายก็ไปอยู่กับพระเจ้า ไม่ต้องวนเวียนอีก แต่ของ พระพุทธเจ้า ไม่ต้องมีอัตภาพ วนเวียนสุขทุกข์ แม้จะวนเวียนเกิดอีก ก็มาสร้างบุญต่อ เป็นอรหันต์แล้ว มีแต่สร้างกุศลต่อ จนเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว มีทางสามารถ ตัดการวนเวียน ในวัฏฏะ สลายอัตภาพได้เลย
        ใครเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ไม่อยากเป็นโมฆะบุรุษ ไม่เสียชาติเกิด อย่าเป็น โมฆะบุรุษ การมาล่าลาภยศ ก็แค่นั้น ได้บำเรอกิเลส หรือทำกุศล ก็แค่นั้น บุญหรือบาป ก็ไม่เที่ยง แปรไปตลอด จะตัดวัฏฏะ ต้องตัดเหตุ ที่ทำให้วนเวียนอยู่

        การมาประท้วง เป็นเรื่องของประชาชน ประเทศชาติ และเราเป็น พุทธศาสนิกชนที่ดี เราจะได้ปฏิบัติธรรม คำว่าธรรมะที่ว่า ของพุทธคืออะไร คือสิ่งทรงไว้ที่ใจ มันอยู่ที่ใจ อธรรมก็ทรงไว้ในใจ เป็นอธรรม
        แต่สิ่งดีเรียกว่า สัจธรรม หรือธรรมะ ก็มีทั้งสิ่งดีและไม่ดี อรหันต์ขึ้นไป จะมีความรู้จักโลก เพียงพอที่จะไม่ก่อบาป ก่อกิเลส เข้าใส่จิตไปอีก ที่มีอยู่ ก็สังเคราะห์กุศล เพิ่มเข้าไป ท่านไม่ทำบาปอีกเลย สัพพปาปัสส อกรณัง ทำแต่กุศล คือ กุสลัสสูปสัมปทา

        วิบากบาปนั้น นอนเนื่องเป็นอนุสัยในจิต หากเราไม่ทำบาปแล้ว ทำแต่กุศล มันก็เป็นคุณค่า สังเคราะห์ให้อดีตบาป ลดลงๆ วิบากบาป มีแต่ลดลง ตลอดเวลา ผู้ที่เป็นอรหันต์แท้จริง เป็นเช่นนี้

        การมาชุมนุมนี้ ครบพร้อม ได้ทั้งกุศลทางโลก และกุศลทางธรรม ไม่ได้มาตู่นะ เอาให้ได้ กุศลทางโลก เราก็มาช่วยเขาจริง ๆ ไม่ได้พามาแย่งชิงโลกธรรม อัตตา เราทำเพื่อ ช่วยชาติ ประท้วง ล้มล้างสิ่งเลว ให้เปลี่ยนแปลง เป็นหน้าที่สังคม เป็นคดีทางโลก ในขณะที่เราทำ คดีโลก เราก็ทำ คดีธรรมด้วย ไม่ให้สูญเปล่า มันมีเหตุปัจจัย ดีมากเลย ผัสสะเยอะ มากเลย ที่จะมายั่วยุเรา โจทย์มีมากเลย ไม่มีใคร ไปสร้างโจทย์นี้ได้ เขาสร้างมาเอง เขาโง่เขาชั่ว สร้างมาเอง ให้เราได้ฝึกหัด จริงๆ เราต้อง ขอบคุณเขาด้วยนะ แต่อย่าให้ขอบคุณนาน มันเมื่อย

        ก็ขอสรุปรวมว่า... กฎแห่งความดี ใครดีที่สุด คนนั้นเป็นผู้แพ้ ... คนดีที่สุด เขาไม่เอาชนะ คะคาน หากคนจะเอาชนะ เป็นคนบ้าเลือด เราก็ต้านที่สุดแล้ว ไม่ให้เขา ทำอกุศล แต่สุดต้านแล้ว เลยขีด เขาทำชั่วหนักมาก จนไม่ไหว เราก็หยุดเถอะ ถ้าเราเป็นเหตุ ให้เขาทำชั่วหนักขึ้น เราก็หยุด เขาทำชั่วได้สำเร็จ ก็ให้เขาชนะไปเถอะ ให้เข้าใจ แนวลึกนี้

