_560929_รายการวิถีอาริยธรรม ที่สวนลุมฯ
เรื่อง คำตำหนิและความจนสำคัญไฉน?

        ส.เพาะพุทธดำเนินรายการ (วันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๖)

เดิมเป็นรายการ พุทธที่ไปนิพพาน ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็น วิถีอาริยธรรม... เมื่อคืนวาน พ่อครูนำเสนอประเด็น

        มีคนส่งข้อความว่า... เห็นด้วยกับพ่อครู ที่เห็นด้วย ที่พุทธกระแสหลัก ไม่สอน ให้คนเสียสละ ไม่คอรัปชั่น แต่กลับสอน ให้คนค้าบุญ เอาสวรรค์ โดยไม่คำนึงว่า เงินที่ทำบุญ อาจไม่บริสุทธิ์ สุดท้าย ก็เปิดช่องให้อลัชชี แอบแฝง ทำลายศาสนา เช่นเณร ค. เป็นต้น ต้องยอมรับว่า เงินจำนวนมาก ไหลไปกองที่วัด จนทำให้ประชาชน ยากจนมากขึ้น เพราะสอนให้ทำบุญ ไม่ถูกวิธี

        อีกข้อความหนึ่งบอกว่า... มีชายท่านหนึ่ง ให้สัมภาษณ์ว่า ห้ามกอบโกย กักตุน จึงน่าจะทำป้าย ติดที่ ตลาดอาริยะว่า “ห้ามกอบโกย กักตุน ขี้โลภ เวียนเทียน” 

        สิ่งที่อยู่ในมือพ่อครูตอนนี้ คือสินค้าตลาดอาริยะ ที่ขายในราคาขาดทุน ซึ่งเป็นบุญนิยม ระดับ ๓ ส่วนระดับ ๔ คือแจกฟรี
        ถ้าท่านใด สนใจส่งข้อความ ถึงพ่อครู ก็ส่งมาที่เฟสบุ๊ค รักธรรมะ พระจันทร์ได้

        พ่อครูว่า... วันนี้รายการวิถีอาริยธรรม ก็ขอพูดถึง อาริยธรรมกัน
        มีคนส่งข้อความหนึ่งมาว่า... ดู ๆ แล้ว เป้าหมายการชุมนุม ของท่านโพธิรักษ์ คือ การเผยแพร่ธรรม ส่วนการโค่น ระบอบทักษิณ เป็นแค่ผลพลอยได้ ซึ่งเป้าหมายแบบนี้ คงมีแต่สาวกของท่าน เท่านั้น ที่เห็นด้วย คนอื่น ๆ เขาจะมาร่วม เพื่ออะไร คนมาร่วม ชุมนุมน้อย ท่านก็บอกว่า เป็นไทยเฉย หรือเป็นเพราะ เขาไม่รู้ข้อมูล ข่าวสาร ท่านเชื่อกัน อย่างนั้นจริง ๆ หรือ เพราะมีคนเป็นล้าน ๆ คนที่เขารู้ เขาติดตามการเมืองอยู่ แต่ทำไม เขาไม่ออกมา ร่วมชุมนุม ท่านเคยนำไปคิดวิเคราะห์ กันบ้างหรือเปล่าว่า คนเป็นล้าน ๆ คน ไม่ชอบรัฐบาลนี้เหมือนกัน แต่ทำไม เขาไม่ออกมา ร่วมชุมนุม เขาไม่ได้กลัวอะไร รัฐบาลนี้หรอก ลำพังคนใน กทม ที่ไม่เอารัฐบาลนี้ ก็มีเป็นล้านแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านต้องกลับไป วิเคราะห์ดู ในด้านของท่านด้วยว่า มีอะไร ที่สื่อสาร ถึงคนเหล่านี้ ให้เขาเห็นด้วยกับท่าน ไม่ได้บ้าง ถ้าท่านต้องการ ให้เขาเห็นด้วยกับท่าน ท่านเคยเปิดใจ รับฟังพวกเขา บ้างหรือไม่ เพราะข้อมูล ที่ท่านมีอยู่ และดูจะเป็น ข้อมูลที่ฟังมาจาก คนอื่นทั้งนั้น หลายเรื่อง มันเป็นเรื่องเท็จ เรื่องใส่ร้าย ป้ายสีคนอื่น หรือเปล่า กรุณา ลองนำไปพิจารณาดู ให้ถ่องแท้ด้วย เท่าที่ติดตามดูท่านมา กลุ่มของท่าน ก็นับได้ว่า เป็นคนดี มีศีลธรรม แต่กลุ่มการเมือง ที่เป็นมิตรสหายของท่าน เป็นคนดี มีศีลธรรม จริงหรือไม่ การที่ท่านรับข้อมูล จากกลุ่มเหล่านี้ มาพูดมากล่าวหาผู้อื่น มันทำให้คนส่วน ใหญ่ มองท่าน เป็นกลุ่มเดียวกัน กับกลุ่มที่เขาตั้งข้อรังเกียจ โดยไม่คุ้มกัน เลย

        ก็มีอีกคนหนึ่ง ตอบไปว่า....คุณ พูดเหมือนจะบอกว่า เป็นเพราะท่าน คนจึงไม่ออกมา ถ้าพรุ่งนี้ FMTV ยกวิกกลับวัด เพราะเชื่อคุณแล้ว มันจะมีใครที่ไหน ออกมาบ้างไหม เนี่ย ท่านเป็นสงฆ์ ท่านมีหน้าที่สอนคน ให้ความคิดคน ท่านก็ทำถูกแล้วนี่ ท่านให้ความคิดคน ทุกคนเลยนะ ทั้งฝ่ายที่กำลังโกงกิน และทั้งไทยเฉย ผมว่ามัน เป็นยุคจิตวิญญาณ ของคนไทย มันเสื่อม เหมือนตอนกรุงศรีอยุธยา ใกล้จะแตก จะทำประการใด ได้ละครับท่าน นอกจาก จะสมัคร เป็นทหารพระยาตาก ตอนนี้ พระยาตากมีแล้ว คือ คณะเสนาธิการร่วมไง แต่ยังขาดทหาร อย่ามัวแต่ว่าคนนั้น ติคนนี้อยู่เลย เริ่มที่เราเถอะ ผมเองเชื่อจริงๆ เรื่องไทยเฉย

