570111_พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ที่มัฆวานฯ
เรื่อง มวลมหาประชาชนปรากฏการณ์ใหม่

        วันนี้วันที่ ๑๑ ก็เริ่มคึกคัก เดี๋ยววันพรุ่งนี้ ก็ยิ่งสุกดิบ คึกคักมากขึ้น แต่ยังไง ก็แล้วแต่ทุกอย่าง สุภาษิตจีนว่าไว้ ว่างานเลี้ยง ต้องมีวันเลิกรา เรากำลังตกอยู่ในภาวะ มางานเลี้ยงกัน ไม่ได้เป็นเรื่องทรมาน ทรกรรมอะไร ในความเป็นอยู่ ของชีวิต ที่เดือดร้อน ด้วยการบริหารปกครอง ที่ไม่เอาไหน แถมทุจริต ก็เลยยิ่งแย่

        การต่อสู้ก็มาเรื่อยๆ ประชาชนได้ต่อสู้มา ตั้งแต่พศ.๒๕๔๙ เริ่มมาเรื่อยๆๆ เป็นจังหวะ ประชาชน เริ่มรับรู้ตื่นรู้ มาเรื่อย จนมาถึงวันนี้ ก็ออกผลแล้ว ครั้งนี้ เป็นปรากฏการณ์ ที่ชัดเจนของประชาชน ตื่นรู้ว่า ตนเป็นเจ้าของอำนาจ รู้ว่าตนมีสิทธิ์ เต็มๆ ทุกคนมี ๑ คน ๑ เสียง เราก็ออกมา ล้านคนล้านเสียง หลายล้านคน หลายล้านเสียง

        เขาก็บอกว่า เขาก็มี ๑ คน ๑ เสียง แต่ว่าแค่ออกมา เลือกผู้แทน เลือกตัวแทน เลือกตั้ง ตัวแทน ๑ คน ๑ เสียง แต่ของเรา ๑ เสียงสดๆ นับไปเลย ๑ คนเต็มๆ ฉันนี่แหละ เจ้าของ อธิปไตยเลย ไม่ได้เลือกใคร ไปเป็นตัวแทน เพื่อยืนยันว่า เรามาทำหน้าที่ประท้วง คุณทำผิด คุณออกไป ไม่ให้ทำอย่างนี้ในไทย พอที พอแล้ว ใช้ไม่ได้ เรามาทำหน้าที่ ตามรธน.นี้

        ๑ คน ๑ เสียง ใช้ศัพท์เดียวกันนะ ต้องรู้นัยละเอียด ที่ต่างกัน ๑ คน ๑ เสียง ของพวกเรา ที่เห็นชัดคือ เราภาคภูมิใจว่า พวกเราไม่ได้ถูกซื้อ หรือ ครอบงำความคิด เราใช้ความรู้ ปัญญา เข้าใจ ออกมาเลย ไม่มีใครบังคับ หลอกล่อ แต่เราเข้าใจว่า ต้องออกมา เป็นเสรีภาพ ไม่มีใครครอบงำ แต่ของเขา จะมีผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อำเภอ ให้ออกมา และเห็นใจ ข้าราชการตำรวจ ที่อึดอัด จนยิงตัวตาย แต่เคราะห์ดี มีคนเห็น ช่วยได้ทัน ยิงพลาดหัวใจไป ซึ่งไม่ใช่โชคดี แต่เป็นเคราะห์ดีต่างหาก ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ดี เราใช้เคราะห์ แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ดี เราเรียกโชค

