page: 10/12

สารบัญ

ผู้บรรลุอรหันต์คนแรก[1] |

ผู้บรรลุอรหันต์คนแรก [2] |

คู่รัก, รักแล้วหย่า, ทำความดี, เกิดไม่ทุกข์, เพศหญิงชาย [3] |

สมาธิ, ความกังวล [4] |

ลูกสะใภ้กับแม่สามี, ถูกด่า [5] |

กรวดน้ำ, สวดมนต์อธิษฐาน [6] |

กลัวความตาย [7] |

หญิงจะบวชยังไง, ศาลพระภูมิ, พรหมลิขิต, สวรรค์ นรก ผี [8] |

ตกนรก [9] |

ทำใจให้สงบ, สนใจศาสนา [10]

มรรคผล [11]

ไม่เกิดอีก, บวชชี, วิธีหลุดพ้น [12]

  ชีวิตนี้มีปัญหา... โพธิรักษ์    

ถาม[10] คำถามจาก :คุณสุทัศน์ ปลื้มจิต ๑๗๐๐ ถนนบรรทัดทอง ปทุมวัน พระนคร

๑. ถ้าคนเราจะทำใจให้สงบโดยแท้ ควรทำอย่างไร ในฐานะที่เราเป็นคนธรรมดา ?

ถ้าจะทำใจให้ “สงบ” โดยแท้ก็ต้องปฏิบัติ “สมถภาวนา” (เจโตสมถะ) นั่นแหละ และผู้จะปฏิบัติได้นั้น ก็คือ “คนเรา” นี่เอง สัตว์อื่นไม่มี คนธรรมดาๆ นี่เอง จะเป็นผู้ปฏิบัติใจ ให้สงบแท้จริงได้ แม้ยังไม่ได้บรรลุเป็น พระอริยบุคคล และโดยทำนองเดียวกัน พระอริยบุคคลก็ปฏิบัติใจให้สงบ โดยแท้จริงด้วย “สมถภาวนา” ก็มีถมไป

ดังนั้น ผู้ปฏิบัติ “สมถภาวนา” หรือ “สมถกรรมฐาน” ได้อย่างเยี่ยม ถึงขั้นรูปฌาน อรูปฌานขั้นสุดท้าย แต่ไม่ได้เป็นพระอริยบุคคลแม้เพียงขั้นต่ำ คือพระโสดาบัน ก็มีถมไป และผู้ที่ได้เป็นพระอริยบุคคล แม้ขั้นสูงกว่าพระโสดาบัน แต่ไม่ได้ปฏิบัติ “สมถกรรมฐาน” (เจโตสมถะ) เลย ก็มีถมไป

และถ้าจะให้ข้าพเจ้าอธิบายวิธีปฏิบัติสมถกรรมฐาน ในขณะนี้ละก็ เห็นทีจะลำบาก เพราะจะกินเนื้อที่ มากเกินเหตุ หากจะพูดพอเป็นพิธี ก็ไม่มีผลอะไรนัก และจะพาลไม่เป็นเรื่อง เพราะอาจจะนำไปปฏิบัติ แล้วเกิดผลร้าย หรือผลเสียขึ้น ด้วยเหตุความละเอียดไม่พอ ก็จะเป็นการไม่ดี จึงใคร่ขอแนะ ให้ไปซื้อหนังสือ ที่บรรดาผู้รู้เขียนไว้ มีมากมายมาอ่านเองเถิด แรกๆ ก็หาอย่างง่าย มาลองดูก่อน ถามผู้ขายก็ได้ ว่าจะซื้อหนังสืออะไร? ขนาดไหน?

สถานที่จะหาซื้อหนังสือดังกล่าวนี้ก็มี “มกุฎราชวิทยาลัย” หน้าวัดบวรนิเวศ บางลำภูนี่เอง มีให้เลือกมากอยู่ หรือที่ร้านของกรมการศาสนา อยู่ระหว่าง สำราญราษฎร์ ไปทางสี่แยกสะพานดำ ตรงเยื้องๆ วัดสระเกศหรือ ร้านสุวิชานน์ ๑๒๒ สามยอด ถนนเจริญกรุง (เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว) ที่นั่นก็มีหนังสือดีๆ เยอะ

ส่วนข้อแนะนำธรรมดานั้นก็คือ ถ้าคุณปรารถนาจะทำใจ ให้สงบโดยแท้แล้ว หากไม่ปฏิบัติ “สมถภาวนา” หรือ “สมถกรรมฐาน” ดังกล่าว ก็ขอให้คุณตั้งใจ พากเพียรศึกษา พุทธศาสนา ศึกษาธรรมะของพระพุทธองค์ โดยซื้อหรือหา หนังสือธรรมะ มาอ่านให้มากๆ