        คนฟังธรรมนี้ได้ ก็เป็นคนฟังธรรมที่ลึกซึ้ง ดังนั้น จะพูดว่า คนดี จะแพ้เสมอไป ก็ได้นะ ในโลกเขาก็จะมองว่า เป็นผู้แพ้ เรามองแนวลึกว่า ความถูกต้อง อยู่ที่ไหน ดังนั้น ผู้แพ้ทางโลก คืออย่างไร แล้วคนที่หลอกคนอื่นว่า เขาเป็นคนทำดี แต่สุดท้าย เขาก็ทำไม่ได้จริงๆ ที่จริงเขาทำชั่ว ซ้อนเอาไว้ก็มี โดยที่คนไม่รู้ทันเขา ก็แพ้จริง แล้วคนก็เข้าใจว่า เขาเป็นคนดี ไปด้วยซ้ำก็มี ที่จริงตนหมกเม็ด ความชั่วไว้ก็มี

        คือคนชั่วอยู่ในวงของคนดี เขาจะทำดีซ้อน เช่น สังคมที่ มามักน้อย เป็นคนจน เขาก็จะทำจน ให้คนอื่นเห็น คนก็จะยกย่องว่า เป็นคนจน แต่ข้างหลัง โกงลึกซ้อนใน จนคนจับไม่ได้ แต่สุดท้าย คนก็จับได้ แล้วดีไม่ดี คนดีเขาก็รักษาหน้าเขา ไม่ไปฉีกหน้า สุดท้าย เขาก็ต้องยอมรับว่าแพ้ แต่ก็ทำให้คนอื่นเข้าใจว่า เขาเป็นคนดีอีก คนอื่น ไม่เข้าใจว่า เขาแอบซ่อนไว้ มากมาย

        แต่สังคมที่เขาชอบคนรวย ก็เอาความรวย มามอมเมา อย่างบางสำนัก ก็ใช้ความรวย มาหลอก เขามีวิธีหลอก โดยทำตน ให้คนข้างนอกนับถือ รู้ว่าเขานับถือ ชอบแบบไหน ก็ทำแบบนั้น แต่ที่จริง ทุจริตซ้อน ทั้งสองทิศทาง ทั้งแบบมักน้อย และแบบมักมาก       

        แพ้ชนะ ไม่ได้ตัดสินในสัจธรรม ดังนั้น การแพ้ชนะ จึงอย่าไปเอาภาระมากเลย

        มีคนบอกว่า คนเราฉลาด เท่าที่ตนโง่ และโง่เท่าที่ตนเองฉลาด
        แล้วคนนี้ ก็บอกว่า แต่ละคน ตีความหมาย ไปคนละอย่าง จึงอยากรู้ ความหมาย โศลกนี้... พ่อครูว่า ถ้าคนฉลาด ๘๐ มีโง่ ๒๐ หรือฉลาด ๑๐๐ ก็ไม่โง่เลย แต่ถ้าฉลาด ๒๐ แต่โง่ ๘๐ ก็เป็นคนโง่ พ่อครูก็หมายว่า คุณโง่มา ก็เท่าที่คุณมี ทุกคน พยายามฉลาด แต่ก็ฉลาด เท่าที่คุณโง่เท่านั้น ดีไม่ดี ทำฉลาด แต่ทำฉลาดโง่ ก็เลยกลายเป็น “คุณโง่” หรือจะบอกว่า เป็น EHIA อ่านเป็นไทยไม่ได้นะ ออกเสียงเป็นไทยไม่ควร

        เราพยายามรู้ว่า ความโง่ความฉลาด มีนัยอยู่ นัยแบบโลกีย์ และนัยฉลาด แบบโลกุตระ
        ฉลาดโลกุตระ คือรู้ความเป็นตัวเรา แล้วก็เริ่มต้นปฏิบัติตน ด้วยหลัก สิกขา๓ (อธิศีล - อธิจิต - อธิปัญญา) เป็นการศึกษา ไตรสิกขายิ่งใหญ่ ในมนุษยชาติ ก็มาศึกษา ปฏิบัติศีลก่อน แม้จะฉลาดเอาเปรียบ ก็คือเฉกา ไม่ได้เป็นปัญญา ปัญญาคือ รู้ความจริง ตามความเป็นจริง กิเลสคือ สิ่งปลอมในจิต เราต้องเรียนรู้ ผีร้ายตัวแฝงมา ในตัวเรา

