_570107 _พ่อครูที่มัฆวานฯ
เรื่อง สันติปฏิวัติกับการเมืองอันธพาล

       
        วันนี้อาตมา อ่านนสพ.ไทยโพสต์แล้ว เขาเขียนได้ความหมาย ชัดเจนขึ้น พวกเรา ก็มีปัญญาขึ้นเยอะ แล้วก็นำออกมาขยายความ อธิบายแจกแจง สู่กันฟัง แล้วเป็นความรู้ ที่เกิดจากภาวะจริง ของสังคม เป็นความรู้ที่ดี ขณะนี้ วันนี้ นสพ. ไทยโพสต์ ตั้งแต่บทนำ มาเลย เขาขึ้นหัวข้อว่า มโนธรรมสำนึก เขาพูดถึงตำรวจ ที่กระทำต่อ ผู้ชุมนุมประท้วง ซึ่งมีสองกลุ่ม คือกลุ่มแดง กับกลุ่มไม่ใช่แดง แล้วตำรวจ ปฏิบัติต่อ สองกลุ่มนี้ต่างกัน เท่าเทียมกันไหม? เป็นสิ่งปรากฏจริง เขาทำอะไรออกมา มีสื่อสารฯ คนก็รับรู้ ได้ง่ายเร็ว ครบ แต่ละแง่มุม เห็นหมดเลย เรียกว่า ตอแหลไม่ทัน ตลบแตลงไม่ทัน คือจะตลบแตลง ตอแหลอย่างไรไม่ทัน เขามีหลักฐาน มายืนยัน ต้องจำนน เพราะฉะนั้น ยุคนี้ต้องยอมรับ ความจริงกันแล้ว

        ส่วนอีกคอลัมน์หนึ่ง ของคุณผักกาดหอม เรื่อง “อันธพาลการเมือง” คุณผักกาดหอม ว่า ตอนนี้เป็น "รัฐที่ล้มเหลว" แล้ว แต่ก็มีคนกล่าวหาว่า คุณกำนันสุเทพ เป็น “อันธพาลการเมือง” ซึ่งคนกล่าวหา คนแรก คือ นิธิ เอี่ยวศรีวงค์

        อันธพาลการเมือง? โดย ผักกาดหอม จากไทยโพสต์

วันนี้ (๖ มกราคม ๒๕๕๗) ได้ยินได้อ่าน มีการพูดถึง มวลมหาประชาชน โดยการนำ ของ "กำนันเทพ" ว่าเป็นอันธพาลการเมือง มีอยู่ ๒ คนครับ ที่ให้ความเห็นไว้ ตรงกัน คนแรก คือ นิธิ เอียวศรีวงศ์ เขียนบทความเรื่อง "ทางออกจากวิกฤติ" ในมติชนรายวัน ระบุตอนหนึ่งว่า "กลุ่มอันธพาลการเมืองเหล่านี้ ไม่ได้ท้าทาย รัฐบาลพรรคเพื่อไทย แต่ท้าทาย กฎหมาย และระเบียบแบบแผน ทางการเมือง ของสังคมไทยทั้งหมด"

อีกคนคือ "สุนัย ผาสุก" ผู้ประสานงาน ที่ปรึกษาองค์กร ฮิวแมนไรต์วอตช์ ประจำ ประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ ทีวีแดง ใช้คำเรียกมวลชน ที่จะปิดกรุงเทพฯ ว่า "อันธพาลการเมือง" เช่นกัน

        อันธพาลคือคนเกเร เลวร้าย ชั่วเลว แล้วทำระห่ำด้วยนะ คือทำให้เดือดร้อน วุ่นวายไปหมด เป็นบทบาท พฤติกรรมเลย เขาก็มองพวกนี้ เป็นนักวิชาการ นักรู้ ก็มองไปว่า กลุ่มพวกคุณสุเทพ กปปส.นี่ เราก็ต้องอยู่ ในกลุ่มนี้ ถูกว่าเป็น อันธพาล การเมือง เพราะเป็นผู้ท้าทาย กฎหมาย แต่อาตมากลับเห็นว่า พฤติกรรม ของรัฐบาล รัฐสภาฯ และนักการเมือง ที่ทำออกมา นั่นต่างหาก ที่เป็นการประพฤติแบบ อันธพาล

        แล้วเราก็มองพวกเราประพฤติ อาตมาก็พยายามมอง ด้วยใจเป็นกลาง ซึ่งตรงที่สุด มันเป็น การท้าทายกฎหมาย หรือหยั่งลงไปถูกต้อง ตามความลึกซึ้ง ของกฎหมาย อาตมา มองอย่างนั้น ว่ากฎหมาย เขาให้ทำตาม เจตนารมย์อย่างไร อาตมาเห็นว่า อาตมา ไม่ได้ทำผิด แต่กลับเห็นว่า ได้ปฏิบัติตามกฎหมายลึกซึ้ง ที่เขาไม่ทำกัน

        เช่น รธน. มาตรา ๒ (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทย มีการปกครอง ระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข

        และมาตรา ๓ (อำนาจอธิปไตย) อำนาจอธิปไตย เป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้น ทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่ง รัฐธรรมนูญนี้

        อำนาจนี้ระบุชัดว่า ปวงชนชาวไทยทุกคน ย่อมมีอำนาจนี้ ตามรธน. ระบุไว้ชัด เมื่อเรา มีหน้าที่ตามรธน. ข้ออื่น เช่น ตามมาตรา ๖๙ และ ๗๐ ระบุไว้ว่า เป็นหน้าที่เลย มีหน้าที่พิทักษ์ไว้ซึ่ง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือมาตรา ๗๐ และ๗๑ เราก็ปฏิบัติ ตามกฎหมาย ประเด็นนี้ อาตมายืนยันไว้ว่า พวกเราสบายใจได้เลย แล้วมันเป็นของใหม่ ประชาชน ตอนนี้ ยังไม่ได้ตื่นรู้ ใช้สิทธิ์นี้ เป็นล้านคน ยังไม่เคยเกิด โดยเฉพาะ มายืนยัน ประท้วง ยื่นข้อเสนอ ว่าเราประท้วง เรื่องอะไร ตามมาตรา ๖๙ (การต่อต้าน โดยสันติวิธี) บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้าน โดยสันติวิธี ซึ่งการกระทำใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อ ให้ได้มา ซึ่งอำนาจ ในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็น ไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้

        เราก็ทำอย่างถูกต้อง มีแต่รัฐบาล เอาหลักฐาน ที่หาเรื่องเรา มาออกสื่อฯ แต่กำนัน สุเทพ ก็ตอกให้ เพราะเราไม่มีจริงๆ ไม่ทำจริงๆ พูดง่ายๆว่า โกหกชาวบ้าน เป็นอันธพาล ไม่อยู่ในสัจจะ เขายิ่งทำ เขายิ่งเป็นอันธพาล หยาบแล้วหยาบเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็ไม่เข้าใจว่า เขาทำอะไร

