570305_พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ที่ป้อมมหากาฬ
เรื่อง ราชสีห์จริงกับราชสีห์กงเต็ก เป็นเช่นไร

        วันนี้พ่อครูเล่านิทาน ๑​ เรื่อง....เรื่อง ราชสีห์กงเต็ก....

        พวกที่คิดจะแบ่งแยกดินแดนนั้น เขาคิดจะแยกจริงๆ

        ถ้ามีการปฏิวัติรัฐประหาร โดยคณะที่มีกำลังทางอาวุธ และนักรบนักใช้อาวุธ จนคนกลัว และยอมให้คณะรัฐประหาร ยึดอำนาจสำเร็จ

        รัฐบาลที่ไม่ยอมเสียอำนาจ เป็นฝ่ายที่ประกาศว่า จะแยกประเทศ ก็จะไปยึดส่วนหนึ่ง ของประเทศไทย โดยกำหนดแบ่งแยก ขอบเขตพื้นที่ เท่าที่ทำได้ ก็เป็นกบฏ แยกแผ่นดิน โดยการอ้างว่า ตนเป็น “อำนาจแท้” ในแผ่นดิน เพราะเป็นเจ้าของอำนาจ ที่ได้มาก จากการเลือกตั้ง เป็นเจ้าของ อธิปไตยอยู่

        แล้วจะประกาศ เป็น “รัฐบาลพลัดถิ่น” อย่างมีเหตุผล เพียงพอ

        หากแม้นเหตุปัจจับเป็นเช่นนั้นจริง

        ก็จะเกิด “รัฐบาลพลัดถิ่น” ที่มีอาณาจักรของตนเอง เท่าที่ยึดได้ โดยไม่ยอม ขึ้นกับอำนาจ “แผ่นดินใหญ่” และเหมือนไต้หวัน ที่แยกออกมาได้ ...ไม่เหมือนฮ่องกง

        เพราะความยินยอม และองค์ประกอบต่างกัน

        แต่เหตุปัจจัย ที่จะทำให้เกิด เหตุการณ์ดังกล่าว คือ “การยึดอำนาจ ด้วยคณะรัฐประหาร” ยังไม่มี ยังไม่เกิด

        เกิดเพียง “ความถูกต้อง” ชอบธรรม

        คือ พลังอำนาจของ มวลมหาประชาชน ที่จะยึดอำนาจ คืนจากรัฐบาล มีกำลังเกิด ปรากฏการณ์ แผ่รังสีแห่งราชสีห์ อย่างสง่างามยิ่งนัก จนอึ่งอ่าง ที่หยิ่งผยอง หลงตนว่า เป็นเจ้าป่า เจ้าแห่งอำนาจ ทั้งๆที่ตัวเอง เป็นแค่เจ้าป่าเก๊ เพราะได้รับเลือกตั้ง มาอย่างทุจริต อกุศลนานาสารพัดวิธี ได้ “ราชสีห์กงเต๊ก” ที่แค่ ๔๙ วัน ก็มีรูปร่างเป็น “อึ่งอ่างพองลม”  ขึ้นมาให้คนงมงาย ที่ตามืดตาบอด หลงว่า เป็น “ราชสีห์แท้” จึงยึดมั่นถือมั่น ว่า ตนเป็นเจ้าป่า อยู่นั่นแหละ

        … “ฉันเป็นนายกฯ จากการเลือกตั้ง”
        … “ฉันเป็นประชาธิปไตย”
        … “ฉันเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย”
        … “ฉันจะตายคาสนามรบประชาธิปไตย”

        ยิ่งประชาชน เจ้าของประเทศไทย ได้แสดงตัว แห่งความเป็น “พระยาราชสีห์ตัวจริง” คือ มวลมหาประชาชนคนไทย ที่ได้ออกมาคำราม หลายเที่ยว ตั้งแต่วันที่ ๒๔ พ.ย. ๕๖ , ๙ ธ.ค. ๕๖ , ๒๒ ธ.ค. ๕๖ , และ ๑๓ ม.ค. ๕๗ เป็นต้น