        สุเทพ เทือกสุบรรณ คว้าบุคคลแห่งปี ของเอเชีย ประจำปี 2013 ด้วยผลโหวต 116,000 เสียง ตามมาด้วย มาลาลา ยูซุฟไซ เด็กสาววัย 16  ปีชาวปากีสถาน หลังจาก เว็บไซต์ http://asiasociety.org  เปิดให้บุคคลทั่วไป โหวตเลือก บุคคลแห่งปี ของเอเชีย ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2556 ล่าสุด 10 มกราคม 2557 เมื่อมีการปิด การลงคะแนน ผลปรากฏว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตนักการเมือง จากประเทศไทย ในฐานะ แกนนำ คณะกรรมการ ประชาชน เพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ให้เป็น ประชาธิปไตย ที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุข (กปปส.) มีผลคะแนนโหวต 116,000 เสียง หรือคิดเป็น 88% ยกให้เป็น บุคคลแห่งปี ของเอเชีย ประจำปี 2013  ตามมาด้วย มาลาลา ยูซุฟไซ (Malala Yousafzai) เด็กสาววัย 16  ปีชาวปากีสถาน  ซึ่งรณรงค์ต่อสู้ เพื่อสิทธิการศึกษา ของเด็กผู้หญิง ในปากีสถาน ได้รับผลโหวต ตามมา ลำดับที่ 2 ด้วยคะแนน 12,000 เสียง หรือคิดเป็น 9%

        และมีบทความ
ปรากฏการณ์ "สุเทพ ฟีเวอร์" ศ.วิฑูรย์ อึ้งประพันธ์

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ถ้าใครได้ติดตาม การเดินเชื้อเชิญ ชาวกรุงเทพฯ ของคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เพื่อขอความร่วมมือ ในการปิดเมือง กรุงเทพฯ (Shutdown Bangkok) จะพบปรากฏการณ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ ที่ไม่มีใครคาดฝัน หรือเคยคิดว่า มันจะเกิดขึ้นได้ มาก่อนเลย นั่นคือ "สุเทพ ฟีเวอร์" หรือการที่คน ทุกเพศทุกวัย พากัน นิยมชมชอบ ในตัวคุณสุเทพ อย่างคลั่งไคล้ โดยเฉพาะ ปฏิกิริยาของ คนวัยหนุ่มสาว (คำว่าฟีเวอร์ fever ภาษาอังกฤษ แปลว่า เป็นไข้ หรือตัวร้อนเป็นไข้ แต่พ่อครูแปลว่า ความชื่มชมคลั่งไคล้) ปรากฎการณ์ดังกล่าว แสดงให้เห็น ความสนใจ ทางการเมือง ของคนหนุ่มสาว การที่คนเหล่านั้น ให้ความสนใจ ในตัวคุณสุเทพ ในระดับคลั่งไคล้
ผมคิดว่า คนเหล่านั้น ไม่ได้หลงไหล คุณสุเทพ ในความหล่อ หรือความเด็ดเดี่ยว ในการเป็น ผู้นำของเขา หากแต่หลงใหล คุณสุเทพ จากการอภิปราย หรือ (ด่ารัฐบาล และ พรรคพวกรัฐบาล) ได้ใจมากกว่า ความจริง คนเหล่านั้น เมื่อก่อน อาจจะถูกเรียกว่า 'ไทยเฉย' หรือพวกสายลม แสงแดด มาก่อน แต่คุณสุเทพ ได้ใช้วาทะ ปลุกคนเหล่านั้น ขึ้นมา จนเกิดกระแสตอบรับ และเห็นอันตราย จากการเมือง ในอดีต ได้ชัดขึ้น

ผมจึงตั้งทฤษฎีว่า ปรากฏการณ์มวลมหาประชาชน ที่เกิดขึ้น อย่างไม่มีใคร เคยเห็น มาก่อนเลย ในชีวิต (อาจกล่าวว่า ในรอบร้อยปีก็ได้) เหตุการณ์ทางสังคม ที่เกิดขึ้น ในช่วงเปลี่ยนแปลง การปกครองของเรา ก็ต้องนับเป็นครั้งแรก)

ผมอธิบายปรากฎการณ์ว่า เป็นปรากฎการณ์ จุดระเบิดขึ้นจาก ปฏิกิริยากดทับ จนเกิด การเพิ่มอุณหภูมิ ถึงจุดระเบิด แล้วเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ ของพลังงานปรมาณู ตามมา เป็นระยะๆ ดังนั้น จึงปรากฎว่า การนัดรวมพล แต่ละครั้ง จึงมีแต่มวลมหา ประชาชน มากกว่าเดิม ทุกครั้ง แทนที่จะเกิด การฝ่อลง ดังที่ฝ่ายรัฐบาล เคยประมาทไว้