        ยุคนี้ประชาชนออกมา ปฏิบัติการ มันยอดเยี่ยมจริงๆเลย เขาหาว่า เราเป็น อันธพาล การเมือง ภาษาถิ่นว่า นกเข้าท้วงตาแม่ เหมือนแม่ปู ทักลูกปูว่า ทำไม ไม่เดินตรงๆ แล้วลูก ก็บอกว่า ก็เดินตามแม่นั้นแหละ ไปว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง เหมือนไปชี้เขา ๑ นิ้ว แต่เข้าตัวเอง ๓ นิ้ว

        คนที่ไม่รู้ตัว ก็ทำผิดไปเรื่อย เหมือนพระเทวฑัต ก็ถูกแผ่นดินสูบ ในที่สุด
      
       อีกบทความคือ บันทึกหน้า ๔ ในไทยโพสต์วันนี้ ก็ยิ่งแสดงพฤติกรรม แต่ละคนๆ และ ก็มีคอลัมน์หนึ่ง ชื่อ “สันติปฏิวัติ”  โดยคุณ วิวัฒน์ชัย อัตถากร

ความต้องการ "การเปลี่ยนแปลง (Change)" จากสิ่งเก่าซึ่งเลวร้าย ไปสู่สิ่งใหม่ ที่ดีกว่า กำลังเป็น กระแสมาแรง ในหัวใจของเหล่า มวลมหาประชาชนไทย นับล้านๆ ที่ชูธง ปฏิรูป ประเทศไทย โดยประชาชน เพื่อประชาชนไทย ทั้งประเทศ อยู่ในขณะนี้

อันที่จริงสังคมมนุษย์ ย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลง สังคมที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เสมือน "น้ำนิ่ง" นานไป ก็จะเป็น "น้ำเน่า"กลายเป็นสังคม ที่ตายแล้ว ประเทศไทย เผชิญ หลายปัญหา ที่วิกฤติ กำลังเน่าเฟะ โดยเฉพาะ วิกฤติเศรษฐกิจ การเมืองไทย การเมืองไทย ตกอยู่ ภายใต้อิทธิพล และการครอบงำ ของทรราช ทุนสามานย์ อย่างไม่เคย มีมาก่อน รัฐสภา ซึ่งเป็นกลไกสำคัญ ในระบอบประชาธิปไตย ที่จะทำหน้าที่ ปกปัก รักษา อำนาจอธิปไตย ของปวงชนชาวไทย ทั้งแผ่นดิน กลับเป็นได้แค่ รัฐสภา

ประชาธิปไตยจอมปลอม เพราะถูกใช้เป็น สภาทาส -สภาขี้ข้า -สภาโจร ที่คอยลิดรอน และจำกัดสิทธิ และเสรีภาพ ของประชาชน ที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ พยายาม จะออกกฎหมาย ที่เป็นภัยคุกคาม ต่อความมั่นคง ทางเศรษฐกิจ –การเมือง –การทหาร อย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งการโกง ทุจริตคอร์รัปชัน ในรูปแบบต่างๆ ที่ลุกลาม ขยายตัว ออกไป จนติดอันดับ นานาชาติ นับวัน เป็นปัญหาใหญ่ มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น และ หนักหน่วงขึ้น อย่างไม่เคยมีมาก่อน ก็เกิดขึ้น ในรัฐบาลสมัยนี้ การที่นายกรัฐมนตรี และ ส.ส. พรรครัฐบาล และพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ยอมรับ คำวินิจฉัยตัดสิน ของศาล รัฐธรรมนูญ เท่ากับว่า รัฐบาลนี้ไม่ยอมรับ ไม่เคารพต่อกฎหมาย รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็น กฎหมายสูงสุด ในการปกครองประเทศ ทำให้รัฐบาลนี้ หมดความชอบธรรม ในการบริหาร ประเทศ เท่ากับเป็น รัฐบาลเถื่อน รัฐบาลกบฏ แม้บรรดาลิ่วล้อ ฝ่ายรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น ส.ส. พรรครัฐบาล และพรรคร่วมรัฐบาล รวมทั้ง ข้าราชการ ระดับสูง นักกฎหมาย นักวิชาการ ตลอดจน สื่อมวลชน และผู้นิยมชมชอบ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ จะพยายามปกปิด ไม่พูดถึง หลีกเลี่ยง ที่จะพูดถึง แก้ตัวให้กับ การที่รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ทำผิดกฎหมายเสียเอง อีกทั้งใช้อำนาจ บริหารประเทศ โดยมิชอบ ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่เคารพ กฎหมายสูงสุด ของประเทศก็ตาม ถึงกระนั้น ประชาชน ต่างก็รับรู้ เรื่องราวการทำผิดกฎหมาย และการกระทำ ใช้อำนาจ โดยมิชอบ เหล่านี้ ของรัฐบาล และเห็นเป็นที่ ประจักษ์ชัดแจ้ง อย่างเป็นรูปธรรม จึงต้องการ ให้มีการเปลี่ยนแปลง ปฏิรูปประเทศเสียใหม่ ให้ดีขึ้น แต่รัฐบาล กลับกอด ความเน่าเฟะ อย่างดักดาน กลายเป็นพวกต่อต้าน การเปลี่ยนแปลง ต้องการรักษา สถานภาพเดิม ที่เอื้อ ประโยชน์ให้ แก่ครอบครัว ตลอดจนญาติพี่น้อง ของตัวเอง และฝ่ายพรรคพวก รัฐบาล มิได้สนใจไยดี กับการที่ประชาชน จำนวนมาก ที่ลุกขึ้นมาชุมนุม เรียกร้อง ทั่วประเทศ ในแนวทาง อหิงสา สันติ ปราศจากอาวุธ ต่อต้านการกระทำ ที่ผิดกฎหมาย และ คิดมิชอบ ของรัฐบาล เรียกร้อง ขอให้มีการปฏิรูป ประเทศไทย

