570126_พ่อครูที่เวทีป้อมมหากาฬ
เรื่อง กำลัง ๔ พ้นภัย ๕


        วันนี้คุณสุทิน ธราทิน พิธีกร ผู้ทำงานใกล้ชิดพวกเรา เป็นผู้ประสานงาน ก็ได้เสียชีวิตไป
        พระพุทธเจ้าสอนให้เราฝึก ให้มีพลัง ๔ คือไม่มีความกลัว ในภัย ๕ ประการ
        เรามาทำงานที่ไม่มีโทษ แล้วทำทำไม ก็ทำเพื่อสังคหพละ คือเกื้อกูลผู้อื่น เป็นพลัง ที่ล้ำค่ามาก มีพลังปัญญา และขยันหมั่นเพียร สร้างสรร เป็นประโยชน์ คนที่มีคุณสมบัติ ถึงขั้นนี้ จะเป็นคนที่ พ้นภัย ๕

        ๑. พ้นอาชีวิตภัย อย่างเดรัจฉาน มันไม่กลัวว่า แต่ละวัน จะอยู่อย่างไร ไม่กลัวว่า พรุ่งนี้ จะไม่มีกิน ไม่เหมือนคน คนนี่คิดมาก เกรงมาก กลัวมาก
        ๒.พ้นสาสิโลกภัย ไม่กลัวคนติเตียน จะทำต่อหน้าหรือลับหลัง ก็ไม่กลัวคนติเตียน เพราะทำงาน ที่ปราชญ์ไม่ตำหนิ
        ๓.พ้นปาริสารัชภัย คือภัยไม่สะทกสะท้าน ในการเข้าสู่ที่ประชุม อย่างมาขึ้นเวที มาออกงาน ไม่เกรงกลัว ไม่หวั่นไหวอะไร เพราะรู้ดีว่า เราไม่ได้มาทำผิด ทำชั่ว เราไม่ได้มา เบียดเบียนใคร เรามีอย่างไร ตัวเราก็ทำไปอย่างนั้น จะต้องพูด ต้องแสดงออก อย่างไร ก็ไม่สะทกสะท้าน
        ๔.ไม่กลัวตาย คือพ้นมรณภัย หลายคนคิดว่า มีหรือ คนไม่กลัวตาย จะตาย ก็ต้องวิ่งหนี ต้องหลบไม่ให้ตาย ไม่ให้เจ็บ ก็หลบไป ตามปฏิภาณ แต่ใจนั้น ไม่มีกลัว อาจดูกิริยาว่า กระโดดหนี จากความตาย ความเจ็บ อย่างไฟไหม้ ก็ปล่อยให้ไฟไหม้ ไม่หนี อย่างนี้ คนบ้าต่างหาก หรือเขาเอา ถ่านไฟแดงๆ มาใส่เรา เราจะปล่อย ให้ไฟไหม้ หรืออย่างไร จะแสดงความไม่กลัว ปล่อยให้ไหม้ จะบ้าหรือ

        คนที่มีพลัง ๔ รู้การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ของจิตวิญญาณ รู้อัตภาพ ยิ่งเป็นอรหัตตา คือมีอัตตา ที่ไม่ลึกลับ แจ้งชัดในอัตตา ตัวตน โดยเฉพาะอัตตา ส่วนกิเลสาสวะ จนสิ้นเกลี้ยง ก็เป็นผู้รู้อัตตา อรหันต์ ไม่ใช่ไม่มีอัตตา แต่ไม่หลงติดอัตตา มีอัตตาไว้อาศัย

        เป็นพระพุทธเจ้า ก็ปวดศีรษะได้ ปวดอวัยวะได้ เพราะไม่สมดุล ก็เป็นกายิกทุกข์ ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้  แต่ท่านไม่มี เจตสิกทุกข์ รู้จนถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ ดับเวทนาที่เป็น เคหสิตเวทนา แม้เนกขัมสิตเวทนา ที่ควรดับ ก็ดับได้ เป็นเวทนาที่ ละเอียดละออมาก สัญญา ก็เป็นสัญญาที่ ละเอียดมาก

        พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ การตายของกิเลส เรียกว่า อรณะ ส่วนการตายทางร่างกาย เรียกว่า มรณะ

