570405_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬ
เรื่อง ปาฏิหาริย์ของการปฏิบัติ

       พรุ่งนี้เราก็จะเริ่ม ปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ ๓๘ แล้ว เราได้ประโยชน์ กับธรรมะจริงๆ และผลที่ได้นั้น เป็นสิ่งที่ปรากฏ ในงานนี้ อาตมาตั้งใจจะเรียบเรียง สัจจะที่ปรากฎ ให้พวกเราได้ฟัง ว่ามันใช่ไหม เกิดเป็นจริงไหม มีปรากฏการณ์จริงไหม จะได้ช่วยกัน ตรวจสอบดูว่า จะจริงหรือไม่?

       ตอนนี้เหตุการณ์บ้านเมือง ถ.อักษะ ก็กำลังร้องเพลง คึกคะนองกัน ก็มากของเขาอยู่ มีผู้สังเกตการณ์ว่า มีเป็นแสน 

       เมื่อเกิดจากความไม่รู้ ก็จะมีผลเสีย เท่าที่อาตมามองคือ

       ทำให้คนต้องฆ่าตัวตาย  ต้องทำให้คนต้องฆ่ากันตาย มีไหม? ทำให้คนทะเลาะกัน ทั้งประเทศ ทำให้มิตรสกาย ต้องแตกแยก เข้าหน้ากันไม่ติด ทำให้คนหลงยึดมั่น ประชาธิปไตยผิดๆ อาการหนัก ถึงคลั่งไคล้ ทำให้คน ก่อบาปใส่ตนได้ ทั้งมากทั้งหนัก และยาวนาน อึดอัดทรมาน กันได้ถ้วนหน้า ทั้งฝ่ายถูกและผิด ทำความอึดอัด ให้ได้ครบทุกด้าน เรียกว่า ชั่วได้ที่ ทำให้สังคมแตก เศรษฐกิจตก การเมืองต่ำ ได้หนักหนา ฉกาจฉกรร เห็นไหม?

       นี่คือสิ่งที่เกิดจากฝีมือของเขาจริงๆ จากที่ปรากฏ

       พรุ่งนี้เริ่มงาน ปลุกเสกพระแท้ของพุทธ คำว่า พระนี่คือ ผู้ประเสริฐ ไม่ใช่หมายถึงแค่ ผู้โกนหัวนุ่งจีวร แต่พระคือประเสริฐ นี่ได้ทั้งในฆราวาส และนักบวช ตั้งแต่โสดาบัน เป็นต้นไป เอาที่คุณธรรม คุณสมบัติแท้ๆ ใส่ตนเองได้ และก็มีการประพฤติ เช่นเลิกทำชั่ว เลิกละได้ อย่างที่เข้าเจต อาริยะ หรือพระหรือวระ ที่แปลว่า ผู้ประเสริฐ ต้องนับเอาที่ คุณสมบัติแท้จริง ของจิตวิญญาณ

       เช่นศีล ๕ ท่านให้เวรมณี
       เช่นศีลข้อ ๑ พฤติกรรมข้างนอกไม่ฆ่า วาจาก็ไม่บอกให้ฆ่า ไม่ทำตลอดชีวิต ก็ไม่ถือว่า เป็นอาริยะแท้ จะเป็นอาริยะ ต้องตัดสินเอาที่ จิตวิญญาณเป็นตัวจริง ไม่มีจิตดำริเลย เช่น เกิดอยาก ประสงค์ฆ่า ที่จะทำร้ายเขา ฆ่าเขา จิตมันไม่เกิดอาการนี้จริงๆ  มีสองลักษณะ  ๑.ไม่เกิดเพราะไม่คิด พักยก อาจพักยกเป็นชาติๆได้ มันอภยกฤติ ไม่เกิดอาการ ผลักหรือดูด เฉยๆ อุเบกขา เคหสิตอุเบกขา ไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้ว่า มีความเข้าใจเห็นจริง มีหิริโอตตัปปะ มีนิพพิทา มีปัญญาเห็นจริงเข้าใจ เป็นภยตูปฐานญาณ ​เห็นโทษภัยของการเกิด อกุศลจิตนี้ มีปัญญาญาณ จนเป็นพลังอำนาจ มีแรง ฤทธิ์ ท่านเรียกว่า อินทรีย์หรือพละ เป็นกำลังแท้ๆ เป็นอำนาจของความรู้ ญาณปัญญา ไม่ใช่กดข่มกำราบ ใช้เรี่ยวแรงดันกันไว้ ไม่ใช่อำนาจ อย่างนั้น แต่เป็นอำนาจรู้แจ้ง เห็นจริงเข้าใจ อย่างนี้ไม่เอาจริงๆเลย จิตจะเกิดญาณปัญญา เห็นภัยเห็นโทษ ​มีอาทีนวานุปัสสนาญาณ จนไม่เอาจริงๆเป็น นิพพิทานุปัสสนาญาณ ไม่ต้องไปกดข่มเลย ไม่เบียดเบียน แต่มีฤทธิ์แรง เห็นเลยว่า เลิก ปล่อย วางคลาย เรียก มุลจิตตกัมมญตาญาณ ออกเปลื้อง ปล่อยทิ้งไปเลย ไม่เวียนกลับด้วย