รัฐบาลพยายามถ่วงเวลาปฏิรูป เมื่อจนตรอก ถึงทางตัน จึงยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ ทันที เพื่อชิงความได้เปรียบ ในฐานะ รัฐบาลรักษาการ ควบคุมการเลือกตั้ง ฝ่ายมวลมหา ประชาชน ต้องการปฏิรูป ก่อนการเลือกตั้ง เพื่อให้เกิดกฎหมาย และกติกาที่โปร่งใส เที่ยงธรรม เมื่อมวลมหาประชาชน รู้สึกว่า รัฐบาลปราศจาก ความจริงใจ ในการแก้ไข วิกฤติ ของประเทศ ยิ่งทำให้ประชาชน ทั่วทุกสารทิศ ของประเทศ ออกมาร่วมชุมนุม แสดงพลัง ทางศีลธรรม มากเป็นประวัติการณ์ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้น ในประเทศไทย มาก่อน การชุม นุมต่อต้าน ของมวลมหาประชาชน ในนาม คณะกรรมการ ประชาชน เพื่อการเปลี่ยนแปลง ประเทศไทย ให้เป็นประชาธิปไตย ที่สมบูรณ์ อันมีพระมหา กษัตริย์ ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ภายใต้การนำของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ให้คำมั่น สัญญา ต่อหน้า มวลมหาประชาชนว่า จะไม่หวนกลับคืน สู่วงการเมืองอีก ต่อไป การหลั่งไหล ออกมาชุมนุม ไม่ขาดสาย ของมวลมหาประชาชน ทำ ให้ฝ่ายรัฐบาล หวาดวิตก เกรงว่า การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 นี้อาจเกิดขึ้นไม่ได้ จึงคิดแก้เกม โดยการจัดตั้ง สภาปฏิรูปประเทศขึ้น อย่างรวดเร็ว รวบรัด เพื่อชิงความได้เปรียบ อีกครั้งหนึ่ง โดยรัฐบาลกำหนด ให้มีคณะกรรมการ 11 คน จะเริ่มกระบวนการ สรรหา สมาชิกปฏิรูป อีกไม่กี่วันนี้ รักษาการนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ได้เคยตั้ง กรรมการปฏิรูป ในลักษณะนี้มา หลายคณะแล้ว แต่ก็ไม่เคยใส่ใจ ให้ความสำคัญเลย การตั้งสภาปฏิรูป ในครั้งนึ้ จึงเป็นปัญหา หาคนดีเข้าร่วมไม่ได้ เป็นที่น่าแปลกใจว่า รัฐบาล ซึ่งเป็น คู่ขัดแย้ง เสียเอง จะมาเป็นผู้เริ่มต้น ทำการปฏิรูปได้อย่างไร ยากที่จะมีผู้ขานรับ ยากที่จะสำเร็จ

แม้การชุมนุมของ มวลมหาประชาชน จะเป็นไปโดย ปราศจากอาวุธ อหิงสา สันติ ก็ไม่วายต้อง เผชิญกับ การถูกเรียกว่า "อันธพาลการเมือง" หรือ "พวกกบฏ" ที่ไม่เคารพ ระเบียบ กฎเกณฑ์ กฎหมายของบ้านเมือง ขัดขวางการทำงาน โดยปกติของรัฐ ซึ่งก็จริงอยู่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ประกาศ กลางที่ชุมนุมว่า ยินดีรับผิด พร้อมติดคุก ไม่หนี ออกนอกประเทศ อย่างไรก็ตาม น่าจะได้พิจารณา การกระทำ ของรัฐบาลกับ ส.ส. พรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาลกันบ้าง ในการออกกฎหมาย นิรโทษกรรม เสียบบัตร แทนกัน ไม่ยอมรับ คำตัดสิน ของศาลรัฐธรรมนูญ จำนำข้าว การกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ฯลฯ ในฐานะผู้ถืออำนาจรัฐ แทนปวงชนชาวไทย ที่ทำไปนั้น ยังมีความรับผิดชอบ ต่อประชาชน ต่อสังคม ต่อประเทศอีกหรือ เมื่อประชาชน ไม่ยอมรับรัฐบาล ที่ไม่มีความชอบธรรม ในการบริหารประเทศ มวลมหาประชาชน ออกมา ชุมนุมต่อต้าน นับล้านๆ รักษาการ นายกรัฐมนตรีหญิง ควรมีจริยธรรม ทางการเมือง แสดงความรับผิดชอบ ในฐานะ ผู้นำประเทศบ้าง แค่ป้ายหาเสียง เลือกตั้ง ครั้งนี้ เรียกร้อง ให้ประชาชน เคารพกฎหมาย แล้วทำไม ตัวรัฐบาลเอง จึงไม่เคารพ กฎหมาย คดีต่างๆ หากถูกตัดสิน ว่าผิด จะยอมติดคุก ในประเทศไทย หรือหนีไป ต่างประเทศ ก็ต้องรีบคิดเผื่อไว้เลย ในความจริง การชุมนุม โดยปราศจากอาวุธ อหิงสา สันติ ของมวลมหาประชาชน ต้องเผชิญกับ แก๊สน้ำตา กระสุนปลอม ปะปนกับ กระสุนจริง จนทำให้ ผู้ร่วมชุมนุม และตำรวจที่ช่วย ดูแลการชุมนุม ต้องเสียชีวิต และ มีผู้คนบาดเจ็บ ร่วมร้อย มวลประชาชน ต่อว่าต่อขานตำรวจ ที่เป็นกำลังหลัก ของรัฐบาล ในการควบ คุมฝูงชน แม้ฝ่ายตำรวจ จะปฏิเสธว่า ผู้ยิงประชาชน เป็นชายชุดดำ แต่ท้ายที่สุด ผู้บัญชาการตำรวจ ก็ออกมา ยอมรับเองว่า คนที่ยิงผู้ชุมนุม เสียชีวิต เป็นตำรวจจริง เจ้าหน้าที่รัฐ ทำเกินกว่าเหตุ ขัดต่อหลักสากล ช่วงนี้กลุ่มผู้ปกครอง กำลัง ต่อรองกันอย่างหนัก ในการหาทางออก มหาอำนาจ อาจเข้ามามีเอี่ยว เพราะมีผลประโยชน์ มากมายในไทย ฝรั่งพวกนี้ พอใจรัฐบาล แบบที่เป็นอยู่นี้ เพราะมีประโยชน์ร่วมกัน

13 มกราคม 2557 คาดว่ามวลมหาประชาชน จะพากันออกมาชุมนุมใหญ่ มืดฟ้ามัวดิน ปิดกรุงเทพฯ ปฏิบัติการ ยึดกรุงเทพฯ มีเวทีหลัก 7 เวที ทั่วกรุงเทพฯ กดดัน รัฐบาลรักษาการ นายกรัฐมนตรี และ รมว. กลาโหมรักษาการ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เรียกร้อง ให้เธอและรัฐบาล ลาออกทั้งชุด ประชาชน จะเป็นผู้กำหนด อนาคตของชาติเอง มีคนไทย จำนวนหนึ่ง ไม่พอใจ แสดงความคิดเห็น และห่วงใย ในการปิดกรุงเทพฯ จะทำให้ จราจรติดขัด เศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เสียหาย (พ่อท่าน ขอแวะหน่อยว่า รัฐบาลทำให้ เศรษฐกิจเสียหาย มากกว่าเรา และกับส่งเสริม การท่องเที่ยว อีกต่างหาก หาดูได้ยากนะ การประท้วง ที่วิเศษวิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ เลยทีเดียว มาเก็บภาพ เป็นที่ระลึกเลย คนเรามองไม่เห็น) แต่ก็มีคนไทย อีกจำนวนไม่น้อย ตั้งคำถามว่า เสียหายจาก การจำนำข้าว การกู้เงิน โครงการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท และการกู้เงินโครงการ โครงสร้างพื้นฐาน 2.2 ล้านล้านบาท เป็นเงินมากมาย มหาศาล ลูกหลาน ต้องเป็นหนี้ถึง 50 ปี ไม่เห็นออกมา แสดงความคิดเห็น และห่วงใยประเทศ กันบ้างเลย นี่ก็เป็นสีสันของ การแสดงออก ทางประชาธิปไตย อีกแบบหนึ่ง