        จนกระทั่ง ออกมาแสดงตัวตน แห่งเจ้าของ อำนาจอธิปไตยของจริง ต่อโลกชัดเจน

        แสดงรังสีแห่งความเป็นพระยาราชสีห ์อย่างสง่างาม สงบ สุภาพ ไม่มีอาวุธ ไม่เบ่งจนขี้แตก เหมือน “ราชสีห์กงเต็ก” หรือ อึ่งอ่างพองลมเลย

        แม้ว่า จริงๆ นั้นประชาชนมีอาวุธ, ทหารมีอาวุธ, แต่ด้วยความเป็น พระยาราชสีห์ เจ้าป่าตัวจริง ที่มีเขี้ยวเล็บ จึงไม่จำเป็นต้องใช้ “อาวุธ” โชว์ อาวุธ หรือ แค่แง้มเอาอาวุธ ออกมา แต่อย่างใด

        แม้แค่พูดว่า ตนมีอาวุธจ จะใช้อาวุธ ก็ไม่เคยพูด ไม่เคยขู่ด้วยเสียง พระยาราชสีห์ เจ้าป่าตัวจริงเลย

        แต่ราชสีห์กงเต๊ก ถูกรังสี ราศีของกัมมันตรังสี แห่งพระยาราชสีห์ตัวจริง เข้าอย่างแรง อย่างมีธรรมฤทธิ์

        “ราชสีห์กงเต็ก” ก็เลยร้อย เอ๋งๆ สำรอกออกมา เสียงหลง ว่า...ฉันมีปืน ๑๐ ล้านกระบอกนะ!... ฉันจะแยกแผ่นดินนะ! เป็นต้น

        ว่าแล้ว... “อึ่งอ่าง” พองลม ก็เบ่งลม พองตัวขึ้นๆๆๆ ด้วยรูปลักษณ์ ที่ยิ่งอัปลักษณ์ ของอึ่งอ่างพองลม ด้วย การเรียก มวลชนของตน ออกมาชุมนุม ให้เห็นรูปร่างของ “ราชสีห์กงเต๊ก” เพื่อแข่งรูปร่างของ “พระยาราชสีห์ตัวจริง” ที่ได้แสดง “ตัวตน” มาแล้วในวันต่างๆ ตั้งแต่ ๒๔ พ.ย. ๕๖ เป็นต้น ตั้งหลายครั้ง หลายครา

        ซึ่งรูปลักษณ์ ก็ยิ่งอัปลักษณ์ นั้นก็คือ มีกองกำลังพล แต่งเครื่องแบบ ออกมาเดิน สวนสนาม คุมพลโดย อดิศร เพียงเกศ บ้าง รวมคนเสื้อแดง แรลลี่ออกมา อันมี ธิดา ถาวรเศรษฐ  เป็นประธาน ออกมาลั่นกองรบบ้าง จารุพงศ์​ เรืองสุวรรณ ซึ่งเป็น ทั้ง รมต. และหน.พรรคใหญ่ ที่เป็นรัฐบาลแท้ๆ แสดงภาษาข่มขู่ เบ่งอำนาจ อย่างกบฏบ้าง

        สารพัดที่จะเสริมขนหัว ขนหาง “ราชสีห์กงเต็ก” ระบายสีให้เตะตา พวกประชาชน คนตาบอด ทั้งหลาย ให้หลงสีสัน ต่างๆบ้าง เป็นต้น

        แต่แล้ว ก็ยังไม่ได้คะแนน ไม่เข้าตา ประชาชนคนไทย ได้สำเร็จอีก

        จนสุดสิ้น สุดแค้น แน่นอก ฟกช้ำ ต้องสำรอก ความลับออกมา ก่อนเวลา ที่ควรจะเป็น

        นั่นก็คือ สำรากออกมาว่า

        จะแยกประเทศ จะแบ่งแยกแผ่นดิน

        จะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น

        ซึ่งการแสดงออกทั้งวาจา ทั้งองค์ประกอบอื่นต่างๆ จนเข้าข่าย ส่อแสดงได้ชัดเจนว่า มีทั้งเจตนามุ่งมั่น มีทั้งการซ่องสุม ประชุมกัน มีทั้ง การวางแผ่นไว้จริง มีทั้งการเตรียมการพร้อม ในการเป็นกบฏ

