_ 570204_พ่อครูที่เวทีพระราม ๘

 

เรื่อง อำนาจที่เกิดจากพลังงานสุดลึกซึ้ง

 

        วันนี้มาเทศน์ ที่เวทีพระราม ๘ ก็อยู่กับ อภิมหาปรมานิจจัง เราได้เห็นถึง ความเดือดร้อนของประชาชน มากหน่อย แม้ที่นี่เป็นยุทธภูมิ ที่ดีมาก ในการทำงาน ปิดประเทศ แต่ว่ามันก็ต้องรู้ ประมาณการ เราก็ต้องยอมรับว่า อะไรจะดีกว่า เราก็ทำ เปลี่ยนแปลงไป ตอนนี้เราก็จะถอนจาก สะพานพระราม ๘ ไปอยู่ที่สะพานผ่านฟ้าฯ

        ทำอย่างให้ได้ประสิทธิภาพ ขอเชิญ วันนี้เป็นวันส่งท้าย ของสะพาน พระราม ๘ จุดที่เราทำการ Shut down กรุงเทพฯ เรามาอยู่ที่นี่ ยังไม่ถึงเดือนดี เราเปลี่ยนมา หลายจุดแล้ว เมื่อวาน กปปส. ก็ย้ายจาก ลาดพร้าว อนุสาวรีย์ชัยฯ มาอยู่ที่สีลมกัน

        อาตมามานี่ ธงชาติไม่ได้พริ้วไหวเท่าไหร่ แต่ตอนที่ หรั่งเขาร้อง ธงปลิว อย่างแรงเลย ธรรมชาติก็ลงตัว กับวิญญาณของ พวกเราเลย แม้แต่คณะเสธ.มา ก็ยังพริ้วไหว แต่พอถึง อาตมาขึ้นมา ก็สงบ

        ก็คงจะต้องทบทวน สิ่งที่เกิดในปัจจุบัน แต่ขยายความลึกและกว้าง ให้เห็นความเป็นจริง ประกอบกันอยู่ อาตมาก็พยายาม จะชี้ตามภูมิรู้ ผิดถูก อย่างไร พวกเราก็วินิจฉัย ตัดสินเอง

        คำว่าอำนาจ ... ภาษาอังกฤษว่า Power หรืออย่างอื่น คำว่าอำนาจนี้ เป็นพลังงาน มีแรง เคลื่อนไหว ขึ้นมาเป็นพลังงาน ตามภาษาอังกฤษ มีหลายคำ Dynamic energy และ Kinetic energy

        ไดนามิค เป็นพลังงานเคลื่อน ส่วน ไคเนติค เป็นพลังงานนิ่ง ทางฟิสิกส์ ค้นพบอะตอม พบนิวเคลียส ที่มีพลังแฝงนิ่ง สามารถแตกตัว เกิดพลัง เรียก นิวเคลียร์ เกิดพลังมหาศาล ดังไอสไตน์ สรุปมา เอามาใช้งาน จนเป็นพลังงาน ที่เอาไปใช้ เพื่อสันติภาพ ก็ดีมาก แต่ว่าถ้าเอาไปใช้ ทางเสียหายเลวร้าย ก็มีพลังแรง แต่ในแรง ถ้าเรากำหนดใช้ ก็ใช้ได้

        ถ้านิวเคลียร์ เรามาใช้เป็นกุศลได้ ก็สุดยอด และมีทั้งพลังงาน ที่สั่งสมในวัตถุ ในดินน้ำไฟลม ก็มีพลังงาน แต่ในจิตวิญญาณ ก็มีพลังงานที่สะสม และรู้ได้ยาก ยิ่งกว่าพลังงาน ในวัตถุ และในจิตวิญญาณ จะมีพลังงาน เชิงปัญญาด้วย แต่ในวัตถุ ไม่มีพลังงาน ทางปัญญา วัตถุมันเลือก ที่จะเอา และไม่เอา ให้แก่ตัวมันเอง

        พระพุทธเจ้า แยกพลังงาน เอาไว้สูงสุดมาก ทางฟิสิกส์ เขาค้นพบแค่ ๒ อย่าง คืออุตุ และพีชะ นิยาม ส่วนอันที่ ๓ คือจิต เขาก็พอรู้ แต่ไม่ลึกละเอียด เท่าพระพุทธเจ้าค้นพบ พระพุทธเจ้า ค้นพบจิตวิญญาณ ได้ละเอียดมาก

        รู้ว่าพลังงานจิตมี พลังงานของกรรม และพลังงานแห่งธรรมะ

        อุตุนิยาม กำหนดให้แก่ตัวเองไม่ได้ มีอะไรก็ใช้อันนั้น เช่นความร้อน แสง เสียง แม่เหล็ก ไฟฟ้า เป็นต้น ยังไม่มีอัตโนมัติ แก่ตัวเอง มีพลังงานที่จะดูด ให้แก่ตัวเอง ก็มีบ้าง เช่น พลังแม่เหล็ก ส่วนไฟฟ้า และความร้อนนั้น ไม่ค่อยมีพลังงานดูด ให้แก่ตัวเอง มันไม่มีสัญญา