วันนี้ทำเนียบรัฐบาล ว่างเปล่า ไร้เงานายกฯ เพราะมัวแต่ ตะลอนไปทั่ว หาที่เหมาะ ทำงานไม่ได้ เหมือนไม่มีรัฐบาลแล้ว อาจนำสู่ สุญญากาศ ทางอำนาจ จากการที่ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด และการเลือกตั้ง ไม่เกิดขึ้น เมื่อคนแดนไกล สั่งสู้เต็มที่ แพ้ไม่ได้ ไม่ลาออก ลากถูลู่ถูกัง เลือกตั้ง 2 ก.พ.57 ให้ได้ ยิ่งฝืนกระแส ยิ่งเจอแรงต้านหนัก จากประชาชน นับล้าน ถึงเลือกตั้งได้ ก็ไม่ได้บริหาร ถึงได้บริหาร ก็บริหารไม่ได้ เรื่องอาจจะยาก กว่าเดิม อีกด้วยซ้ำ

อย่าหลงเชื่อ แวดล้อมลิ่วล้อ นักกฎหมายและนักวิชาการ ที่แนะนำ ให้ใช้ความรุนแรง หากรัฐบาล สั่งฝ่ายถืออาวุธ ปราบปรามประชาชน คิดผิด พ่ายแพ้ประชาชน แน่นอน อย่าลุแก่อำนาจ จนเหลิง ทำผิดติดคุก การสั่งเข่นฆ่า ประชาชนผู้บริสุทธิ์ มือเปล่า ไม่มีอาวุธ หรือใช้มือที่สาม คนของรัฐ คนชุดดำ กองกำลังที่รัฐหนุน เคลื่อนเข้า ทำร้ายประชาชน นั่นคือ จุดจบของรัฐบาล ผู้นำทรราช หลายชาติในโลก ที่ฆ่าแกง ประชาชน ล้วนถูกนำตัว ขึ้นศาลอาญา ระหว่างประเทศ และถูกตัดสิน ประหารชีวิต ในที่สุด ทุกราย

13 มกราคม 2557 สำหรับมวลมหาประชาชน ที่ต้องการเปลี่ยนแปลง สังคมไทย ไปสู่สิ่งใหม่ ที่ดีกว่า คือ วันแห่งสันติปฏิวัติ (Peaceful Revolution) ครั้งยิ่งใหญ่ ในประวัติศาสตร์ การเมืองไทย มโนธรรมสำนึก แห่งความเป็นมนุษย์ ที่รู้จักแยกแยะ ผิด-ชอบ-ชั่วดี ของเสรีชนที่ ไม่ยอมจำนนต่อรัฐบาล ภายใต้อิทธิพล ทรราช ทุนสามานย์ จะมาหลอม รวมกัน เป็นพลังแห่งศีลธรรม เปลี่ยนแปลง ปฏิรูปสังคมไทย ให้เป็นสังคม ที่เป็นธรรม สร้างสันติสุข อย่างยั่งยืน สำหรับคนไทย ทุกคน และจะเป็น ปรากฏการณ์ พิเศษ ที่ทั่วโลก จับตามอง

สันติปฏิวัติ โมเดลการต่อสู้ทางการเมือง ภาคประชาชน ในแนวทาง อหิงสา สันติ มือเปล่า ไม่มีอาวุธ เรียกร้อง ความยุติธรรม ทางสังคม ความโปร่งใสสุจริต สำหรับ การเป็น ประชาธิปไตย ที่แท้จริง สามารถต่อต้าน รัฐเผด็จการทรราช รัฐบาลคอร์รัปชัน การออกกฎหมาย ฟอกผิดคนโกง การใช้อำนาจรัฐ ช่วยเหลือ ญาติผู้นำ ให้พ้นผิด การทำผิด จริยธรรม ทางการเมือง ของผู้นำรัฐบาล ซ้ำแล้วซ้ำอีก ดังนั้น สันติปฏิวัติ จึงต้องการ เปลี่ยนแปลง โครงสร้างการเมือง ให้หลุดพ้นจาก วงจรอุบาทว์ ทางการเมือง จะทำได้โดย การปฏิรูปประเทศ เชิงโครงสร้าง (Structural Reform) ดังที่ผมได้เขียน เสนอแนะ ในไทยโพสต์ (8 พ.ย.56 และ 19 ธ.ค.56)

สันติปฏิวัติ เป็นโมเดลระดับโลก มีตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริง และ ประสบความสำเร็จ หลายแห่ง เช่น มหาตมะ คานธี / มาร์ติน ลูเธอร์คิง จูเนียร์ / ดร.อัมเบดการ์ และอองซาน ซูจี เป็นต้น คราวนี้ ผมใคร่ยกตัวอย่าง สามชนชาติ ในแถบทะเลบอลติก ในยุโรปเหนือ ที่ผมมีโอกาส ไปเยือนคือ เอสโตเนีย – ลัตเวีย - ลิทัวเนีย มวลมหาประชาชน 3 ชาติ หลายล้านคน เดินขบวนปิดถนน ยาวเหยียด กว่า 600 กิโลเมตร โดยคล้องมือ ประสานกัน เป็นทิวแถว ยาวเหยียด สุดลูกหูลูกตา ร้องเพลงแห่งการปฏิวัติ (Singing Revolution) เสียงดังกระหึ่ม ปลุกใจ ผนึกพลังราวกับ โซ่คล้องใจ มัดกันแน่น ด้วยจุดมุ่งหมาย อุดมการณ์ เพื่อเสรีภาพ อันเดียวกัน ด้วยเจตนารมณ์ อันมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว มือเปล่า ไม่มีอาวุธ สามารถสยบรถถัง ทหารอาวุธครบมือของ "กองทัพแดง" กดดัน ชนชั้นปกครอง โซเวียต ซึ่งมีแสนยานุภาพ ทางทหาร ที่เหนือกว่า นับร้อย นับพันเท่า มวลมหาประชาชน ลุกขึ้นท้าทาย ด้วยจิตวิญญาณ แห่งการต่อสู้ อย่างเด็ดเดี่ยว ด้วยความกล้าหาญ ทางศีลธรรม ในแนวทาง "สันติปฏิวัติ" จนสามารถ เอาชนะ ได้รับอิสรภาพ ในปี ค.ศ.1991 โดยแยกตัวจาก โซเวียต ออกมาเป็น 3 ประเทศ ที่มีเอกราช อธิปไตย เป็นของตัวเอง ปลดแอกได้สำเร็จ อย่างงดงาม ไม่เสียเลือดเนื้อชีวิต ในวิถีทาง อหิงสา สันติ นับเป็นตัวอย่าง ของการปฏิวัติ ระดับโลกโดยมวลชน ด้วยพลานุภาพแห่ง เสียงเพลงสันติภาพ เสียงเพลงปลุกเร้า บาดลึก ตัดขั้วหัวใจ ทรราช คอมมิวนิสต์โซเวียต และปลุกจิตใจ อันทรงพลังของ อิสรชน ผู้ใฝ่หาเสรีภาพ และ สันติภาพ การร่วมชะตากรรม เดียวกัน ในการต่อสู้ เพื่อเอกราช ทำให้ประเทศ ทั้งสาม มีความสัมพันธ์ ที่ดีต่อกัน แม้ชาติทั้งสาม จะเป็นประเทศเล็ก แต่ก็มีเอกลักษณ์ โดดเด่น ในศิลปวัฒนธรรม ภาษาและประวัติศาสตร์ รักชาติรักแผ่นดิน อันเข้มข้น พวกเขา มีพื้นฐาน ความเชื่อ เลื่อมใสศรัทธา ในศาสนาคริสต์ เป็นอย่างมาก เช่นอย่างอดีต สันตะปาปา จอห์นปอล เคยเสด็จไป "ทุ่งไม้กางเขน" (Hill of Crosses) นับแสน นับล้านอัน ที่ประเทศลิทัวเนีย ที่นี่จึงเป็นอีกแห่งหนึ่ง ที่คริสต์ศาสนิกชน อยากไปเยือน เพื่อเป็นศิริมงคล แก่ตัวเอง สักครั้งหนึ่ง ในชีวิต

