ชีวิตจำลอง

๖.วัดสำเหร่

“สำเหร่” เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ก็ตอนที่มีรถเมล์สาย “จุฬา-สำเหร่” วิ่ง เท่ากับเป็นการโฆษณา ชื่อเคลื่อนที่ ตั้งแต่ "สำเหร่” ไปจนถึง “จุฬา” และจากจุฬา กลับมาสำเหร่ วันละหลายคัน คันละหลายเที่ยว

แม้จะมีวัดอยู่หลายวัดในละแวกนั้น แต่ญาติพี่น้องผม ก็ผูกพันอยู่วัดเดียว คือวัดสำเหร่ วัดอื่นนั้นไปบ้าง แค่ไปเที่ยวงานวัด แต่เวลาทำบุญ ทำที่วัดสำเหร่ เวลาบวชเณร ผมบวชที่วัดสำเหร่ เข้าโรงเรียน ก็โรงเรียนวัดสำเหร่ ผมก็คือศิษย์เก่า โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร นั่นเอง เมื่อมาผมเป็น ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คงจะทำให้ศิษย์เก่า และหนูตัวน้อยๆ ที่กำลังเรียนอยู่ ในโรงเรียนประถม ของกรุงเทพมหานคร ภูมิใจ

วัดออกจะอยู่ห่างไกลจากบ้าน ต้องเดินลัดเลาะเข้าสวนไป ระยะทางเป็นกิโล กว่าจะไปทะลุวัดสำเหร่ แต่เด็กๆอย่างเรา ก็เดินเสียจนชิน ไม่รู้สึกว่าไกลอะไรเลย ตอนนั้น ผู้คนไม่ใคร่มี ทางค่อนข้างจะเปลี่ยว เวลาผ่านต้นมะขามใหญ่ เสียววูบ กลัวผีหลอก เพราะผู้ใหญ่ เล่าให้ฟังว่า ผีชอบสิงสถิตอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ๆ โดยเฉพาะต้นมะขามต้นนั้น

เด็กฝรั่งไม่กลัวผี มีแต่เด็กไทยเท่านั้น ที่กลัวกันเสียจริง เพราะหลอกกันมาตั้งแต่เล็กๆ นี่อายุผมเกือบ ๖๐ แล้ว ยังไม่เคยเจอผีเลย

เรื่องผี กลัวก็กลัว อยากฟังก็อยาก เวลาผู้ใหญ่เล่าเรื่องแม่นาคพระโขนง ผมนั่งอยู่บนเรือนไม้กระดาน ต้องคอยหลบ คอยระวัง ช่องกระดาน กลัวแม่นาค จะเอานิ้วเอาเล็บยาวๆ หรือเอาไม้แหย่ ถ้าเป็นบ้านสมัยใหม่ เหมือนอย่างขณะนี้ คงนั่งฟังสบาย เพราะพื้นไม้ เข้าลิ้นแนบสนิท ไม่มีช่องให้ผีแกล้งเราได้

ระหว่างทางจากบ้านไปโรงเรียน ผลไม้มีให้กิน อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะชมพู่ กินกันไม่รู้หมด ถ้าเก็บชมพู่หล่นไม่พอ ปีนต้น เขย่าเสียเดี๋ยวเดียว จะเอาเท่าไหร่ได้ทั้งนั้น ผมเบื่อชมพู่ ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ เพราะเมื่อเล็กๆ กินมามาก

หน้ามะม่วง ต้องพกหนังสติ๊กติดตัว เตรียมเอาดิน ปั้นเป็นลูกกระสุนไว้มากๆ ยิงตัดขั้วเลย ชมพู่ใคร มะม่วงใคร ไม่คำนึง ถือว่าเป็นเด็กเสียอย่าง ทำอะไรเขาก็ไม่ว่า ขอกันกินเท่านั้น ไม่ละโมภ ถึงขนาดยิงผลไม้ ไปขายหรอก