        สรุปคือยังมีคนติงอยู่ว่า วิธีการที่พ่อครูพาทำนี้ เขายังไม่เห็นด้วย ไม่ใช่น้อย ไม่แปลกใจ ถ้าคนมาเห็นด้วย มากๆเลยทันที รวดเร็ว มันจะเป็นไปไม่ได้ด้วย เพราะเรื่องที่ทำนี้ ไม่ใช่เรื่องพื้นๆ แต่ถ้าเป็นเรื่องพื้นๆ คนก็เห็นด้วยมากสิ ไม่ได้คิดว่า คนจะมาเห็นด้วย อย่างถล่มทะลาย แม้แต่ในเมืองไทย ขณะนี้ มีคนอยู่ ๓ ประเภท
        ๑. เห็นร่วมกับที่เราทำ
        ๒. ไม่เห็นร่วมด้วย ก็เห็นอย่างที่คนทั่วไป เข้าใจง่ายๆกัน
        ๓. พวกไทยเฉย มีอยู่ 3 แบบ คือ 1. แม้เป็นอย่างเดียวกับพวกคุณ ที่เห็นว่า ไม่ได้เรื่องอะไร ที่ทำอย่างนี้ หรือ 2. เห็นด้วยกับพวกอาตมา แต่ก็เฉยอีก และ 3. ยังมีพวก ที่เห็นแก่ตัว ทำมาหากินไป ไม่เอาตาดูหูแล ไม่กตัญญูต่อชาติ นั่นเฉยแน่ พวกนี้

        งานที่มาทำนี่คือ ฝึกพวกไทยเฉย เห็นด้วยหรือไม่ ก็ไม่เป็นไรอยู่แล้ว เรามาให้สติ ไทยเฉย ให้ออกมา ทำหน้าที่ ทั้ง ๓ แบบของไทยเฉย ว่าออกมาร่วมแสดง อำนาจอธิปไตย ของประชาชน แม้ไม่เห็นด้วย ก็ออกมาต้านได้ อธิปไตยของประชาชน คือออกมา แสดงตัว ๑ คน ๑ เสียง คุณทำหน้าที่ ประชาธิปไตย ที่ระบุไว้ ถ้าไทยเฉย คือมันผิดหน้าที่ ที่รัฐธรรมนูญระบุไว้ ที่พ่อครูออกมานี่ ให้สติพวกไทยเฉย ก็ควรออกมา ทำหน้าที่ แสดงความกตัญญู ต่อชาติบ้าง

        ยืนยันว่า ไม่ได้มาเพื่อเอาชนะเอาแพ้ ไม่ได้มาทำงาน เพื่อรบราฆ่าฟัน หรือ มาหาชื่อเสียง หาทรัพย์ แต่มาทำงาน กับมนุษยชาติ ประชาชน ให้สำเหนียก ในกาละ ที่ประเทศไทย ได้รับภัยรุมเร้าหมดเลย ทั้งภัยธรรมชาติ ภัยทางสังคมการเมือง ก็ขึ้นอยู่ว่า ไม่ใช่ธรรมชาติ เป็นธรรมะชุ่ย มันจงใจทำ คนมันผลักใส ไม่ให้ท่วมบ้านตน ให้ไปท่วม บ้านคนอื่น จริงเท็จ ก็เอาคำพูด มาจากคนอื่นนะ

        ส.เพาะพุทธว่า ... คนไทยเฉย น่าจะเป็นคนที่อยู่ในคน ๖ แบบ ที่พ่อครู เคยแจกแจงไว้ว่า...
 .ไม่รู้ไม่ชี้ 
.ไม่รู้แล้วชี้ (พวกอวดตัว หลงตัว อยากอวดแหวนเพชร)
.ไม่รู้แล้วก็ไม่ชี้ (คนซื่อตรง ไม่รู้ตัว ก็เลยไม่ชี้)
.พวกรู้แล้วไม่ชี้ (ใจดำ ไทยเฉย ไม่รับผิดชอบ)
.คนชี้แล้วไม่รู้ (พวกขอไปที คนไม่รู้จริง)
.คนรู้แล้วชี้ (คนนี้ดีสุด เป็นบัณฑิต เป็นครูผู้ประเสริฐ)
ไทยเฉย อยู่ในข้อที่ ๑ และข้อ ๔

        พ่อครูว่า...ในยุคกาลนี้ คนก็ควรออกมา ทำงานบ้าง อย่าเห็นแก่ตัวจัด ใจดำอำมหิต พ่อครูไม่ได้มาทำ รบราฆ่าฟัน ทะเลาะเบาะแว้ง ก็ออกมาทำหน้าที่ ประชาธิปไตยกัน จะเห็นว่า ข้างไหนถูก ก็ออกมาชี้สิ ทั้งที่รู้แสนรู้ แต่ไม่ออกมาทำหน้าที่ ประชาธิปไตย ผู้ที่ไม่เข้าใจ ก็ทำตามที่ตนไม่เข้าใจแหละ

        ส.เพาะพุทธว่า ในประเด็นที่ตู่ท้วงมา บอกว่า ...เท่าที่ติดตามดูท่านมา กลุ่มของท่าน ก็นับได้ว่าเป็นคนดี มีศีลธรรม แต่กลุ่มการเมือง ที่เป็นมิตรสหายของท่าน เป็นคนดี มีศีลธรรม จริงหรือไม่ การที่ท่านรับข้อมูล จากกลุ่มเหล่านี้มาพูด มากล่าวหาผู้อื่น มันทำให้ คนส่วน ใหญ่ มองท่านเป็นกลุ่มเดียวกันกับ กลุ่มที่เขาตั้งข้อรังเกียจ โดยไม่คุ้มกันเลย