ความขัดแย้งระหว่าง รัฐไทยกับประชาชน ใกล้ถึงจุดแตกหัก รัฐบาลภายใต้ ทรราช ทุนสามานย์ ทำทุกทาง เพื่อรักษาอำนาจ อย่างขาดมโนธรรมสำนึก ไร้จริยธรรม และ ศีลธรรม รัฐบาลใช้ ระบอบการปกครอง ที่ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรม 2 ด้าน ได้แก่ ระบอบ ประชาธิปไตยจอมปลอม และระบบ ทุนนิยมสามานย์ มีลักษณะสำคัญคือ การรวบอำนาจ โดยคนกลุ่มน้อย นายทุนใหญ่ นักธุรกิจการเมือง บางตระกูล ครอบงำ ควบคุมประเทศไทย โดยระบอบทรราช ทุนสา มานย์มา 12 ปีแล้ว นายทุนใหญ่ ใช้โมเดล ธุรกิจการเมือง ผูกขาด ทำการสะสมทุน ขยายอำนาจการเมือง แทรกแซง ทุกองคาพยพ เพื่อกุมอำนาจได้เบ็ดเสร็จ สร้างค่านิยม แบบผิดๆ "รวยด้วยการโกงชาติ แล้วเอามาแบ่งกันกิน" ในรูปคอร์รัปชัน เชิงนโยบาย ในรูปผลประโยชน์ ทับซ้อน เข้าสู่อำนาจ ด้วยการซื้อเสียง โกงการเลือกตั้ง ออกกฎหมาย ปล้นทรัพยากรแผ่นดิน ผ่านเมกะโปรเจ็กต์ โครงการประชานิยม ธุรกิจพลังงาน ซื้อนักการเมือง – ข้าราชการ ระดับสูง ฝ่ายยุติธรรมบางคน - สื่อสารมวลชนบางส่วน ปัญหาโกงการเลือกตั้ง และ การทุจริต คอร์รัปชัน ทำลายความมั่นคง ทางเศรษฐกิจ และการเมือง เมื่อความลับ อันชั่วร้าย ถูกเปิดโปง ประชาชนได้รับยกระดับ การเรียนรู้ เคลื่อนไหวคัดค้าน ความไม่ถูกต้อง มีวิวัฒนาการต่อเนื่อง เป็นลำดับ

ก่อนที่ประชาชนไทย ผู้รักความเป็นธรรม ทั่วทุกสารทิศ ทุกอาชีพ ทุกเพศ ทุกวัย ทุกสถานภาพ ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา จะออกมา ร่วมชุมนุม ต่อต้านรัฐบาล ด้วยมือเปล่า ปราศจากอาวุธ อหิงสา สันติ อย่างต่อเนื่อง จะเติบใหญ่ กลายมาเป็น มวลมหาประชาชน ในวันนี้ นับเป็น คุณูปการสำคัญ ของพันธมิตร ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ภายใต้การนำของ "สนธิ ลิ้มทองกุล" และ "พลตรีจำลอง ศรีเมือง" ที่จุดเทียนทางปัญญา เล่มแรก เมื่อ 8 ปีก่อน โดยมี "สมณะโพธิรักษ์" แห่งสันติอโศก และกองทัพธรรม เป็นกัลยาณมิตร ร่วมรบเคียงข้าง ในลักษณะฝาแฝดแห่ง ขบวนสันติปฏิวัติ สะสมชัยชนะ รายทาง จนมีเครือข่าย ทุกจังหวัด ทั่วประเทศไทย และ ตามเมืองใหญ่ หลายเมือง ในต่างประเทศ ทั่วโลก ขบวนสันติปฏิวัติ ในประเทศไทย ถือเป็นประวัติศาสตร์ การต่อสู้ ทางการเมือง ภาคประชาชน ที่ไม่ยอมก้มหัว ให้กับความไม่ถูกต้อง แสดงออกถึง มโนธรรมสำนึก ของประชาชน ที่มีความรับผิดชอบ ทางศีลธรรม ต่อสังคม และกล้าหาญต่อกรกับ ทรราชปล้นแผ่นดิน เป็นที่ประจักษ์ ทั้งสองเวที กลายเป็น แรงบันดาลใจ ให้นักศึกษา และประชาชน หลากหลายอาชีพ ที่รักเสรีภาพ และ ประชาธิปไตย รักความเป็นธรรม และความเป็นไท ทุกหมู่เหล่า ได้ร่วมแรงร่วมใจ ร่วมจิตวิญญาณ จัดตั้งเวทีประชาชน ขึ้นมาหลายเวที แม้จะถูกคุกคาม ข่มขู่ ปราบปราม ไล่ล่า เอาชีวิตมาแล้ว บางเวทีอาจรามือไปบ้าง ด้วยเงื่อนไข และข้อจำกัด ตามความเป็นจริง แต่กระนั้น เวทีของเครือข่าย นักศึกษาประชาชน ปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ซึ่งนำโดย นายอุทัย ยอดมณี นักศึกษา มหาวิทยาลัย รามคำแหง มีทนายนิติธร ล้ำเหลือ เป็นที่ปรึกษา ยังปักหลัก เป็นหัวหอก ในการต่อสู้ โดยยึดหลัก อหิงสา สันติ มือเปล่า ปราศจากอาวุธ จนถึงวันนี้ เวทีต่างๆ ได้หลอมรวมเป็นเวที กปปส. โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นตัวแทน ผนึกกำลังเป็น มวลมหาประชาชน ร่วมต่อสู้ โค่นล้มทรราช ทุนสามานย์