       แบบอื่นที่ไม่ใช่ของพุทธ บางอย่างก็สามารถ สะกด ข่มได้ นานนับชาติ แต่เวียนกลับได้ มันไม่ นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ)

       มีอุภโตภาควิมุต เลิกได้จริง และมีปัญญารู้เห็น รู้อย่างจริงแจ้งชัด ทุกอย่างเลย เรียกว่า หลุดพ้นด้วย เจโตวิมุติ และปัญญาวิมุติ อันไม่กลับกำเริบ

       มีปัญญาญาณเห็นได้ว่า ไม่มีนี่สุดยอดแล้ว เหมือนคนรู้ว่า เป็นไฟนี่ร้อน ไม่เอาจริงๆ ชัด รู้แจ้งเห็นจริง จึงถาวร มั่นคง ไม่กลับกำเริบแท้จริง ผู้ทำได้ จะเห็นว่า เราหลุดพ้นจริง ไม่มีใคร มาหลอกลวง ไม่มีใคร มาทำให้เรา เข้าใจผิดได้ เราจะเห็นเองรู้เอง ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ ถูกต้อง ถูกตรง ถูกถ้วน ไม่ใช่เดาเอา หรือคลุมเครือ เป็นนามธรรมแท้ ไม่มีเส้นแสงสีเสียงอะไร แต่เห็นได้ด้วยญาณแท้
       ความลึกซึ้งลึกล้ำ ก็ท้าทายให้มาพิสูจน์ จะรู้เองเห็นเอง ของตนเอง

มีคนส่งคำถามมา
คำถามถึงพ่อครูครับ กราบเรียนถามพ่อครูค่ะ 
ดิฉันได้ไปเยี่ยม เด็กตาบอด พิการซ้ำซ้อน แห่งหนึ่ง เห็นความพิการของเด็ก ที่นอกเหนือ จะตาบอดแล้ว ยังมีความพิการต่างๆ ตั้งแต่กำเนิด หรือบางคน ก็เริ่มเป็นตอนโต ทั้งหูหนวก อาการทางสมอง ควบคุม ดูแล ตนเองไม่ได้ ต้องพึ่งคนอื่นตลอด เขามีขา เขาเดินได้ แต่ตามองไม่เห็น เดินชนนั่น ชนนี่ บางคนร้องโหยหวน เหมือนลิง เหมือนค่าง ทำร้ายตนเอง เอาหัวโขกเสา โขกพื้น และ มีเวทนา สารพัด ทำให้คิดถึงเรื่อง "กรรม" ว่าเขาได้ทำกรรมอันใด ทำให้เขาต้องมารับทุกข์ เวทนา ประมาณนี้ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่สอนว่า ทุกอย่างมาแต่เหตุ ทั้งพ่อท่านก็ย้ำว่า กรรมไม่มีระเหิด ไม่มีระเหย ไม่ว่าทำที่ลับ หรือ ทำในที่แจ้ง กรรมนั้น มีผลหมด