        ศีลเบื้องต้น ข้อ ๑ เราต้องรู้ต้นตอ เช่นศีลข้อ ๑ ชำระความโกรธ ข้อ ๒ ชำระความโลภ ข้อ ๓ ชำระราคะ ศีลข้อ ๔ ชำระคำพูด (จากโลภโกรธหลง) เราก็รู้อาคันตุกะ คือแขก ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่มิตรสหาย เป็นหนึ่งเดียวกับเรา มันไม่ดี มันเป็นตัวทากปลิงแฝงมา เราต้องอ่านศีลแต่ละข้อ มันมีกิเลส ให้เราออกมาทางจิต ทางวาจา แล้วกำจัดเหตุ ทำอธิศีล ก็เกิดอธิจิต ปหาน ให้กิเลส หมดไปเรื่อยๆ ตามลำดับ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ไม่มีขรุขระ สะอาดราบ ทรายที่ขรุขระ ก็ถูกคลื่นซัด ให้เรียบราบ ตลอดเวลา เป็นลำดับอย่างงาม ถ้าปฏิบัติเ ป็นสัมมาทิฏฐิ จะลดกิเลสได้จริง แล้วจะมีแต่พัฒนา ช่วยมนุษยชาติได้ มากขึ้นๆ

        ผู้ตั้งใจศึกษาและทำได้หมดกิเลส มาเป็นคนอาริยะ เป็นคนศิวิไลซ์ คนเจริญ ที่แท้จริง คนเจริญไม่ใช่ไปเข้า ป่าเขาถ้ำ แต่เป็นคนที่มีโลก ๓ คือโลกุตระ โลกวิทู และ โลกานุกัมปายะ

        โลกุตระคือล้างกิเลส แล้วอยู่เหนือโลกได้ โลกวิทู คือรู้สังคม รู้ประมาณ แล้วจะช่วยโลกได้ เป็นโลกานุกัมปายะ ไม่ได้หนีโลก เห็นแก่ตัวหมด ก็เห็นแต่แก่คนอื่น เป็นพลัง ๔ ที่จะช่วยโลก โสดาบัน ก็ได้ขนาดหนึ่ง สกิทาฯ ก็ช่วยได้เพิ่มขึ้น อนาคา อรหันต์ ก็ยิ่งได้มากกว่า   

        ใครมาทำงาน อย่างที่พ่อครูพาทำ ทั้งคดีโลก ทั้งการเมือง เศรษฐศาสตร์ การสื่อสาร อย่างที่คุณมาอยู่ที่นี่ ก็เป็นองค์ประกอบ การสื่อสารนะ ถ้าไม่มีพวกคุณนี้ เรื่องนี้นิทานนี้ ไม่เกิดนะ มีเหตุคือ สิ่งที่เกิด และมีปัจจัย ร่วมกันสร้างนิทาน ทุกคนมีนิทานของตน และก็มีองค์รวม เป็นนิทานร่วมกัน แต่ละคนมีผู้ร้าย และพระเอก อยู่ในตนทั้งนั้น พวกคุณ เป็นตัวละครจริง ในประวัติศาสตร์จริง ไม่ได้บันทึกชื่อ แต่นิทานแห่งสัจธรรม บันทึกไว้หมด เป็นวิบากไว้แล้ว

        ก็สรุปว่า ที่เรามาชุมนุมประท้วง เป็นการบุกเบิก ทุกคนเป็นรุ่นหัวเจาะ บุกเบิก การประท้วง แบบใหม่ของโลก ตั้งใจบอก ให้พวกคุณรู้ตัว ว่าจะทำอะไร แล้วอย่าเหลิง เรามาทำ สิ่งประเสริฐ ของมนุษยชาติ มาสร้างประวัติศาสตร์ การชุมนุมประท้วง ที่สงบเรียบร้อย และรักษาระบบ การปกครองประชาธิปไตย อันมีประมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข

        อย่าถามว่า เราจะจบเมื่อไหร? จะแพ้ชนะอย่างไร? อย่าถาม ถ้ายังมีประโยชน์ ต่อมนุษยชาติอยู่ ก็คิด และควรช่วยกันทำ ไม่ได้บังคับ ก็ตั้งตุ๊กตากันว่า มา ๕๐๐ วัน เขาก็ตกใจกัน หาว่าพ่อครู เป็นหมอดู แต่ไม่ใช่ เป็นการพูด ตามตุ๊กตา มันจะกี่วัน ก็เท่านั้นแหละ เจตนาพูดยาวไว้หน่อย ก็เอาสถิติ ที่คุณจำลองพูด ก็ทำลายสถิตินี้ เท่านั้น แต่จะถึงหรือเกิน ก็ตั้งใจทำให้ดี เราได้ประโยชน์ตน-ท่านอยู่ ก็ทำไป