วิธีอ่านหนังสือธรรมะนั้น เราอ่านของผู้รู้ต่างๆ เขียนเสียก่อน เพราะผู้รู้ส่วนมาก เขียนด้วยสำนวนไทย เราอ่านเข้าใจง่าย ซาบซึ้งละเอียดลออ กว่าภาษาสำนวนเป็นบาลี พออ่านมากๆ เข้า เราก็พอเข้าใจเนื้อหา ซาบซึ้งในความจริง ขึ้นมาเอง และการอ่านหนังสือธรรมะ อย่าอ่านแล้วทิ้ง ต้องอ่านแล้วอ่านอีก เล่มเก่าที่อ่านแล้วนี่แหละ เนื้อความเก่านี่แหละ แรกๆ คุณอ่าน คุณก็จะซาบซึ้งได้ขนาดนั้น เท่าที่ปัญญาเราในตอนนั้น จะหยั่งภาษาลงไป หาความจริงได้ คุณนำมาอ่านซ้ำอีก ตั้งใจอ่าน ตั้งใจตรองตามไปอีกใหม่ ประโยชน์ก็จะได้ เพิ่มขึ้นใหม่ ถ้าหนังสือนั้น มีเนื้อหาหรือมีความจริง ที่ถูกต้อง ที่จะให้มากพอ แต่ถ้าหนังสือเล่มใด มีเนื้อหาอยู่ตื้นหรือน้อย เมื่ออ่านแล้ว ได้เนื้อหานั้นหมดแล้ว มันก็หมดแล้ว เมื่อเรานำมาอ่านอีก เราก็รู้ว่า เราไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้น แต่เราจะเข้าใจ ได้กระจ่างดีเท่านั้น

ดังนั้น เราก็ต้องรู้จักหนังสือ และควรรู้ไป จนถึงผู้เขียนด้วย เมื่อเราเก่งพอ เราก็อ่านหนังสือ อรรถกถา ฎีกา อะไรต่างๆ มาอ่าน และแล้ว ก็ค่อยอ่านเรื่อยไป จนถึงพระไตรปิฎก นอกนั้นก็พยายามหาโอกาส ฟังคำอธิบาย คำสอนธรรมะ จากผู้รู้ให้มาก คุณทำดังนี้เรื่อยไป คุณจะเข้าใจ ความแท้จริงได้เอง ใจคุณจะสงบลงเอง ขอเพียงให้คุณตั้งใจศึกษา โดยแท้จริง น้อมใจเข้าไป ใส่ใจกับธรรมะนั้น ให้ดีเสมอก็แล้วกัน

๒. มีวิธีแนะนำอย่างไรครับ ที่จะทำให้คนที่ไม่สนใจในศาสนา หันมาสนใจ โดยเฉพาะบางคน เห็นว่า ศาสนา เป็นของล้าสมัย ?

นี่แหละเป็นข้อสำคัญที่ข้าพเจ้าเอง ก็อยากทราบเช่นกัน เพราะโดยทุกวันนี้ ข้าพเจ้าก็ได้เพียรพยายามหาวิธี เพื่อจะแนะนำ ให้คนที่ไม่สนใจ ในศาสนา หันมาสนใจศาสนาอยู่ พยายามทุกโอกาส ที่จะชักจูง ให้คนทุกคนได้มีสติระลึกถึงพระธรรม เห็นพระธรรม เป็นของมีประโยชน์ และก็มีประโยชน์จริงๆ เพราะพระธรรม ช่วยคนได้ ช่วยได้จริงๆ

แต่คนก็ช่างกระไร เมินเฉยละเลยต่อพระธรรม อันเป็นของสาธารณะนี้ ค่าของพระธรรม สูงจนมิมีอะไรเทียบได้ และสามารถคว้าเอามา ไว้กับตัวได้ อย่างถูกที่สุด ในราคาของการลงทุนทางโลก แต่กระนั้น ก็มิพึงจะปรารถนา สนใจเก็บเอา คว้าเอา แม้นว่าคว้าเอามาไว้ ประดับตัวได้ ก็ใช่จะเป็นประโยชน์ กับผู้อื่นก็เปล่า ก็เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง นั่นเอง แต่กระนั้น “คน” ผู้เต็มไปด้วย “มิจฉาทิฐิ” นี้ ก็มองไม่เห็นค่า ของพระธรรม ว่ามีค่าสูงส่งอย่างไร น่าจะเอาใจ มาหมกมุ่นเรียนรู้ ปฏิบัติรู้แค่ไหน

ก็ได้แต่ช่วยกันพยายามหาทางชักจูงชี้แนะกันไป เท่าที่จะทำได้ คนผู้มีธุลีน้อย ในดวงตา ก็ย่อมจะมองเห็น ค่าของพระธรรม และเอาใจมาฝักใฝ่ กับธรรมะเอง

เช่นเดียวกับไก่เห็นพลอย เห็นเพชร ย่อมไม่รู้ค่า จะดีใจเมื่อได้พบ เม็ดเพชร เม็ดพลอย ก็หาไม่ ไม่ใส่ใจด้วย คงควานหา เมล็ดข้าว เมล็ดถั่ว ไปตามประสาไก่ ที่ยังมืดบอด ไม่รู้ค่าของเพชรอยู่