พอได้ศึกษา ติดตามเหตุการณ์บ้านเมือง เห็นการกระทำ ของนักการเมือง ข้าราชการที่ กินเงินเดือน จากภาษี ของคนทั้งประเทศ แต่เขาไม่ได้ทำหน้าที่ สมกับค่าตอบแทน ที่ได้รับเลย มิหนำซ้ำ ยังเนรคุณต่อแผ่นดินเกิดอีก ยิ่งไปกว่านั้น กลับทำร้ายเจ้าของ เงินภาษี ด้วยการไปรับสินบน จากคนชั่ว มาทำลายบ้านเมือง เงินที่เขารับมา ถือเป็นเงินร้อน เพราะรับมา ด้วยความโมหะ ทั้งยังปลุกปั่น ให้คน (ที่ฉลาดน้อย) เห็นผิด เป็นถูก สร้างความแตกแยก ให้เกิดในแผ่นดิน วิบากจะประมาณไหนคะ พ่อครู จะหนักเท่าคนพิการ ที่ดิฉันไปเจอไหม หรือ จะมากกว่านั้น คะ และพ่อแม่ ผู้ให้กำเนิด คนเหล่านี้มา จะบาปประมาณไหนคะ และในส่วนของ ผู้ที่ให้การสนับสนุน การทำชั่ว เขามีวิบากกรรม ร่วมกันอย่างไรคะ
กราบขอบพระคุณ และ กราบนมัสการค่ะ
จาก คนกั๋วบาป ?

      
       ตอบ สิ่งเหล่านี้ ยกตัวอย่าง คนเกิดมาพิการ บางคน ได้มาแต่กำเนิด บางคน ได้มาตอนหลัง แล้วก็ได้รับ แต่ตัวร่างกายก็ทุกข์ เหตุการณ์ของชีวิต ก็ต้องทุกข์ร้อน ไม่เป็นสุข อาตมา จะยกตัวอย่าง ต้องหกล้ม ขาหักขาแพลง ตกลงไปขาเจ็บ มันก็เห็นแล้วว่า เป็นการได้รับ ผลทุกข์ทรมาน อย่างหนึ่ง มากหรือน้อย ไม่รู้ได้ แต่ก็ไม่น่าจะเจ็บนาน ขนาดนี้นะ แล้วคนที่มาทำ ก็ต้องร่วมรับวิบาก

       ถามว่าจะหนักเท่าที่ดิฉันไปเจอไหม อาตมาคาดคะเนว่า แค่ตาบอดหูหนวก ก็ประมาณหนึ่ง อาตมาก็ว่า น่าจะหนักกว่านั้น เพราะบาปกรรม ที่เขาทำ มันมีผลกระทบ ต่อผู้ได้รับพิษภัย มากมาย เหตุมีฆ่ากันตาย ทะเลาะแตกแยก มีผลกระทบมากมาย

       คนธรรมดาทำได้ ไม่มีผลกระทบขนาดนี้ ตั้งแต่คิดเริ่มลงมือทำ จนคนพิการ บาดเจ็บ ทุกข์ทรมาน ไม่ใช่เป็นพัน แต่เป็นล้าน อาตมาว่า จะได้รับวิบาก มากกว่าเด็ก ที่คุณไปเห็น

       แล้วพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด จะบาปประมาณไหน ... อาตมาเข้าใจเอาเองว่า คงถามถึงผู้ทำผิด ไม่ใช่หมายถึง พ่อแม่เด็กพิการ ..ตอบว่าไม่ พ่อแม่เขา ไม่ได้เป็นคนพูดบอก หรือส่งเสริม นอกจาก พ่อแม่เขา เป็นคนพูดส่งเสริม แต่เชื่อว่า พี่เขาเป็นคนบอก นี่ก็ด้วยกันนะ หรือพี่สาวเขา ทำแล้วก็น่าสมเพศ คืออาการ ยิ่งกว่าสงสาร มันมีอกุศลผสม จนเห็นชัดว่า ไม่น่าเลย อะไรไม่รู้ ถึงขนาดนั้น นอกจากสงสารนั้น แน่นอนอยู่แล้ว แต่ทำไม ถึงได้หน้าด้าน หน้าทนไม่รู้ขนาดนี้