        และแล้วก็ได้เริ่มต้น ประกาศการกบฏ ออกมาแล้ว

        ...แสดงพลังมวลชน ที่จะทำการตามแผนแล้วว่า นี่คือ คณะกบฏตัวจริง และได้ลงมือ ทำการกบฏแล้ว ด้วยขั้นที่ ๑ ขั้นที่ ๒ มาตามลำดับ

        แล้วประเทศไทย จะให้ “รัฐบาลเก๊ - อึ่งอ่างพองลม – ราชสีห์กงเต๊ก” นี้อยู่ในพื้นแผ่นดิน แห่งไทย ต่อไปอีก อยู่หรือ?

        ผู้มีหน้าที่ก็จัดการ จับกบฏ เข้าคุก ตัวกบฏเอง ก็หมดอำนาจแล้ว ตามการกระทำ ที่ได้ทำความผิด สำเร็จแล้ว ซึ่งๆหน้า เห็นกันชัดๆ

        บุคคล ผู้มีสิทธิ์ต่อต้าน ด้วยวิธีการที่สันติวิธี ได้รวมตัวกันเป็น มวลมหาประชาชน ออกมาประท้วง ปรากฎแล้วจริง และกระทำได้อย่าง วิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ ชนิดที่ ไม่เคยทำได้เยี่ยงนี้ มาก่อนเลย คือ สงบ อหิงสา ไม่มีอาวุธ ตามบทบัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้

        คณะบุคคลที่เป็น มวลมหาประชาชน ที่ได้ออกมาประท้วง ต่อต้านสำเร็จ ถูกต้องตาม บทบัญญัติ ในรธน.นี้ ทุกมาตรา ตามที่รธน. กำหนดไว้ จึงคือ ผู้ถืออำนาจ ในการปกครองประเทศ ในกาละนี้ เพราะได้ต่อต้าน โดยสันติวิธี ทำหน้าที่ พิทักษ์รักษาไว้ซึ่ง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ไว้ได้ จากรัฐบาล ที่ได้กระทำผิด โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไป ตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ ในรธน.นี้

        ตอนนี้เหมือน แม่ของแผ่นดิน สองฝ่าย รัฐบาลนี้ เป็นแม่ปลอม ส่วนประชาชน เป็นแม่แท้ๆ ก็ต่อสู้แย่งชิงลูก คือแผ่นดิน พอทำไปก็เห็นว่า ตนจะแพ้ แม่ปลอม ก็จะตัดแบ่ง ลูกของตน ออกเป็นสองส่วน แล้วจะมีแม่แท้ๆที่ไหน จะแบ่งลูก ออกเป็นส่องท่อน เป็นอุทธาหรณ์ ชี้ให้เห็นว่า จะมีใครมาหั่นตัดลูก ออกเป็น สองส่วน ลูกคือแผ่นดิน คนที่คิดจะหั่น แบ่งแผ่นดิน คนนั้นฆ่าลูก คนนั้น ไม่ใช่แม่ตัวจริง ประชาชนก็ต้องช่วยกัน อย่าให้เขาแบ่งหั่น ลูกเลย

        เอาแค่คำว่าเลือกตั้ง กับไม่เอาเลือกตั้ง เขาก็มั่นใจว่า เอาเสาไฟฟ้า หรือ เอาไม้จิ้มฟันลง ก็ชนะเลือกตั้ง แต่ประชาชน ก็มาเปิดเผย ความผิด ไม่ชอบมา พากล ของค่ายกล คนก็ไม่เอาการเลือกตั้ง เป็นคำตอบ ที่ยืนยัน ความจริงชัดๆ เป็นรูปธรรม

