_561108_เทศน์หน้าศพ แม่ของคุณถึงไท
(ธำรงค์ แสงสุริยจันทร์) ที่สันติฯ
พ่อครู สมณะโพธิรักษ์

เรื่อง

        พ่อครูเทศนาที่สันติอโศก... วันนี้เป็นวันงานศพคุณ...

        พ่อครูได้อบรมพวกเรา ให้เลิกกลัวผีกันแล้ว ผีที่คนเห็น เป็นผีหลอกนั้น เป็นเรื่องของ อุปาทานในจิต ตนเอง มีอุปาทานในตน แล้วปั้นมาหลอกตัวเอง เรียกว่า มโนมยอัตตา การอุปาทานนี้ เกิดได้ เช่น ตอนนั่ง สมาธิหลับตา ในภวังค์ ก็เห็นผีได้ มีรูปรสกลิ่นเสียง ในภพที่เขาปั้นไว้ อาจเป็นคน มีการคบหากัน เขาว่าอีกโลกหนึ่ง สามารถคบกันอยู่ แต่ไม่กลัว กลับหลงว่า ตนมีอำนาจมาก เสพอีก อันนี้ปั้น จนตนเอง สำเร็จ เป็นตัวเป็นตน อันนี้ไปเข้าใจ คำสอนมา แล้วทำได้ ก็หลงตนว่าเก่งอีก มีในพวก นั่งสมาธิ ทำฌาน และนักการศาสนา ที่มิจฉาทิฏฐิ เข้าใจว่า ตนไปนิพพาน ทั้งที่วิญญาณ หรือจิตนั้น ไม่มีตัวตน รูปร่าง แต่เป็นพลังงานทางจิต ที่ละเอียด มีประสิทธิภาพ มากกว่า พลังงาน แสง เสียง แม่เหล็ก ไฟฟ้า

        มาพูดถึงการตายการเป็น
       การตาย มีภาษาว่า “มรณะ” ภาษาไทยอ่าน (มอ-ระ-นะ) แต่บาลีอ่านว่า (มะ-ระ-นะ) เป็นการรบทางจิต ผู้ที่ตายแล้ว จิตไปสู่สนามรบ แต่เขาจะต่อสู้ไม่ได้ ต่อสู้ด้วยความแพ้ คือไปตกนรก ทรมาน ทรกรรม ไม่มีรูปร่าง แต่จิตต้องเป็น มีวิบากจริง ไม่มีรูปร่าง อย่างที่คนเขาปั้น เขาเขียนแสดงหรอก

        ภาวะการศึกษาทางธรรม ของพระพุทธเจ้า คือมาล้างภาวะ ที่ทำให้ทุกข์ เรียนรู้ สุขทุกข์โลกีย์ แล้วทำให้หมด สุขทุกข์โลกีย์ได้ นั่นคือ เป้าหมายของพุทธ เมื่อเรียนรู้ ไม่สัมมาทิฏฐิ จะไม่รู้จัก การตายขณะเป็นๆ ตอนเป็นๆ เรียกว่า “สรณะ” คำว่า ส หรือ สก หรือ สย หรือ สยัง คำว่า ส อย่างเดียว ก็หมายถึงตัวเรา คำว่า “สรณะ” คือตัวเรา อยู่ในสงคราม ต้องพึ่งตัวเรา ที่เราต้องต่อสู้ คือยังมีโลภ โกรธหลงอยู่ พอจิตหมดโลภ โกรธหลง ก็หมดสรณะ กลายเป็นที่พึ่ง อย่างดีเลย ผู้ที่มีที่พึ่ง ไม่ต้องรบแล้ว เพราะเรากำจัด ข้าศึก คือโลภ โกรธหลง ตายหมด ก็ไม่ต้องมีสงคราม เรียกว่า “อรณะ” คือหมดกิเลส หมดโลภ โกรธหลง เป็น สรณะที่มีอรณะ คือไม่ต้อง มีสงครามแล้ว เป็นที่พึ่ง อันเกษม สามารถเรียนรู้จนสามารถ อ่านจิต ทบทวนจิต รู้แจ้งทะลุครบ ในสรณะ มีปัญญารู้ใน ปฏิสรโณ เพราะได้ทวนรู้ ทวนเห็น ศึกษา ปฏิต่างๆ จนปฏินิสสัคคะ รู้ดับเหตุสวรรค์โลกีย์ ดับเหตุที่หลงสุข นี่แหละ ทำให้พ้นทุกข์ได้ ปฏิปัสสัทธิ ทวนทำให้สงบ จนมั่นใจว่า อเนญชา ตั้งมั่นสมบูรณ์​ เป็นปฏินิสสัคคะ ไม่ต้องหลง เกี่ยวกับสวรรค์อีก