        แต่พอเป็นพีชะ ก็ยังไม่เรียกอัตตา แต่มันกำหนดรู้ แก่ตัวมันเองบ้าง มันก็ซื่อสัตย์ ตามแต่ละตระกูลของมัน ว่าจะเอาธาตุนี้ ธาตุนี้ไม่เอา เช่นมะม่วง ก็มีหลายพันธ์ แยกย่อยไปอีก แล้วมันก็เลือกเอาและไม่เอา ของมัน ซื่อสัตย์ มีสัญญา และมีสังขารปรุงแต่ง แต่ไม่มีอารมณ์ ไม่มีสุขไม่ทุกข์ ไม่โกรธไม่รัก เป็นพลังงานระดับ ไม่มีบาป ไม่มีบุญ ในระดับพืช จึงไม่มีบาป ไม่มีบุญ ที่เขาว่า ทำร้ายพืชจะบาป ที่จริงไม่บาป เพราะมันไม่มีจองเวร จองภัยต่อใคร มันทำตัวมันเอง จบก็จบไป ไม่เชื่อมโยงสืบต่อ ไม่สันตติ ไม่มี Relation ที่ต่อไปในอนาคต

        พอมาถึงจิต นิยาม...อิสระในตนเอง ไม่อยู่กับที่ คือเริ่มเป็นสัตว์ ร่อนเร่ แล้วมีสมรรถภาพ มีเวทนา ที่มากกว่าพืช ที่มีแค่ รูป สัญญา สังขาร แต่จิตนั้นมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ดังนั้นจึงมีรัก มีชัง มีตัวตน เคลื่อนที่ไปไกล กว้างกว่าพืช จึงมีรักมีชัง มีดูดมีผลัก ตั้งแต่เซลล์เดียว จนมาเป็น มากเซลล์ มาเป็นสัตว์ มาเป็นเสือสิงห์อะไร ยิ่งมีเวทนา ซับซ้อนขึ้น มีรัก ชัง สุข ทุกข์เพิ่มขึ้น มีบาป มีบุญเพิ่มขึ้น จะเกิดกรรม ก็สั่งสมเป็น อัตตา หรืออัตตภาพ สั่งสมเป็น พลังงาน อยู่นานแสนนาน นับเวลาไม่ได้ นานกว่า โลกลูกหนึ่งด้วย อายุของอัตภาพ แต่ละคน นานกว่าโลก ลูกหนึ่ง นานกว่า ๒ ลูก ๕ ลูกโลกด้วย ถ้าหาทางออกไม่ได้ วนเวียน นานนับชาติเลย จะงมงายอยู่อย่างนี้

        พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พลังงานจิต มีกรรมด้วย และมีวิบาก ทรงไว้เรียกว่า ธรรมะ สั่งสมไว้ สิ่งที่สั่งสมไว้นี่ เปลี่ยนแปลงได้ ที่สั่งสมเป็น อัตภาพ มีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีตัวตน แต่สามารถ สลายตัวตนได้ เป็นอเทวนิยม

        ส่วนศาสนา หลายสาย เป็นเทวนิยม แต่ของพระพุทธเจ้าเป็น อเทวนิยม ในทุกศาสนา มีพุทธเป็นศาสนาเดียว ที่สลายอัตภาพได้ เช่นอาตมา เคยสมมุติ ธาตุที่เป็นธาตุน้ำ ผู้ศึกษาวิทยาศาสตร์ สามารถ แยกธาตุน้ำได้ ซึ่งมันประกอบด้วย แก๊ส ออกซิเจน กับ ไฮโดรเจน มันจับตัวกัน หากไม่มีพลังงานอะไร มาแตกตัว แยกมัน มันก็เป็นน้ำไป แต่ถ้ามีพลังงาน มาแยกธาตุได้ มันก็แยก เป็นแก๊ส ธาตุน้ำก็หายไป อัตภาพของคน ก็สูญหายได้ นิพพานคือ ทำให้อัตภาพ หายไปได้ สลายไปได้ เช่นเดียวกับ การแยกสลายน้ำ ออกเป็นแก๊ส ซึ่งไม่ง่าย หากทำได้ เป็นสัดส่วนที่ดี ก็ทำได้ แต่ไม่ง่าย