        ตอนนี้ เป็นประชาชนปฏิวัติ ที่สำเร็จแล้ว แต่เขาก็ว่า เป็นนามธรรม ทั้งที่มันเป็นแล้ว เมื่ออำนาจของรัฐบาล หมดลง คณะปฏิวัติ คือคณะประชาชน ไม่ใช่ทหาร ไม่ใช่ประชาชน ที่ใช้อาวุธ แบบนั้นคนกลัวก็ยอม ซึ่งการได้มา ซึ่งอำนาจรัฐ นั้น อาตมาได้แยกออกเป็น ๕ แบบ

        ซึ่งการได้มาซึ่งอำนาจ ในการบริหารประเทศนั้น อาตมาแบ่งได้ ๕ แบบ
        . อำนาจเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข
        . อำนาจรัฐบาลที่ได้มาจากการเลือกตั้ง
        . อำนาจคณะรัฐประหารที่ได้มาจากการเลือกตั้ง
        . อำนาจประชาชนที่ปฏิวัติอย่างไม่สงบ มีอาวุธ รุนแรง
        . อำนาจประชาชนที่ปฏิวัติอย่างสงบ ไม่มีอาวุธ ไม่รุนแรง

        อำนาจที่จะวินิจฉัย กรณีใด ไปตามประเพณีการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ประชาชน จึงต้องช่วยกันทำ อย่างยุติธรรม ที่สุด ดีงามที่สุดเสียก่อน แล้วจึงนำขึ้น กราบถวายบังคมทูล จะได้ไม่ระคาย พระยุคลบาท

        เพราะอำนาจของประชาชน ทุกคนย่อมมีสิทธิต่อต้าน โดยสันติวิธี ตามบทบัญญัติไว้ใน รัฐธรรมนูญนี้ มาตรา๖๙ และมาตราอื่นๆ อีกมาก ที่สนับสนุน สอดคล้อง สมคล้อย ที่ต้องวินิจฉัย แล้วตัดสินกัน ให้สัมบูรณ์

        ดังนั้น ในปรากฏการณ์ของประเทศไทย ที่กำลังเกิด และดำเนินอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ มีสิ่งที่ต้องวินิจฉัย ในกรณี “อำนาจประชาชน ที่ปฏิวัติ อย่างสงบ ไม่มีอาวุธ ไม่รุนแรง” ตามธรรมเนียม ที่ได้กระทำกันมา ว่า จะเป็น “อำนาจประชาชนปฏิวัติ หรือรัฐประหาร โดยชอบธรรม” ซึ่งคณะกปปส. ก็ได้กระทำแล้ว เป็นที่ปรากฎ ตรงตาม การได้มา ซึ่งอำนาจ ในการบริหารประเทศ ในแบบที่ ๕

        แล้วจึงปฏิบัติ ไปตามบทบัญญัติ ในรธน.นี้ ตั้งแต่ มาตราที่ ๑ ,๒, ๓ และอื่นๆ อันสำคัญยิ่งคือ

จากมาตรา ๗ ของรัฐธรรมนูญฯ ๒๕๕๐ มีว่า

        ๑.ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้
        ๒.บังคับแก่กรณีใด
        ๓.ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตาม
        ๔.ประเพณีการปกครอง
        ๕.ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
       
        มาตรา ๒  ประเทศไทย มีการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข
        ซึ่งหมายความตาม มาตรา๓ ที่ทั้งแปลคำว่า “ประชาธิปไตย” ไว้ชัดเจนว่า

        อำนาจอธิปไตย เป็นของประชาชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจ ซึ่งเป็น “อธิปไตย” ที่เป็นของ ประชาชนชาวไทย” นั้น ทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้

        และวรรค ๒ ของมาตรา ๓ ก็กำกับบัญญัติ ไว้ชัดเจนว่า การปฏิบัติหน้าที่ของ รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล รวมทั้งองค์กร ตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลัก นิติธรรม

        นั่นคือ ๓ สถาบันหรืออื่นๆตามระบุไว้นั้น คือผู้มีหน้าที่ทำงาน ตามหลักนิติ ให้เป็นธรรม

        มีหน้าที่ทำได้ตาม หลักนิติ หรือ กฎหมาย กำหนดไว้ ถ้าไม่ทำก็ผิด ทำเกินก็ผิด ทำไม่เป็นธรรม ไม่ชอบธรรมนั่นเอง ก็ผิด