        พ่อครูว่า... ข้อมูลเหล่านั้น เราได้ใช้วิจารณญาณ โดยเราสัมผัส มีภูมิรู้ ให้ความรู้ เราก็เอามา รวบรวมกัน เป็นเหตุปัจจัย ในการวินิจฉัย ตัดสินว่า เข้าท่า ถูกหรือผิด สุดท้าย ก็ตัดสิน ถูกหรือผิด หรือตัดสินไม่ได้ ก็มีอยู่ ๓ อย่าง ถ้าเราสามารถ มีข้อมูลอย่างใด ทุกคน ก็มีข้อมูลอย่างนั้น ผู้ที่ติงมา ก็บอกว่า เราได้ข้อมูลไม่ครบ ก็แน่นอน เราก็ได้ข้อมูล ระดับหนึ่ง ก็ใช้ข้อมูล เท่าที่ได้ ตัดสิน ก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่พ่อครูทำนี่ ก็ต้องตัดสินว่า อย่างที่ทำนี้ถูก มีผู้ต้านมาเรื่อย ให้ข้อมูลเรื่อยๆ ก็รวมข้อมูลไว้ และแต่ละ วันเวลา มีข้อมูลมา เติมเต็มไปเรื่อยๆ ตลอดเวลา เราก็พิจารณาตัดสิน ตลอดเวลา ว่าควร ไม่ควร ซึ่งถ้าไม่ควร จะต้องเลิก เราก็จะหยุด เลิก ไม่ต่อ แต่ถ้ามันเป็นไปได้ดีอยู่ เราก็ทำอยู่ ที่ติงมาว่า เราไม่ดูข้อมูลคนอื่น ว่าคนกทม. เกินล้าน เปิดใจรับฟังบ้างสิ อาตมาว่า อาตมาเป็นคนเปิดรับ ข้อมูลนะ อย่างความเห็นของคุณ ก็นำมาอ่าน ให้ฟังสดๆ หลายเรื่อง เป็นเรื่องเท็จใส่ร้าย อาตมาก็ใช้การวินิจฉัย ซึ่งอาจตัดสินต่างกัน กับของคุณ อาตมา บอกตรงๆว่า ไม่ได้เป็นคน อยากหาเรื่อง ไม่อยากให้ใคร เกลียดชัง จึงไม่ทำ อย่างหาเรื่อง แต่ถ้าจะทำ ก็ต้องรู้ว่า มีประโยชน์ ก็ต้องลงทุน และที่ลงทุนไปตำหนิ ข่ม ว่า สิ่งที่ไม่เห็นด้วย ก็เป็นการลงทุนนะ เพราะการตำหนิคนนี่ เขาจะชอบนั้นน้อย

        ส.เพาะพุทธว่า นักปราชญ์จะชอบคำตำหนิ แต่มีจำนวนน้อยคน พ่อครูนั้น ได้เขียนโศลกว่า

        พ่อครูว่า... การตำหนิข่มก็ต้องรู้ ไม่ได้ทำอย่างขาดสติ พ่อครูมีเพลงชีวิต บทหนึ่งว่าไว้ ข้าพเจ้าได้ดิบได้ดี มาถึงทุกวันนี้ มิใช่ได้มาจาก คำสรรเสริญ คุณความดี แต่ได้ดีเพราะ ฟังคำคนตำหนิ ติเตียน ทั้งจากมิตร ผู้หวังดี และศัตรูผู้หวังร้าย

        อันนี้เป็นความรู้สึกใจจริง เพราะคำชม ทำให้คนเหลิง คนเสีย สำหรับคนกิเลสเยอะ และรู้ไม่เท่าทัน โลกธรรม โดยเฉพาะ ตอนที่กระทบสัมผัสโลกธรรม ที่น่าโกรธ แต่ถ้าเราไม่โกรธได้นี่สิ จึงดี

        พ่อครูว่า... เพลงอริยะหมายเลข ๑๐
ข้าพเจ้าได้ดิบได้ดีวิเศษยิ่ง ๆ ขึ้น
หรือ เป็นคนที่น่านับถือเคารพได้นั้น
ไม่ใช่เพราะการเป็นผู้ชี้ยืนยัน "ความถูกต้อง"
ให้ใคร ๆ รู้ ได้หลากหลายแล้ว ๆ เล่า ๆ นั้นดอก !

แต่… เพราะข้าพเจ้าน้อมรับ "ความผิดพลาด"
และ มีการแก้ไขในแต่ละครั้ง แต่ละคราว ของข้าพเจ้า
จาก ทั้งผู้หวังดี
และ ทั้งศัตรูผู้หวังร้ายแท้ ๆ นั่นต่างหาก.

        ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๒๖

        พ่อครูว่า... ตั้งแต่ ๓๐​ ปีที่แล้ว จริงๆไม่ตั้งใจพูดเรื่องนี้ แต่วันนี้ตั้งใจพูด ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ แต่ก็ใช่อยู่แล้ว
        หลายคนว่า ทำไมชอบเอาตนเองมาพูด ที่เป็นเช่นนั้นเพราะ
        ๑. เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ละคร คนๆหนึ่ง ได้พบเจอจริง ไม่ใช่นิทาน หรือจินตนาการ แต่เป็นของจริง เราเป็นเจ้าของเรื่องจริง
        ๒. เรื่องที่นำมายกนี้ เป็นเรื่องที่พ่อครูคิดเอง เชื่อว่าไม่เหมือนใคร แปลกใหม่ จึงจำเป็น ต้องเอามาพูดให้ฟัง มันหายาก ไม่เหมือนทั่วไป
        ๓. เชื่อมั่นว่า เรื่องที่ได้นั้นเป็นสิ่งดี ประเสริฐ ควรบอกแจ้งยืนยัน ให้คนรู้เข้าใจ ว่าเป็นได้นะ
        ๔. มันตรงกับคำสอน พระพุทธเจ้าด้วย
        ๕. ที่เจตนาพูดสิ่งที่มีที่เป็น เป็นของสืบทอด จากเก่าๆ ที่ได้บำเพ็ญมาแล้ว มายืนยัน ให้รู้ว่า คนเรามี ชาตินี้ชาติหน้า วิบากกรรม ที่สะสมมา ดีหรือชั่ว ไม่ใช่แต่ชาตินี้ และ ยิ่งคนสมัยใหม่ ไม่ค่อยเชื่อ กรรมวิบาก ไม่เชื่อบุญบาป ทำให้สังคมเดือดร้อน ไม่เชื่อ การตายการเกิด คนก็ไม่กลัวความเลว เขาก็ทำเลวได้ เขาฉลาดเท่าไหร่ก็ใช้ เพราะเขาเชื่อว่า ตายก็จบ เขาก็ทำชั่ว อย่างหนัก ฉลาดเท่าไหร่ ก็เอามาทำ เพื่อให้ตนรอด ไม่รับผิด และก็ทำชั่วอย่างไร ก็ไม่มีชาติหน้า ตายแล้วก็จบ คนอย่างนี้ เห็นตัวอย่างเลยว่า เป็นภัยต่อสังคมมาก