        การจะสร้างอัตภาพ ทางธรรมชาติ ก็ไม่ง่าย การสลายก็ยาก พลังงานทั้ง ๕ อย่างนี้ ถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า จะรู้เองไม่ได้ ต้องสืบทอด มาจาก พระพุทธเจ้าองค์ก่อน รู้เองไม่ได้ ผู้รู้เอง ก็คือพระพุทธเจ้า เป็นสยัมภู แต่ถ้าบอกว่ารู้เอง ในธาตุที่จะ ปรินิพพานนี้ พระพุทธเจ้า เป็นยอด ผู้ที่ทำได้ องค์ไหนไม่เป็นพระพุทธเจ้า ก็ไม่ใช่เจ้าของ

        เรียงลำดับจาก ปัจจัตตัง ปัจเจก และเป็น สยังอภิญญา ก่อนมาเป็น สยัมภู

        กรรมมาจากไหน?... กรรมของคนนี่แหละ ที่เป็นมวลของ แต่ละชาติประเทศ ที่ทำตามวัฒนธรรม กฎเกณฑ์ หลายคนก็ทำไม่ผิด ตามกฎหมาย จารีต ประเพณี วัฒนธรรม ที่มนุษย์ในสังคมนั้นกำหนดว่า อะไรดี อะไรชั่ว อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ

        พลังงานระดับมโนหรือจิต ถ้าไม่มีญาณปัญญา ไปหยั่งเข้ารู้ พลังงานเหล่านี้ ก็ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ทางจิต คือนักปฏิบัติธรรม ที่จะมีกล้อง จุลทรรศน์ ทางจิตวิญญาณ มาหยั่งรู้จิต นักปฏิบัติธรรม สามารถรู้จิตวิญญาณ ตนเองได้ แต่ว่าจะไปรู้ จิตคนอื่นนั้นยาก แต่เป็นได้ อย่างพระพุทธเจ้า ท่านรู้ได้ หรือ ผู้มีบารมี เพียงพอ ก็รู้ได้ เป็นอาเทสนาปาฏิหาริย์ อาตมาก็พอมี ไปหลงเล่น หลงฝึกอยู่ ก่อนมาบวช มีทั้งอาเทสนาปาฏิหาริย์ และ อนุสาสนี ปาฏิหาริย์ ซึ่งพระพุทธเจ้า ไม่ส่งเสริม

        พลังงานของมนุษย์ เกิดจากกรรม ที่สั่งสม กรรมเป็นกำเนิด เป็นเผ่าพันธ์ เป็นสรณะ แล้วเราเป็น ทายาท เป็นเจ้าของ อำนาจกรรม ที่เราทำ อำนาจนี้ เป็นของตน แล้วมันจะออกผล ถ้าไม่สามารถ จะกำหราบไว้ มันก็ออกฤทธิ์กับเรา ห้ามไม่ได้ เป็นพลังชั่ว ก็ออกมาทำงาน โดยตนเอง ไม่รู้ว่าชั่ว แต่ว่าบางที รู้ทั้งรู้ว่าชั่ว แต่ถ้าถึงขั้น หน้ามืดแล้วหยุดไม่ได้ อาจหลงว่ามันดีด้วย ยกตัวอย่าง คนฆ่าคน ได้แม่น ยิ่งแม่นฆ่าได้ กลับดีใจ ปลาบปลื้ม ยินดีในการทำชั่ว ยินดีในการเอาชนะ คะคาน ได้อำนาจ สิ่งที่ตนต้องการ แต่เป็นพิษภัย ต่อคนอื่น

        ฝ่ายที่ต่อสู้ทางการเมือง แล้วทำรุนแรง เขารู้ว่าผิด หรือรู้ว่าชั่ว แต่อำนาจกิเลส ที่เขามี ก็ทำให้เขาทำ เขาตกเป็นทาส อำนาจโลก เช่นลาภ ยศ สรรเสิรญ กามและอัตตา มันยึดว่า กูจะต้องเอา ต้องเป็น นี่คือผู้อวิชชา ไม่รู้ตัว แม้ฟังภาษาไป ก็ไม่รู้ ยกตัวอย่าง คุณทักษิณ ก็รู้ภาษาเก่ง แต่ว่าเขาไม่มี ญาณทัศนะ ในการหยั่งรู้จิต เขาเห็นคนอื่น ฉิบหาย ทรมาน ก็ไม่รู้ ยกตัวอย่าง นายกฯ คนปัจจุบัน รู้ว่า เลือกตั้งก็เสียหาย ฉิบหาย ๓๘๐๐ ล้าน ก็จะทำ ไม่ใช่เงิน ของนายกฯ เป็นเงินของประชาชน ทั้งชาติ

        นี่คือสิ่งที่ คนชั่วทำชั่ว ทั้งๆที่รู้ เมื่อเลือกตั้งแล้ว ฉิบหายไป ๓๘๐๐ ล้าน ก็ทำสำเร็จแล้ว ตำน้ำพริก ละลายแม่น้ำไปแล้ว แล้วก็ยังต้อง เสียเพิ่ม ทำซ้ำซ้อน เสียหายเพิ่มอีก นี่คือ อวิชชา โง่เง่า เขาเรียกว่าโง่