สันติปฏิวัติ จะประสบความสำเร็จ ด้วยธรรมแห่งอหิงสา สันติในหัวใจ ที่มนุษย์ มีนโนธรรมสำนึก ความรับผิดชอบ ทางศีลธรรม คำนึงถึงเป้าหมาย เพื่อประโยชน์ ส่วนรวม หรือประโยชน์ สาธารณะล้วนๆ ไม่มีประโยชน์ส่วนตนใดๆ แอบแฝง หัวใจสำคัญของ ขบวนการ สันติปฏิวัติ ต้องยึดหลัก เคลื่อนไหว โดยปราศจากอาวุธ ไม่ใช้ความรุนแรง อหิงสา สันติ สงบเย็น ไม่อาฆาตพยาบาท ดำเนินการ เป็นไปอย่าง มีสามัคคีธรรม และวินัยกลุ่ม ผู้นำต้องมีภาวะ ความเป็นผู้นำ ผู้ตามต้องมีจิตใจ มั่นคง หนักแน่น ไม่วอกแวก ทุกคนต้อง ร่วมขบวนการ ด้วยความเสียสละ กล้าหาญ บากบั่น อดทน จนกว่าจะชนะ

ด้วยพลานุภาพแห่ง พลังทางศีลธรรม ด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ เพื่อประโยชน์ สาธารณะ ล้วนๆ พระสยามเทวาธิราช และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ย่อมคุ้มครอง ผู้ปฏิบัติธรรม สามารถสร้าง ปาฏิหาริย์แห่ง สันติปฏิวัติ ธรรมย่อมชนะอธรรม มวลมหาประชาชน จะได้รับชัยชนะ อย่างแน่นอน.

        พ่อครูต่อว่า.. ซึ่งบทความนี้ เป็นบทความที่เขียนไว้ดี

เรามาต่อที่ บทคอลัมน์ ถูกทุกข้อ ของคุณอัตต์ อัตนัย

“ลัทธิอสูร (ระบอบทักษิณ)” แพ้แล้ว!!!

ดิฉันเป็นเพียงหนึ่งใน “มวลมหาประชาชน” เท่านั้น ไม่ใช่นักวิเคราะห์ -ไม่ใช่สื่อ แต่พิเคราะห์ จากเหตุการณ์ ที่รับทราบเท่านั้น สะท้อนให้พิจารณา พอสังเขป ดังนี้

1) บทที่นักยุทธศาสตร์ของลัทธิอสูร (ระบอบทักษิณ) คงตีบตัน -และไม่มีทางไป (No Way Out) จึงออกมา ในลักษณะตลกมากๆ ถ้าไม่บ้า... ก็คงคิดพล็อตนี้ไม่ได้... แต่ก็มีอานิสงส์ คือ ถ้าถูกตำรวจรังแก... ก็ถามว่า “เป็นตำรวจปลอมหรือ???” เพราะตำรวจ ที่รังแกเราอยู่... อาจเป็นโจรที่ขโมยชุดตำรวจ มาก็ได้!!!

2) Bangkok-Shutdown ลุงกำนัน บอกล่วงหน้าถึง 12 วัน จึงวางแผนผละ -ลางาน มาร่วมกิจกรรม ได้อย่างปลอดโปร่ง...... การตั้งรับจากลัทธิอสูร ไม่เป็นกระบวนแล้ว การใช้บริการ อันธพาล (ทั้งโจรในเครื่องแบบ และเสื้อแดงอันธพาล) และพยายาม จะตั้ง ศอฉ. เพื่อหยุดมวลชน กองทัพนกหวีด นับเป็นยุทธศาสตร์ ที่ผิดพลาด อย่างมหันต์ เพราะเป็นตัวเร่ง (catalysts) ชั้นดีเยี่ยมให้ “มวลมหาประชาชน” มีจำนวนมากขึ้น นับเป็น ปฏิกิริยาลูกโซ่ ทางสังคม ซึ่งจะได้ พลังมหาศาล (Fission Reaction, Fusion Reaction)...... ก็ดี ลัทธิอสูร (ระบอบทักษิณ) จะได้ลงเหว เร็วขึ้น.... อาจารย์มีชัย ใช้คำว่า “เล่นกับความแค้น ของประชาชน”

3) เพียง 2 เดือนกว่า ปลุกมวลชนได้ขนาดนี้ ก็เพราะคนไทย ส่วนใหญ่ รอมานาน พอลุง กำนัน มานำ คนมหาศาล ตามเลย แถมแผนปฏิบัติการ ของระบอบทักษิณ ที่มาจาก War room เดียวกัน ก็ทำให้ผิดทาง ไปเรื่อยๆ และจะลงเหวลึก ในไม่ช้า เพราะการตั้ง สมการผิด และแทนค่าด้วย ตัวแปรที่ผิดอีก ผลลัพธ์ก็เป็นเช่นนี้ ก็ต้องโทษ นักยุทธศาสตร์ ตกยุค –นักวิชาการ กำมะลอสีแดง และสื่อซองขาว ... และความมั่นใจ ในองคาพยพ ของลัทธิอสูรว่า มีความสามารถ ในการควบคุม –คุกคาม ประชาชนไทย ได้อย่างสมบูรณ์

4) มวลชนกองทัพนกหวีด มีพลัง-เป้าหมาย ชัดเจน และถือเป็น ”หน้าที่” แถมเติม ข้อมูลจาก วิทยากรขั้นเทพ –กล่อมอารมณ์ ด้วยศิลปินชั้นเยี่ยม เปรียบเหมือน นักรบชั้นดี อยู่ได้เป็นปี... ขอให้ลัทธิอสูร (ระบอบทักษิณ) สูญสิ้นเป็นพอ ในขณะที่เสื้อแดง ที่จะเกณฑ์มา ก็เป็นรายได้พิเศษ ของคนชนบท เท่านั้น แต่ให้เขามาเป็นอันธพาล เขาไม่มาหรอก!!!! และพวกเขาเข็ด ที่ถูกขังไว้ที่ สนามราชมังคลา –ในวันที่เสื้อแดง อันธพาล ไปคุกคาม - ฆาตกรรมนักศึกษา รามคำแหง

5) “มวลมหาประชาชน” ไม่ใช่ม็อบคนใต้ –ไม่ใช่ม็อบประชาธิปัตย์ -ไม่ใช่ม็อบขี้อิจฉา แต่มาจาก ทุกภาค -ทุกอาชีพ สรุปว่าทั้งประเทศ ล้วนเดียดฉันท์ พวกอสูรร้าย ทั้งสิ้น ดังนั้น การสร้างภาพว่าคนเหนือ -คนอีสาน รักลัทธิอสูร (ระบอบทักษิณ) นั้น... ผิดไปแล้ว ภาพที่ได้... นึกไม่ออกว่า จะเป็นเช่นใด!!!