        ส.เพาะพุทธกล่าวว่า พันเอก ดร. ...กล่าวว่า คนที่เชื่อเรื่อง ชาตินี้ชาติหน้า กับคนไม่เชื่อ จะได้รับผลต่างกัน คนเชื่อได้รับผล คือเจ๊ากับเจี๊ยะ ถ้าไม่เชื่อก็คือ เจ๊งกับเจ๊า

        คนไม่เชื่อกรรมวิบาก เชื่อว่าตายแล้วจบ ถ้าตายแล้วจบ คุณก็เจ๊า แต่ถ้ามีจริง คุณก็เจ๊ง ส่วนคนที่เชื่อ ชาตินี้ชาติหน้า ถ้าไม่มีจริง คุณก็ได้เจ๊า แต่ถ้าชาติหน้ามีจริง คุณก็ได้เจี๊ยะนะ

        พ่อครู..ว่าที่ต้องพูดเรื่องตนเอง เพราะแน่ใจว่าจริง ทำมา ๔๐ ปีแล้ว เอาท่านเพาะพุทธ ยืนยันว่า ที่สอนนี้ ไม่เหมือนใคร สำนักไหน

        ส.เพาะพุทธก็ว่า...เมื่อคืนก็ฟัง พ่อครูสร้างจุดแปลก แทรกจุดเปลี่ยน คือ ไม่เหมือนใคร แต่ไปเหมือน คำสอนพระพุทธเจ้า ในไตรปิฎก ทั้งการนำเสนอ ต่างกัน ลีลาต่างกัน แต่เนื้อหาต่างกัน หลายเรื่องที่พ่อครูสอน ไม่เป็นสาธารณะ ถ้าไม่มาฟังพ่อครู จะหาฟังที่ไหน ไม่ได้นะ

        พ่อครูว่า....ไม่ใช่ยกยอนะนี่...

        ส.เพาะพุทธว่า...อยู่กับพ่อครู มีคำตำหนิ มากกว่าคำชม และได้รู้อะไรเร็วขึ้น ก็คือได้รับคำติเตียน คือติให้มันเตียน

        พ่อครูว่า.... เขาล่าช้างม้าวัวควายเก้งกัน หรืออีกพวก ล่าลาภยศ สรรเสริญ แต่พ่อครู ไม่ได้ทำเลย ไม่คิดไปทำด้วย แม้แต่ล่า ลาภยศสรรเสริญ ก็ไม่ทำ แต่ว่าไล่ล่าเวลาอยู่ ทุกวันนี้ มันไม่ทัน เดี๋ยววันๆ แก่ไม่ทันเลย

        ส.เพาะพุทธว่า..ความแก่จะกลัวคน ผู้ไม่จำนนต่อความแก่ พ่อครูก็เลย ไม่ทันแก่ มีคุณหมอ ท่านหนึ่ง บอกว่า ผมแก่แล้ว จะเกษียรแล้วพักผ่อน ส่วนภรรยา แม้เกษียรแล้ว ก็ยังทำงาน ทำการ หลายอย่าง บัดนี้ คุณหมอผู้ชาย ตายไปแล้ว แต่คุณหมอผู้หญิง ผู้เป็นภรรยา ยังอยู่เลย

        พ่อครูว่า... อาตมาไม่มีเวลา ก็เลยต้องใช้เวลาให้คุ้ม ถ้าเอาแต่ชมคน ก็เสียเวลา เพราะที่จะติคนนี่ ก็ยังไม่ทันเลย แล้วจะมีเวลาที่ไหน ไปชมคน ก็เลยเซฟ ไม่ค่อยเอาเวลา ไปชมคน เอาเวลาไปติ เพราะการติ ทำให้คนได้ประโยชน์ แต่คำชม ทำให้คนเสีย ใครฉลาด ก็พยายามให้เขารับ คำตำหนิได้ ผู้ฟังคำตำหนิ จากผู้รู้และบัณฑิตได้ พระพุทธเจ้าว่า ได้ดีแต่ถ่ายเดียว พระพุทธเจ้า สรรเสริญ

        พ่อครูรู้ก็สอดคล้องกับที่ พระพุทธเจ้าสอนว่า
        อานนท์ ! เราไม่พยายามทำกะพวกเธอ อย่างทะนุถนอม
        เหมือนพวกช่างหม้อทำแก่หม้อ ที่ยังเปียก - ยังดิบอยู่
        อานนท์ ! เราจักขนาบแล้วขนาบอีก ไม่มีหยุด
        อานนท์ ! เราจักชี้โทษแล้วชี้โทษอีก ไม่มีหยุด
        ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร ผู้นั้นจักทนอยู่ได้
       
               พ่อครูว่า... ที่พ่อครูพูดวันนี้ ลองตั้งสติดู คนติเรา เราไม่ค่อยชอบ แม้มีกิเลส ก็ตั้งสติ เอามาไตร่ตรอง ตรวจสอบ ถ้าเขาตำหนิเราถูก กราบเขาได้ กราบเลย ต้องขอบคุณเขา แต่ถ้าเขา ตำหนิไม่ถูก เราก็ต้องตรวจสอบ อย่าให้มีความลำเอียง ตรวจแล้ว เขาตำหนิเราไม่ถูก ก็คือ เขามีข้อมูลไม่ครบ ไม่ถูกต้อง หรือ ปัญญาเขาไม่พอ ปัญญาเขาน้อย เขาเห็นความถูกเป็นผิด เขาไม่ฉลาดพอ จะรู้คำตำหนิ นั่นไม่เป็น ผลเสียหาย ต่อเราเลย เราได้รับผลกระทบ แต่เราไม่ได้เลว อย่างเขาว่า ไม่ต้อง ไปโกรธเคืองเขา เขาทำกรรมไม่ดี

        พ่อครูว่า...ที่อาตมาทำงานนี้ ที่มีคนแย้งว่า... ดู ๆ แล้ว เป้าหมายการชุมนุมของ ท่านโพธิรักษ์ คือการเผยแพร่ธรรม ส่วนการโค่น ระบอบทักษิณ เป็นแค่ผลพลอยได้ ซึ่งเป้าหมายแบบนี้ คงมีแต่สาวกของท่านเท่านั้น ที่เห็นด้วย