        พวกเรามีพื้นฐาน จะเข้าใจเพิ่มขึ้น เป็นธรรมะ เชิงขยายความเพิ่มขึ้น.. ขยายสภาวธรรม ผู้มีพื้นฐาน จะเข้าใจได้ดีขึ้น

        ถ้าราคะคือไปหลงเสพ แม้เข้าไปข้างใน ก็ไปหลงรูปราคะ ก็เรียนรู้ต่อ พระอนาคามี เมื่อไม่หลงติด ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ภายนอกแล้ว หมดกามราคะ ที่ต้องสัมผัส กามคุณ ๕ เมื่อไม่มีกิเลส พอสัมผัส ทางทวาร ๕ พระอนาคามี หมดสุขทุกข์ ทั้งปฏิฆะ และ กามราคะแล้ว หยุดดูดกับผลัก สองด้าน เรารู้แล้ว ไม่ต้องไปแย่งชิง รบราแสวงหา ก็มีพลังงาน ไปทำงานสร้างสรร เสียสละ เป็นการงาน อันเหมาะควร ไม่ต้องเสียเวลา เสียพลังงาน มีเหลือพลังงานสร้างสรร จะมีญาณปัญญา รู้ว่าอะไรควรใช้อาศัย

        ไม่เสียเวลา พลังงาน ไปบำเรอกาม บำเรออัตตา เพราะเรียนรู้ ดับเหตุได้จริง ไม่เสียเวลา ทุนรอน แรงงาน ทั้งกายและจิต จะทุ่นจะประหยัด ได้หมดเลย เอาที่ได้ คืนมาทำสร้างสรร มีประโยชน์สูง   

        การตาย อรณะ ดับกิเลสได้ เป็นการตาย ที่ชาวพุทธต้องศึกษา ทำการตาย อกุศลจิตได้ แล้วเป็นคน ไม่ทุกข์ร้อน มีประโยชน์ตน-ท่าน อย่างแท้จริง ดับได้ถาวร เพราะดับอย่างมี จักษุ​ ญาณ​ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ไม่ใช่ดับนิ่งเฉย ทั้งสายลืมตาดับ ก็นิ่งได้ ทั้งลืมตา แต่ก็หยุดคิดได้ยาก แต่สายหลับตา จะดับจิตได้ หยุดคิดได้ ตนเอง ไม่รู้เรื่อง รู้ตัวได้เลย เป็นอสัญญีสัตว์ เขาถือว่า เป็นสภาพ บรรลุธรรม ไม่มีทุกข์ ไม่มีปฏิกิริยา บทบาท ทำดีทำชั่วกับใคร ก็เป็นมนุษย์ ที่ไม่ทำอะไร ไม่ทำกิริยา กายวาจาใจ ไม่มีประโยชน์ แม้ประหยัด แต่ไม่มีประโยชน์ สะกดไว้นานๆ ด้วยเจตนา ฝึกฝน ให้เกิดเจโตสมถะ มันก็ไม่ขึ้นง่าย มีพลังปัญญา สำนึกรู้ว่า เอ็งอย่าขึ้นมาด้วย มีเจโตด้วย แต่ไม่ได้ฆ่า อย่างมีญาณ ปัญญา ไม่ได้ทำฌาน ฌานอยู่ที่ไหน ปัญญาอยู่ที่นั่น พลังฌาน คือไฟพิเศษ เป็นพลังปัญญา ถ้ามีเพียงพอ จะจัดการไฟโลภะ โทสะ โมหะ ให้สูญหายได้เลย เป็นเรื่องคิดไม่ออก แต่พิสูจน์ได้ ทำได้อย่างเห็นรู้เลย