6) รูปนายกฯ โบท็อก ที่ติดทั่วประเทศ เป็นสิ่งเร้า –จุดตัดสินใจ ให้มาเป็นหนึ่งใน “มวลมหาประชาชน”

7) อสูรร้ายที่วิปลาส แสดงออกว่า “มีความสุขเหลือเกิน” (แต่ริ้วรอยลึกมาก เท่ากับ คนอายุ ร้อยกว่าปี) เป็นการปกปิด ความฟุ้งซ่าน คงรู้ว่า ทางเลือกนั้น ไม่มีแล้ว... ซึ่งหมายถึง การหมดอำนาจแล้ว เพราะนักปราชญ์ กล่าวไว้ว่า “อำนาจสูงสุด ที่มนุษย์พึงมี คืออำนาจในการเลือก” ไม่สามารถที่จะเลือก อะไรได้แล้ว ก็อนุมานได้ว่า หมดสิ้น อำนาจแล้ว... รอเวลาจับลงหม้อ แล้วนำไปถ่วงน้ำ เท่านั้น

ลองพิจารณาจาก การเดินลองมาร์ช แบบไทยๆ ซึ่งจะเริ่มขึ้น แนวร่วมมหาศาล เป็นภาพ ประชาชน จ้างลุงกำนัน... จึงแพ้ไม่ได้เด็ดขาด... ถ้าอสูรร้าย ยังหน้าด้านอยู่ พวกเราเข้าใจ ในความยาก ของการไล่ ทรราชหน้าด้าน... และรู้หน้าที่ว่า ต้องร่วมใจกัน ณ เวลานี้ เห็นตรงกันว่า Now or Never ........ แม้ว่า ข่าวลือ (Rumor) จะมากมาย และดูเหมือน มาจาก War room เดียวกัน แม้ว่าจะมาจาก หลายแหล่ง

ถ้าขจัดลัทธิอสูร (ระบอบทักษิณ) ออกไปได้แล้ว นักวิชาการ กำมะลอสีแดง และ สื่อซองขาว จะมีชีวิตต่อ อย่างไร???... แต่ก็เป็นกรรม และอวสาน ของผีโม่แป้ง

อสูรร้ายเคยบอกว่า  “เรียนประวัติศาสตร์ไปทำไม?? ไม่ได้เงิน”...... แล้วเป็น อย่างไรล่ะ!!! ประวัติศาสตร์  แห่งความพ่ายแพ้ ของทรราช ก็เหมือนๆ กัน ...... สมน้ำหน้า

“ถ้าขจัดลัทธิอสูร (ระบอบทักษิณ) ออกไปได้ ต้องให้เครดิต คนใต้-คนกรุงเทพฯ ซึ่งมีความมุ่งมั่น และอดทน” คนภาคอื่นๆ จะได้อานิสงส์ เมื่อหู-ตาสว่างขึ้น เสื้อแดง ก็จะสลายไป แล้วเราจะได้นำเสื้อสีแดง มาใส่อีกครั้ง!!!

                                       จึงเรียนมาเพื่อพิจารณา
                                 ศิริวรรณ หาญไพบูลย์

        คุณอัตต์ เขาก็ตอบว่า  ตามนั้น ชัดเจนครับ ที่สำคัญ มวลมหาประชาชน แม้ส่วนใหญ่ จะเป็นคนกรุงเทพฯ คนใต้เป็นกำลังหลัก แต่คนภาคอื่น ก็มีไม่น้อย เอาเป็นว่า หากมีชัย ก็เป็นชัยของ ประชาชนครับ

 

---------------

ต่อด้วยกวี

              กู คือ กบฏโว้ย!
           "มหาโจร" ต้องโทษลี้        หนีทัณฑ์
           เร่ร่อนอยู่นอกเขตขัณฑ์         ประเทศแก้ว
           ใช้เงินบาปรวยมหันต์            ซื้อพวก บาปเวร
           ขึ้นตั่งนั่งเมืองจะแจ้ว              เถื่อนชี้สั่งการ
           มหาโจรสวมสู่เข้า              นาม "รัฐบาล"
           เชิดชื่อราวเปลือกตระการ       เพริศแพร้ว
           ให้อีเซ่อ "เสฉวน" คลาน        เข้าเปลือก
           โอ่อ่าคุมอำนาจแกล้ว             ข้ารัฐฯ ค้อมยอมเฉ
           ฤๅ สมยอมหมายลาภล้น      ยศฐา
           ฤๅ ขลาดกลัวอำนาจหมา        ดุบ้า
           ฤๅ วางปล่อยตามชะตา            กรรมชั่ว
           สุดแต่โจรเหลี่ยมหยาบช้า        ฆ่าปล้นชาติยับเยิน
           ปวงประชาถูกฆ่าสิ้น           เสรี
           ศักดิ์ชาติทรัพย์ธรณี                  ถูกฆ่าเกลี้ยง
           ส่งเสียงแหบขอผู้มี                  อำนาจช่วย
           สลดอำนาจรัฐกลับเดี้ยง           สยบร้ายยอมสถุล
           มหาโจรเหิมห่ามห้าว           นรกลาม
           ยีย่ำประชาในนาม                   รัฐฯ เลิศแพร้ว
           โจรใช้กฎหมายคุกคาม            ราษฎร์พิสุทธิ์
           ถึงที่สุด สุดอดแล้ว                  ราษฎร์พร้อมกบฏโจร
           กบฏ ก็ กบฏ ซิโว้ย               จักเป็นไร ใส่ความ
           กบฏต่ออธรรมเภทภัย              ชั่วช้า
           ความดีจักยอมชั่วไฉน             กลางครึ่ง
           ดีย่อมสู้ชั่วบาปบ้า                   สุดรู้ให้ชัดเจน
                               วรฤทธิ์ ฤทธาคนี

 

        เติมเรื่องธรรมะอีกนิด ว่า ธรรมะย่อมชนะอธรรม พวกอธรรมนี่ มันคะนอง อาตมาว่า พวกธรรมะ จะมากกว่าอธรรมนะ เพราะว่า ธรรมดาสามัญ คนไม่อยาก ชั่วหรอก ถ้าคนมีธรรมะ ไม่ตื่นตัวออกมา ช่วยสังคม เอาแต่เงียบ เอาแต่เก็บตัว ไม่เสียสละบ้าง ก็ต้องยาก ไปไม่รอด ทั้งที่อาตมาเชื่อว่า คนมีธรรมะ มากกว่า คนไม่มีธรรมะ คนจะรู้สัจธรรม ความถูกต้อง มีมากกว่า แต่เพราะ ความเห็นแก่ตัว ความไม่กตัญญู ต่อสังคม ประเทศชาติ ทั้งที่เรามีชีวิต อาศัยประเทศชาติ คุณไม่ได้หน ีไปอยู่ ป่าเขาถ้ำ รู้ๆอยู่ แต่เห็นแก่ตัว ก็ให้วางหน่อย ออกมาช่วย ประเทศชาตินะ