        จิตวิญญาณของคนที่ กิเลสยังไม่ตาย แม้ร่างกายจะตาย ก็ต้องเกิดอยู่ แต่ว่าคนที่ กิเลสหมดแล้ว ก็ไม่กลัวตาย อรหันต์เป็นผู้  ไม่กลัวตายจริงๆ เป็นคนไม่กลัว ตกนรก เพราะรู้จิตเจตสิก รูปนิพพานแล้ว คนเราควรได้ศึกษาพากเพียร จนมีภูมิปัญญา ให้เกิด ปัญญาญาณ เป็นพลังปัญญาที่สูง มีวิริยะ มีอนวัชชะ มีสังคหะ ก็จะพ้นภัย ๕ อย่างนี้

        คนที่ไม่มีปัญญาถึง อย่างที่ว่าจริง ก็อาจยังมี กลัวตายได้ แต่ก็เป็นไปได้ ตามลำดับ อย่างศาสนา อิสลาม ถือว่าการตาย เพื่อพระเจ้า เป็นสิ่งประเสริฐ คนตายในลักษณะนี้ ไม่ต้องไป พยากรณ์เลย ไปอยู่กับพระพุทธเจ้า แน่นอน เหมือนศาสนา อิสลาม เขากล้า เขาเข้าใจ แต่ไม่ได้ทำห่ามอวดดี ทำบ้าบอ ไม่ใช่ ต้องมีการประมาณ

        แต่คนร้ายตั้งใจทำร้าย เขาปฏิบัติการได้ หาช่องทำจนได้ แล้วก็เกิดเหตุการณ์ อย่างนั้น ก็เป็นไป

        มีสิ่งลึกซึ้งอีกก็คือ เรื่องวิบาก อจินไตย เป็นวิบาก ที่เราต้องเจอ เป็นพรหมลิขิต ที่ศาสนาอื่น เรียกพระเจ้า เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า เป็นฟ้ากำหนด พรหมลิขิต จะว่าไม่จริง ก็ไม่ได้ เป็นสิ่งจริง แต่ว่าสัจจะอย่างนี้ ต้องมีโลกุตรธรรม

        โลกุตรธรรมนั้น จะมีกรรม ที่ฝืนพรหมลิขิตได้ คือเปลี่ยนแปลงจิต ที่เป็น สัญชาตญาณ เปลี่ยนไปเป็นสิ่งใหม่ เป็นความเหนือโลก เหนือธรรมชาติ เป็นตัวแปร ทำให้หมอดู ไม่สามารถทำนายได้ แทนที่จะตาย กลับไม่ตาย รอดได้ เป็นกรรมวิบาก ไปเสริมกุศลได้ ลดอกุศลได้ เป็นต้น

        มันเลื่อนจากที่ต่ำได้ จะพ้นจากความเสื่อม ความร้ายได้ พ้นอกุศลได้ เป็นพลังงาน ที่เราต้องสร้างกุศล ไปเปลี่ยนแปลงวิบากได้ กำจัดกิเลส ผู้ไม่รู้ ที่ไม่ได้แก้ไขกิเลส ดีไม่ดี ไปเติมกิเลส แทนที่จะทุกข์ทรมานแค่นี้ ก็เลยมากกว่าเดิม ตายทรมาน กว่าเดิมอีก แต่ผู้รู้นั้น จะไม่เสริมกิเลส จึงไม่ทุกข์ทรมาน หมอดูก็เลยดูยาก

        การเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เป็นธรรมดา คนสามัญ ก็อาลัยอาวรณ์เป็นสามัญ พวกเรา เดี๋ยวทุ่มหนึ่ง จะมีพิธีไว้อาลัย ที่เวทีปทุมวัน คนเราหากรู้แล้ว ความโศก ปริเทว ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ก็ไม่มี

        รู้ว่า เขาเสียใจดีใจ อย่างไรรู้ แต่เราไม่ได้มีอาการอย่างนั้น แต่ก็อนุโลมไปกับเขา ดีไม่ดี ปรุงแต่งไปกับเขาด้วย อย่างดารา ปรุงแต่งอารมณ์ ให้คนอื่นได้เป็น ดารา ตุ๊กตาท้องได้ อย่างอาตมา แสดงลีลาท่าทาง เป็นกาย เป็นวจีวิญญัติ เป็นนัจจะ คีตะ วาทิตะ คนที่เข้าใจ ก็ปรุงแต่งสื่อ ให้คนอื่นรู้ แต่ตนเอง ไม่มีอาการใจ อย่างนั้น