        รู้ว่ากิเลส ตั้งแต่ตัวโต เรียกว่า “สักกายะ” เป็นตัวกิเลส ที่เรารู้แล้วว่า จะต้องจัดการ มันเกิดขึ้น เราก็วิเคราะห์ ทันทีเลย มันกำลังมีอาการ ราคะ โทสะ ทางกาย วาจา ใจ ก็มีญาณ ปัญญา รู้ตัวจริงมันออก เรียกว่า รู้สักกายะ ทำโดยวิธี ของพระพุทธเจ้า โดยใช้ ศีล สมาธิ ปัญญา เรียนรู้ทาง อายตนะ ๖ เวทนา ๖ ตัณหา ๖ (ตัณหา ๓ ซ้อนในตัณหา ๖) ก็เรียนรู้ว่า เป็นตัณหา ปรุงแต่งในเวทนา แล้วเรียนรู้เวทนาในเวทนา ที่มีตัณหา ๓ เกิด เมื่อมีการกระทบ ทางกาย วาจาใจ เรียนรู้ แล้วทำการกำจัดด้วย ปหาน ๕

๑.     วิกขัมภนปหาน (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า)
๒.     ตทังคปหาน (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต) 
๓.     สมุจเฉทปหาน (ละด้วยการตัดขาด  สลัดออกได้เก่ง)
๔.     ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ  ทวนไปมา)
๕.     นิสสรณปหาน (สลัดออกได้เองทันที  เก่งจนเป็นปกติ)

        นี่คือการทำความตาย ทางจิตวิญญาณ ต้องตายทุกคน แม้จิ๊นซี ฮ่องเต้ ก็ต้องตาย  ทุกอย่าง ต้องเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดจากเหตุปัจจัย ในวิบากของเราด้วย นี่ก็กำลัง พิสูจน์ว่า อาตมาจะอายุได้ ๑๕๑ ปีไหม ที่จริงอายุขัยตนเอง อายุ ๗๒ ปี ก็ว่า เรายังไม่น่าตาย ก็ใช้อิทธิบาท อยู่ต่อมา จนจะอายุ ๘๐ ปีแล้ว คนเห็นก็ว่า ไม่น่าจะใช่ คนอายุ ๘๐ ปี

        มีคนฝากตอบประเด็นว่า... ให้พ่อท่าน ขยายความคำว่า นายกว่าให้ “อภัย” ให้ชาวพุทธ ให้อภัย แล้วตรงกับคำว่า “อภัย” ที่ชาวพุทธ ควรทำอย่างไร แล้วชาวพุทธ ควรให้อภัยอย่างไร

        คำว่า “อภัย” คือไม่ให้เกิดภัยแก่ตน และผู้อื่น ตัวทำภัย คือ โลภ โกรธหลง ในปัจจุบัน อย่างนายกฯ แทนที่จะเป็นสุขสงบ แต่ก็มีผู้ต้านกั้น มีผู้สนับสนุนสอพลอ ก็มี ส่วนผู้ต้านกั้น ก็ไม่ แต่จิตสามัญ อย่างหนึ่งว่า “ทำไม่ดี ไม่มีใครอยากให้ทำ” เป็นสามัญ สำนึก กลางๆ คนทำสิ่งไม่ดี ไม่มีใคร อยากให้ทำหรอก เช่น เราเห็น คนตีคนอื่น เราก็ไม่ได้อยาก ให้เขาทำ แต่ถ้าคนซาดิสม์ ก็จะรู้สึกมันดี ดูดี ดูอร่อย คือจิตไม่ปกติ ชอบให้รุนแรง ทำร้ายกัน ให้คนชกกัน คนนี้จะชอบดู การตีกันแทงกัน หลอกกัน ให้ซาดิสม์ ทำให้สังคม ไม่ลดความรุนแรง ทำร้ายทำลายกัน เป็นสังคมไม่ฉลาด ไม่รู้ว่า สิ่งควรเลิก คืออะไร

        สรุปสั้นๆว่า ยังมีโลภโกรธหลงสะสม มันก็เป็นภัยแก่ตน และผู้อื่น เป็นโลภ ก็ไปเอา จากคนอื่น เป็นโทสะ ก็ไปทำร้ายคนอื่น เป็นโมหะ ก็ทำสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เสียประโยชน์

        คำว่า อภัย คือคุณอย่าไปมีจิต โลภโกรธหลง แม้มีก็อย่าไปแสดงอาการ จะไปทำร้าย ทำลายเขา ไม่ต้องเกลียดโกรธกัน ให้วางปล่อย ให้อภัย หยุด กายวาจาใจ ที่เป็นกิเลส ล้างจิตหมด ก็หมดภัย อภัยก็เกิด