        คำว่าโง่นี้ เป็นลักษณะจริง ของจิตวิญญาณ รู้กันทั่ว ดูในกูเกิ้ลได้เลย มันลงตัว ระหว่างรูปกับนาม

        การเลือกตั้งครั้งนี้ มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง

        เกิดความสูญเสีย มากมาย และส่อให้เห็นอะไรอีกมาก ทำให้เรารู้ ทั้งแนวกว้างและลึก เลือกตั้งไปแล้ว มีคนมาเลือก ตั้งแต่ ๒๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ แต่คน ไม่มาเลือกตั้ง มีกว่า ๗๐ เปอร์เซ็นต์ เรียกว่า แพ้หมดตูดเลย หรือมีคนได้เป็นสส. ด้วยคะแนน ๑ คะแนน ถ้าได้เป็นนะ น่าจะลง กินเนสบุ๊ค มันชอบกลนะ พิศดารวิตถาร แปลกมาก ที่ไม่เคยเกิด ก็เกิดในประเทศไทย

        เรื่องของอำนาจนี้ อาตมาได้อธิบาย ไปหลายนัยแล้ว คืออำนาจ ที่เกิดจาก มโนหรือวิญญาณมนุษย์ มีพลังงานดีและไม่ดี พลังงานไม่ดี เป็นพลังงาน เบียดเบียนตนและท่าน ส่วนพลังงานดี เป็นความไม่เบียดเบียน ตนและท่าน แต่มีประโยชน์ต่อ ตนและท่าน

        Authority เป็นพลังงานดี ส่วน Force เป็นพลังงานไม่ดี

        ในโลกก็ทำอำนาจ คนมีอัตตา ก็สร้างตัวตน ด้วยอำนาจไม่ดี อำนาจนี้ เสริมด้วย ยศ ลาภ ตำแหน่ง คนก็เลย ชอบแสวงหา แย่งชิงโลกธรรม ด้วยอวิชชา นึกว่าเป็นของ น่ามีน่าเป็น แต่เดรัจฉานมันไม่แย่ง สรรเสริญเยินยอ แต่มันมีแย่งลาภ กักตุนบ้าง ในสัตว์หลายชนิด

        แต่มนุษย์ ก็สะสมโลกธรรม แล้วเรียกว่า เป็นความเจริญ หรืออาริยะ โลกทั้งโลก ไม่รู้อาริยะแท้ หรือทางบาลี เรียกว่า อริยะ กับ โลกียะ

        อริยะนั้นทวนกระแส เข้าใจว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นโลกีย์ ไม่มีประโยชน์เป็นโทษ แต่อาศัยใช้สอย ตามสมมุติของโลก เรารู้แล้ว ก็ไม่ต้องไปสะสม ทั้งลาภ ยศ สรรเสริญ มาเป็นอำนาจ มาแจกมาให้เขา แล้วให้เขาเป็นทาส ไม่ต้องทำ

        ยศ ตำแหน่งหน้าที่ คือการกำหนดงาน ให้ผู้นั้นทำ ผู้นั้นมีความสามารถ ก็มียศเอง ไม่มีใครกำหนด ยิ่งเป็นงานกุศล ก็ทำได้เลย ทำแล้ว ไม่ต้อง ไปยึดถือ แต่คนโลกีย์ ก็มีตัวตน จะเอาอำนาจที่สร้างนี้ มาต่อรอง สั่งสมกอบโกย เพื่อได้เปรียบ มากขึ้นๆ ก็เลยสะสม แย่งชิง ทำร้าย เกิดทุกข์ร้อน ในสังคม ก็เลยหลงสร้าง Force ที่เบียดเบียนตน เขาโง่ที่ไม่รู้ ส่วนผู้รู้แล้วก็ไม่ทำ เบียดเบียนตนและท่าน ไม่ต้องเอา มาเป็นของตัวตน

        แต่มีความซ้อน สิ่งที่เราไม่เอา เราให้เขานั้นแหละ เป็นของเราจริงๆ ให้ด้วยไม่ต้องการ มาเป็นของเราจริงๆ มีจิตที่คิดจะให้จริงๆ ทำได้ก็เกิดจริง เป็นสัจจะที่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วทำได้

        ตนจะพึ่งตนได้ ไม่เบียดเบียนใคร มีประโยชน์ต่อผู้อื่นมาก เป็นคนเจริญ มีสมรรถนะ ความรู้ สามารถ เกื้อกูลคนอื่น ตนเองทำมาก แต่ไม่เอามา บำเรอตน ก็เหลือมาก ไปเผื่อคนอื่น