       คนเราเป็นเช่นนี้ กรรมวิบาก เป็นตัวแปร จากความตกต่ำ เวียนเกิดตายในโลก จะกี่ชาติ ก็แล้วแต่ เราก็ต้องเกิด ในโลกอีก แต่กรรมวิบาก จะลดสิ่งเลวร้ายชั่ว ไม่ดีงาม จะลดได้ด้วยภูมิรู้ ด้วยการล้างเหตุในจิต เป็นความรู้ที่ พระพุทธเจ้า ค้นพบจริง ศาสดาหลายท่านก็รู้ แต่ของ พระพุทธเจ้านี้ ทำได้อย่างรู้แจ้ง เห็นจริง เป็นจริง เมื่อทำได้ คุณจะเกิดเป็นมนุษย์อีก กี่ชาติ จิตนั้นสามารถล้างเหตุ ที่จะไปทำเลวได้ เป็นอรหันต์แล้ว หมดเกลี้ยง ไม่ทำชั่วบาปได้ เป็นสัพพปาปัสส อกรณัง ได้ล้างกิเลส สจิตต ปริโยทปนัง เป็นวิชาการ ที่ยิ่งใหญ่ในมนุษย์ ที่ควรศึกษาก่อน ในความเป็นมนุษย์ หากได้ศึกษา ความรู้นี้ได้ แล้วคุณอยากศึกษา ความรู้ ทางโลกเทคนิค จะเอามาทำประโยชน์ ต่อตนต่อโลก ยกตัวอย่าง ปลูกผักแต่เราเรียนรู้ ล้างกิเลส จนเป็นอรหันต์ได้ แล้วมาเรียนรู้กสิกรรม ก็เรียนได้ แล้วไม่เบียดเบียนใครด้วย จะปลูกเป็น หรือเป็นวิชาอื่น ก็จะรู้ได้ว่า ควรเรียนอะไร เช่น การพนัน มอมเมา ก็ไม่ไปเรียน หลอกกัน ให้หลงติดยึด

       แต่เมื่อล้างกิเลสแล้วก็จะทำ แต่ไม่ทำเพื่อ ล่าเอาลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือกาม หรือ อัตตาแก่ตน ก็ไม่ไปศึกษา สิ่งมอมเมา แต่ศึกษาสิ่งที่เป็นประโยชน์ เอามาทำดีงาม เป็นกุศล ยิ่งทำยิ่งดี ยิ่งทำยิ่งชำนาญ รู้เข้าใจขึ้น ทั้งดีทั้งเร็ว ทั้งมากวิเศษ ก็ได้ช่วยคนได้มาก ผู้ที่มาศึกษา ให้เป็นอรหันต์ก่อน แล้วจะไปศึกษา วิชาการโลกอะไรก็ได้ แล้วจะเป็นได้ดีด้วย คนบรรลุธรรม สัมมาทิฏฐิ อรหันต์แท้ ไม่ใช่ปลอม จะเป็นประโยชน์ตน ท่านแท้จริง เป็นพหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่ชน เป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชน เป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก) แท้จริง

       คนที่บอกว่า เรียนรู้โลก ก่อนธรรมะ คุณจะตายเปล่า ก่อนหรือเปล่า? ….อาตมารู้ว่า ที่เขาไม่เอา เพราะเขาไม่รู้ว่า ธรรมะเป็นอย่างที่ อาตมาว่า คือ เมื่อได้ธรรมะ ของพระพุทธเจ้าแล้ว จะสามารถ เพิ่มความรู้ ทางโลกได้ จะไปเอาความรู้ไปล่า โลกธรรมก็ได้ แต่มีหลักประกันว่า จะไม่หลงในโลกธรรม แล้วจะเอา ความรู้สามารถไปเพิ่ม โลกธรรม ได้ แล้วมีหลักประกันว่า ทำแล้วไม่เป็นโทษภัย แก่ตนและผู้อื่น คุณจะได้ลาภ ยศ สรรเสริญ แต่ซ้อนว่าได้แล้ว คุณจะไม่ยึดว่า เป็นเราเป็นของเรา จึงเป็นจอมแห่ง นักเศรษฐศาสตร์ ไม่สะสมกักตุน ไม่เกิดการติดขัด เสียเวลาคุณค่า สุดยอดแห่งเศรษฐศาสตร์ เป็นความรู้ สุดยอดของ สังคมศาสตร์​ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ส่วนความรู้ เทคนิคอื่นๆ ค่อยเติมเอาทีหลัง แต่สามศาสตร์นี้ อยู่ในตัวพร้อม เป็นเรื่องของ มนุษย์และสังคม ผู้ใดยิ่งมี สัมมาธรรมะ มีอาริยธรรมแท้ จะเป็นประโยชน์ ต่อโลกสังคม ตามฐานะ คุณธรรมมาก ก็เป็นประโยชน์ มากขึ้นๆ