        บางทีดูเหมือนมีอารมณ์โกรธ เขาก็ดูตามอาการ พระพุทธเจ้าสอนว่า อย่าเชื่อ ตามอาการ ผู้ที่มีสัจจานุโลมิกญาณ อนุโลมตามผู้อื่น อย่างพ่อแม่ เล่นหม้อข้าว หม้อแกง กับลูก หรือแม่ครัว ปรุงอาหาร ให้คนอื่นกิน แต่ตนเอง ไม่ได้ชอบอย่างนั้น

        บางคนหลอกคนอื่น แท้จริงตนเอง มีอารมณ์จริง แต่ไปหลอกคนอื่นได้ ก็บาป มากเลย ว่าไม่มีอารมณ์ เป็นอุตริมนุสธรรม

        การชุมนุมของเราก้าวหน้า ตอนนี้เขาถึงขั้น หมาจนตรอก มันกัดแหลกเลย ระวังให้ดี มันมีอาวุธอะไร ทำร้ายทำเลวอย่างไร ก็จะงัดออกมา มันสิ้นทางแล้ว ก็ระมัดระวังดีๆ แต่สุดท้าย จะมีวิบากขนาดไหน ก็บอกไม่ได้

        เราก็ทำกรรมดีเป็นทรัพย์ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำโลกุตรธรรม ก็สั่งสมไว้ ทำจริง ก็ได้จริง เท่าที่แต่ละคนมี บางคน กล้าๆกลัว มันมีหมู่มวลมา ถ้าคนเดียวทำก็กลัว แต่ทำสองคน ก็กลัวลดลง แต่ทำเป็นหมู่ ก็กลัวลดลงอีก หายกลัวได้

        อาตมาจะอธิบาย กรรมาภิวัฒน์ …. เราได้ต่อสู้กันมา ก็อาศัย ตุลาการภิวัฒน์ ช่วยตัดสิน ทำให้เกิด การแพ้ชนะ ผู้ที่ถูกตัดสิน ก็หน้าด้านหน้าทน เหลือเกิน คราวนี้ ตุลาการ ก็ได้แค่ชี้เหตุ ได้แค่ชี้มูล ทั้งที่โดยสัจจะ เขาไม่ควร ต้องอยู่แล้ว ควรต้องวางมือ ปล่อยอำนาจได้แล้ว ประชาภิวัฒน์ ประชาชน ต้องมาแสดงตน เต็มที่ มีสองสภาพใหญ่ ตุลาการภิวัฒน์ กับประชาภิวัฒน์

        ประชาชนมาแสดง รัฏฐาธิปัตย์ ออกไปเดินเป็นหมู่ไป ใครแสดงออกได้อย่างไร ก็ช่วยกัน มามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดี เราไม่ได้ใช้วิธีการอื่นใด นอกจาก บอกความจริง เป็นการสื่อสารออกไป แล้วใช้วิจารณญาณเอา แต่ละคน ทำไป เมืองไทยเราทำได้ ไม่ใช่แกล้งยอ ไม่ใช่ใช้จิตวิทยา แต่พูดความจริง เราทำได้ อย่างน่าทึ่ง เกิดได้ ไม่เคยเกิด มาก่อน มันถึงเวลาวาระ เหตุปัจจัยครบ มีจิตวิกฤติ เป็นจุดเปลี่ยนสภาพ เช่น ความร้อน ถึงขีด น้ำก็กลายเป็นไอน้ำ ถึงจุด น้ำก็กลายเป็นน้ำแข็งได้ เป็นเปลวไฟ ลุกขึ้นได้ เป็นต้น ความร้อน ได้ละลายธาตุได้

        สิ่งที่เกิดเป็นกุศล ดีงาม ถูกต้อง จึงเจริญอยู่ได้นาน และแน่นขึ้นดีขึ้น คนก็มากขึ้น เป็นแต่บางคน ติดลาภยศ สรรเสริญบ้าง แต่มีคนเข้าใจว่า ไม่ต้องกลัวตนเอง จะต้องเสีย ลาภยศ สรรเสริญ ก็ออกมายืนยันว่า มาร่วมทางนี้แหละ เพราะอีกทางนั้น เสียหาย ฉิบหาย แต่ละกรมกอง ก็ออกมามากขึ้น ทั้งมวลปลีกย่อย และมวลหลักๆ