        พลังงานที่สร้างมา เพื่อคนอื่น คือ Authority ส่วนอำนาจ ที่เอามาแก่ตนมากๆ คือ Force
        ทั้งแรงงาน ความรู้ เป็นองค์ประกอบ คนก็อาศัยแรงงาน ความรู้ กรรมกิริยา มาเป็นประโยชน์ หรือเอาไปทำร้าย ทำลายคนอื่นได้ สั่งให้ทำต่อไป เป็นทอดๆ ไปจัดการคนอื่น โดยต้นทาง ไม่มีใครรู้เลยว่าเป็นใคร ซับซ้อน หลายชั้นมากเลย

        อำนาจ ในทางการเมือง เช่น อำนาจที่ใช้ในประชาธิปไตย (อธิปไตย แปลว่าอำนาจ) ในระบอบ ประชาธิปไตย อำนาจเป็นของ ประชาชน ทุกคน มีอำนาจ ๑ คน ๑ อำนาจ เกิดมาก็ได้ทุกคน แต่สุดท้าย ไม่ได้จริง ถูกเขาริบ เอาไปใช้ ถูกหลอก ถูกบังคับ สารพัดวิธี ที่จริงอำนาจ เป็นของประชาชน รู้กันทั่วโลก ในรธน.บัญญัติไว้เลย

        มาตรา ๑ (รูปแบบรัฐ)ประเทศไทย เป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้
        มาตรา ๒ (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทย มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข
        มาตรา ๓ (อำนาจอธิปไตย) อำนาจอธิปไตย เป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้น ทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่ง รัฐธรรมนูญนี้ การปฏิบัติหน้าที่ ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กร ตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตาม หลักนิติธรรม
        มาตรา ๔ (ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค) ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค ของบุคคล ย่อมได้รับ ความคุ้มครอง
        แต่ละคนมาประท้วงนี่ ในรธน.มีบอกไว้ ให้เรามีสิทธิ์ประท้วงได้ มาช่วยดูแล ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่เขาว่า นักบวช ไม่ควรยุ่ง เกี่ยวการเมือง แล้วนักบวช ไม่อยู่ใน ชาติ ศาสน์ กษัตริย์หรืออย่างไร?
        อำนาจเป็นของประชาชน ที่เขาแย่งชิงกัน ก็คือประชาชน กับรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลนั้น เป็นอำนาจ ลำดับที่ ๗ ซึ่งประชาชน เป็นคนสร้างรัฐบาล ก็เปลี่ยนกันไป เป็นรัฐบาล ให้ไปทำงาน แทนประชาชน แต่หลงตัวยึดว่า เป็นอำนาจตน ไม่เห็นหัว ประชาชน อย่างเลือกตั้ง กับปฏิรูป สองคำนี้ ในสังคมก็รู้กัน ประชาชน ต้องการปฏิรูปก่อน ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง คือรัฐบาลนึกว่า ตนมีอำนาจ ก็จะเลือกตั้ง ก่อนปฏิรูป ประชาชน ก็ยืนยันว่าไม่ได้ รัฐบาลไปสร้างโลกธรรม เป็นค่ายกล เอาโลกธรรมไปผูกคนไว้ เป็นค่ายกล เลือกตั้งทีไร ก็เข้าในค่ายกล เหมือนในหนังจีน ใครเข้าไป ก็เรียบร้อยเขา คนไหนเป็นบริวาร ถูกเขาซื้อไว้ ก็เป็นตัวจักรกล ในรัฐบาลนี้ เขาได้สร้างมา ตั้งแต่พศ. ๒๕๔๔​ เขาพูดอย่าง โอหังเลยว่า ส่งเสาไฟฟ้าลงก็ได้ แล้วก็ทำได้ด้วย เป็นค่ายกล ที่ทุเรศมาก ต่างชาติเขางงว่า เลือกตั้งทำไมไม่ดี เขาว่า เลือกตั้งเป็นประชาธิปไตย แต่เขาไม่รู้ว่า ของไทยเรา มันโกงมากมาย เลวร้ายกว่า ต่างประเทศมาก เขางงว่า ประชาชน มาประท้วงว่า ไม่เอาเลือกตั้ง พวกเราก็อธิบายได้ลำบาก

        เมื่อแย่งชิงระหว่าง เลือกตั้งกับปฏิรูป แต่อำนาจประชาชน เป็นอำนาจลำดับ ๑ จะแสดงตัวอย่างไร ก็ออกมา ประท้วง เป็น Authority มารวมกัน มีมวล (Quantity) และมีคุณสมบัติ คุณภาพแท้ (Quality) ก็มาระดมพลกัน พวกแดง เขาก็รวมไม่ได้มากเท่า ก็เลยเปลี่ยนสี ไปใส่สีขาว

        เมื่อเกิดการเปรียบเทียบวัดกัน แล้วใครดีงามกว่ากัน ต่างคนต่างแย้ง ว่าตนดี ก็ต้องอาศัยตุลาการ ที่เป็นสถาบันหลัก และในสถาบันศาล หรือตุลาการ เป็นอำนาจ ที่มาจาก พระปรมาภิไธย ส่วนอำนาจ นิติบัญญัติ และบริหาร มาจากประชาชน