       นอกจากไปหลงผิด เช่นไปอยู่คนเดียว เช่น หลวงพ่อเกษม แห่งสุสานไตรลักษณ์ เป็นต้น ขออภัย ที่ยกตัวอย่าง ท่านเป็นทักขิเณยบุคคล แต่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นคนน่าเคารพ ควรให้ของทาน ควรลุกรับ เพียงแต่ว่า สิ่งที่ท่านได้ ไม่ถูกพุทธศาสนา พูดเป็นวิชาการ ไม่ได้ไปข่มเบ่ง แต่อธิบาย ความถูกผิด เข้าใจเจตนาอาตมา อาตมาไม่มีอกุศลอะไร ในการพูดว่านี้ และท่านก็เสียชีวิตไปแล้ว ท่านไม่ได้รับรู้  แก้ไขอะไรไม่ได้ อาตมาอ้างอิง ให้คนเข้าใจ เท่านั้นเอง อาตมาพูดนี้ คนอาจชิงชัง อาตมาเสียนะ คนเข้าใจผิดได้ แต่จะได้ก็คือ คนเข้าใจได้ ซึ่งอาจมีน้อยกว่า คนที่เขาเคารพนับถือ และจะเกลียดอาตมาได้มากกว่า คนได้ประโยชน์ อาตมารู้ แต่เลี่ยงไม่ได้ แค่คนได้รู้มากขึ้น ๑ หรือ ๒ คน ก็พอแล้ว เพราะคนที่จะรู้ถูกต้อง และกล้าพูด จะมีกี่คน ศาสนา จะสูญหายหมดไป ก็ไม่มีใครรู้ คนก็ไม่ได้รับประโยชน์อาตมาละเลยไม่ได้ ขออภัย ที่ต้องใช้โอกาส ในการอธิบาย

       อาตมาว่า อาตมาออกบวช แต่แรกอาตมาก็ยังพูดไม่ได้ จนมาบัดนี้ อาตมาก็ว่า มีเหตุปัจจัย พูดได้มากพอ ก็พูดเป็นเช่นนี้ ตอนหลัง อาตมาก็จะพูด ในสิ่งที่หลายคนก็ว่า ไม่น่าพูดได้ ก็มี แต่อยู่ในการประมาณ ที่ต่างกัน

       อาตมาใช้ สัปปุริสธรรม ๗
๑.    ธัมมัญญูตา   (รู้จักทุกองค์ประกอบ)
๒.    อัตถัญญูตา   (รู้จักเนื้อหาเป้าหมาย)
๓.    อัตตัญญูตา   (รู้จักตนเอง)
๔.    มัตตัญญูตา   (รู้จักประมาณสัดส่วน)
๕.    กาลัญญูตา   (รู้จักกาลสมัย)
๖.    ปริสัญญูตา   (รู้จักหมู่กลุ่มบริษัทอื่น) .
๗.    ปุคคลปโรปรัญญูตา (รู้จักบุคคลอื่น)
(พตปฎ. เล่ม ๒๓ ข้อ ๖๕)