ฉะนั้น คนผู้ไม่มืดบอด มองเห็นพระธรรม มีค่าเรืองรอง รุ่งแสงจรัสจ้า สำหรับชีวิตโดยแท้ ก็จะต้องเป็นคนที่ฉลาดแท้ มีปัญญาแท้ พ้นจากความดักดานได้แล้ว รู้ว่าค่าของเพชร สูงกว่าเมล็ดข้าว ได้อย่างแท้จริงแล้ว ผู้นั้นก็จะเอาเวลา ที่เคยนำไปนั่งดู ภาพยนตร์มอมเมา อันเป็นเมืองแห่งมายา มานั่งอ่าน หนังสือธรรมะแทน จะไม่ยอมเอาเวลา ที่เคยไปเล่นไพ่ เล่นโบว์ลิ่ง หรืออบายมุขอื่น อันเต็มไปด้วยความโลภเป็นเหตุ กับความหลงเป็นเหตุเหล่านั้น ไปใช้ในการเล่น อันหาประโยชน์มิได้ กับชีวิตนั้นอีก จะเห็นค่าของการไป นั่งดูภาพยนตร์ ที่เป็นเครื่องสื่อเสริมกาม เสริมพยาบาท และค่าของการเล่น อันหาประโยชน์มิได้ ว่าต่ำกว่าค่าของ การศึกษาการปฏิบัติ หรือสนใจในพระธรรม

หรือถ้าเราจะลองนึกถึง ความเห็น ที่ถูก ที่ผิด เหล่านี้ จากชีวิตเราเองก็ได้ เมื่อเด็กๆ เราเห็นการวิ่งเล่น หรือการสนุกสนาน มีค่ากับชีวิตมาก เมื่อโตขึ้น เราจะมองย้อนไป เห็นว่า การวิ่งเล่น หรือการละเล่น ที่สนุกสนานนักหนา ถึงขนาดยอม ถูกเฆี่ยนถูกตี เมื่อเด็กนั้น มันไม่มีค่าจริงๆ โตมาแล้วขณะนี้ เราจะไม่ยอมไปแตะต้อง หรือว่าไม่ยอมเอาเวลา ไปเสียกับการวิ่งเล่น การละเล่นอย่างเด็ก นั้นเป็นอันขาด

เมื่อโตมาขนาดหนุ่มสาว เกมสนุกสนานต่างๆ สำหรับหนุ่มๆ สาวๆ ก็สำคัญกับชีวิตอีก เป็นต้นว่า ดูหนัง ดูละคร ก็มากครั้ง ไปเที่ยวงานโน่นงานนี่ แปลกใหม่ก็บ่อย มีรสชาติ มาเสื้อผ้าแฟชั่น ก็สำคัญมาก มีค่าที่จะต้องหลงใหล เพ้อพกไปตามเวลา ถ้าไม่ตามเขาก็ไม่ได้ มันแทบจะมีชีวิต อยู่กับโลก กับสังคมมนุษย์ ไม่ได้เอาทีเดียว

แต่พอมีอายุเลยเข้าไปกลางคนแล้ว ความสำคัญ ของสิ่งเหล่านี้ ก็น้อยลง แม้ไม่ได้ดูภาพยนตร์ ที่ว่าสนุกแสนสนุกบางเรื่อง ก็ทนได้ ไม่ใช่ว่า จะถึงกับต้องตายให้ได้ ถ้าไม่ได้ดูภาพยนตร์ สนุกแสนสนุกเรื่องนั้น เหมือนเมื่อหนุ่มเมื่อสาว นี่แหละคือ ความยึดมั่นอุปาทาน หลงในสิ่งที่ ไม่จริงทั้งหลาย มองเห็น “ค่าของความไม่จริง” ว่าสูง ซึ่งเป็นความหลงผิด ทั้งนั้น

คนผู้ไม่ศึกษาธรรมะ จะเห็นว่าศาสนา เป็นของล้าสมัยจริง แต่ถ้าได้ศึกษา ถ่องแท้แล้ว ไปถามผู้ศึกษาถ่องแท้ได้ว่า ศาสนาล้าสมัย จริงหรือไม่

ศาสนาพุทธรู้ว่า มีโลกอื่นนอกจากโลกธาตุ ที่เราอยู่นี้ รู้ว่ามีจักรวาลมาตั้ง ๒,๕๐๐ กว่าปี พระพุทธองค์ทรงทราบว่าโลกกลมมาก่อน นักวิทยาศาสตร์ใดๆ ในโลก แต่แม้กระนั้น พระพุทธองค์ก็ไม่ทรงชี้แนะ ให้หลงศึกษา ในเรื่องของ สิ่งที่ไม่จบ ไม่ใช่ของจริง เมื่อเราศึกษาของจริง ความแท้จริงจบแล้ว โลกทั้งโลก ก็อยู่ใต้ฝ่าเท้า รู้แจ้งสิ้น และมองเห็น แม้โลกอื่นได้ดี และรู้อย่างแจ้งชัดด้วย ดังคำที่ว่า “โลกุตร” อันแปลตรงตัวว่า “เหนือโลก” นั่นเอง


  ชีวิตนี้มีปัญหา
 
page: 10/12
   Asoke Network Thailand
อ่านต่อ หน้า 11