        เราต้องใจเย็นๆ ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมา ให้มากๆหมดๆ กำนัน สุเทพ ก็ไขเก่งนะ มีเหตุอะไรมา ก็มาไขความจริงได้มากๆ คนก็ได้รับรู้ความจริง ที่ได้หมักหมม หมกเม็ดได้มากขึ้น

        ประชาภิวัฒน์ ที่มีความสูงกว่าได้ก็คือ กรรมาภิวัฒน์ ที่เกิดจากกรรม ที่เรา จะพัฒนาขึ้นได้ เพราะเป็นกุศล คนที่ไม่ดี เขาก็ยิ่ง ทำไม่ดี หนักขึ้น เราดีเราก็ทำดี ให้มากขึ้น อย่าทำชั่ว

        เรามาเสียสละ ทุกกรรมกิริยา ให้เป็นกุศล ซ้อน ผู้รู้ก็แนะนำกันไป ทางคนต่อสู้ ก็สู้กัน เขารู้ว่าดี ก็น่าทำ เขาก็เอาดีมาแฝง แต่ต้นทุนเขาไม่ดี เขาก็เอาดีมาแฝงหลอก เหมือนแสดง ละครหลอก แต่ลึกๆ เขาจะทำเลว เขาจะชนะความดี ด้วยความไม่ดี แต่เราต้อง ชนะความไม่ดี ด้วยความดี

        กรรมาภิวัฒน์ เราจะทำทั้งปริมาณ และคุณภาพ (Quality) เช่น เขาจะทำร้ายทำแรง อย่างไร เราก็ต้องทำ อย่างไม่รุนแรง เราไม่ได้ทำเขา พวกเราชุมนุมถูกต้อง ตามสากล ตามรธน. ตามสัจธรรม ทำอย่างผู้ดี ไม่คิดฆ่าไม่รุนแรง มีบ้าง ก็เป็นปากหอก มีด่าว่า ตำหนิ ด้วยคำแรงก็ด่า เสียบด้วยภาษา ท่าทาง ลีลา  แต่ไม่ได้กระทบร่างกายเขา เลือดไม่ตก ยางไม่ออก มีแต่เสียงสำเนียง ภาษาพูด จะเจ็บปวด ก็เป็นเรื่องของเขา เขาหน้าด้าน เขาก็ทนได้ การจะเกิดกรรมาภิวัฒน์

        ถ้าเราจะไปเลือกตั้ง กับจะขอปฏิรูปก่อน ก็เถียงกันอยู่ โดยไม่รู้ว่า ถ้าปล่อยให้ปฏิวัติ คุณมีกลไก ค่ายกล ที่ซื้อเอาไว้ ตกเขียว ควบคุมหลอกล่อ ทั้งประชากร ผู้มีหน้าที่ ข้าราชการ ที่เขาเอาทุกอย่าง ที่จะเป็นกลไกสังคม ผูกมัดให้ประชาชน ต้องลงคะแนน ให้เขา แม้ไม่ชอบนัก แต่ก็ถูกอำนาจ โลกธรรมหลอกไว้ จนเขามั่นใจว่า ถ้าไปเลือกตั้ง เขาชนะแน่

        เหมือนปุตตมังสสูตร มีอาหาร ๔ (กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร และ วิญญาณาหาร)   

        ในวิญญาณาหาร คือสุดยอดอาหาร คนฆ่าไม่ตาย พระพุทธเจ้า ยกตัวอย่าง เหมือนพระเจ้าแผ่นดินว่า ให้เอาคนนี้ ไปประหาร ด้วยหอกร้อยเล่ม พอถึงกลางวัน ก็ถามว่า ประหารเรียบร้อยหรือ? คนก็บอกว่า ประหารด้วยหอกร้อยเล่ม แต่ก็ไม่ตาย ก็เลยบอก ให้เอาไปประหาร ด้วยหอกร้อยเล่มอีก เสร็จแล้วตอนเย็น ก็ยังไม่ตายอีก นี่คือคนหน้าด้าน คือคนด้านสุดโด้ ฆ่ายังไงก็ตายยาก วิญญาณของสัตว์นรก ถึงขนาดนั้น จริงๆ ธรรมะพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งจริง ที่เห็นได้