        ที่จริงอำนาจรธน.นั้น ต้องมาจากประชาชน หรือที่จริง รธน.ไม่มีก็ได้ ถ้าประชาชน เข้าใจประชาธิปไตยแล้ว อย่างอังกฤษ เขาไม่มีรธน. แต่มีประชาธิปไตย แบบจารีตประเพณี แต่ว่าประเทศอื่น ก็ต้องมีอยู่ เมื่อสร้างรธน.แล้ว ประชาชน ก็กลับมาอยู่ใต้รธน. แต่เมื่อฉีกรธน. ก็ประชาชน มาเป็นใหญ่ แล้วก็ถ้าไม่ร่างรธน.นั้น ประชาชนก็มีอำนาจ อย่างมากอส เมื่อได้อำนาจ ก็ร่างรธน. ให้ตนมีอำนาจ ก็เป็นได้

        สรุปว่า อำนาจที่ ๑ เป็นของประชาชน
        อำนาจที่ ๒ เป็น รธน.
        อำนาจที่ ๓ เป็นอำนาจตามรธน. ที่ว่าไปตามบัญญัติ เรียกว่า นิติรัฐหรือนิติธรรม ประชาชนต้องปฏิบัติ ตามรธน. ตามกำหนดไว้ แยกเป็น อำนาจของกระทรวง แต่ละบุคคล แต่ละกรมกอง อีกมากมาย แม้อำนาจ เลือกคนมาร่างรธน. ก็กำหนดอีก
        อำนาจที่ ๔ อำนาจเลือกตั้งตัวแทน ไปเป็นตัวแทนประชาชน เป็นกฎหมายเลือกตั้ง
        อำนาจที่ ๕ เป็นอำนาจตามกฎหมาย ประชาชนก็ไปทำตาม กฎหมายเลือกตั้ง ได้ตัวแทน ไปเป็นสส.ในสภา ที่จะออกกฎหมาย เป็นอำนาจที่ ๕ คนที่หลงว่า อำนาจเป็นของตน ทั้งที่ตนเป็นตัวแทน
        อำนาจที่ ๖ นายกฯ ที่เกิดจากอำนาจที่ ๕ เลือกนายกฯ มาอีกที

        การที่ประชาชน ที่เป็นอำนาจที่ ๑ มารวมกัน ประท้วงเป็น ล้านคน แล้วนายกฯก็ไม่รู้ หาว่าตนมีอำนาจที่ ๑ แต่ที่จริง เป็นอำนาจ ในกระจกเงา ประชาชนนั้น เลือกคนไปทำงาน ในกระจกเงา ประชาชนยืนมองกระจก ก็ว่านายกฯ คือฉันๆทั้งนั้น แต่ว่านายกฯ อยู่ในกระจกเงา มองอย่างไรก็คือ ประชาชน ๑ คน เท่านั้นเอง

        ประชาชนบอกว่า จะปฏิรูปก่อน แต่ว่านายกฯบอกว่า จะเลือกตั้งก่อน ประชาชนบอกว่า ทำไม่สำเร็จหรอก ฉิบหายด้วย แล้วนายกฯ ก็ไม่รู้อีก ก็ดันทำอีก ประชาชน ก็ต้องเอา นางแม่มด เหมือนในเรื่อง สโนไวท์ ออกไปจากกระจก ที่ประชาชนเคยเห็นว่า เป็นนางงาม เอาเข้าไปในกระจก ไปทำงาน แต่ที่จริง เป็นนางแม่มดร้ายกาจ ดึงดันทำเสียหาย ต่อไป

        อำนาจของตน ที่หลงตนว่า ตนเป็นเจ้าของอำนาจ เขาใช้ Force ตลอดเวลาเลยไม่ใช่อำนาจ ถูกหลักธรรม Authority เสื่อมมากในไทย แต่ดีที่ ความเลวนั้น อยู่ที่นักการเมืองที่ทำ ตั้งแต่นายกฯ และลิ่วล้อ แม้ข้าราชการประจำ ที่กินเงินเดือนประชาชน ที่ประชาชน จ้างมาเป็นผู้รับใช้ แม้นายกฯ ก็เป็นผู้รับใช้ ประชาชน ประชาชนเป็นนายจ้าง แต่พวกนี้ หลงตัวหมดเลย