       คนทำดีต่อโลก หลายคนก็ถูกฆ่าตาย คานธี ลินคอร์น พระเยซู มาร์ติน ลูเทอร์คิง ก็เยอะไป แม้แต่พระโมคคัลลานะ ส่วนมาก ทำดีก็ตายได้ ไม่ใช่ตายเพราะ ทำความเลวร้าย ท่านทำดีมา ทั้งนั้นเลย อาตมา ตอนนี้นึกไม่ทัน ไม่ใช่เรื่องแปลก อาตมาก็คิดว่า เราน่าจะประมาณให้ดี อย่าให้ตายก่อนควร แต่ถ้าจะมีวิบาก หรือการประมาณของเราผิด เราก็ตายไม่สมควรได้ แม้ว่าจะต้อง ถูกฆ่าตาย แต่สมควรอย่างยิ่ง ก็น่าทำ แลกด้วยชีวิต จะเกิดประโยชน์ต่อโลกเยอะ เช่น พระโมคคัลลานะ เป็นต้น

       เป็นอจินไตย ลึกซึ้งลึกล้ำ เป็นจริง ในผู้ที่เข้าใจจริง เป็นจริง ได้ ที่อาตมาตั้งใจ ทุกวันนี้ ตั้งใจ เพิ่มอายุ อาตมามีอายุขัย ๗๒ ปีก็ต้องตายไป แต่พอใกล้ถึง ๗๒ อาตมาก็เห็นว่า มันมีอัตรา การก้าวหน้า ยังไงก็ต้องพยายาม มีอายุให้ยืนขึ้น ก็ใช้ความรู้ คืออิทธิบาท ก็เลยทำมาก่อน ๗๒ ปี ทำมา ก็ได้เลยมา จนจะ ๘๐ ปีแล้ว แต่ก็ยังจับเหตุที่เป็นโรค ไม่ถึงเป็นโรค แต่ก็ไม่สมดุล มีอวัยวะเจ้าการ ขาดสมดุล

       อย่างพระพุทธเจ้าว่า ถ้าอานนท์อาราธนา ท่านก็อยู่ต่อไปได้ เป็นเรื่องที่ไม่ลึกลับ มีเหตุปัจจัย ทำได้ อาตมาอธิบายเป็นหลัก หลัก ๘อ. เพื่อขยายอายุขัย ๑.อิทธิบาท ๒.อารมณ์ ๓.อาหาร ๔.อากาศ ๕.ออกกำลังกาย ๖.เอนกาย ๗.เอาพิษออก ๘.อาชีพ

       ถ้าทำได้สมดุลจริง แม้อาหารนี่ ก็ฝึกละกิเลส อย่างสำคัญ อย่างอากาศนี่ ไม่ต้องใช้จิตมาก ออกกำลังกาย ก็ต้องใช้จิต

       การนอนนี่ สมณะห้ามนอนกลางวัน หัดฝึกมีสติตอนนอน เช่น ตีระฆัง ทุกชั่วโมง หลับให้เร็ว ตื่นอย่าให้งัวเงีย ที่มันติดหลับ เพราะติดอารมณ์งัวเงีย อย่าทำ เวลาตื่นแล้ว ให้สลัดเลย อย่าเก็บงัวเงียเอาไว้ มันติดอย่างนั้น ถ้าตื่น ลืมตาสว่างเลย แล้วจะสดใส แจ่มใสกว่างัวเงีย แล้วหัดนอนหลับให้เร็ว จะใช้วิธีอย่างไร ก็แล้วแต่ อย่างอาตมา ก็ใช้กสิณ อาตมาฝึก ตั้งแต่ กำหนดลมหายใจ สร้างภาพในใจ เมื่อฝึก ก็ทำได้เร็วขึ้น ทำได้ การเอนกาย เอาพิษออก หรืออาชีพจะทำได้ สิ่งที่ชลอ อายุขัย เป็นศาสตร์ พวกเราก็พยายามอยู่ ทำศาสตร์นี้ เพื่อเอามาใช้ในชีวิต พวกเราก็ขวนขวาย ศึกษาเรื่องสุขภาพ