โรงเรียนเทศบาล๒๗ วัดสำเหร่ สอน ป.๑ ถึง ป.๔ มีครูเพียง ๓ คน เป็นครูใหญ่ ๑ ครูพระ ๑ และครูผู้หญิงอีก ๑ ครูที่พวกเรา ติดกันมากคือ ครูพระ ท่านเป็นพระจริงๆ แต่ทำหน้าที่ครูตลอดเวลา ท่านดุ แต่สอนเก่งมาก

อาคารเรียนใช้ศาลาวัด เรียนอยู่กับพื้นดิน วันไหนมีงานบวช หรืองานศพ เราต้องหยุด เพราะไม่มีที่เรียน ดีใจเสียอีก ที่ได้หยุดบ่อยๆ

ลานวัด มีต้นจันทน์ต้นใหญ่ อยู่ต้นหนึ่ง พวกเรารีบไปโรงเรียนแต่เช้า เพื่อไปเก็บลูกจันทน์ที่หล่นลงมา เก็บมาดมหอมๆ พอช้ำๆ ก็ปอกกิน อร่อยดี

ใต้ต้นจันทน์ เป็นพื้นทรายเรียบ เหมาะสำหรับเล่นลูกหิน และลูกข่าง ลูกหินที่ทำด้วยดินเผา ซื้อมาเล่นได้ไม่นาน ก็แตก เหนียวสู้ของเพื่อนไม่ได้ ต้องไปหาลูกหินจริงๆ ที่สะกัดจากหิน แม้จะหายาก แต่ทนดีเหลือเกิน

ลูกข่างไม่ต้องซื้อ เพราะน้าสายหยุด น้าเขยผม ทำลูกข่างให้เล่นเสมอ ทำจากไม้มะขามเทศ เวลาเหวี่ยงลงไป มีเสียงกระหึ่ม

ตอนอยู่ชั้นประถมต้น หนังสือเรียน มีอยู่เล่มสองเล่ม เวลานั้นสมุดไม่มี มีแต่กระดานชนวน เขียนแล้วลบ ลบแล้วเขียน แผ่นเดียว ใช้ได้เป็นปีๆ คอยระวังไม่ให้หล่นแตกเท่านั้น เป็นใช้ได้ ไม่ต้องหอบหนังสือ สมุด ไปโรงเรียน กระเป๋าโตๆ เหมือนเด็กทุกวันนี้

เรียนก็เรียนกันเฉพาะ เวลาเรียนเท่านั้น ใครขยัน ก็ไปท่องหนังสือต่อที่บ้าน เด็กไม่ต้องเรียนพิเศษ มีเวลาเป็นของตัวเองมาก ได้รื่นรมย์ กับชีวิตเด็กจริงๆ ความเจริญเติบโต ค่อยเป็นค่อยไปตามธรรมชาติ

คลองสำเหร่ เป็นคลองลัดจากคลองบางหลวง ไปออกแม่น้ำเจ้าพระยา น้ำใสสะอาด น่าอาบ น่าเล่น เหมือนคลองทั่วๆไป ในสมัยก่อน

หน้าน้ำทีไร เราดีใจ น้ำในคลองล้นตลิ่ง เราทั้งว่าย ทั้งพายเรือเล่น พายออกไปโต้คลื่นที่ปากคลองสำเหร่ ตื่นเต้นไม่น้อย ตอนที่นั่งอยู่ในห้องเรียน ก็เหม่อมองดูน้ำในคลอง เร่งเวลาเมื่อไรจะเลิกเรียน จะได้ไปเล่นน้ำให้สมใจ

หน้าน้ำดีอีกอย่าง หิวขนม ก็ขึ้นไปบนกุฏิครูพระ เดี๋ยวเดียว ก็ได้ทั้งกระยาสารท กล้วยไข่ และส้มเขียวหวาน ซึ่งมีคนถวายพระมาก ในฤดูกาลนั้น

ก่อนถึงหน้าน้ำ เวลาจะเข้าพรรษา ก็สนุกอีก ดูขบวนแห่ บวชนาคกันไม่เบื่อ มีทั้งแตรวง กระตั้วแทงเสือ สิงโต สาวๆที่ถือดอกไม้ แต่งกายด้วยชุดที่สวยที่สุด เดินกันเป็นกิโลๆ เหงื่อไหลไคลย้อย ยิ่งเดินไกล ถือว่ายิ่งได้บุญมาก