การเปิดปฏิกิริยาลูกโซ่ ดังกล่าว เป็นการเพิ่มพูนความเข้าใจ และความสนใจ ในทางการเมือง ในระบอบ ประชาธิปไตย ที่เป็นธรรมาธิปไตย อย่างแท้จริง มิใช่ประชาธิปไตย แบบเผด็จการรัฐสภา ที่ผ่านมา คำว่า เผด็จการรัฐสภา ผมเคยได้ยิน การกล่าวอ้างมา ทุกยุคทุกสมัย เพราะเราให้อำนาจ นิติบัญญัติ กับอำนาจบริหาร มาจาก แหล่งเดียวกัน มาตลอด เราไม่เคยแยก อำนาจบริหาร และ อำนาจนิติบัญญัติ ออกจากกัน อย่างเด็ดขาด

เมื่อเกิด เผด็จการรัฐสภาเบ็ดเสร็จ มากขึ้น คอร์รัปชั่น หรือฉ้อราษฏ์บังหลวง ก็เฟื่องฟู เมื่อคนระอามากขึ้น เราก็เรียกให้ทหาร ออกมาปฏิวัติ รัฐประหารเสียทีหนึ่ง แล้วเราก็ร่าง รัฐธรรมนูญใหม่ ฉีกรัฐธรรมนูญเดิม ทิ้งไป เป็นสูตรสำเร็จแบบนี้ หลายคราว แล้ววงจร อุบาทว์ ก็กลับมา เป็นระยะๆ ตอนนี้คนก็เริ่มพูดถึง รัฐประหารอีก ผมยังเชื่อว่า ทหารควรได้รับบทเรียน มาพอแล้ว คงไม่คิด รัฐประหารแน่ เพราะถ้าทหาร ทำรัฐประหาร ประเทศก็จะเข้าสู่ วงจรอุบาทว์ ไม่มีสิ้นสุด ผมจึงของร้อง ให้ผู้นำ กองทัพ ทั้งหลาย กรุณาอย่านำประเทศชาติ เข้าสู่วงจรอุบาทว์ อีกเลย ท่านน่าจะคิด หาทาง ให้ประเทศชาติ ได้เปลี่ยนแปลง ไปในทางที่ถูกต้อง และชอบธรรมได้เสียทีหนึ่ง

ผมไม่คิดว่า คุณสุเทพ จะเป็นฝักฝ่ายใด แต่คุณสุเทพเป็นเพียง ผู้แสดงออก ที่ประชาชน พอใจ และสะใจมากกว่า... จบ
       
        พ่อครูว่า... ตอนนั้นปี ๒๕๒๘ มีปรากฏการณ์ จำลองฟีเวอร์ เหมือนกัน ก็ได้รับ รางวัล แมกไซไซ และมีรางวัลอื่น อีกมากมาย แต่อาตมาว่า คราวลุงจำลอง ยังไม่กว้าง เท่านี้ ตอนนี้เป็น มวลประชาชน ที่เป็นรูปลักษณ์ เด่นชัด จึงมีน้ำหนักมาก ครั้งที่ ๑ วันที่ ๒๔ พ.ย. ก็เป็นล้านแล้ว ต่อมาวันที่ ๙ ธ.ค. ก็มามากกว่าเดิมอีก และวันที ๒๒ ธ.ค. ก็เห็นว่า มามากกว่าเดิมอีก หลายล้านคน