        มันยากตรงที่ว่า มันด้านจริงๆ ผิดอย่างไร ก็ไม่ยอม หน้าด้านหน้าทน ถึงมีคณะ ที่ใช้อำนาจ บาตรใหญ่ ไปกดขี่ทำร้าย ที่เป็นมา ต้องใช้อย่างนั้น แต่เราจะใช้อำนาจ ที่ไม่ไปกดดัน คนหน้าด้าน เขาก็ไม่กลัว จะด่าว่าประจาน แต่ว่าจะโด้ซะอย่าง ก็เลย โด้อยู่อย่างนั้น จึงต้องอาศัย มวลประชาชนที่ ถ้ามากพอ จึงมีฤทธิ์ มากขนาดนี้ ยังโด้อยู่ได้

        ลองดูซิว่า วันที่ ๑๓ มค. นี้ ออกมาช่วยกันบ้าง ไม่อย่างนั้น จะอีกนาน แสนนาน ประเทศชาติ เสียหาย ล่มจมหนักแล้ว ก็ให้สติเตือนไปบ้าง ก็ต้องขอบคุณ ทุกคนเลย ที่เสียสละ ที่จะมาทำหน้าที่นี้ อาตมาก็พยายาม สร้างคนทางชาวอโศก ที่อาตมา เจตนาสร้าง ให้เป็นคน ชนิดนี้ มาลดกิเลส โดยแท้จริง แบบพระพุทธเจ้า จะไม่หนีสังคม แต่จะช่วยสังคม มันหนีไม่พ้น ผู้ศึกษาธรรมะ พระพุทธเจ้า สัมมาทิฏฐิ กิเลสลดจริง ก็จะเป็นประโยชน์ ต่อมวลมนุษยชาติ พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่ชน เป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุข ของหมู่ชน เป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก)

        เราทำมา ก็ได้คนมาช่วยประเทศชาติ และตอนนี้ ก็เห็นผลว่า มันขยายผล จากที่เราทำ คนมีปัญญา ก็รู้ได้เห็นได้ สะดุดใจ ออกมาๆกัน ก็เป็นนิมิตดี เป็นเรื่องดี ของสังคม ประเทศชาติ จะได้กอบกู้ สิ่งที่ทุกข์ทรมาน ถ้าคราวนี้ สามารถชนะได้ มั่นใจว่า การเมืองไทย หลังจากปฏิวัติ ปี ๒๔๗๕ มา ปาเข้าไป ๘๐ กว่าปี ถ้าคราวนี้ สำเร็จ เชื่อว่าการเมืองไทย จะเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ

        เพราะคนดี กำลังรอจังหวะง านนี้จะชนะ แล้วเชื่อว่า หลังชนะ คนดีจะมา รวมตัวกัน กลัวอย่างเดียว ว่า คนดีจะมาทะเลาะกัน แย่งชิงกัน ก็ขอปรามว่า กรุณา อย่าให้เกิด กรณีอย่างนั้นเลย ขอให้มาร่วมอย่างอ่อนน้อม ถ่อมตน ลดตัว ลดตน อย่ามากร่าง เรายอมรับ ความรู้ ความสามารถ แต่ถ้ากิเลสแรง ไปทำก็ไม่ค่อยดี แม้ความรู้ สามารถมาก แต่อัตตา ตัวตนสูง ก็ยาก

        และที่สำคัญ คนมีกิเลส อัตตาตัวตนหนา มันไม่บริสุทธิ์หรอก ทำอย่างไร กิเลสที่แฝง ก็จะออกมา มันฉลาด และพาทำชั่ว ทำเลวก็ได้ ฉลาดทำดีก็ได้ อย่างที่เขาทำ ฉลาดนะ แต่ชั่วและเลว เราต้องยอมรับว่า ฉลาดจริงๆ หรือฉลาดฉิบหายจริงๆ ตนและสังคม ฉิบหาย

        ความฉลาดนี้ดี แต่ถ้ากิเลสมากๆ บางทีก็ยาก ก็ขอช่วยกันนะ พยายาม อาตมา ก็พูดไป จะได้ไม่ได้ แค่ไหน ก็พูดไป อย่างที่เห็นควร อย่างคุณสุเทพนี่ ประกาศเลยว่า ชนะแล้ว ก็ขอไม่รับอะไร ชนะแล้ว ขึ้นบัลลังก์ไปเลย ไม่มีอะไร ยิ่งใหญ่กว่านี้แล้ว คนเรามีวิบาก หลายอย่าง อย่างที่คุณสุเทพว่า ทำงานนี้ เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ไม่รู้ว่างานนี้ ขายที่ มาทำนี่ จะหมดตัวไหมนะ หรือเป็นหนี้ก็ไม่รู้ ถ้าอย่างไร ลูกหลาน ก็ช่วยกัน ไอ้ที่จริง รับจากที่บริจาคนี่ ได้ครั้งละ ๑ ถึง ๒ ล้าน ก็แค่นั้น ความจริงนั้น อาตมา ก็ไม่รู้ชัดหรอก แต่เกินกว่า ที่จะพูดน่ะ

        เขาดีใจได้แบงค์ ๒๐ มากกว่า แบ็งค์พันนะ มันเป็นเรื่องของน้ำใจ

        อาตมาจะเล่าเรื่องให้ฟังว่า ก่อนนี้ตอนหนุ่ม อาตมามาทำงาน ในกทม. วันหนึ่ง ก็ไปได้ข่าวว่า คนใช้เก่า ตั้งแต่รุ่นแม่ ที่เคยเลี้ยง อาตมาและน้องมา เขาก็ว่าจะมา เราก็ไปตามเจอ เราเรียกว่า พี่ กัน แม้เป็นคนใช้ ชื่อ “อิ่ม” เคยเลี้ยงดูกันมา พอเจอกัน ก็ดีใจมาก ไม่เจอกัน หลายสิบปี เสร็จแล้ว ก็จะกลับ เขาก็ควักสตังค์ ๕ บาท ออกมา ใส่มือน้องสาว แล้วน้องสาว เขาก็จะไม่รับ แค่ ๕ บาท ทำท่าที จะไม่รับ เหมือนรังเกียจ อาตมาเห็นท่าที ก็ต้องรีบปราม น้องสาวทันที ว่า นี่ไม่ใช่เงินนะ นี่วิญญาณสดๆ เลือดสด ของพี่อิ่มเขานะ ต้องรับอย่างนอบน้อมนะ ๑ เขาเป็นคนใช้ ๒ เงินมันน้อยด้วย ทำให้เกิดจิตไม่ดี ด้วย

        ลักษณะอย่างนี้ คุณสุเทพได้รับแบงค์ ๒๐ บาท เป็นเรื่องจิตวิญญาณ ...

จบ     
  

 
๗ มกราคม ๒๕๕๗ ที่ เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ กทม.