        ที่พ่อครูมาทำงานการเมือง แต่ก็มาเผยแพร่ธรรมะ เพราะการเมือง แก้ด้วยการเมืองนั้น เหลวมา ๘๑ ปีแล้ว ก็ให้ตั้งสติดีนิดหนึ่ง ถ้าเอาแต่การเมืองๆ ก็รู้กันอยู่ การเมืองแก้ด้วยการเมือง แล้วมันแก้สำเร็จไหมเล่า ๘๑ ปีแล้ว จนเป็นสำนวน เท่ห์ๆว่า การเมืองต้องแก้การเมือง และก็คิดต่อว่า การเมืองที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะมีคนดี น้อยไป หมายถึง คนไม่มีคุณธรรมมีมาก ไปทำงานการเมือง นี่คือ แก้การเมือง ไม่สำเร็จ พ่อครูจึงพยายามที่สุด ที่จะแก้ประเด็นนี้ เอาธรรมะมาใส่ เป็นการแก้การเมือง ด้วยธรรมะ แต่ไม่ได้ละเลยการเมือง แต่เอาธรรมะเป็นเอก เอาการเมือง เป็นรอง แต่ก็รู้ว่า คนก็ชอบการเมือง ตื่นเต้นการเมือง ส่วนธรรมะ คนไม่ค่อยชอบ ก็รู้ แต่อาตมา ก็จะขอดันทุรัง หรือยืนหยัดยืนยัน ตามความเข้าใจ ความเห็นนี้ และก็เข้าใจว่า มันไม่ง่าย จึงต้องใช้โศลกว่า “ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมา ให้มากๆหมดๆ” ด้านความรู้ความจริง จะเป็นธรรมาวุธ ไปแก้ไข เปลี่ยนแปลงการเมือง คนจะจำนน ผู้ผิดจะแพ้ ผู้ถูกจะชนะ

        พวกเรามีข้อมูลหลักฐาน ก็มากัน มาช่วยกัน จะพูดดัง พูดแรงอย่างไร คอแตก ก็แล้วแต่ แต่ขออย่าให้ ผิดและหยาบ ออกมาให้ความรู้ จนคนรู้ ความจริงชัดๆ มากพอ จะเกิดกำลังอธิปไตย ของคน ออกมาชุมนุมประท้วง ยุทธวิธีพ่อครู เป็นเช่นนี้

        ก็ไม่คำนึงถึงเวลา จะได้ผล จะถึงจุดสันดาป จุดวิกฤติเมื่อไหร่ จะเปลี่ยน สถานะการเมือง ให้ดีขึ้นเมื่อไหร่ หากเราทำเหตุปัจจัยได้ครบ ก็จะเกิดผลได้ เชื่อและมั่นใจ อย่างนี้ พยายามประคองไป ส่วนอื่น มีเหตุปัจจัยเสริมอยู่ ตลอดเวลา มีคนปรารถนาดี และปรารถนาร้ายก็มี แต่คนปรารถนาดี ก็ช่วยกัน คนละไม้ คนละมือ จะประสมรวม สุดท้าย จะแยกกันคือ ถูกกับผิด และจะไหลไปรวมกัน ในแต่ละขั้ว

        คนที่จะสร้างให้รุนแรงก็มี แต่พ่อครูเจตนาถ่วง ไม่ให้เกิด ความรุนแรง ทำสุดฝีมือ ๑.ไม่ผิดกฎหมาย ๒.เป็นสากลทั่วโลก ๓.เป็นสัจจะที่แท้จริง เป็นความดีงาม   อย่ามาห้าม เสียให้ยาก เรามารับใช้ เพื่อให้เกิดสิ่งดี มีผลจริง ถ้าไม่ได้ก็แสดงว่า เราไม่มีความสามารถ เราไม่เป็นไทยเฉย พวกไทยเฉย อายอาตมาบ้างสิ

        ส.เพาะพุทธว่า...ได้ก็ได้ ไม่ได้เราก็ได้ ได้มาสั่งสมความดีไง และความพยายาม อยู่ที่ไหน ความพยายามก็อยู่ที่นั้น เราได้สั่งสม หน่วยกิจความพยายาม  และผม ได้ทราบว่า หลวงปู่พุทธทาส ก็เป็นคนที่ได้ สร้างจุดแปลก แทรกจุดเปลี่ยน และ อีกบทหนึ่งคือ ถ้ามีธรรมะ ก็ไม่ต้องมีการเมือง แต่ว่าถ้ามีการเมือง ต้องมีธรรมะ นี่คือ คำของ หลวงปู่พุทธทาส ท่านว่า ในเมื่อการเมือง เป็นเรื่องต่อรอง ผลประโยชน์ แต่ถ้ามีธรรมะกัน ก็จะเห็นใจกัน และไม่มีการต่อรอง ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครอง หรือ ผู้ใต้ปกครอง

        พ่อครูว่า... ถ้าทำได้ก็จบกันที่ ปกครองโดยไม่ปกครอง ไม่เกิดการทะเลาะ เบาะแว้ง มีแต่ความเอื้อเฟื้อ เจือจาน เหมือนอย่างในหลวงที่ว่า อยู่กันอย่าง อลุ่มอล่วย

        ส.เพาะพุทธ... มีอีกบทหนึ่ง ของท่านพุทธทาส กล่าวว่า ที่เราต้องเอาธรรมะ มาไว้ในการเมือง ก็เพราะการเมือง ไม่มีธรรมะ

        พ่อครูว่า... พระราชดำรัสของในหลวง ..แบบคนจน..“...คนที่ทํางานตามวิชาการ จะต้องพึ่งตํารา เมื่อพลิกไปถึงหน้าสุดท้ายแล้ว ในหน้าสุดท้ายนั้น เขาบอก “อนาคตยังมี” แต่ไม่บอกว่า ให้ทําอย่างไร ก็ต้องปิดเล่ม คือ ปิดตํารา ปดตําราแลวไมรูจะทําอะไร ลงทายก็ตอง เปดหนาแรกใหม่ เปดหนาแรกก็.. เริ่มตนใหม ถอยหลังเขาคลอง แตถ้าเราใช้ตํารา “แบบคนจน” ใช้ความอะลุมอลวยกัน ตํารานั้นไมจบ.. เราจะกาวหนา “เรื่อยๆ”