หน้าบวชมีลิเกให้ดูบ่อย แม่มักจะไล่ให้นอนตั้งแต่บ่าย เพื่อเก็บแรงไว้ดูลิเกถึงดึกๆ คืนเดือนมืด ผู้ใหญ่ต่างเตรียมคบเพลิงไว้พร้อม ตัดทางมะพร้าวแห้งๆ มาตุนไว้ กะระยะทางให้เหมาะ ทั้งขาไปและขากลับ ว่าจะต้องใช้คบเพลิง จุดส่องทางกี่อัน ชวนกันถือไป คนละอันๆ เมื่อไฟจากคบอันหนึ่งใกล้จะมอด คบเพลิงอันอื่นก็มาจุดต่อ ประหยัดดี ไม่ต้องใช้ตะเกียงน้ำมัน ไม่ต้องใช้ไฟฉาย เป็นการเสริมสร้าง ความสามัคคีกัน อย่างดีอีกด้วย

แม่พาผมไปฝากครูพระ เข้าโรงเรียนวัดสำเหร่ ได้ไม่นาน แม่ก็ไปสมัครทำงานบ้าน ที่บ้านคุณนาย แม้จะได้เพื่อนเพิ่มอีกคน คือเจ้าวัว แต่เราก็เรียนคนละโรงเรียน วัดกระจับกับวัดสำเหร่ อยู่คนละทิศ เลยไม่ได้ เดินไปโรงเรียนด้วยกัน ตื่นเช้า ต่างคนต่างไป

คุณหญิงละออ บุตรสาวคนโตของคุณนาย ได้เล่าถึงเรื่องผม แต่หนหลัง ให้คุณศิริลักษณ์ฟัง ที่บ้านสำเหร่ เมื่อเราไปเยี่ยมคุณนาย

“ตอนที่ผู้ว่าฯ อยู่กับคุณแม่ และพวกเรา ที่บ้านหลังนี้ ผู้ว่าฯทำงานไป ดูหนังสือไป ถ้าวันไหน ดูหนังสือสอบไม่ทัน ก็ร้องไห้ เพราะต้องสอบให้ได้ที่ ๑“

อยู่ชั้นประถมปลาย ผมขยันเรียนมากขึ้น ยิ่งขยันยิ่งเรียนสนุก แม่ไม่ต้องเคี่ยวเข็นผม ในเรื่องทำการบ้าน หรือดูหนังสือเลย ผมช่วยแม่ทำงานบ้านเสร็จ ก็หันมาจับหนังสือ คิดว่า ถ้าผมเรียนเก่งๆ วันหน้า อาจช่วยแม่หาเงินได้ แม่คงไม่ต้องลำบากอย่างนั้น ไปจนแก่

ถึงจะขยันเรียนอย่างไร ก็ทิ้งเรื่องเล่นไม่ได้ เห็นเด็กรุ่นโตกว่าเขาเล่น ก็นึกสนุก เฮโลเล่นตามเขา เรียกว่า เรียนไปเล่นไป ตามประสาเด็ก

ไปไหนมาไหนตอนค่ำๆ ได้ยินเสียงจิ้งหรีดร้องเพราะๆ เป็นต้องรี่เข้าไป เอาก้อนอิฐวาง เป็นเครื่องหมายไว้ก่อน รีบตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่ มือหนึ่งถือชะแลง อีกมือถือถังน้ำ ตักน้ำเต็มถัง ราดลงไป ตรงที่ทำเครื่องหมายไว้ ถ้าจิ้งหรีดไม่ยอมออก ราดซ้ำอีกถัง เดี๋ยวเดียว ก็ตะลีตะลาน วิ่งขึ้นมาให้จับ เป็นจิ้งหรีดทองดำบ้าง ทองแดงบ้าง นอกจาก จะเอาไว้กัดสนุกๆแล้ว ตอนกลางคืน ยังร้องให้ฟังเพราะๆอีก