        เรามาทำงานการเมือง ของมนุษยชาติ แต่เป็นการเมืองใหม่ เป็นประชาธิปไตยใหม่ เป็น Neo protest, Neo democracy , Neo politics มันไม่เคยมีใคร ทำมาอย่างนี้ เรารู้ว่า เราทำแค่ไหน อย่างไร ว่าเรากำลังสถาปนา ธรรมะสู่การเมือง อย่างที่คานธีพูดว่า ถ้าการเมือง ไม่มีธรรมะ อันนั้น ไม่เรียกว่า การเมือง อันนี้ไม่ล้าสมัย แต่นำสมัยเลย

        ถ้าเป็นไปได้ วันหยุด ผู้มีกิจการส่วนตัว ก็เสียสละบ้าง ยิ่งคนใด ไม่หยุด ก็มาทุกวัน ก็อนุโมทนา จะมาได้เท่าไหร่ก็มา มาช่วยกันมากๆหน่อย คนในโลก เขามองกันตื้นๆ พื้นๆ คนเขามองแค่ว่า สิ่งที่มองได้ด้วยตา เป็นจริง เช่น เขาจะนับมวล ประชาชนว่า มีมาน้อย ว่าเสื่อมแล้ว แต่มีแนวลึกว่า บางทีคนน้อยลง แต่คนน้อย เขามีความเข้ม ของพฤติกรรมเพิ่มขึ้น การน้อยลง ไม่ได้เป็นความเสื่อม เสมอไป

        Majority rule Minority right คำว่าright ไม่ได้แปลว่า ถูกเท่านั้น แต่หมายถึง สิทธิด้วย คนดีหรือคนฉลาด มีปัญญานั้น ในมนุษย์ก็มีน้อยกว่า คนฉลาดชั่ว  แต่คนฉลาดชั่วจริงๆ ก็เป็นไม่ง่าย อย่างที่เขาทำตอนนี้ สรุปคือ ทั้งฉลาดดีและชั่ว ก็มีน้อย  ถ้าโลกนี้ มีฉลาดร้าย มากกว่าฉลาดดี สังคมคงตายแน่ๆ ถ้าคนชั่วร้ายๆ มีมากกว่า คนดีจัดๆ ก็แย่เลย แต่มันซ้อน ที่คนดี ไปทำร้ายกับคนร้ายไม่ได้ แต่คนร้าย ทำร้ายกับคนดีได้ ดังนั้น คนดีจึงถูกทำร้าย อยู่ในสังคมทุกวัน คนชั่วเขาทำร้ายได้ คนดีทำร้ายไม่ได้ จึงดูรูปนอก เหมือนคนชั่วชนะ คนดีเขารุกราน ตอบโต้ไม่ได้ เขาจำนน ก็หยุด เขาทำชั่วไม่ออก

        ยังหวังว่า คนดีออกมาช่วยกันเถอะ อย่าให้คนชั่ว เขาทำเลวทำร้าย ต่อไปเลย เราออกมา ไม่ต้องเอาปืน เอาอาวุธมา เราออกมา ตามประชาธิปไตย ออกมาสักล้าน สองล้านคน วันนี้เดินไปทำเนียบ วันนี้เดินไปกลาโหม ไปมหาดไทย ถ้ามีสักล้าน สองล้านเลย ให้คุณปรีชานำไป ไม่ชนะ ให้ตัดคอเลย จะพิสูจน์ประชาธิปไตย ขอให้พิสูจน์กัน ทำอย่างไร จะเกิดกัน ในประเทศไทย ไม่ท้อและไม่มีถอย ทำสิ่งที่ทำได้ยาก

        ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

  • ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำลายคนไม่ดี อย่างนี้บาปไหม?

