570408_ทวช.งานปลุกเสกฯครั้งที่ ๓๘ โดยพ่อครู
เรื่อง สัจจะที่ปรากฏ ตอนที่ ๒

        วันนี้เป็นวันที่ ๓ ​ของงาน เรื่องที่อาตมาตั้งชื่อไว้ ในการเทสน์ครั้งนี้ คือ สัจจะที่ปรากฏ คือสิ่งจริง ที่เกิด ที่ปรากฏ ที่มีขึ้นมาได้ แล้วสามารถเห็นกันทั่ว สัมผัสกันได้ สำหรับผู้มีดวงตา เป็นสามัญ ไม่ลึกลับ

        อาตมาหมาย สัจจะที่ปรากฏ นี้อาตมาหมายถึง ความเป็นธรรมะ สัจจะก็คือธรรมะ สัจธรรม ที่ปรากฏได้ ขั้นตอนหนึ่ง พูดชัดๆก่อน ที่เรามางาน ชุมนุมประท้วง คือ เรามาประท้วง โดยสันติวิธี เป็นการต่อต้าน โดยสันติวิธี ไม่มีอาวุธ อโศกเรา เอาคุณธรรม มาสถาปนา ในการเมือง แม้อาตมา ก็มาร่วมได้ ๘ เดือนแล้ว

        เราชุมนุม มีแต่ปริมาณเพิ่มขึ้น ไม่ได้ลดลง มั่นใจว่า ถ้าเป่านกหวีดอีก ประชาชน จะมามากกว่าเก่า สิ่งเหล่านี้ มันเป็นการยืนยัน แสดงบอก คุณค่าจิตวิญญาณ ว่า มีปัญญาเข้าใจว่า คืออะไร ทำเพื่ออะไร มีประโยชน์แค่ไหน มีคุณค่าอย่างไร ต้องเสียสละ ลงทุนลงแรงนะ เขาจะเข้าใจ มากน้อยแค่ไหนก็มา เขารู้ว่า ออกมาได้ช่วยชาติ

        ไม่ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ แต่ได้สิ่งดีงาม ธรรมะ ในการช่วยชาติ ที่มีองค์ประกอบ การชุมนุม ต้องมาเพิ่มมวล ต้องมาเป็นหนึ่งในนี้ เป็นมวล ใครมา ก็เพิ่มตัวเลขมวล และ ต้องมาร่วม ทำอะไรบ้าง จะมานั่ง มาเดิน ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ก็มาทำ บางคน ก็มาทำอาหาร หรือ ทำอะไร เราก็มีการงาน มีกิจ เรามากว่าครึ่งปี ย่อมรู้ว่า มาทำอะไรบ้าง ตามถนัด

        เป็นภาษาที่ว่า ชุมนุมประท้ว งอย่างสันติวิธี ที่รธน. หลักเกณฑ์สากลของโลก กำหนดว่า การชุมนุม โดยสันติวิธี ปราศจากอาวุธ เขารู้กันทั้งนั้น คนเป็นล้าน ไม่วิวาท โดยเฉพาะ ในตัวเรา ไม่ทำให้เกิดรุนแรง ถ้าจะมีก็มาจาก คนภายนอก แม้เราจะเดินทางไปกดดัน ก็ไม่รุนแรง เพื่อให้เขาหยุด หรือให้เขาออก หมดสิทธิอันได้รับหน้าที่

        เช่น รับหน้าที่เป็นนายกฯ ครม. เป็น สส. หรือกรรมาธิการใดๆ เมื่อเราไล่ที่หัว ส่วนกลาง และปลาย ก็ต้องจบไปด้วย  เราได้ทำ อย่างงดงาม

        แสดงออกมา ทั้งปริมาณและคุณภาพ เรามีความสมบูรณ์ ทั้งสองด้าน เป็นคะแนนเสียง ของการชุมนุม ประท้วง ตามวิถีทาง ในรธน.นี้  อยู่ได้มั่นคง ยืนนาน เหนี่ยวแน่น

        เจริญขึ้นด้วย อย่างรายการเย็นนี่ ก็มีการเอาผู้ชุมนุม มาสัมภาษณ์  มีคนใหม่ ที่มาร่วมด้วย ก็เอามา แสดงความจริง เป็นสัจจะที่ปรากฏ ว่าอะไร ได้ประโยชน์ ได้คุณค่า ได้ทั้งตนเอง และ ส่วนรวม กระทบไปถึงประเทศ เกิดจากแต่ละคน คนละเล็กละน้อย แม้ผู้ไม่ได้มา แสดงตัวก็ตาม มาเป็นองค์ประกอบกัน แม้คนหนึ่ง ก็แสดงออกคุณค่า หลากแง่หลายเชิง ที่เป็นอำนาจ อธิปไตย แท้ๆ สดๆ แสดงประสงค์ มุ่งหมายทุกเวลา หรือมี มโนสัญเจตนา อย่างไร