ปลากัด มีชุกที่คู ริมถนนตากสิน น้ำจะเน่าขนาดไหนก็ไม่พรั่น ผมลงไปช้อนเอามาจนได้ ใส่ขวดโหลไว้ ปลากัดจะออกสีสวย คลี่ครีบกางออก ตอนที่มันโกรธ ใช้เพียงกระจกเงา บานเล็กๆก็พอ เอามาตั้งส่องที่ข้างขวดโหล ปลากัดจำหน้าตัวเองไม่ได้ นึกว่าในกระจก คือหน้าคู่ต่อสู้ เลยตรงรี่เข้าไปกัด โดยพุ่งปากเข้าชนขวดโหล ใช้หางโบก เตะไปเตะมา ตอนกัดกันจริงๆ ค่อนข้างจะทารุณ ปล่อยให้กัดจนครีบหลุด เห็นเลือดแดงๆ ถือเป็นของสนุก สำหรับเรา

ปลาเข็ม ที่มีอยู่ตามท้องร่อง และคูคลอง เรียกว่าปลาป่า กัดไม่เก่ง กัดเดี๋ยวเดียว ว่ายน้ำหนีแล้ว สู้ปลาหม้อไม่ได้ ตัวโตกว่า ที่หางมีจุดสีดำ และสีแดงสวย ปลาเข็มหม้อต้องซื้อ แต่ราคาไม่แพง อดขนมเพียงวันเดียว ก็ซื้อได้

ป้าเหลี่ยน ซึ่งช่วยคุณนายทำงานบ้าน อีกคนหนึ่งนั้น ท่านชอบไปวัด วัดที่ไปประจำ คือวัดกระจับ วัดที่เจ้าวัว เรียนหนังสือนั่นเอง นอกจากป้า จะชวนผมไป ให้ช่วยหยิบโน่นถือนี่ และเดินตามหลังแล้ว ยังชวนให้ผมอดขนม เอาเงินไปติดกัณฑ์เทศน์อีกด้วย พอพระ เอ่ยปากชมผม ต่อหน้าญาติโยม ผมก็หน้าบาน กลับบ้านไปอดขนมต่อ เก็บเงินไว้ ไปติดกัณฑ์เทศน์ ให้พระชมอีก

ขณะที่ผมกำลังบ้ากัดปลา กัดจิ้งหรีดอยู่นั้น มีอยู่วันหนึ่ง พระท่านเทศน์เรื่องกรรม “ใครทำอะไรไว้ จะต้องเป็นอย่างนั้น” ผมก็คิดถึงสัตว์ ที่ผมทรมาน ไปจับมาบ้าง ไปซื้อมาบ้าง ขังเอาไว้กัดกัน ถ้าชาติหน้า ผมไปเกิดเป็นปลากัด ปลาเข็ม และจิ้งหรีดบ้าง ผมคงแย่แน่ๆ เลยตัดสินใจ เอาไปปล่อยหมด

ปลาเข็มที่ผมปล่อยลงไป เวลาอยู่ในคลองสีเหลืองอ๋อย ลงไปว่ายได้ไม่เท่าไร ก็ถูกปลาใหญ่ๆ ฮุบเอาไป ผมยิ่งกลัวบาปมากขึ้น ต่อมานึกเทียบเคียง กับการกินเนื้อสัตว์ ว่าไม่ถูกเหมือนกัน เป็นการส่งเสริมให้มีการฆ่าเพิ่มขึ้น จึงคิดจะเลิกกินเนื้อสัตว์ แต่ก็คิดไม่ออก

ผู้ที่จบโรงเรียนวัดสำเหร่ รุ่นก่อนๆ ถ้าเรียนต่อ มักจะไปเข้า โรงเรียนมัธยมวัดนวลนรดิศ แต่ผมกลับสมัครสอบคัดเลือก เข้าโรงเรียน บ้านสมเด็จเจ้าพระยา ใครๆเข้าโรงเรียนวัด ผมเข้าโรงเรียนบ้าน แปลกดี