ตอบ...เจตนาดีไม่บาป ให้เขาไม่อยู่นั้นก็ดี แต่ไม่ต้องไปคิดย่ำทำร้าย เพราะว่า ถ้าอยาก ไปทำร้ายคน มันไม่ดี มันสะสม พลังงานทางจิต พลังงานแห่งความพยายาม จะก่อเกิด ขึ้นมา ไล่ไป ๗ ตัว

๑.อารัพภธาตุ (ดำริ) ความเพียรเป็นเหตุปรารภ (ริเริ่ม)
๒.อารัมภธาตุ (ปรารภดำริ)
๓.นิกกมธาตุ (พยายามดำริ) เพียรเป็นเครื่องก้าวไป
๔.ปรักกมธาตุ (บากบั่นดำริ) ความเพียรก้าวไปข้างหน้า
๕. ถามธาตุ (ดำริมีกำลัง) ความเพียรเป็นกำลัง 
๖. ธิติธาตุ (ดำริตั้งมั่น) ความเพียรเป็นเครื่องทรงไว้
๗. อุปักกมธาตุ (ดำริสำเร็จเต็มรูป เหมือนลูกศร จะออกจากแล่ง พยายามที่จะกระทำ ให้เกิดกรรม ออกมา)

        เป็นพลังงานทางจิต ที่ละเอียดมาก และคนที่เรียนรู้สังกัปปะ ๗ ก็เป็นพลังงาน เช่นเดียวกับ วายามะ ๗ นี่คือฟิสิกส์ ทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่แค่พยัญชนะ แต่ถ้าใคร ทำได้จริง จะมีพลังงาน หากใครสั่งสมอกุศล ก็จะตกเป็นอนุสัย อย่าไปทำ ถ้าคุณไม่รู้จัก การล้างการวาง คุณก็มีแต่สั่งสม คิดแต่ชั่ว ก็แย่เลย คิดแต่ดีก็ดีกว่า แต่ก็ยังสะสม เป็นอุปาทานได้ เรามาล้างชั่ว แล้วทำแต่ดี แม้คุณวางดีไม่เป็น ก็ไม่เป็นไร แต่ว่าถ้าวาง ทั้งดีและชั่วได้ ก็สามารถ ปรินิพพานได้

  • เข้าไปอยู่ในสันติอโศก พร้อมภรรยา แต่ลูกสอบติดจุฬาฯ แล้วจะเอาเงินที่ไหน ส่งลูกเรียน?

ตอบ...ก็ไม่ได้ส่ง ก็ไม่ได้เรียน แต่จะเรียน ก็เรียนกับอโศก ก็เรียนฟรี แต่อโศก ก็ทำอุดมศึกษาไม่ได้ เท่านั้นเอง ก็ยังทำอยู่ ตอนนี้เราทำ วิทยาลัยอาชีวะแล้ว ก็พยายาม พัฒนาอยู่ ก็มาเรียนกับอโศก เราเลี้ยงลูกหลานเรียนฟรี ก็ตั้งรร.มา ๓๐ ปีแล้ว เรียนฟรี เหมือนลูกหลาน ไม่ให้ใช้เงินด้วย ห้ามเอาเงินมาให้ลูกด้วย ไม่ต้องกลัวลูกใช้เงินไม่เป็น เรียนที่นี่ กิน อยู่ หลับนอน เหมือนลูกหลาน เราสร้างคน ให้แก่สังคม มีศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา มีสัดส่วน คือ ๔๕ ต่อ ๓๕ ต่อ ๒๕

  • เนื้อเพลงกระต่ายชมจันทร์ ให้พ่อครูอธิบายเนื้อหา?

ตอบ...พ่อครูไม่แต่งเพลงชื่อนี้ มีแต่เพลงกระต่ายเพ้อ ที่แต่ง มีประวัติคือ ทำหนังโทน จะให้นาย สังข์ทอง สีใส ให้เขาร้อง ก็คุยกับคุณเปี๊ยก ว่าจะเป็นเพลงลูกทุ่ง แต่พ่อครู ก็แต่งลูกทุ่ง ไม่เป็น ก็พยายามแต่ง แต่งได้สองเพลงคือ อย่าบอน ก็ร้องได้ แต่เพลง กระต่ายเพ้อ ไม่ได้เรื่อง ในหนังโทน ก็มีเพลงกระต่ายเพ้อ ติดไปด้วย ตอนนั้นนักร้อง พ่อครูก็เป็นแมวมอง เลือกนักร้อง ให้คนชื่อ เสรีไทย เขาร้อง มันก็ฮิตพอได้เหมือนกัน มีวงสตริง ไปร้องหลายวง ตอนนี้ พ่อครูมาเปลี่ยนแปลง เพลงกระต่ายเพ้อ มาเป็นเพลง “เพ้ออะไร” มีหาซื้อได้ ที่ธรรมทัศน์สมาคม

  • เราไม่ไปร่วมกิจกรรม ที่นายกฯกับพวกจัด เขาว่าเราไม่มีเมตตา ไม่ปรองดอง ?