        อำนาจอย่างผีบุญ คนก็แสดงความเก่ง ให้ได้อำนาจ เอาอามิสล่อด้วย ให้คนเชื่อถือ เป็นคน ครอบงำ สั่งการได้ ซึ่งมีสองแบบ เป็นเชิงปัญญา กับเชิงจิต

        อย่างผีบุญ เป็นเชิงงมงาย ลึกลับ ส่วนอย่างปัญญา อย่าง Philosophy ก็เป็นปัญญา ครอบงำ ย้อมด้วยโลกธรรม เป็นอำนาจ มีเหตุผล เฉลียวฉลาด เล่าเรียนสูง แต่สู้ผู้ที่ ฉลาดแกมโกง ครอบงำได้ เป็นยอดฉลาด เถียงกันได้ฉอดๆๆๆ จะถือว่าเป็นนักรู้ เถียงกัน ฝ่ายที่เขานับถือคนนั้น เขาก็เถียงแทน คนที่เขานับถือนั้น เป็นยอดของ Philosopher แต่อย่างผีบุญ สมัยโบราณ ก็ต้องมีอำนาจลึกลับ แต่ว่าสมัยนี้ ใช้วิทยาศาสตร์ เป็นเหตุผล เห็นๆ คนตกเป็นทาสฝ่ายโน้น เขาก็เป็นของเขา

        ประชาชนมาต่อสู้ เป็นกรรมาภิวัฒน์ ทำกุศลโลกียะ ทำดีๆขึ้นไป ก็ได้เป็นศาสดา เป็นจอมจักพรรดิ์  แต่ทุกวันนี้ เข้าใจว่า จอมจักพรรดิ์ ที่มีอำนาจเก่ง เหมือน อเล็กซานเดอร์ มหาราช ฆ่าแกงเก่ง เหมือนพระเจ้าอโศก มหาราช ตอนแรก ก็ฆ่าแกงเก่ง แต่ว่าตอนหลัง เปลี่ยนแปลงได้ มาเป็นจอมจักพรรดิ์ ที่แท้จริง ท่านเป็นลิงลม อมข้าวพอง ไปตอนแรกๆ

        พระพุทธเจ้าว่า ผู้ที่ควรเก็บอัฏฐิธาตุไว้ในเจดีย์ มี ๔ อย่าง คือ พระพุทธเจ้า ปัจเจกพระพุทธเจ้า​ พระอรหันต์ และจอมจักพรรดิ์

        ซึ่งจอมจักพรรดิ์ที่ควรบูชา ก็คือต้องเป็น จอมจักพรรดิ์โดยธรรม ไม่ใช่คนที่ ฆ่าแกงคนเก่ง แต่เป็นคนที่ช่วยเหลือคนเก่ง ต่างหาก  เป็นพวกบุ๋น ไม่ใช่พวกบู๊

        อย่างพระบาฮาอุลลาห์ เป็นศาสดาของ ศาสนาบาไฮ ซึ่งนับถือทุกศาสนา เอาส่วนดีของ แต่ละศาสนา มารวมกันได้ เป็นศาสดาทางธรรม ถือเป็นจอมจักพรรดิ์ได้ เก่งทางศาสนา เก่งทางบริหาร จนคนเชื้อเชิญ ให้เป็นประธานาธิบดี พระพุทธเจ้า ท่านก็สามารถเป็น จอมจักพรรดิ์ได้ แต่ท่านไม่เป็น ท่านจะมาเป็น พระพุทธเจ้า

        มั่นใจว่าประเทศไทยเรา จะเป็นมหาอำนาจ ด้วยความจน  ดังเช่นในหลวงเรา ที่เป็นโพธิสัตว์แท้ ตรัสเรื่อง แบบคนจน อาตมาก็พยายามสนอง พระราชดำรัส ให้เกิดคุณธรรม เป็นวรรณะ ๙ ตามพุทธพจน์ ๗ สาราณียธรรม๖ มีเศรษฐศาสตร์ถึงขั้น สาธารณโภคี ไม่ทำทุจริต ไม่ทำอบายมุข เผื่อแผ่แบ่งปันกันกินกันใช้ เหมือนอย่างที่ เราอยู่กันนี่แหละ อะไรขาดแคลน ก็มาแจกกัน บริจาคกัน กางเกงลิง ยังบริจาคได้ เราอยู่อย่าง คนจน คือเราไม่สะสม เราอยู่อย่างวรรณะ ๙ หรือ ตามหลักตัดสิน ธรรมวินัย ๙