        เรามุ่งหมาย เอาอำนาจคืน เราเลือกผู้แทน ไปทำหน้าที่ ที่มอบหมายไป ไม่ได้ให้อำนาจ รัฐาธิปัตย์ แต่อำนาจที่เลือก ให้ไปทำงาน ไม่ใช่อำนาจถาวร เมื่อคุณทำผิดถึงขั้น ต้องออกแล้ว ก็ต้องหยุด และออกไป จากหน้าที่ ที่มอบให้ชั่วคราว

        ประชาชน เป็นเจ้าของบ้าน จ้างคุณมาเป็นลูกจ้าง แต่คุณทำผิด เช่น กรณีจำนำข้าว กรณีคุณถวิล เราก็ว่า หยุดเถอะ ก็มาไล่ ไม่ให้ทำหน้าที่ ไม่ได้ว่าคุณหมด รัฐาธิปัตย์ แต่คุณก็มีในฐานะ ประชาชนคนหนึ่ง

        ข้าราชการการเมือง มีหน้าที่ ไปตรวจสอบดูแล ข้าราชการประจำ หรือให้นโยบาย นักการเมือง เข้าไปทุก ๔ ปี ไปปรับปรุงเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อคุณผิด ทำไม่เหมาะสม ก็ต้องเลิก ต้องออก เจ้าของบ้าน ก็ต้องไล่ จนกว่า จะมีคณะรัฐบาลใหม่ นายกฯใหม่ เขาก็ยืนยันเช่นนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ประชาชน ก็จะสร้าง นายกฯใหม่ ซึ่งคุณเองนั้น ประชาชน ก็สร้างคุณมาเอง ทำไม จะสร้างใหม่ไม่ได้ คุณก็เล่นแง่นี้ว่า ถ้าไม่มีนายกฯใหม่ จะออกไม่ได้

        ในกฎหมายมีว่า ลาออกได้ หรือตาย หรือถูกไล่ เพราะผิดกฎหมาย นี่ก็ออกได้ เป็นต้น แล้วมาอ้างว่า ไม่ให้ลาออก จะเกิดสุญญากาศไม่ได้ ก็เล่นแง่กันไป

        ในกฎหมายไม่มี ให้ตั้งสภาประชาชน แต่ว่าในรธน.มีว่า ให้ประชาชน มีสิทธิหน้าที่ ตั้งชุมชน กลุ่มหมู่ รวมกันเป็นองค์กร ทำงานเพื่อรักษา ปกป้องประเทศ

        เพราะวิธีการบริหารของคุณ ทำให้เกิด ความเสียหายมาก
        ขนาดมีคนฆ่าตัวตาย ไปนับสิบกว่ารายแล้ว ใจดำอำมหิต ถึงที่แล้ว
        ทำให้คนต้องฆ่ากันตาย ไปตั้งไม่รู้กี่คน
        ทำให้คนต้องทะเลาะกันทั้งประเทศ
        ทำให้คนแตกแยกทางความคิด
        ทำให้คนหลงยึดติดอาการหนักคลั่งไคล้
        ทำให้คนก่อบาปต่อเนื่องยาวนาน
        ทำให้คนอึดอัดกันทั้งประเทศ
        ทำให้สังคมแตก เศรษฐกิจตก การเมืองต่ำได้อย่าง หนักหนาสาหัส ฉกาจฉกรร

        ก็น่าจะต้องลาออกแล้ว แต่ไม่ ใช้อำนาจหน้าที่ หลอกลวง ครอบงำความคิด จนเป็นคณะ ต่อต้านปะทะกัน ก็เกิดจาก กิเลสของตนแท้ๆ ที่ทำให้เกิดเช่นนี้

        สดสวย สง่างาม วิเศษ เลอเลิศ ประเสริฐที่สุดในโลกแล้ว

        ในนามธรรม ที่แสดงออกแต่ละคน ร่วมกันหลายคน ก็เป็นนามธรรม ของหมู่กลุ่ม มีฝ่ายกลางๆ ที่ไม่เข้าข้างใคร ก็คือพวกที่ ไม่รู้เรื่อง ทำมาหากินไป เหมือนนกหนู ปูปีก มีรูปร่าง หน้าตาเหมือนคน แต่ความยึดถือ เหมือนเดรัจฉาน