ตอบ...ปรองดอง คือผู้ที่เลิกทำชั่วเลย มาทำแต่ดีเลย อย่างพวกเราทำ แต่มันจริงไหม? ทำได้ไหม มันไม่ได้ และอย่าว่าเลย เขาทำชั่วตลอดเวลาเลย แล้วจะให้ปรองดอง กับคนพรรณนี้ มันแก่เกินแกง ให้ตายไปกับนรกเลย มันปรองดองไม่ได้ พูดสัจธรรมนะนี่ ยุคนี้เป็นยุค ต้องชี้ชัดจัดแรงตรง อย่างไม่โกรธเคือง แต่สื่อให้รู้ตัว โดยเฉพาะคนนั้นเลย เหมือนพ่อแม่ดุลูก บางทีต้องแรง

  • คนพูดคำหยาบ ไม่อยากให้ขึ้นเวที?

ตอบ...บางทีเขาระงับไม่ได้ ก็เห็นใจกัน ก็พยายามปรามกันอยู่ บอกกันอยู่ แต่ต้อง เข้าใจว่า บางทีสุดวิสัย มันปรุงไปก็หยุดไม่ได้ ยังไม่เป็นอรหันต์นี่

  • ใครไม่ออกมาประท้วง ถือว่าไม่ทำหน้าที่ ต้องถือว่า ไม่มีสิทธิ์เลือกตั้ง ในอนาคตได้ไหม?

ตอบ...เห็นด้วยนะ ในรัฐธรรมนูญว่า ให้มาทำหน้าที่ประท้วง แล้วไม่มาทำหน้าที่ ก็ผิดกฎหมายนะ ม.๑๕๗ ของกฎหมายอาญา

  • บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ขอให้พ่อครูอธิบาย?

ตอบ...ที่จริงมีบุญกิริยาวัตถุ ๓ คือทาน ศีล ภาวนา ที่เป็นหลัก ส่วนอีก ๗ ข้อหลัง เป็นตัวขยาย เท่านั้นเอง

  • ผู้ถวายอาหารมื้อสุดท้าย แด่พระพุทธเจ้าคือใคร แล้วอาหาร คืออาหารอะไร?

ตอบ...คือนายจุนทะ และอาหารคือเห็ดชนิดหนึ่ง ที่หมูชอบกิน ชื่อ สุกรมัทวะ

  • กิเลส ๓ ข้อ ๓ ระดับคือหยาบกลางละเอียดคืออย่างไร?

ตอบ...ต้องมาเรียนรู้ อ่านน้ำหนัก คืออินทรีย์มีน้ำหนัก หยาบ ก็อย่างหนึ่ง แรงก็อย่างหนึ่ง ต้องหัดอ่าน อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ

  • ทุกวันนี้บ้านเมืองเราไม่มีความสุข เพราะผู้บริหารไม่มีบารมีพอ และบริหารไม่เป็น

ตอบ...มันเป็นจริง เวลาผู้บริหารชั่ว จะเป็นอย่างนี้ ต้องมาช่วยกันยับยั้ง อย่าดูดาย มาร่วม อย่างสุภาพ เรียบร้อย มาทำประชาธิปไตย เป็นแบบอย่างสูงสุดในโลก มาช่วยกันทำ

  • พ่อครูพูดบ่อยว่าโพชฌงค์ ๗ เป็นเส้นทางควรเดิน? เป็นอย่างไร

ตอบ...โพชฌงค์ไม่ใช่ทางเดิน แต่ทางเดินคือมรรค​ ๘ ส่วนโพชฌงค์ คือการก้าว เรียกว่า พระพุทธเจ้าประสูติ ก็เดินโพชฌงค์ แต่ไปอธิบายผิดว่า เป็นพระพุทธเจ้าเดินก้าว จริงๆ ที่จริงคือธรรมธิษฐาน คือทาง คืออริยมรรค แล้วใช้การเดิน คือโพชฌงค์ มี ๓ ตัวแรก ของโพชฌงค์ เป็นตัวเดิน แล้วมีผลเป็น ๔ ข้อที่เหลือ  พระพุทธเจ้าไม่เกิด ก็ไม่มีมรรค และโพชฌงค์

  • บอกพวกผู้ใหญ่ที่มาชุมนุมว่าอย่าท้อ พวกผมจะไปเป็นแนวร่วมครับ พวกผมรัก เทิดทูน สถาบัน ขอให้ผู้ใหญ่ อย่าเลิกชุมนุมนะครับ
  • ดิฉันดูทีวี เขาถ่ายทอดแข่งวอลเลย์บอล คนดูกันแน่น แต่มวลพวกเรา ไม่น้อยกว่าเขา