       อาตมาเคยบอกว่า พวกเราชาวอโศก ต่อไป จะเป็นกลุ่มที่ อายุยืนยาว พระกรรมฐาน แม้มิจฉาทิฏฐิ แต่ก็ยังมีส่วน อายุยาว อายุเกือบร้อยเยอะ หรือร้อยขึ้นไปก็มี ถ้าทำได้ถูกนี้ เก้าสิบ เรื่องเล็ก ต่อไป จะมีอายุเป็นร้อย ก็ยังแข็งแรง

       อาตมาภาคภูมิใจ จนกระทั่ง อีกฝ่ายก็ยังยินดี ในสันติอหิงสา จนอีกฝ่าย ก็พยายามทำ แม้จะมีอะไรแฝง แต่ก็พยายาม ประกาศว่า ต้องสันติ อหิงสา อาตมาถือว่า นี่เป็นผลสำเร็จ อันยิ่งใหญ่ จะจริงขนาดไหน เขาก็รับว่าดี จะมีแฝง ก็เรื่องของเขา แต่ของเรานี่ มั่นใจว่า ทำได้จริง เป็นปาฏิหาริย์ ที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นวิชาการ ที่เป็นวิทยาศาสตร์ชัดเจน เป็นสิ่งสุดยอด ประเสริฐ

       ชีวิตอย่าทิ้งธรรมะ ปฏิบัติได้ทุกลมหายใจ ทุกอานาปานะ มีสติให้ได้ทุกขณะ สติเป็นตัวนำ หากไม่มีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม ปฏิบัติธรรมไม่ได้หรอก เป็นสภาวะ จากความรู้ตัว มี
สัมปชัญญะ = ความรู้ต่อจากการมีสติรู้สึกตัว
สัมปชานะ    = ความรู้สึกตัวในการปฏิบัติอยู่
สัมปาเทติ   = เหตุไปสู่การละเลงเพื่อสัมปัชชติ
สัมปัชชติ    = ความรู้จากการแยกแยะขจัด
สัมปาเปติ   = การสังเคราะห์กันขึ้นอย่าง อวจร
สัมปฏิสังขา = ญาณรู้จักการทบทวนกระทำซ้ำ .
สัมปัชชลติ   = เข้าสู่การโหมไหม้ สว่างเรืองรอง
สัมปัตตะ, สัมปันนะ = การเข้าบรรลุผล .
สัมปฏิเวธ   = ความรู้ที่รู้แจ้งแทงตลอด

       ชีวิตเกิดมา ควรได้ก่อนอื่น คือธรรมะ ได้อรหันต์แล้ว จะเกิดอีกกี่ชาติก็ได้ คำสอนที่ว่า เป็นอรหันต์แล้ว ต้องดับสูญ ไม่เกิดอีก นี่เป็นคำสอนที่ผิด เหมือนธาตุน้ำมี H2o ผู้รู้แล้ว ก็จะสามารถ แยกธาตุได้ เป็น Hydrogen และ Oxygen ไม่มีแล้วน้ำ เหมือนการตายแล้ว หากไม่สังเคราะห์ต่อ ก็สลายไป ปรินิพพานไป แต่ถ้าจะต่อ ก็ทำได้ จิตไม่มีอกุศลแล้ว ไม่มีกิเลสแล้ว ก็มีแต่กุศลจิต ไปอีกนานเท่าไหร่ก็ได้ นี่คือตายเที่ยง ตายแล้วตายเลย คือกิเลส อกุศลต่างหาก ที่ตายไปเลย อกุศลจิตตายไป ไม่เหลืออนุสัยอาสวะ ส่วนกุศลจิต เป็นสังขตธรรม อรหันต์ จะรู้ปล่อยวาง แยกแยะดับได้ เพราะทำมาตั้งแต่ กิเลสอบายมาแล้ว กิเลสกาม.. และหมดได้สิ้น ทำได้แล้วก็ปล่อยได้ แม้อรูปอัตตา ก็ล้างเป็น เป็นอรหันต์ก็ทำได้ แต่ถ้าตั้งจิตต่อ ก็ทำได้ ไม่มีพิษมีภัยต่อกัน เป็นคนมีกุศล คุณค่า ประเสริฐแท้ เป็นผู้ที่ต้อง เคารพบูชา ส่งเสริม ท่านรับใช้โลกแท้ๆ นี่คือสัจจะ ไม่มุบมิบ โมเม ไม่ใช่ศักดินา แต่เป็นสัจจะที่คนจะให้ท่าน เพราะท่านให้คุณหมด แต่คุณให้ท่าน ไม่เท่าท่านให้คุณหรอก สิ่งที่คุณให้ท่านนั้น ค่าสูงกว่ามาก เป็นธรรมะ คุณก็ให้ได้แต่วัตถุ แต่ธรรมะนั้น คุณให้ท่านไม่ได้ แต่ค่าสูงประเสริฐ ทำได้ยากยิ่ง ไม่ได้ตีราคา แต่ตามหลักเศรษฐศาสตร์ สิ่งหายากมาก ค่าก็ต้องสูง แล้วจำเป็นมากไหม ก็มาก อุปสงค์ สูงสุดในสังคม คือคุณธรรม อาริยธรรม กิเลสลดได้ ก็ค่าแพงมาก ไม่ได้หลงใหลนะ แต่เป็นสัจจะ ที่พูดสู่ฟัง