        พ่อครูว่า...ในโลกจะแข่งขันกันอย่างไร แต่พระทัยของในหลวง ไม่มีอย่างนั้นเลย ไม่ว่าจะตำราไหน ก็เป็นอย่างนั้น ถ้าตำราโลกีย์ คือแย่งลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข แต่ถ้าเราใช้ตำรา แบบคนจน ใช้ความอลุ่มอล่วยกัน ตำรานั้นไม่จบ มีแต่จะก้าวหน้า เรื่อยๆ นี่คือ แต่ละคำๆ ของในหลวง

        พ่อครู...ว่า ถือว่าเป็นสัจจะประเสริฐ คนที่จะเข้าใจว่า ต้องบริหารประเทศ แบบคนจน ขอถามว่า ดร.ที่เรียนจบมา แต่ละประเทศ มีนัยที่ศึกษา แบบคนจนไหม เจอไหม ในตำราไหน พ่อครูว่า เท่าที่นึกออกตอนนี้ ลักษณะอย่างนี้ ก็มีคานธี แต่ก็ไม่กล้าฟันธง อย่างในหลวง ที่บอกว่า เขาก้าวหน้า อย่างนั้น มันถอยหลัง อย่างน่ากลัว ไม่ว่าประเทศไหนๆ จะใหญ่จะน้อยก็ตาม

        เป็นเรื่องอัจฉริยะสุดประเสริฐ ที่จะมีคนกล่าวเช่นนี้ สรุปที่ว่า เราได้สนอง พระราชดำรัสนี้ ก็พาพวกเราทำอยู่ ชักชวนทำตาม ของความร่วมมือ ไม่บังคับใคร ก็โปรโมท สิ่งเหล่านี้ขึ้นมา พยายามชี้ชวน ให้มาทำแบบคนจน เสียสละ มีความซับซ้อน ต้องอ้างอิง ชาวอโศก เราไม่รวย เราไม่สะสม เรามีก็สะพัดออก ในอโศกเราทำสำเร็จ ที่ไม่เป็นหนี้ข้างนอก ทุกชุมชน แต่ภายในแต่ละชุมชน ก็มีเงินเกื้อ เงินหนุนกัน ไม่มีดอกเบี้ย เราทำอย่างอลุ่มอล่วย อย่างในหลวงบอก เราไม่สะสม ไม่เอาเปรียบ คนอื่นเลย
        .ไม่เอาเปรียบใคร ๒.ไม่สะสม ๓.แจกจ่ายเจือจานแก่คนอื่น
ทั้งสามอย่างนี้ ไม่มีวันรวย อย่าเป็นหนี้ ก็แล้วกัน

        ส.เพาะพุทธต่ออีกว่า
        ๔ . ไม่มีวันรวย ๕ . ไม่มีวันเลว

        พ่อครูว่า... ไม่ใช่เรื่องพูดเอาโก้ แต่เป็นเรื่องจริง และเชื่อว่า ในพระทัยในหลวง ท่านตรัส อย่างเอาจริงนะ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เป็นเรื่องตกผลึกเลยนะ เพราะท่านตรัสกับ รัฐมนตรี ของเกาหลี ที่ถามว่า จะบริหารประเทศอย่างไร ท่านก็ตอบว่า แบบที่ท่านทำ ก็ดีแล้ว เจริญแล้ว แต่เขาก็เซ้าซี้ถาม ในหลวงก็เลยบอก แนะนำว่า ให้ทำแบบคนจน “เราเลยบอกว่า ถ้าจะแนะนำได้ ต้องทำ “แบบคนจน” เราไมเปนประเทศร่ำรวย เรามีพอสมควร พออยูได แต..ไมเปนประเทศที่ กาวหนาอยางมาก เราไมอยากจะเปน ประเทศกาวหนา อยางมาก เพราะถาเราเปน ประเทศกาวหนาอยางมาก ก็จะมีแต่ถอยหลัง ประเทศเหลานั้น ที่เปนประเทศที่มี อุตสาหกรรมกาวหนา จะมีแตถอยหลัง และถอยหลัง อยางนากลัว แตถาเริ่มมีการบริหาร ที่เรียกวา “แบบคนจน” แบบที่ไมติด กับตํารา มากเกินไป ทําอยางมีสามัคคี นี่แหละ คือ เมตตากัน ก็จะอยูได ตลอดไป...”

        คำว่า ถอยหลังอย่างน่ากลัว ท่านก็คงรู้ว่า มันน่ากลัว คนไประรานคนอื่น มันน่ากลัว เอาความเก่ง ความรวยความใหญ่ ไประรานเขา นี่คือคนพาล ต้องหลีกให้ไกลเลย เขาเป็นประเทศ อุตสาหกรรมก้าวหน้า ซึ่งท่านว่า มีแต่ถอยหลัง การก้าวหน้า อุตสาหกรรม คือเก่งเทคโนโลยี คือสร้างอาวุธเก่ง ซึ่งเลว แม้สร้างเทคโนโลยี ก็มีทั้งดี และเลวในนั้น แต่กิเลสคน จะรับความชั่ว เครื่องมือนี้ ยิ่งพาคนทำชั่วได้มาก มันครอบงำ ให้คน กิเลสหนาๆ ขนาดในสภาฯ ยังเอาชั่วไปเปิดในสภา แล้วเด็กละ ไม่มีภูมิคุ้มกัน ก็เอาสิ่งเหล่านี้ ไปยัดให้เด็ก ช่างฉลาดน้อย จริงๆเลย

        คือพูดไป อย่างไม่ได้คิด ไม่มีสติ ไม่รอบคอบ นั้นไม่ใช่ แต่นี่คือสุดยอด แห่งความรอบคอบ มั่นพระทัยเต็มที่ แต่มันยาก แน่นอน ยาก แต่มันดี ดีหาที่เปรียบ ไม่ได้ด้วย ระบบระบอบ แบบคนจนนี่ พอท่านตรัส กับรัฐมนตรี ท่านนั้นแล้ว ท่านก็มา ทบทวน แล้วมาตรัสกับ มหาสมาคม ในวันที่ ๔ ธ.ค. อีก แล้วเราก็นำมาออก ช่องโทรทัศน์เรา ไม่มีช่องอื่นเอาออก ถือว่าเป็นสิ่งที่ พระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน เพื่อแก้ปัญหาประเทศ แต่ผู้บริหาร ไม่ได้นำมา ใช้แก้ปัญหา