ตอบ...เราก้มหน้าก้มตาทำไป เขาจะหลงก็หลงไป ทุกวันนี้ กีฬาบันเทิง อบายมุข กำลังเชิดมาก จะทำลายโลกจริงๆ ขนาดประเทศจนกรอบ ยังตั้งหน้าตั้งตา จัดกีฬา โอลิมปิก โดยกู้หนี้มาจัด มันโง่ได้ระดับ มันหลงจริงๆ เขาไม่รู้จักสัจธรรม กีฬาคือ การเล่น การบันเทิง เป็นอบายมุข แต่รุ่งเรือง ราคาแพง เพราะเอากิเลสคน มาประมูล เอากิเลสไปปั่น แต่ทางดี ไม่ค่อยรู้กัน ผู้รู้สึกตัว ก็เลิกเสีย เคยตัดพ้อว่า รายการธรรมะ ไม่ค่อยออกสื่อ แต่ว่าอบายมุข ก็ส่งเสริมกันจัง ส่งเสริมความฉิบหาย ศิลปะในการละเล่น ก็มี ในการออกกำลังกาย ก็มี แต่ถ้าแข่งขันจัดจ้าน ครอบงำกิเลสนั่น คืออบายมุข แต่เขาไม่เข้าใจ แต่พ่อครู ก็ทวนกระแส ด้วยปรารถนาดี ไม่อยากให้ความบันเทิง ที่พระพุทธเจ้า เรียกว่า นรกปหาสะ มากขึ้น

  • เขตชายแดน ประชาชนเล่นพนันแถวบ่อนชายแดน ช่วยเทศน์โปรด

ตอบ...หน้าที่ตำรวจไปจับสิ แต่เทศน์นี่เขาจะได้ฟังหรือ แต่ตำรวจจะฟังมากกว่า เขาคอยจับผิด แต่ที่ฟังด้วยดีก็มี

  • คนเล่นการพนันเพียบ ทำให้เกิดบ้านแตกสาแหรกขาด ผู้จัดจะได้บาปเวรภัยหรือไม่ ในชาตินี้ชาติหน้า?

ตอบ...ได้ทั้งชาตินี้ชาติหน้า แต่จะออกฤทธิ์หรือไม่เท่านั้น ในชาตินี้

  • ตลาดอาริยะของพ่อครู คนมากกว่าอีกนะคะ

ตอบ...ก็ดี มากก็ดี

  • หลายวันก่อน หนูเจอผัสสะ เขาด่าแรงมาก แล้วหนูก็โต้ตอบว่า สาธุ แล้วเขาโมโหมากค่ะ
  • อยากถามหลวงปู่ว่า เอาหัวใจดวงไหน มาพูดเบอร์โทรศัพท์ ผมฟังแต่เบอร์โทร ก็ปีติ?

ตอบ...พ่อครูเป็นคนช้า จำไม่เก่งก็เลยเห็นใจคน ก็เลยบอกช้าๆ ให้ฟังให้จดได้มีจังหวะ ก็จะได้ชัด

  • ทาน กับจาคะเหมือนหรือต่างกันอย่างไร?

ตอบ...เป็นการให้การเอาออกจากตนทั้งคู่ หากบอกกว้างๆ ก็บอกว่า ให้คือทาน ส่วนจาคะ เป็นการบอกกำกับว่า เป็นการลดกิเลสด้วย เป็นภาษาบอก เจตสิก ส่วนบริจาค หรือปริจาคะ คือบริจาคออกครบ คือล้างกิเลส ในการให้ด้วย ดังนั้น จาคะ จึงหมายลึกกว่าทาน

  • หากคุณทักษิณ นิมนต์ท่านไปเทศน์ฟัง แล้วจะถวายเงินให้ห้าล้าน อย่างใบเตย ท่านคิดเห็นอย่างไร

ตอบ...คิดว่าอย่ามาจ้างอาตมา เสียให้ยากเลย ถ้าไปจะเมื่อยเปล่าๆนะ แต่ถ้าทักษิณ อยากฟัง ก็มาฟังที่นี่ ไม่เอาตังค์ มาเลย จะให้ไป ๕๐๐ ล้าน ก็ไม่ไป ยินดีต้อนรับ

  • ถ้าสมมุติว่า เราโค่นระบบทักษิณได้ ควรมีกฎหมายยึดทรัพย์ หรือประหารชีวิต หรือไม่?