       ประเทศใด สังคมใด มีอาริยบุคคล โอ้โห ราคาแพงมาก อาริยธาตุ แพงมาก เป็นอุปสงค์ ที่สูงมาก ไม่ว่าสังคมไหน กลุ่มไหนมี ไม่เป็นภัยเลย ไทยเราหากมีสัก ๕๐% จะเป็นมหาอำนาจ ที่ยิ่งใหญ่ ไม่ต้องเรียกร้อง เขาจะประเคน ยกย่อง เชิดชูคุณเอง ด้วยปัญญา ของเขาเอง อาตมา จึงอยาก จะรักษา ชีวิตไว้ เพราะเห็นผลนะ

       อย่างพระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้เสร็จ ก็ปริวิตก ว่าคนทุกวันนี้ มีแต่กิเลสหนา จะสอนไหวหรือ จะเสียของไปเปล่า คนจะรู้ได้หรือ ท่านปริวิตก จนเกิด สหัมบดีพรหม ก็ว่าฉิบหายใหญ่ หากท่าน ไม่ประกาศศาสนา เพราะโลกขาดอย่างยิ่ง ท่านก็เลย ตรวจสอบว่า ต้องสอน ต้องประกาศศาสนา แต่ท่าน ตรวจสอบทุกอย่าง

       ท่านมีบารมี เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ที่ท่านต้องไปออกป่านั้น เป็นวิบาก เพราะชาติก่อน ทำวิบากไว้
เราเป็นผู้ชื่อว่า โชติปาละ ได้เคยกล่าวกับ พระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ว่า “การตรัสรู้ เป็นของ ได้โดยยาก ท่านจะได้จากโพธิมณฑลที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง” ด้วยผล แห่งกรรมนั้น เราได้บำเพ็ญ ทุกกรกิริยา เป็นอันมาก สิ้นเวลา ๖ ปี  เราถูก บุรพกรรม ตักเตือนแล้ว (ปุพพกัมเมนะ โจทิโต) จึงแสวงหาโพธิญาณ โดยทางผิด เรามิได้บรรลุการตรัสรู้ โดยทางนั้น ต่อจากนั้น จึงได้บรรลุการตรัสรู้ ไม่มีโศก ฯลฯ (ล.๓๒ ข.๓๙๒)

       มาถึงกาละนี้แล้ว อาตมาก็ต้องพูด พวกเราอยากได้ ก็มาเอาฟรี

       พรุ่งนี้เป็นงานปลุกเสกฯ อีกครั้งหนึ่ง ก็ตั้งใจขยายความ ธรรมะให้ดีๆ จะสอนเรื่อง สัจจะที่ปรากฎ ก็เป็นเรื่องธรรมะ ที่จะเจาะลึก ให้รู้เพิ่มขึ้น เช่น สุริยเปยยาลสูตร เป็นต้น แล้วจะเชื่อมโยงไป เป็น ทิฏฐิธัมมิกกัตถ เป็นต้น      

   www.asoke.info