        ถ้าเข้าใจถูกต้องทำได้ จะแก้ปัญหาได้ พ่อครูพาพวกเราทำ พ่อครูเข้าใจอีกว่า พระปัญญาธิคุณในหลวง ตรงกับพระปัญญาธิคุณ ของพระพุทธเจ้า เพราะพ่อครู เป็นคนกลาง ได้ศึกษามาจากพระพุทธเจ้า เมื่อมาพบในหลวง จึงรู้ว่าในหลวงเป็นใคร ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ ไม่ใช่คนสามัญ ความคิดเช่นนี้ คนทั่วไป คิดไม่ออก แม้จบดร.มา ก็ไขอันนี้ไม่ออก

        พ่อครูก็มั่นใจว่า ทำส่งถูก เป็นเอหิปัสสิโก ตรวจสอบได้นะว่า เรามาทำเท่ห์ แอ็คอาร์ทไหม หรือว่าทำจริง ก็ตรวจสอบได้ วันนี้เราเลยได้พูดจุดสำคัญ เป็นเรื่องดี ว่าไหม?

        ส.เพาะพุทธว่า... ทำให้เรารู้คุณค่าของ ความจนมหัศจรรย์ จนอย่างสมัครใจ จนส่วนตน แต่รวยส่วนรวม
        จนอย่างเป็นสุข เต็มใจ จนอย่างสัมบูรณ์ ถ้านำมาสำนึกให้ดี พวกเราจะทำ ส่วนตนให้จน แต่ทำให้ส่วนกลาง รวย ใหญ่ ส่วนตัวให้มีเล็กๆ แม้แต่คำตรัสว่า ขาดทุนคือกำไร

        พ่อครูว่า... ท่านมาตรัสทีหลังอีกเรื่อง ขาดทุนคือกำไร คือเราจะจนได้ ต้องขาดทุน ชีวิตต้องขาดทุน แล้วจะอยู่ได้อย่างไร เพราะโลกเขาถูกหลอก ให้ไปรวยกันส่วนใหญ่ เขาก็ดูถูกว่า มาแบบคนจน จะอยู่ได้อย่างไร เราก็ดูไป แต่เราจนอย่างไม่ฝืน จนอย่างง่าย สบาย สะดวก จนอย่างเต็มใจภูมิใจ ไม่ใช่จนอย่างเอาเปรียบ โกงกินสังคม จนเรายังมีแจกมาให้ เราให้คนที่รวยกว่าเราอีก เรามาให้ มาแจก มีส่วนมาก ที่คน มารับบริการ จากเรา ฐานะเขารวยกว่าเราส่วนใหญ่ อาจมีบ้าง ที่จนกว่าเราก็มี      
        เพราะเราสร้างจิตที่มีเจโตว่า มักน้อย ใจพอจริงๆ ไม่เอาอีกหรอก และก็มักน้อย ไม่ใช่มักมาก ไม่ใช่มากก็พอ แต่เราน้อยก็พอ จนถึงที่สุดคือสูญ ไม่มีเลย เราก็พอ เราก็อยู่ได้ เป็นเรื่องประหลาด คนไม่มีทรัพย์สินได้ แต่อยู่ได้ เพราะเรามีสังคม อย่างในอโศก ทำงานเสียภาษี ๑๐​๐% ก็กินใช้ส่วนกลางไปวันๆ เป็นเศรษฐกิจบุญนิยม สาธารณโภคี ไม่ต้องห่วง สมบัติพัสถาน ไม่ต้องทำพินัยกรรม ไม่ห่วงว่าใครจะแย่งสมบัติ ตายแล้ว ก็อยู่ส่วนกลาง ใครอยู่ก็ใช้ต่อสิ เป็นมรดกส่วนกลาง เป็นระบบที่ พระพุทธเจ้า ค้นพบสาธารณโภคี แล้วมาประกาศ ให้คนทำได้ พ่อครูภูมิใจ ที่ทำให้หมู่กลุ่ม อย่างนี้เกิดได้ หลายคนว่า เป็นได้แค่จุลภาค เป็นมหภาคไม่ได้

        พ่อครูว่า.. แม้อโศกมีแค่นี้ ก็ช่วยสังคม เพราะไม่แย่งสังคม แต่ช่วยสังคม เราไม่อยู่ อย่างปลิงอย่างทาก เอาเปรียบสังคม โดยไม่มีประโยชน์ แต่เราอยู่ เรามีประโยชน์เกิน ให้แก่สังคม จะมีกี่ชุมชน กี่หน่วย เราก็เป็น ถ้ารัฐบาลหน่วยงานการศึกษา เห็นดี และ ให้เกิดอย่างนี้ ในไทยมากๆ มันจะต่ำต้อยลงหรืออย่างไร พ่อครูว่า มันจะยิ่งดี ไม่เกิด การแก่งแย่ง จะเอื้อเฟื้อ เจือจานกัน มากยิ่งขึ้น มันชัดเจน สำคัญอยู่ที่ มาสร้าง จิตวิญญาณคน การศึกษานั้นสำคัญ ต้องสร้างคน ให้มีคุณธรรม การศึกษาทุกวันนี้ ล้างผลาญโลก คนที่มีความรู้ สามารถแต่กิเลสไม่ลด ก็เอาความรู้สามารถ ไปเอาเปรียบเขา เพราะกิเลสไม่ลด การศึกษาทางโลก ที่ไม่ลดกิเลส กู้ประเทศไม่ได้ เมืองไทยเป็นพุทธ สอดคล้องกับคำสอนพระพุทธเจ้า ในหลวงมีทิศทาง โลกุตระ นี่คือ ศิวิไลซ์ที่แท้จริง แต่อย่างทุนนิยมนี่ ศิวิไลซ์ปลอม

        ลึกๆอยากเห็น ผลสำเร็จประเทศไทย เป็นอย่างในหลวง อย่างพระพุทธเจ้า ประเทศไทย ไม่เป็นหนี้ใคร แต่ตอนนี้รัฐบาล ตั้งหน้าตั้งตา เป็นหนี้ท่าเดียว