ตอบ...ก็มีกฎหมายยึดทรัพย์ได้ แต่ไม่ควรไปฆ่าแกง แต่ว่าตามกฎเกณฑ์ ตามสัจจะ ก็เป็นไป

  • ช่วยพูดถึง คุณวีระ สมความคิด ด้วย?

ตอบ...พูดไปก็เท่านั้น ผู้ที่ทำแต่ไม่พูดก็มี บางทีพูดไป เป็นผลเสีย มากกว่าผลดีด้วย เพราะถ้าดีก็พูดจนเมื่อยแล้ว อาจเป็นการยั่วยุด้วย  แล้วทำดีกว่า ไม่ใช่เรานิ่งดูดาย โดยเฉพาะ ครอบครัวเขา

  • ตอนนี้คนที่กำลังรอ ที่จะออกไปมีมากมาย แต่ติดภาระกิจการงาน แต่ถ้าวันไหน จะระดมพล ก็บอกมา ตอนนี้รอวันดีเดย์อยู่

ตอบ...เตรียมไว้เลยๆ เราทำไปเถอะ สักวันเหตุปัจจัยมันครบก็เกิด เราไม่ต้องคิดให้มาก จะเป็นปฏิภาคสัมพัทธ์ทวี

  • ดิฉันและสามีมักทะเลาะเบาะแว้ง มักด่าสามีเป็นประจำ ทำอย่างไร ไม่ทะเลาะกัน เขาเป็นหัวหน้าครอบครัวทำอย่างไร ไม่ทะเลาะกัน

ตอบ...เป็นหญิงไม่ควรเอาแต่ด่า ควรสุภาพอ่อนโยน เป็นทุภาษิต ทะเลาะกับใคร ก็บาปทั้งนั้น ทะเลาะคือ ก่อบาป จองเวรจองกรรม ไม่ควรทำ ก็พยายามหยุดยับยั้ง เขาบอกว่า สามีภรรยาเหมือนลิ้นกับฟัน พ่อครูคนหนึ่ง ทำไมกัดลิ้นตัวเองอยู่ เจ็บจัดเลย ก็ธรรมดา ลิ้นกับฟัน คือมีอะไร ก็ถ้อยทีถ้อยอาศัย ก็ไปแต่งงานเสียแล้ว พระพุทธเจ้า ไม่ส่งเสริม การแต่งงาน คนที่เขาไม่ทะเลาะ ก็บุญไป แต่ส่วนมาก ก็ทะเลาะกัน ผู้ใดห้ามใจเสียได้ อดทนยังไง ก็ไม่แต่งเสีย ผู้ตั้งตนเป็นคนโสด เขาเรียกกันว่า บัณฑิต คนโง่ฝักใฝ่ในเมถุน ย่อมเศร้าหมอง การมาแต่งงานกัน คือหนี้บาป สองนัย นัยหนึ่ง คือการใช้หนี้บาป อย่างเลี้ยงกัน ด้วยลำแข้ง ซัดติดฝาเลย เตะเข้าเตะเย็น บางทีก็ ผู้หญิงทำร้ายผู้ชายก็มี นั่นคือการมาใช้หนี้บาป ส่วนคนมารักกัน ว่าจะไป เป็นกามนิต กับวาสิตถี จะจูงกันไปกี่ชาติ แล้วอีกกี่ชาติ จะหลุดพ้น การอยู่ด้วยกัน มันก็จะมีทะเลาะ ไม่ชอบใจ มันไม่เที่ยงในอารมณ์และกิเลส เป็นธรรมดา พระพุทธเจ้า จึงตรัสรู้ ว่าอยู่คนเดียว เรายังตามหัวใจตนไม่ได้ แล้วมีหัวใจอื่น ไปผูกเข้าไปอีก มันไม่ทุกข์ จะได้อย่างไร เวรจริงๆเลย มันเวราณุเวร จริงๆเลย พ่อครูนี้เคราะห์ดี ที่เป็นโสดมาได้ ทั้งๆที่ตอนเป็นฆราวาส แสวงหาอยู่นะ แต่สุดท้าย รอดได้ด้วยวิบากบุญ ที่มีมา แต่ปางก่อน ไม่อย่างนั้น ต้องแต่งเลย เพราะมีแฟนหลายคน แต่มีทีละคน ...

 

จบ

 

 
๒๑ กันยายน ๒๕๕๖ ที่สวนลุมพินี กทม.