        หรืออีกพวก คือปัญญาไม่พอ แยกไม่ออกว่า ใครถูกหรือผิด ถ้าปัญญาเขาพอ ก็จะไปเข้าข้างได้ถูก

        อีกพวกหนึ่งรู้ว่า ใครผิดหรือถูกรู้ แต่มิจฉาทิฏฐิว่า ความเป็นกลาง ต้องไม่เข้าข้างไหน ใครถูกหรือผิด ก็ทำไป ถ้ามีตามสมมุติสัจจะว่าไว้ ว่าผู้นี้มีความเป็นกลาง ไม่เข้าข้างไหน อยู่ในหน้าที่นี้ จะไปแสดงตัวว่า จะไปเห็นข้างไหนไม่ได้ แต่โดยหน้าที่ เป็นกรรมการ ตัดสิน แล้วก็ต้อง ตัดสินว่า ใครถูกหรือผิด

        อย่างสงฆ์นี่ ท่านไม่ได้ให้ใคร เป็นคนตัดสิน แต่ถ้าหมู่สงฆ์ ก็จะเลือกผู้ฉลาดสามารถ มาเป็น ผู้ตัดสิน ไม่ได้เลือกถาวร เมื่อตัดสินแล้ว ก็ต้องให้คนถูก ชนะ คือเข้าข้างคนถูก ต้องบอกว่า อันนี้ถูก อันนี้ผิด

        แต่เมื่อไม่ใช่กาละ เป็นผู้ตัดสิน หรือกรรมการไหน ก็คือประชาชนคนหนึ่ง มาร่วมประท้วงกับประชาชนได้

        เช่นผู้พิพากษา อยู่เป็นกลาง ตอนทำงาน ก็ต้องตรวจสอบว่า ข้างไหนถูกหรือผิด ประกาศทีไร ก็ต้อง เข้าข้างคนถูก

        คนที่ถูกตัดสินว่าผิด ก็ต้องบอกทุกทีว่า ตุลาการลำเอียง เข้าข้างอีกฝ่าย ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกแล้ว ก็ต้องทำ เช่นนี้ แล้วเวลานอกราชการ มาเข้าข้าง มาร่วมชุมนุมได้ไหม ได้

        ผู้ชั่วจะทำชั่ว เพราะอำนาจโง่ แล้วเขาก็โง่ต่อ ก็ทำชั่วเพิ่ม เพราะฉะนั้น น้ำหนักของความโง่ ก็จะทำชั่วต่อ แล้วโง่ต่อ ว่าที่ทำนี่ชั่วนะ ก็ทวีคูณไปมากขึ้น คนดีจึงจำเป็นต้องทำดี เพิ่มดี ลึกซึ้ง ละเอียดอีก จึงจะถ่วงดุล สิ่งชั่วได้

        ถ้าดี ไม่มาทำดีกันให้มาก จะถ่วงน้ำหนักชั่วไม่ได้ คนดีจะไม่ทำชั่ว ทำผิดซ้ำซ้อน แต่คนชั่ว จะทำผิด ซ้ำเข้าไปอีก ผิดอีก กูก็ จะดันทุรัง ต่อไปอีก เป็นความคิดที่โง่ มันรู้ว่าชั่ว ก็กล้าทำชั่ว นี่โง่ยกกำลัง ไม่มีจบ หน้าที่คนดี จึงต้องผนึก ดียิ่งดี ก็ต้องช่วยกันผนึก ส่วนชั่ว ก็ต้องปลุกเร้า ให้ทำชั่วต่อไป จะได้เห็น ชัดเจนกันเลยว่า อันไหนชั่ว อันไหนดี

        ตอนนี้ ที่เขาทำผิด อาตมาเห็นว่า เขาเลวกว่าเทวฑัต หลายเท่าแล้ว คุณคิดว่า เขาไม่รู้หรือ? ไทยบริหาร ด้วยเสาไฟฟ้า เป็นค่ายกลของ สำนักอธรรม เราไม่ปฏิเสธ การเลือกตั้ง ที่เป็น ประชาธิปไตย แต่เราขอ วางระเบียบวิธีใหม่ ไม่เป็นค่ายกล การพิสูจน์ ที่เขาโม้เหลือเกินว่า เขาชนะเลือกตั้ง มาหลายครั้ง ชนะทุกที

   www.asoke.info