สมัยหนึ่ง ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเรา มักจบจากโรงเรียนสวน (สวนกุหลาบ) แต่ผมนั้น วนเวียนอยู่แต่โรงเรียน ”วัด” กับโรงเรียน”บ้าน” ไม่มีโอกาสได้เข้าโรงเรียนสวน เหมือนใครๆ ถึงหน้าแข่งฟุตบอล โรงเรียนบ้านสู้กับโรงเรียนสวน สนุกอย่าบอกใครเชียว

ตอนที่แม่ลาออกจากบ้านคุณนาย พาผมกลับไปอาศัยอยู่กับยายนั้น ผมสอบเข้าเรียนต่อชั้นมัธยม ที่บ้านสมเด็จ ได้พอดี และสอบเข้าได้ที่ ๑ เข้าไปแล้วตั้งนาน จึงรู้ว่าสอบคัดเลือกได้ที่ ๑ เพราะทางโรงเรียนมีระเบียบรับเด็ก ที่ท่านเจ้าคุณ สมเด็จวัดอนงคาราม ฝากจำนวนหนึ่ง ซึ่งจะประกาศชื่อ เป็นลำดับต้นๆ ตั้งแต่ลำดับที่ ๑ ไป ส่วนผู้ที่สอบคัดเลือกได้เอง จะมีรายชื่อต่อจากนั้น ทั้งนี้ เพราะในสมัยนั้น สมเด็จวัดอนงคาราม ท่านอุปถัมภ์โรงเรียนบ้านสมเด็จ เป็นอย่างมาก

ผมโชคดีสอบเข้าบ้านสมเด็จได้ เพราะมีครูดี ท่านสอนเก่งมาก และเข้มงวด ในเรื่องระเบียบวินัย มาตั้งแต่อยู่โรงเรียนวัด เมื่อมาเป็น ผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร ผมจึงให้ความสนใจ โรงเรียนประถมศึกษา ในสังกัด กทม. ๔๒๗ โรงเรียน ซึ่งประกอบด้วยครู ประมาณ ๑๔,๐๐๐ คน และ เด็กนักเรียน ประมาณ ๒๓๐,๐๐๐ คน

ไปที่ไหน ผมพูดได้เต็มปากว่า ผมเป็นศิษย์เก่าโรงเรียน กทม. ผมอยากจะเห็นสถาบันเก่าของผม เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป

โรงเรียน กทม. เมื่อก่อนกับสมัยนี้ มีเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง ที่ไม่เปลี่ยนแปลง แม้เวลาจะล่วงเลย ไปนานเท่าใดก็ตาม นั่นก็คือ ความยากจน ของพ่อแม่เด็กส่วนใหญ่ ถ้าไม่ยากจนนัก จะไม่เอาลูกเข้าโรงเรียน กทม.

ผมไม่อาย ที่เป็นเด็กโรงเรียนเทศบาล โรงเรียนวัด เมื่อเป็นผู้ว่าฯ ได้ประมาณ ๓ ปี ผมไปเยี่ยมโรงเรียนที่ฝั่งธนฯ พบเพื่อนเก่าของผม ยังเป็นแม่ค้า ขายของหน้าโรงเรียน เราคุยกันถึงความหลัง สมัยเป็นนักเรียนอย่างสนุกสนาน ก่อนจากกัน ผมบอกกับเพื่อนผมว่า

“บอกความจริงกับคนอื่นเขาครับ ไม่ต้องกลัวว่าผมจะอาย บอกเขาว่า คุณเป็นเพื่อนผม เป็นเพื่อนผู้ว่าฯ ใครจะทำไม ประวัติเราแก้ไม่ได้ และไม่จำเป็นต้องไปแก้ ก็เราเคยเป็นเพื่อนกันจริงๆนี่”

เพื่อนผมดีใจและภูมิใจ ที่ผมนึกถึงเขา และยังเป็นจำลองคนเดิม เกือบ ๕๐ ปีก่อนโน้น เป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนั้น แกคุยไปยิ้มไป น้ำตาคลอ

ผมอยากกลับไปเป็นเด็กนักเรียนกทม. เหมือนเมื่อก่อน สุขกายสบายใจกว่า ตอนเป็นผู้ว่าฯ กทม. อย่างเทียบกันไม่ได้

 

อ่านต่อ / ๗. บ้านสมเด็จ