        สรุปชัดๆ คือ ผู้อาสาเข้าไปทำหน้าที่โดยรับจ้างมีรายได้ รับรายได้ ตอบแทนบ้าง ไม่ได้รับบ้าง

        แต่คือผู้สมัครใจทำงานนี้ เพื่อผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตัวเอง เพื่อประชาชนแท้ๆ เรียกว่า งานการเมือง

        ถ้างานการเมือง ก็ต้องเพื่อผู้อื่น เพื่อประชาชน ไม่ใช่งานเพื่อตัวเอง หรือเพื่อครอบครัว เพื่อพรรคพวกแน่ๆ

        ยิ่ง ผู้ใดทำงานเพื่อผู้อื่น เพื่อประชาชน ด้วยใจจริง สมัครใจเอง ไม่รับค่าตอบแทนเลย นั่นแหละคือ นักการเมืองแท้ๆ ตรงๆ

        มาตรา ๔
        ๑.ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
        ๒.สิทธิ
        ๓.เสรีภาพ
        ๔.และความเสมอภาคของบุคคล
        ๕.ย่อมได้รับการคุ้มครอง

        เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ บังคับแก่กรณีใด ตาม มาตรา ๗

        เช่น บทบัญญัติ ว่า ให้ “ประชาชนปฏิวัติ” ก็ดี ยึดอำนาจ จากรัฐบาล ก็ดี หรือ

        การกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มา ซึ่งอำนาจในการปกครอง โดยวิธีการซึ่งมิได้ เป็นไปตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้

        บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้าน โดยสันติวิธี ตามบทบัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๙

        ส่วนวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้

        บุคคลจะใช้สิทธิ์ และเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ ในการปกครองประเทศ นั่นต่างหาก ทำไม่ได้

        มาตรา ๖๘ บัญญัติไว้ว่า จะทำมิไม่ได้

        แต่มาตรา ๖๙ บัญญัติไว้ชัดว่า ทำได้ ถ้าทำโดย สันติวิธี ย่อมมีสิทธิ์ ทุกบุคคล

        ยิ่งเมื่อสิทธิ ของมวลมหาประชาชน ร่วมกันเป็นส่วนรวม นั่นแหละ คือพลังของ อธิปไตย แท้ๆ ที่ชนชาวไทย จะต้องทำหน้าที่ ตามมาตรา ๗๐ ที่ว่า บุคคลมีหน้าที่ พิทักษ์รักษาไว้ ซึ่งชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ และการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข

        มาตรา ๗๑ ยิ่งเป็นหน้าที่ของ ชนชาวไทย กันทีเดียว ที่จะต้องช่วยกัน ทำหน้าที่ คือ บุคคลมีหน้าที่ ป้องกันประเทศ รักษาผลประโยชน์ชาติ และ ปฏิบัติตามกฎหมาย

        มาตรา ๖๓ บุคคลย่อมมีเสรีภาพ ในการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธ

        โดยสงบ ก็คือ วิธีการที่ไม่รุนแรง หรือสันติวิธี ตามบทบัญญัติ ที่มีในรัฐธรรมนูญนี้ การจำกัดเสรีภาพ ตามวรรคหนึ่ง (ของมาตรา ๖๓) จะกระทำมิได้

        แต่ก็มียกเว้น ในกรณีการชุมนุม สาธารณะ นั้น ทำได้ เพราะยกเว้น เป็นต้น  

        ซึ่งก็มีข้อยกเว้นอื่นอีก เช่น

        เพื่อคุ้มครองความสะดวก ของประชาชน ที่จะใช้ที่สาธารณะ ก็ทำได้

        หรือ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ในระหว่างเวลาที่ประเทศ อยู่ในภาวะสงคราม ก็ทำได้

        หรือในระหว่างเวลาที่ ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม ก็ทำได้

        หรือในระหว่างเวลาที่ มีประกาศ สถานการณ์ฉุกเฉิน หรือประกาศ ในกฎอัยการศึก ก็ทำได้

        ซึ่งมาตรา  ๖๒ นั้น บุคคล ย่อมมีสิทธิ์ติดตาม และร้องขอให้มีการตรวจสอบ การปฏิบัติหน้าที่ ของผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง หน่วยงานของรัฐ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ

        และบุคคล ซึ่งให้ข้อมูล โดยสุจริต แก่องค์กรตรวจสอบ การใช้อำนาจรัฐ หรือหน่วยงานของรัฐ เกี่ยวกับ การปฏิบัติหน้าที่ ของผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ย่อมได้รับการคุ้มครอง

        โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรา ๕๘ บัญญัติ ไว้ถึงสิทธิของบุคคลชัดๆว่า บุคคลย่อมมีสิทธิ์ มีส่วนร่วม ในกระบวนการพิจารณา ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในการปฏิบัติ ราชการทางปกครอง อันมีผล หรืออาจมีผลกระทบต่อ สิทธิและเสรีภาพของตน และมาตรา ๕๙ รัฐธรรมนูญ ให้สิทธิแก่บุคคล ย่อมมีสิทธิ เสนอเรื่องราว ร้องทุกข์ และได้รับแจ้งผล การพิจารณา ภายในเวลา อันรวดเร็ว อีกด้วย

        แถมมาตรา ๖๐-๖๑-๖๒ ก็ยิ่งให้สิทธิ์แก่บุคคล อย่างบริบูรณ์ ที่จะฟ้ององค์กร ทุกองค์กร ที่เป็นของรัฐ ตามนิตินัย

        ที่จะพิทักษ์รักษาสิทธิ์
        ที่จะได้รับการคุ้มครอง

        ดังนั้น เมื่อไม่มีบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้ บังคับแก่กรณีใด ตาม มาตรา ๗

        ก็ให้ วินิจฉัยกรณีนั้น ไปตามประเพณีการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข

        เช่น ไม่มีบทบัญญัติ ว่า ให้ประชาชนปฏิวัติ หรือ ยึดอำนาจรัฐ

        แต่ อำนาจประท้วง ต่อต้าน เปลี่ยนแปลง หรือปฏิรูป ให้มีคณะบริหาร และคณะสภาใหม่ นั้น มีในรัฐธรรมนูญนี้

        ซึ่งประเพณี การปกครอง ขนบธรรมเนียม ที่เคยเกิดเคยทำมาแล้ว ก็เคยมีประเพณี การปฏิวัติด้วยอำนาจ ที่ต้องใช้คำว่า อำนาจที่เป็น Force ของคณะทหาร เป็นต้น หรือเมืองไทยเคยมี คณะราษฏร์ ที่ฝรั่งเรียกว่า coup d' Etat หรือรัฐประหาร ก็เคยมี  คณะผสมผสานกัน ก็เคยมากมาย หลายครั้ง ที่ปฏิวัติ ยึดอำนาจ เปลี่ยนอำนาจ กันมาเป็นประเพณี ซึ่งได้ใช้ “สิทธิอันไม่ชอบธรรม” แท้ๆด้วย ที่จริงนั้น ละเมิดสิทธิ อันชอบธรรม ไม่ใช่ได้สิทธิ

        ทั้งๆที่ การยึดอำนาจ เพื่อเปลี่ยนแปลง หรือปฏิรูป คณะบริหาร และคณะรัฐสภาใหม่ ที่เคยยึดอำนาจ มาด้วยอำนาจ Force อันเป็นอำนาจรุนแรง บังคับข่มขี่ นั้น ผิดกฎหมาย

        ไม่มีสิทธิจะทำ

        แต่คณะที่ปฏิวัติ ด้วยอำนาจ บังคับข่มขี่ ซึ่งผิดกฎหมาย และไม่มีบทบัญญัติ อนุญาตให้ยึดอำนาจ หรือขออำนาจจาก คณะรัฐบาลเลย แต่ก็ทำกันได้ และยอมรับ กันมาแล้ว เป็นตัวอย่าง เป็นขนบประเพณีที่จำยอม เคยยอมกันมาแล้ว ใช้ “สิทธิ” อันไม่ชอบธรรม นั้นมาหลายครั้งได้ เป็นประเพณี