        เรามีโดรน ตอนนี้มีถึง ๕ ตัว เป็นกองทัพสื่อ เป็นเหตุการณ์ ที่ต้องบันทึกไว้ ไม่อย่างนั้น มันก็หายไป ในสายลม จะนัดแนะกันมาอีก ก็ไม่ง่ายนะ เป็นเหตุการณ์ ที่ต้องบันทึกไว้ ก็เลยเรียกว่า ฝูงบิน “ตายแน่แอร์ไลน์” คือคนที่ดูแลชื่อ นายตายแน่ ก็เลยตั้งชื่อ “ตายแน่แอร์ไลน์”

        ตอนนี้ฝ่ายแดง เขาก็ไม่ต้องการ ให้ทหารรัฐประหาร แต่เราก็ไม่ต้องการเช่นกัน แต่มีนัย ต่างกันคือ ของเราไม่ต้องการให้ทหาร ปฏิวัติรัฐประหาร อย่างบริสุทธิ์ใจ มันเบื่อ เต็มทีแล้ว ไร้สาระ ตกรุ่นแล้ว ถ้าทหารก็ออกมาเลย ออกมารวมกับประชาชน แต่งเครื่องแบบ เต็มยศเลย มารวมกับ พลังมวลมหาประชาชน

        แต่ทางฝ่ายแดงเดาว่า เขาก็ไม่มีทางออกเหมือนกัน จะลงอย่างไร คนเราจนแต้ม อยู่ไป ก็มีแต่เสียกับตาย ถ้ามีอะไร มาตัดรอน ก็ให้ปฏิวัติเลยก็รอด เขาอาจมีคิดอย่างนี้

        แต่ของเรา ไม่คิดให้เป็นเช่นนั้นเลย เราไม่มีตกเลย รับรอง เราไม่กลัวเลย ของเราใสๆ เราทำอย่างไม่ผิดเลย เรามีแต่ถูกต้อง ดีงาม การออกมา รัฐประหารทุกที ก็ไม่เป็นเรื่องที่ มวลมหาประชาชน ต้องการเลย

        อาตมาว่า คุณสุเทพได้เห็นธรรมะจริงๆ ท่าทางที่แสดงออก ทั้งคำพูดประกอบ ออกมา คุณสุเทพ ก็ไม่เคยพูดนะ ที่ว่าพูดไป ก็ตลบแตลง แต่พอครั้งนี้ ก็เห็นว่า คำพูด ท่าทีลีลา อาตมาว่า ออกมาจาก จิตใจ จริงๆเลย อาตมาเห็นอย่างนั้น ที่มันฟ้องชัดๆคือ เป็นพลังที่แท้ เป็นความปีติยินดี เป็นความได้กำลังวิเศษ จากความจริง ไม่เช่นนั้นเดิน ๒๐ กม. ตั้งแต่เช้าจนมืด เหงื่อโทรมแล้วโทรมอีก แล้วก็สองสามทุ่ม ก็ออกมาพูด อย่างออก เรี่ยวแรงอีก เอาเรี่ยวแรงจากไหน ถ้าไม่ได้พลังจากปีติ จากเอ็นดอร์ฟีน ถ้าเสแสร้าง มันฝืนนะ มันจะเปลืองพลังงานมากเลย แต่นี่เป็นพลังวิเศษเสริม ก็เลยมีพลัง สูงขึ้นมาๆ

        เป็นปรากฏการณ์ความจริง อีกหลายอย่าง ว่าชีวิตนี้ ทำงานมากับ การเมืองอย่างเก่า กับนักการเมืองเลว พูดดำเป็นขาว แล้วพูดขาวเป็นดำ กี่รอบไม่รู้ ก็เลยซับซ้อน ยากให้คนเข้าใจ เชื่อถือ

        ครั้งนี้ขอให้เป็นเรื่องดี แก้กลับเลย และขออภัย ในอนาคตข้างหน้า คุณสุเทพ อาจกลับกลอก ก็เป็นบาปเวร ของคุณสุเทพเอง แต่อาตมาเชื่อว่า เป็นเรื่องจริง

        จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่เป็นเหตุปัจจัยของประเทศ ที่ได้บ่มเพาะ ความทุกทรมาน มานาน ขออภัย ที่ต้องสมมุติว่า สมมุติว่า ฝีมันกลัดหนองเต็มที มีหมอดีมารักษา ฝีก็หาย แต่ปรากฏว่า หมอปลอมนะ ในอนาคตเป็นหมอปลอม อาตมาก็ว่า เอาวะ มันหายนะ ก็ยังเอา แต่หมอปลอม จะถูกจับดำเนินคดี ก็เป็นวิบาก แต่นี่เขาทำอย่างนี้ แม้เป็น หมอปลอม เขาทำอย่างนี้ ไม่ถูกจับหรอก เป็นสัจธรรมของเขาเลย แต่ถ้ามันดีไปเลย ก็ทำเลย ตัดปัญหาว่า คุณสุเทพจะเป็นอย่างไร อาตมาก็เชื่อมั่นว่า ไม่ใช่หมอปลอม

        เหตุการณ์คราวนี้ แม้มันจะเป็นเรื่องหมอปลอม มารักษาฝีให้เรา ขอให้หายเถอะ แต่อาตมาว่า หมอจริงด้วยนะ และเขายังโยงไปถึง ปชป.เลยนะ แม้เดี๋ยวนี้ ฝ่ายแดง เขาก็ยังว่า เป็นเรื่องของ ปชป.กับรัฐบาลอยู่  แต่ที่จริงไม่ใช่เลย ดังนั้น เราตัดปัญหา เรื่องหมอปลอมเลยนะ

        อาตมาเคยเป็นโรคกาฬโรค หรือ  Plaque เป็นฝีที่ซอกขา เป็นตอนอายุ ๑๑ ขวบ ยุคนั้น เป็นแล้วตายส่วนใหญ่ มันปวดฝี มีไข้สูง สุดท้ายสลบไป ยายเล่าให้ฟังว่า อาตมาชัก แล้วแลบลิ้น ยาวเลย ๑๕ นาที นึกว่าตายไปแล้ว แต่ฟื้นขึ้นมา หลังจาก ไม่รู้ตัวไป ๒ วัน ๒ คืน แล้วฟื้นขึ้นมาได้ ยายถามว่าเป็นไงๆ จากนั้น กว่าจะรักษาหาย พอหายแล้ว ก็ยืนไม่ได้ ต้องหัดคลาน อ่อนแรงมากเลย อยู่เป็นเดือน กว่าจะมีกำลังขา มันปวดฝี น่าดูเลย

        การต่อสู้ของประชาชนคราวนี้ เป็นการต่อสู้จริงๆ ที่งดงามมาก เปรียบเทียบกับ ประเทศต่างๆ ที่ได้ต่อสู้กันมา ซึ่งประชาธิปไตย เป็นสากล มีการแสดงอำนาจของ ความเป็นประชาชน อาตมาก็อธิบายว่า ประชาธิปไตย คือการออกมาชุมนุม ประท้วง แล้วคุณจะมีสิทธิ์ ประท้วงผิดก็ได้ คุณโง่ แต่คุณมีสิทธิ์ ประท้วงได้ กฏหมายก็มีสิทธิ์ จับคุณได้ แต่ถ้าไม่ผิดกฎหมาย คุณก็แสดงความโง่ เท่านั้น คนมีปัญญา ก็ไม่เอาด้วย คุณก็แพ้ไป หรืออาจมีคนเห็นผิดๆด้วยเป็นมวลก็ได้ ประชาธิปไตย เป็นความคิดอิสระ ผิดหรือถูก หรือดีหรือชั่ว ก็ได้ แม้แต่ชั่ว คัดเลือกคนไม่ดีมาก็ได้ เช่นเลือกตั้งมา อย่างที่เราเจอ ตอนนี้ เราไม่ได้ทำชั่ว เลือกตั้งเลวๆ เราทำไม่ได้ เราแข่งขันด้วยวิธีชั่วๆ เราไม่ทำ เราทำไม่เป็น เราทำก็แพ้ มาทำวิธีถูกต้องดีงาม แข่งกันสิ อย่างบริสุทธิ์สะอาด แข่งกันดีกว่า นี่ยังไม่พูดกันว่า ใครถูกหรือผิดนะ