        แม้ราคะ โลภะ ต้องไปแย่งในเหตุปัจจัยเขา ได้มาเสพรส ก็เป็นภาระ ของตนเอง เช่นกัน ต้องเลิก โลภน้อยลง ก็แย่งคนอื่นน้อยลง แล้วก็สร้างสรร มีแจกจ่าย เป็นคุณค่าอีก นี่คือ การหมดภัย โลภะโทสะก็เป็นการอภัย

        ที่นายกฯ พูดให้อภัยกันนั้น คิดว่าคงไม่เข้าใจ อย่างที่อาตมาพูด แต่ว่า คงเป็นว่า นายกฯว่า ให้อภัย คือหยุดเถิด ให้ฉัน ได้ทำตามอย่างใจฉัน อย่ามาต้านกั้น ไม่ให้ ฉันทำสะดวกเถอะ นี่คืออ่านใจนายกฯว่า ต้องการอย่างนี้ คือขอให้นายกฯ หยุดเถอะ มีอิสระเต็มที่ ในการคอรัปชัน โลภโมโทสัน เอาพี่ชาย กลับมา อย่างเท่ห์ๆ มีขบวนแห่ เข้ามา อย่างนั้นเลย ซึ่งประชาชน ที่ต้านกั้นก็รู้  ส่วนเสื้อแดง ก็รู้ว่าต้องการ ให้กลับมา ทั้งสองฝ่าย ก็ต่อต้านกัน ทั้งสองฝ่าย เข้าใจตรงกัน
      
       แล้วชาวพุทธ จะต้องอภัยอย่างไร ก็คือว่า ใครทำถูกทำผิด ก็คือไม่ให้เขา ทำบาป ทำชั่ว ให้เขาได้ใช้วิบากกรรม เราอย่าไปหาวิบาก ให้เขาอีก ให้เขาล้มล้างผิด ทำวิบากกรรม ผิดๆ ออกกฎหมายผิดกฎหมายซ้ำซ้อน กันเข้าไปอีก

        เราต้องเรียนรู้จิตของเรา ในการปลดปล่อย อภัยกันจริงๆ อาตมา ไม่เกลียดชังเขา จริงๆ เขาทำ ก็มีวิบากเขา เราก็เลยต้านกั้น ที่ทำนี่ เมตตาเขา แต่เขาไม่เข้าใจ ดีไม่ดี หาว่าเรา ทำผิดอีก เราทำผิดใน ๑๐๐ แต่ทำถูก ๑๐๐๐๐ หนึ่งเขาไม่เห็น เขาก็ขอทำชั่ว ให้หนักต่อไปอีก อาตมาไม่ใจร้ายพอ ก็มาต้านกั้น ไม่ให้ทำผิดต่อ ไม่ให้เกิดภัย ที่ทำนี่ ทำเพื่อให้เขาหยุด เป็นเมตตา หวังดีอย่างหนึ่ง พวกเราเข้าใจได้ แต่เขาอาจ เข้าใจไม่ได้ หาว่าอาตมา พูดกลับคำ ใช้วาทะ แต่ที่จริง เขาเข้าใจผิด เขาไม่รู้ว่า เขาทำทุจริต อกุศลเพิ่ม พอเราบอก เขาทำผิด เขาก็ว่า เขาทำถูก

        เราไม่อยากให้เขาทำ เราก็มาให้เขาหยุด เขาก็หาว่า เราเป็นศัตรู แต่เราไม่เป็น ศัตรูกับใคร เขาไม่รู้หรอกว่า เราช่วยแต่แม้เขาไม่รู้ เราก็ต้องทำ เพราะเป็นประโยชน์ ต่อผู้อื่นด้วย เป็นประโยชน ์ต่อตัวนายกฯ และคนไขลานนายกฯด้วย ก็เป็นเรื่องยาก แต่ก็ต้องทำไป

        ตอนนี้ มีผลดีขึ้น สังคมไทย แม้แต่นายกฯ ก็บอกว่า หยุดเถอะ อภัยเถอะ ขอให้ดิฉัน ทำงานเต็มที่ บ้านเมือง จะได้เดินหน้าได้ ทั้งที่เขาทำนี่ เป็นความฉิบหาย ต่อบ้านเมือง พยายามไม่ให้เราต้านกั้น จะได้ฉิบหายมากขึ้น คนที่ทำร่วม ก็บาปมากขึ้น คนที่ไป ต้านกั้น ก็ต้องได้รับผลด้วย เพราะทุกอย่าง ในมหาจักรวาลนั้น ไม่มีอะไร ขาดจากกัน เชื่อมต่อกันหมด แต่พูดในสิ่งที่ใกล้กัน อย่างนายกฯ กับประชาชนไทย ก็ต้องตัดวงจร ความเลวร้ายให้ได้ ในบริบทที่ควรทำ ปัจจุบันนี้