        ประเพณี แปลตาม พจนานุกรม ราชบัณฑิตยสถานว่า สิ่งที่นิยม ถือประพฤติปฏิบัติ สืบๆกันมา จนเป็นแบบแผน ขนบธรรมเนียม หรือ จารีตประเพณี

        ซึ่งไม่น่านิยม แต่ก็กลายเป็น นิยมไปแล้ว คือ มันเป็นการ “ประพฤติ” มันเป็นการกระทำ ที่รับรู้ทั่วกันแล้ว แน่นอน หรือยอมรับ นับถือ ถึงขั้น ชื่นชมยินดี ในบางครั้ง บางเรื่อง ไปแล้วด้วย

        เป็นแบบ เป็นอย่าง ขึ้นมาในโลกแล้ว นั่นเอง

        ทีนี้ การประพฤติของ มวลมหาประชาชน คราครั้งนี้ ในพ.ศ.นี้ ประชาชนเอง ที่รวมตัวกันเป็น หมู่มวลมหา ประชาชน ออกมา “ยึดอำนาจ”  ขอเปลี่ยนแปลง คณะรัฐบาล คณะรัฐสภา ใหม่บ้าง

        อย่างถูกกฎหมาย ไม่ผิดกฎหมาย

        เพราะมวลมหาประชาชน ขอยึดด้วย อำนาจอันชอบธรรม ด้วยอำนาจ Authority ซึ่งเป็น Sovereign power ซึ่งเป็น Supreme แล้ว เพราะเป็นสุดยอด แห่งรัฐาธิปัตย์ ตาม มาตรา ๒ และมาตรา ๓ แท้ๆ ที่มีบัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้

        มวลมหาประชาชน รวมตัวกันออกมา แสดงความประสงค์ เปิดเผย ซื่อตรง ไม่มีอะไรซ่อนเร้น อะไรผิด อะไรถูก ก็แฉกันตรงๆ ขอเปลี่ยนแปลง ให้คณะเก่าออกไป จะปฏิรูปกันใหม่ โดยใช้สิทธิ อันมีอยู่แท้ของ มวลประชาชน และไม่ผิดกฎหมาย เลยด้วย

        แสดงปริมาณ ก็มีมากมาย ทำลายสถิติ ที่เคยมีมา ในประเทศด้วย

        แสดงเชิงคุณธรรม ก็มีคุณภาพที่สงบ สันติ ถูกธรรม ยืนยันฝ่ายผิด และยืนยันฝ่ายถูก ชัดเจน ว่า ประชาชนมีส่วนถูก รัฐบาลมีส่วนผิด มากพอจริง
       
        สมบูรณ์ได้คะแนนป่านนี้แล้ว

        ทำไมจะไม่มีสิทธิ ? เสมอภาคเท่า คณะปฏิวัติ ด้วยอำนาจ บังคับข่มขี่ ด้วยอาวุธ ยุทธภัณฑ์

        ที่อำนาจบาตรใหญ่ ที่ทำผิด ของคณะปฏิวัติ Force อันเป็นอำนาจรุนแรง coup d' Etat รัฐประหาร กดขี่บังคับนั้น ไม่ชอบธรรม เท่าอำนาจ ของมวลมหา ประชาชน ที่ทำกันในครั้งนี้

        พลังอำนาจ ทั้งทางปริมาณ และคุณภาพคุณธรรม ของมวลมหาประชาชน ในคราครั้งนี้ ดีกว่า ถูกต้องกว่า ตามสากลกว่า อำนาจกดขี่ บังคับ ที่เคยทำกันมาก ซึ่งปฏิวัติ ด้วยอำนาจ Authority ที่ Supreme เป็น Sovereign right power

        ทำไมไม่ให้ “สิทธิ”

        ทำไม“สิทธิ”​ แท้ๆของประชาชน ที่มีเต็มๆ และแม้ในรัฐธรรมนูญ ก็ถูกต้อง ตามนิติธรรมด้วย จึงถูกห้าม ถูกต้านกั้น ไม่ให้ทำได้บ้าง

        เป็นความไม่เสมอภาค ใช่มั้ย?