        เขาโกหก จับได้ ยังไม่ยอมรับอีก นี่คือสัจธรรม ประชาชนตอนนี้ ตื่นตัวแล้ว จึงอดทนหน่อย ทุกคนก็คงพูด เป็นเสียงเดียวกันว่า ธรรมะชนะอธรรม ความจริงชนะแน่ เป็นสัจธรรมรู้ว่า ต้องอดทน และที่เห็นว่า วิเศษ (ยอด ดี) วิสุทธิ์ (บริสุทธิ์) วิศิฏฐ์ (สูงส่ง)

        วิเศษตรงที่ว่า เราเอาความสงบ บริสุทธิ์สะอาด มาทำ เรารักษาจริงๆ เราชื่นใจ ที่เห็น คุณสุเทพ สู้ด้วยความสงบ ที่เขาว่า เขามาเรานั่งลงเลย สวดมนต์เลย อิติปิโสฯเลย หรือ ไม่สวดก็ได้ นั่งประนมมือก็ได้ สงบจิตใจ จะเป็นธรรมฤทธิ์จริงๆ อยากเห็นพลัง ความสงบ ว่าผู้ที่จะมาทำร้าย คนนะ ที่นั่งสงบ คนเหล่านี้ มีจิตใจ และวิญญาณนะ แต่ทำไม เขามาท้าตีต่อย แล้วเราสงบ แต่เราทำความถูกต้องทำดี ไม่ได้คิดร้าย แล้วเอ็ง จะมากลัว ก็โง่แล้ว

        ความถูกต้องดีงาม ก็ไม่ต้องกลัวใครอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าสอน พลัง ๔ พ้นภัย ๕
๑.     อาชีวิตภัย (ภัยอันเนื่องด้วยชีวิต ไม่กลัวแม้ศ.ก.จะแย่)

๒.     อสิโลกภัย (ภัย คือ การติเตียนจากคนโลกๆ) เราทำงานที่ ปราชญ์ไม่ตำหนิ อย่างที่เห็นนี่ หัวกะหล่ำปีนะ ใหญ่กว่าหัวอาตมานะ นี่ยังลูกเล็กนะ เราปลูกกันได้ ก็เอามา ให้ดูกัน เรารู้ว่า งานอะไรควรทำ เราทำกสิกรรมอินทรีย์ ทำกันมา เราทำไร้สารพิษเลย

๓.     ปริสสารัชภัย (ภัยคือ  การสะทกสะท้านต่อสังคม)  อาตมาไม่กลัวคนตำหนิ เราทำดี ไม่ได้ทำชั่ว เรามาสร้างสรร เสียสละ ปรารถนาดี
๔.     มรณภัย (ภัยคือ  ความตาย)

๕.     ทุคติภัย (ภัยคือ ทุคติ  เช่น อบายภูมิ  นรก เดรัจฉาน  ฯ)

(พลสูตร  พตปฎ. เล่ม ๒๓   ข้อ ๒๐๙)

#      เรามาร่วมประท้วง เนื้อหาหลัก ที่เขามาสัมภาษณ์อาตมา เรื่องนโยบาย เป้าหมาย อาตมาก็ตอบว่า เราออกมาประท้วง ด้วยมุ่งหมาย อย่าง นีโอ โพรเทสต์ เรามาประท้วงอย่าง มีวิธีการชุมนุม (Strategies)
        . สุภาพ สงบ และเรียบร้อย
        . ไม่มีความรุนแรง
        . เสนอ ความรู้ และความจริง
        . ไม่หยาบ ไม่ผิด กล่าวคำแรง เสียงดัง เท่าใดก็ได้

        เรามาบรรเทาความรุนแรง เพราะเขาประท้วงกันทีไร ก็รุนแรง เราเลยมาบรรเทา แต่ชนะกัน ด้วยความจริง ความเรียบร้อย ไม่รุนแรง ไม่ชนะด้วยอย่างเดรัจฉาน ที่กัดกัน ปราบกัน เข่นฆ่ากัน เอาอาวุธฆ่ากัน ยุคนี้ยุคไหนแล้ว การฆ่ากัน แล้วชนะนั้น ชั้นต่ำ ของเราผู้ดี จิตสูงแล้ว เป็นมนุสโส ไม่ควรเอาชนะ คะคานกันเช่นนั้น นี่คือ คนอาริยะเจริญ อย่างนี้เอาไหม?