        ในเรื่องของตัวภัยร้าย คือโลภโกรธหลง แม้แต่ตัวลูกหลาน ก็คือ ตัวผูกพันธ์ หรือ เรื่องพยาบาท ก็เป็นการจองล้าง จองผลาญ ส่วนอีกพวก ก็เป็นผูกพันยึดติด ให้ติดกัน อย่างกรณี คุณถึงไท ก็น่าจะถึงไท เป็นอิสระ ตอนนี้ ก็จะไปทำงาน ทำการ ประโยชน์ต่อ ประเทศชาติ ก่อนนี้ ก็ดูแลแม่ ที่ป่วยหนัก ก็ดูแลกัน จนสุดท้าย ตอนนี้ ปลดภาระแล้ว ตายไป ตามวิบาก ไม่ต้องกังวล เลี้ยงลูกให้รู้จักโต เลี้ยงพ่อแม่ ให้รู้จักตาย ศาสนาอื่น เขาเข้าใจจิตวิญญาณ ที่จะต้องไปส่งวิญญาณ ส่งกุศลกรรม ไปส่งให้กัน แบ่งให้กัน มันไม่ได้ โยมแม่  มีกุศลอกุศลของตน จะแบ่งให้กันไม่ได้ ตอนนี้ เสียไปแล้ว คุณธำรงค์ ก็คงจะถึงไท เสียที ก็เป็นคน มีความสามารถ ตอนนี้ ปลงภาระแล้ว ปลดภาระแล้ว ต้องถึงไทเสียที

        เป็นความรู้ แม้เราจะเกี่ยวข้อง เป็นญาติธรรม เราให้ช่วยเหลือพ่อแม่ ถ้าทำให้ท่านได้ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญาได้ มีศีล สมาธิ ปัญญาได้ ก็ประเสริฐ สามารถ สร้างตนเอง ให้จิตวิญญาณ เกิดเป็นพลังงาน ที่หลุดพ้นได้ ถ้าได้เรียนรู้ ตามพระพุทธเจ้าสอน ถ้าเราสามารถ พาพ่อแม่ ให้มีทฤษฏีพิเศษ ที่จะทำให้อัตภาพเรา เป็นอาริยะ เข้าสู่โลกุตระภูมิ ถ้าสามารถมีจุดเริ่มต้น มีอาริยธรรม มีโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ถ้าเราให้ได้ ก็ประเสริฐสุด พระสารีบุตรจึงรีบ แม่อายุมากแล้ว ข้าพระพุทธเจ้า ต้องทูลลาไปโปรดแม่ ให้เป็นโสดาบันก่อน มีสัมมาทิฏฐิ รู้จักศีล รู้จักจาคะ คือเอาราคะโทสะโมหะ ออกได้ คุณสมบัติคือ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา คืออาริยทรัพย์

        เมื่อก่อน อาตมาเอง พวกเราเอง ก็แสดง ราคะโทสะโมหะ ออกมาก็น่าอาย แม้จะถูก ยั่วยุเท่าใด ก็ตาม ก็สามาถห้ามได้ ไม่แสดงออกได้ คนไม่รู้ ก็แสดงออกมาเลย ตอบโต้ สวนเลย ไม่มีหิริ โอตตัปปะ เขาด่ามาเท่านี้ เราต้องด่าแรงกว่านี้อีก เลยโง่ซับซ้อน หน้าหนากว่าอีก นี่คือ ไม่มีหิริโอตตัปปะ ดีไม่ดี ราคะ โลภะมาสมโลภ ก็ฉลอง ฉิบหายเลย มาฉลองความเลว ของตนเองอีก พาคนอื่น ฉลองอีก ก็ไปด้วยกัน ทั้งขบวน ไม่ศึกษาให้ดี ได้ฟังแล้ว ก็ไปศึกษา ปฏิบัติให้ดี เพราะคนตายแล้ว ส่วนใหญ่ ตกนรก เหมือนดินทั้งหมด ส่วนคนไปสวรรค์นั้น มีจำนวนน้อย เท่าดินที่ติดปลายเล็บขึ้นมา อย่างน้อย ต้องเป็นโสดาบันได้ จึงไม่ตกนรกอีก...          

จบ

 
๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ที่ สันติอโศก กทม.