        คนเจริญแบบนี้ได้ มันมหัศจรรย์มาก เป็นจอมจักพรรดิ์ได้ ไม่รู้อีกกี่ปี อาตมา เคยพูดไว้ว่า อีก ๕๐๐ ปี หลายคน บอกว่านานมาก แต่ไม่ต้องเป็นห่วง คนเกิดมา เป็นอาริยะ ก็จะมารวมกัน มีวิบากร่วมกัน นอกจาก ยังมีวิบากตัดรอน ก็ไปอีกหลายชาติ แต่ถ้ามีคุณธรรมถึง ก็จะมาแน่นอน

        อาตมาคงไม่อยู่นานถึง ๕๐๐ปี แต่ก็พยายามอยู่ให้ถึง อายุ ๑๕๑ ปี ใช้อิทธิบาท ต่ออายุขัย ไปเรื่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าตัวเองขนาดนี้ ก็ดูดี ถ้าอายุ ๙๐ ได้ขนาดนี้ อายุ ๑๐๐ ได้สบายๆ

        และจาก ๑๐๐ ไป ก็พยายามพากเพียร ไม่อยากอยู่เพื่อ เสพสุขหรอก แต่เมื่อยนะ ที่อยู่นี่ ไม่ได้สะสมสรรเสริญเยินยอ อาตมาปิดทอง ลำไส้พระนะ

        อย่างสวิสเซอร์แลนด์ เขาก็ไม่ต้องเก่ง ทางสร้างอาวุธ ไม้ต้องมีอาวุธ อะไรเลย ก็เก่งทางสร้างนาฬิกาได้ มีอีกหลายประเทศ คนเรากลัวว่า ถ้าประเทศไทยไม่ฆ่าใคร ไม่มีอาวุธ จะอยู่อย่างไร เราก็อยู่อย่างกุศล ช่วยเหลือประเทศอื่น คือแต่ละคน ไม่สะสม อย่างชาวอโศก แต่ละคน ไม่สะสมสมบัติ ส่วนตัวมาก แต่ทำตนมักน้อย สันโดษ ขยัน หมั่นเพียร มีพลัง ๔ สร้างสรร ตัวเองยิ่งปฏิบัติธรรม ก็กินน้อย ใช้น้อยลง กิเลสนี่ ผลาญเปลือง ยิ่งลดกิเลส ก็ยิ่งทำงานได้มาก

        แต่อยู่กับสังคม รู้เท่าทันสังคม รู้อะไรควรไม่ควร มีสมรรถนะ สามารถ มีพลัง สร้างสรร มีปัญญาเลือกสิ่งดีทำ จึงสร้างได้มาก แต่ตนเอง กินน้อยใช้น้อย เหมือนรถยนต์ ที่กินไฟ กินน้ำมันน้อย แต่ประสิทธิภาพสูง

        คนอย่างนี้ อยู่รวมกันมาก ประสิทธิภาพสูง ให้ส่วนกลาง ส่วนรวมจึงรวย แต่ส่วนตัวจน แม้รวย ก็ไม่สะสมกักตุน เอาออกสะพัด ช่วยเหลือสังคม อย่างในหลวง ตรัสว่า เราไม่เอาไปรวย เราไม่เอาก้าวหน้าอย่างมาก อย่างนั้นยิ่งถอยหลัง เป็นเจ้าอำนาจ เอาเปรียบ ประเทศอื่น ครอบงำเศรษฐกิจ สังคม วัฒธรรมของประเทศอื่น

        แต่เราจะไม่ไปทำอย่างนั้น เราจะเป็นมหาอำนาจ อย่างโดยธรรม ด้วยการช่วยเหลือ แม้การเมือง ในประเทศเราก็ไม่ไปทำร้าย คู่ต่อสู้ เราไม่ได้แย่งอำนาจ แต่เรารู้ว่า เราควรมีอำนาจ เพราะอำนาจ เป็นของประชาชน มีสิทธิอำนาจทำได้ เมื่อเราให้ตัวแทน ไปทำหน้าที่ แต่คุณไปทำผิด ทำเสีย ประชาชนเจ้าของ รัฏฐาธิปัตย์ ก็จะเอาคืน
       

 
๒๖ มกราคม ๒๕๕๗ ที่ เวทีสะพานผ่านฟ้าลีลาศ กทม.