        เราทำได้ดี คือ รักษาค่ารวมได้ แม้ฝ่ายตรงข้ามก็ตาม เขารู้แล้วว่า โลกเขามอง เขารู้อันนี้นะ ผู้ชนะของอาริยะ ต้องเรียบร้อย สงบ ดีงาม เป็นเครื่องตัดสิน เรายืนยัน เราถูกต้อง ดีงาม มาตลอด แต่เขาก็ด้านมาก ยึดเก้าอี้อยู่นั่นแหละ เราก็ทำรุนแรงไม่ได้ด้วย แต่เขาก็ค่อยๆลดนะ ลดมาเพราะ

        ๑.ตุลาการภิวัฒน์ (ตุลาการชี้มูล ว่าอย่างไหนถูกผิดนะ) สุดท้าย เขาหน้าด้าน ก็บอกว่า ไม่ยอมรับ อำนาจศาล แล้วจะคว่ำ ตุลาการเลย แล้วไม่ยอมรับ จะให้ทำอย่างไร หน้าด้านขนาดนั้นเลย ก็เลย เหลืออีกอย่างคือ
        ๒.ประชาภิวัฒน์ ออกมาแสดง ๑ คน ๑ เสียง เอาเหตุผล มายืนยัน ถูกต้องดีงาม ตอนนี้ ความผิดความถูก ตัดสินแล้ว แต่ด้านเหลือเกิน ก็เหลือแต่จำนวนคน จะชนะได้ ออกมาให้เห็น ๒๐ ล้าน

        จะสนุก เมื่อออกมา ๒๐ ล้าน ก็ต้องอดทน ดูแลกัน มีปรารถนาร้าย มีมือที่ ๓ ออกมา ที่จริงไม่ใช้มือที่ ๒ มันมีมือที่ ๒ เท่านั้นแหละ มือที่ ๒ คือตัวจริงกับตัวปลอม จนเราไม่รู้ว่า ตัวไหนจริง หรือปลอม แต่ที่จริง คือตัวเดียวกัน

        ก็ยังไงเราก็ใช้ความบริสุทธิ์ จริงใจ สะอาดทำ เราก็ต้องช่วยกันออกมา เพื่อแสดง ประชาภิวัฒน์ ตัดสินว่า เราเอาน้ำหนัก มวลของประชาชน ที่ไม่ใช่มวลเกม มวลโกง ครอบงำความคิด หรือจ้าง ไม่ใช้อำนาจเบ่งข่ม เป็นเรื่องสมัครใจ อิสรเสรีภาพ

        อิสระคือ ผู้เป็นเอกราช หรือหลุดพ้นจากความเกาะเกี่ยว Independence

        แล้วความอิสระ เขาไม่เข้าใจถูก ไปเข้าใจผิดว่า อิสระคือความเป็นตัวเองสูง เป็นความมีตัวตน เต็มที่ เป็นความยึดมั่นถือมั่น ในตนสูง ไม่รู้จักอัตตา ก็เลยเข้มข้น ในตัวตน ยึดความยึดถือตน เอาแต่ใจ เอาตนเป็นใหญ่ เป็นอำนาจ ถูกต้อง ได้ตามใจ เป็นอัตตาธิปไตย บำเรอใจตน โดยไม่รู้ บำเรอทางอารมณ์ หรือกามคุณ ๕ ก็ได้

 

 
๑๑ มกราคม ๒๕๕๗ ที่ เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ กทม.