        ไม่ได้รับความคุ้มครองอย่างยิ่งกว่า คณะ Force คณะ coup d' Etat รัฐประหาร ที่ใช้อำนาจผิดๆ ดังที่เคยทำกันมา? ใช่มั้ย?

        ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ของมวลมหาประชาชน และความเสมอภาค ทำไม ไม่ได้รับ การคุ้มครอง ตามมาตรา ๔

        ในเมื่อไม่มี “บทบัญญัติ” แห่งการปฏิวัติ เหมือนกัน แต่อำนาจของ คณะปฏิวัติ ที่ใช้อาวุธไม่สงบ ที่ผิดกฎหมาย กลับต้องจำยอมให้มี “สิทธิ” ทำได้มาแล้ว ไม่รู้กี่ครั้ง จนเป็นประเพณี ที่ไม่น่านิยม ก็มีบ้าง ในบางครั้ง ที่เป็นที่น่านิยม ของมวลประชาชน

        ส่วนอำนาจของคณะปฏิวัติ ที่ไม่ใช้อาวุธ สงบ ไม่ผิดกฎหมาย “มีสิทธิ” ทำได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๓-๖๔-๖๕ และมาตรา ๗๐

        สร้างเจตนารมณ์ทางการเมือง ของประชาชนตาม มาตรา ๖๕ ย่อมมีเสรีภาพทำได้

        การกำจัดเสรีภาพ จะกระทำมิได้ตาม มาตรา  ๖๔

        แม้ มาตรา  ๖๖-๖๗ ก็ย่อมมีความหมาย สมคล้อย ที่สิทธิเสรีภาพ ของมวลมหาประชาชน ที่รวมกันชุมนุม รักษาผลประโยชน์ ของประเทศ

        แม้แต่ มาตรา ๖๘ สิทธิ และเสรีภาพ ตามรัฐธรรมนูญ ก็เป็นวิธีการ ที่เป็นไปตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้

        โดยเฉพาะ มาตรา ๖๙ บุคคลย่อมมีสิทธิ ต่อต้าน โดยสันติวิธี ซึ่งการกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มา ซึ่งอำนาจ ในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่ง มิได้เป็นไป ตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้

        นั่นคือ “การปฏิวัติโดยประชาชน” ซึ่งเป็นการกระทำ ที่เป็นไป หรือมี “วิถีทาง” เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ ในการปกครองประเทศ โดย “วิธีการ” ซึ่งมิได้เป็นไปตาม “วิถีทาง” ที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้

        บุคคลย่อม มีสิทธิต่อต้าน โดยสันติวิธี

        นี่คือ เป็นไปตาม “รัฐธรรมนูญนี้” ตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม

        บัญญัติไว้ใน มาตรา ๖๙ ชัดๆ ยืนยันอยู่โต้งๆ โทนโท่ เห็นไหม?

        แถม มาตรา  ๗๐-๗๑ เป็นหน้าที่ของชนชาวไทย อีกด้วย

        เห็นไหมว่า เป็นหน้าที่ของชนชาวไทย ตามกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญนี้

        ประชาชนชาวไทย จึงออกมาทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ออกมาใช้สิทธิต่อต้าน โดยสันติวิธี

        ในเมื่อ ไม่มีบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้ บังคับแก่กรณีใด

        ก็หมายความว่า มิได้ เป็นไปตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้

        รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติวิถีทาง ว่า ปฏิวัติ ยึดอำนาจ ต้องทำอย่างนี้ ต้องปฏิบัติตามทางนี้ ตามวิถีนี้ นั่นคือ บัญญัติ ไม่มีชัดเจน ในรัฐธรรมนูญนี้

        ดังนั้นจึงเท่ากับ บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ไม่มี

        การบังคับในกรณีนี้ จึงไม่มี

        เมื่อไม่มี ก็ให้วินิจฉัยกรณีของ กปปส. ที่ประพฤติ กระทำอยู่นี้ ให้เป็นไปตามประเพณี การปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข

       
 

   www.asoke.info