        นายจ้างบอกว่าผิด ก็ไม่ฟังเสียง จนประชาชน เอาอำนาจ มวลประชาชน มามากมาย มาเป็นหมู่คณะ เขาก็เอาฝ่ายแดง มาเป็นกำแพงเหล็ก ให้แก่ตนเอง แต่สร้างเท่าไหร่ ก็ไม่ได้ เขาไปพูดอยู่มุมหนึ่ง ว่าเลือกตั้ง ได้คะแนน ๑๕ ล้าน ที่จริงเกิดจากการเลือกตั้ง โดยค่ายกลทางการเมือง เป็นเรื่องเลวร้าย ทุจริตสารพัดวิธี และก็เป็นแค่ อำนาจเลือกตั้ง เป็นอำนาจแห้ง แต่ประชาชนมานี่ เป็นอำนาจสดๆเลย เขาก็มาอ้างว่า ฉันเป็นรัฐบาลนะ ถูกเลือกจากอำนาจ ๑๕ ล้านคนนะ โมเมเถียง ข้างๆคูๆ พวกนี้โง่ไม่เสร็จ พูดอีกเมื่อไหร่

        เมื่อสิ่งที่เป็นไป มีความจริงปรากฏว่า ถูกต้องหรือไม่ เสียหายหรือไม่ ถูกหรือผิด คนก็มีปฏิภาณ ปัญญารู้ได้ แต่เขาดึงดันไป จนเลือกตั้ง ทั้งที่กกต. มีอำนาจ มากกว่านายกฯ ยิ่งเป็นนายกฯรักษาการ ที่ยุบสภาแล้ว ได้แต่แบกหัวโขน เท่านั้น รำไม่ได้นะ ถือหัวโขนไว้เฉยๆ กกต.มีหน้าที่ เลือกนายกฯใหม่ แต่กกต. ก็มีมารยาท ถือว่าเขายังรัก ตำแหน่งอยู่ ที่จริงกกต. เลื่อนวันเลือกตั้งได้ ตามพระบรมราชโองการ แต่นายกฯ มาแสดงอำนาจ อันไม่มีอำนาจ บอกว่า ต้องวันนี้แหละ วันที่ ๒ นี้แหละ เลื่อนไม่ได้ กกต.ก็ไม่อยาก หักด้ามพร้าด้วเข่า บอกไว้ก่อนว่า จะเกิดปัญหานะ แต่ก็ทำจนได้ ประชาชน ก็มาประท้วง มากมาย    

        เกิดเหตุที่สุดจะหน้าด้าน หน้าทน มันทั้งโง่เซ่อ ดันทุรัง เอาชนะคะคาน ฉิบหายชั่งหัวมัน คือมันเกินรู้ ทั้งรู้ว่าฉิบหาย เห็นชัดเจนว่า มันเป็นไปไม่ได้ คาราคาซัง กันทุกอย่าง แล้วโมฆะด้วย ผู้รู้รู้กันหมด เหลือแต่ให้ศาล พิพากษา เท่านั้น เสียเวลา แรงงาน เงินทอง ข้าวของ ที่จะเสียหน้านั้นไม่เสียเพราะเขา ไม่มีหน้า ให้เสียแล้ว

        เป็นอำนาจงมงายหลง ในประเทศไทย นี้การแสดงออก ในอำนาจที่ผิด แม้ประชาชน ที่ไม่ค่อยฉลาด ไม่รู้ประชาธิปไตย การเมืองมาก ก็ยังรู้ เด็กๆก็รู้ เป็นการสูญเสีย ที่น่าอายไปทั่วโลก แต่ก็เกิดประโยชน์บ้างว่า ผู้ใหญ่ขี้กองใหญ่ ให้เด็กเห็น คือทำความสกปรก เลอะเทอะ เด็กก็ไม่ประสีประสา ก็ยังเห็น ว่านี่คือของเหม็น ของสกปรก ขี้คืออย่างนี้

        คือทำชั่ว จนคนตาบอดเห็นได้ ก็เลยเกิดการตื่นรู้ ประชาชน ตื่นรู้เป็นจริง ถือว่าดีที่ได้รู้จัก ประชาธิปไตย รู้ว่าอันนี้ผิด ทำนองคลองธรรม

        ถ้าผู้ใดศึกษา ตามหลักวิชา เกิดการพูด การบอก มีสารสนเทศน์ มีการแชร์กัน กระจายในยุคเทคโนโลยี เกิดความสมบูรณ์ ความได้แรงงาน มารวมกัน จึงเกิดปาฏิหาริย์ เรียกชุมนุมมาได้ เป็นจำนวนล้านคน ยังไม่เคยเกิด ในไทยเลย ที่มาเป็นล้านคน มาอย่างลำบากลำบนด้วย และต่อเนื่อง หลายครั้ง เชื่อว่า ประชาชน ตื่นรู้แล้ว เรียกเมื่อไหร่ รับรองได้สองล้าน ๑๐ ล้านได้ ถ้ามีเหตุเพียงพอ เช่น มาไล่ตัวไม่ดี อันนี้ก็มาแน่