        ส.เพาะพุทธว่า ใครไม่เห็นด้วยก็ให้ไปเซ็น การไม่รับสภาพหนี้ และใครเห็นด้วย ก็ไปเซ็นรับสภาพหนี้ ๒.๒ ล้านๆ

        พ่อครูว่า... ก็เปิดช่องแดงดู ได้ยินโหวงเหวงพูด ก็ฟังแล้ว โหวงเหวงจริงๆเลย เราต้องเอา ประชาธิปไตย คืนมา.. อย่างนี้เป็นการครอบงำความคิด เขาเชื่อว่า ประชาธิปไตย เป็นแบบที่เขาคิดเห็นจริงๆไหม เขาก็ยกย่องภรรยาเขา อ.ธิดา พ่อครูก็ฟัง อ.ธิดาบรรยาย เก่งจริงๆ ในการใช้วาทะกรรมครอบงำคน ทำให้เห็นว่า พ่อครูยิ่งต้องมา ทำอย่างนี้ จนเขามองว่า พ่อครูร้อนจีวร พ่อครูก็ว่า ไม่เป็นไรหรอก จะว่าอย่างไร แต่เรารู้ใจเราว่า มุ่งหมายทำ เพื่ออะไร เชื่อว่าเรามี กุศลเจตนาจริง และที่สังคมจะดี ต้องทำอย่างไร ประชาธิปไตย ต้องทำอย่างไร ก็ตามภูมิพ่อครู มีมาแต่เดิม ชาตินี้ ไม่ได้ศึกษา รัฐศาสตร์ การเมือง ในชีวิตนี้ ไม่เคยไปลงคะแนน เลือกตั้งเลย ตั้งแต่เป็น ฆราวาส จนมาบวช แต่ก่อน ไม่เคยรู้ว่าใครเป็น รมต. เลย ไม่เอาถ่านเลย อย่างนั้นจริงๆ แต่พอมาสำนึก ถือว่ามาเกิดวุฒิภาวะ มาบวชจึงมี รู้ว่าเราปล่อยปละละเลย ไม่ช่วยบ้านเมือง เห็นความเลวของตน ใช้ไม่ได้เลย มุ่งแต่ทำมาหากิน กอบโกยโลกธรรม เห็นความชั่วตน ก็ยิ่งต้อง มาใช้หนี้วิบาก แม้อยู่ทางโลก ก็ไม่ได้น้อยหน้าเขาเลย ก็รู้ว่า เราชั่วมาก่อน ก็เลยต้องมาทำ สิ่งทดแทน สิ่งเคยทำผิด เราก็มาทำสิ่งดีทดแทน ไม่อย่างนั้น ก็จะมีวิบากมาก ไม่อยากให้คนอื่น มาบาปเหมือนเรา ในอดีตด้วย บ้านเมือง เดือดร้อนขนาดนี้ คนในระดับสูง ก็รอดสิ แต่ว่าในระดับล่าง ระดับกลาง จะแย่นะ ตอนนี้

        พ่อครูว่า... คนเรากว่าจะเข้าใจความดี ความไม่ดีของตนว่า กว่าจะเข้าใจว่า ตนเลวชั่ว มา ๓๖ ปีตั้งหน้าตั้งตา ทำมาหาเงิน แต่ตอนนี้รู้แล้ว มาทำคืน ใครอย่ามาห้าม เสียให้ยากเลย

        ส.เพาะพุทธว่า... ท่านคานธี กล่าวเรื่องความยืนหยัด กับความดื้อรั้นไว้ว่า..
ความดื้อรั้น กับความยืนหยัด สองอย่างนี้ แตกต่างกันมาก การพยายามบังคับ ให้ผู้อื่น เห็นด้วยกับ ทรรศนะของตน เป็นความดื้อรั้นอย่างหนึ่ง ส่วนความยืนหยัด ได้แก่การที่เรา มีแนวคิด เป็นของตนเอง และปฏิบัติตน จนผู้อื่นเห็นด้วยกับ แนวความคิดนั้น ด้วยใจสมัคร ของเขาเอง

        พ่อครูว่า.. ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสที่ว่า ...ภิกษุทั้งหลาย ! พรหมจรรย์เราประพฤติ มิใช่เพื่อ... หลอกลวงคน ให้มาเคารพนับถือ (น ชนกุหนัตถัง) มิใช่เพื่อเรียกคน มาเป็นบริวาร (น อิติ มังชโน) มิใช่เพื่ออานิสงส์ เป็นลาภสักการะ และเพื่อเสียงสรรเสริญ มิใช่เพื่อจะได้เป็นเจ้าลัทธิ หรือค้านลัทธิอื่นใด ให้ล้มไป มิใช่เพื่อให้มหาชน เข้าใจว่า.. เราได้เป็น ผู้วิเศษอย่างนั้น ก็หามิได้
        ภิกษุทั้งหลาย ! ที่แท้ พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติเพื่อสำรวม เพื่อละ, เพื่อคลายกำหนัด, เพื่อดับทุกข์สนิท ฯ

        ส.เพาะพุทธว่า... มีคนถามว่า “พุทธวจนะ” นั้นมีอาจารย์ท่านหนึ่ง ใช้สอนอยู่ แต่ไม่เห็นมีสมณะ สิกขมาตุ พ่อท่าน นำมาสอนเลย แล้วเชื่อได้หรือไม่?...คือท่าน อ.คึกฤทธิ์ ท่านพยายาม นำคำสอน เฉพาะของพระพุทธเจ้า จากพระไตรฯ มาสอน ไม่พยายาม นำมาจากที่อื่น ก็เห็นว่าเป็นสิ่งดี

        พ่อครูว่า... พ่อครูเป็นคนที่ไม่อ่านอรรถกถา และคำภีร์ ระดับรองเลย อ่านแต่พระไตรปิฎก ในพระไตรฯไม่ใช่มีแต่พุทธวจนะเท่านั้น แต่มีของพระเถระ เถรีด้วย หรือแม้แต่ฆราวาส ที่เป็นอาริยบุคคล ก็มีด้วย พ่อครูเคารพ ในคำสอนเหล่านั้น ล้วนเป็นอาริยสงฆ์ ไม่ได้ตีทิ้ง....      

จบ

 
๒๙ กันยายน ๒๕๕๖ ที่สวนลุมพินี กทม.