        ไม่ใช่บังเอิญ ไม่ฟลุ๊ก และไม่หลอกด้วย สมมุติว่า สุเทพ มีพลังพิเศษมาหลอก ถ้าเขาทำงานขณะนี้ มีพลังแฝง มีเงินทอง แรงงาน ความสามารถ ทำเสร็จแล้ว ไม่ขอรับ ตำแหน่งใดๆ เลิกแล้ว พอแล้ว ถือว่าสุดยอด ที่ได้ทำดีมาแล้ว งานนี้ดีจริงๆ คุณทำตามที่พูดเถอะ ถ้าสำเร็จเอาไปเลย รัฐบุรุษ ของประเทศ ใครไม่ให้ อาตมาให้เลย เป็นนักรัฐศาสตร์ ได้ทำรัฐกิจ ทำให้เกิดประชาธิปไตย ประชาชน ออกมาทวงคืนอำนาจ ชนะอย่าง สงบ ไม่ฆ่าแกงรุนแรง แต่ที่รุนแรงตอนนี้คือ

        ๑.อีกฝ่ายหนึ่ง ทำรุนแรง จนคนเจ็บตาย หลายคน เหมือนรุนแรงแต่เบา เขาอยากฆ่ามากเลย แต่ทำไม่ได้ ในเหตุการณ์การต่อสู้ ในปัจจุบัน จึงเป็น คุณสุเทพ และแกนนำ มาช่วยกันทำ กปปส. มีคุณสุเทพ เป็นเลขาธิการ กปปส. ทำได้ดีมาก ไม่บังเอิญ แต่เตรียมตัวมา ถ้าทำได้สำเร็จ สงบ

        ๒.การตอบโต้ไป ของฝ่ายเราบ้าง มีอดไม่ได้ ที่จะป้องกันตัว จิตวิญญาณกลัวตาย โกรธบ้าง แต่ส่วนใหญ่ ของหมู่สงบ ให้คะแนนถึง ๙๕% เป็นความสงบ เศษอีก ๕% ที่เกิดนี้ คนมาก และยาวนาน ถือว่าได้ผลแล้ว ความรุนแรงนั้น มวลมหาประชาชน ไม่ได้เป็นคนก่อ เป็นการประท้วง ตามรธน. อย่างสมบูรณ์

        ถ้าปฏิวัติสำเร็จ ประชาชนได้อำนาจ แล้วเอามาทำตาม ครรลองคลองธรรม ให้สร้างสภาประชาชน เลือกอย่างได้สัจจะ มีผู้มีปัญญาความรู้มาทำ มีคณะก่อการ แล้วมีเลือกคณะถาวร มาบริหารชั่วคราว แล้วก็ตราบัญญัติ สิ่งที่จะเป็นหลักฐาน เช่น รธน. ทำให้เป็นรธน.โดยประชาชน ของประชาชน เพื่อประชาชน แล้วจะได้มี คณะทำงานถาวร คณะก่อการ ก็เลิกไป ถ้าทำได้นี่ ถูกครรลองคลองธรรม  ถ้าสุเทพทำสำเร็จ อาตมาตั้งเป็น รัฐบุรุษเลย

        แต่คนอาจคิดว่า สุเทพอาจมีกิเลส ต่อไปเขาก็จะเปลี่ยน หรือว่าถ้าสำเร็จแล้ว ประชาชนยกให้เขาทำเลย ให้เขาช่วยร่าง ถ้าประชาชน ยกให้หมดเลย ก็ต้องให้เขาทำ แต่ถ้าสุเทพจะว่า คนอาจระแวง ก็ให้คนอื่นทำ เป็นคณะก่อการไป มาร่างรธน. และกฏหมาย แล้วได้มาก็ปฏิบัติ ได้สส. ได้นิติบัญญัติ บริหาร มาใหม่ เป็นคณะถาวร ถ้าได้คนดี หลักเกณฑ์ก็ดี มันก็จะยืนนาน อย่างน้อย ก็ได้คนที่มาตอนนี้เป็นฐาน แล้วอยู่ที่การศึกษาต่อไป ให้คนมีศีลธรรม มีธรรมะ
        เพราะกิเลส เป็นตัวก่อกวน เป็นตัวร้ายเลย ถ้าความรู้ใด ที่ไม่มีความรู้ลดกิเลส ความรู้นั้น เป็นความรู้ ที่เป็นพิษภัย เป็นโทษทั้งสิ้น คานธี ก็ว่าการเมืองใด ไม่มีธรรมะ เข้าไปในการเมือง การเมืองนั้น ไม่ใช่การเมือง

        ที่ไทยเรากำลังทำ เป็นงานการเมือง ให้ประชาชนมาปฏิวัติ เพื่อปฏิรูปประเทศ  ให้ไปสู่การเมืองใหม่ ค่ายกลเก่า รื้อทิ้งไปหมดเลย คุณสุเทพ ก็พูดทุกวัน ให้เอาระบอบทักษิณ ออกไป


๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ที่ เวทีสะพานพระราม ๘ กทม.