ธรรมปัจเวกขณ์ (๑๒๙)
๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๕

เรายังคงจะย้ำ ในหลักของเบิกบาน สุขุม อ่อนโยน คล่องแคล่ว ต่อไปอีก การที่จะเพิ่มเพดานบิน หรือเพิ่มภูมิ หรือจะปฏิบัติธรรมให้สูงขึ้นๆ อยู่เรื่อยๆ ไม่ตกต่ำ ไม่สะดุด ไม่ชะงักนั้น เราจะต้องพยายามที่สุด อย่างน้อย ก็อย่าขาดทุน เป้าแรกที่สุด เบิกบาน การทำให้เบิกบาน หรือนัยหนึ่งก็คือ เราจะต้องทำตน ให้มีจิตเป็นฌาน มีจิตเป็นสุข ทิฏฐธรรมสุขวิหาร มีจิตที่ในปัจจุบันธรรมนั้น เราจะต้อง เป็นผู้ที่ไม่หม่นหมอง ไม่เต็มไปด้วยโทสะ เป็นเบื้องต้น ไม่เต็มไปด้วยความขัดเคือง ขัดข้องในจิต แล้วเรา แม้จะมีความปรารถนา จะมีความอยากใคร่ แต่เราอยากใคร่ในธรรม เป็นกาโม แม้เราจะมี ความเป็นกามฉันทะในกาม แต่ฉันทะในกามนั้น มันก็ยังสามารถที่จะเจริญ งอกงามได้ เพราะฉะนั้น เป้าแรกที่สุด เราจึงตัดความหม่นหมอง ความขัดเคือง ความขัดข้อง ผูกโกรธ ความไม่สบายใจ ความไม่ชอบใจ อรติ ไม่ว่าจะเป็น หยาบกลางละเอียด ตัดให้สิ้น นี่คือ ความหมายของการล้างใจ ในปัจจุบันธรรม ทุกปัจจุบันธรรม อย่าให้มีอารมณ์ ขัดข้องหมองใจ อึดอัดอะไรอยู่ในจิตใจ ทุกปัจจุบันให้ได้ ไม่มีข้อแม้ นี่ สายโทสโคตร นั่นคือ เราทำความเบิกบาน หรือทำความเป็นฌาน ในปัจจุบันธรรม เป็นผู้ปราศจากความเศร้าหมอง หม่นหมอง เป็นความไม่มีพยาบาท หรือโทสโคตร แล้ว แม้จะมีราคะโคตร หรือมีกามฉันทะ แต่เป็นธรรมกาโม มีการปรารถนาใคร่ดี อยากได้ ในการเพิ่มภูมิของธรรม ซึ่งจำเป็นอยู่ในเสขบุคคล ด้วย

เพราะฉะนั้น เรามีกาม ถ้าเราไม่ได้ไปมีกาม ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสโลกๆ ไม่ได้ไปใคร่อยาก ในเรื่องของอบายมุข ไม่ได้ไปใคร่อยาก ในเรื่องตัวเรื่องตน เอามาเสพย์สมสุขสม อะไรนั้น เราก็เป็นผู้ที่มีจิตอย่างหนึ่ง ไม่ใช่จิตลอยๆ ไม่ใช่จิตกลางๆ ไม่ใช่จิตไม่ขึ้นไม่ลง ไม่ใช่จิตไม่ดูด แต่เป็นจิตที่ ไม่ให้ไปดูดเอาความหม่นหมอง เอาความขัดเคือง เอาโทสโคตร เอาไว้ แล้วปล่อยโทสโคตรให้หมดเกลี้ยง แล้วเราเป็น ผู้ที่มีความดูดเหมือนกัน แต่ดูดดึงไปในทางมวลมิตรสหาย ดูดดึงไปในผู้ที่เป็นมิตรดี สหายดี เพื่อนดี เป็นผู้ที่มีคุณธรรม เป็นสัตบุรุษ เป็นผู้ที่จะเกื้อกูลช่วยเหลือ มีใจดี อย่ามองโทษ อย่าเพ่งโทษผู้ใด อย่าไปคิดว่า ผู้ใดเขาจะมาทำโทษ แม้เขากำลังด่าเรา อย่างแรง เขากำลังทำร้ายเรา อย่างแรง ก็มีใจกลาง มีใจวาง อย่าเพ่งโทษ เราชอบไปมองคนอื่นเขา เพราะเราตนเอง เป็นผู้ระแวงตน เรามองตน เรานึกว่าตนเองนี่ เป็นคนที่ คนอื่นเขาไม่เชื่อถือ เขาไม่เคารพ คนอื่นเขาเหยียดหยาม คนอื่นเขาดูถูก นั่นคือ ตัวมานะ กำลังบทบาทอย่างแรง อยู่ที่เรา เรากำลังมีมานะ อย่างกำลังมัน ออกฤทธิ์ทีเดียว

ถ้าเผื่อว่าเราเอง ระแวงตัวเราเอง แล้วก็ไประแวงคนอื่น ว่าเขากำลังมาเพ่งโทษเรา เขากำลังมามองเรา เขากำลังมาจับผิดเรา เขากำลังมาทำร้ายเรา เขากำลังจะเอาเรื่อง เอาราวอะไรกับเรา อย่างนี้ ขอให้อ่านตนเองว่า ปลดปล่อยเสียเถิด ใครเขาจะมาทำร้าย ใครเขาจะมาเอาเรื่องร้ายอะไรแก่เรา ถ้าเราเป็นคนที่บริสุทธิ์ ถ้าเราเป็นคนที่ ปรารถนาดีอยู่ ก็จะเห็นเขาเป็นตัวโจทย์ แห่งแบบฝึกหัดอย่างดี เขาจะช่วยทำให้เรา ระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น เขาจะช่วยทำให้เราสะอาด บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น เขาจะช่วยมอง อย่างเหยียดหยาม เขาจะช่วยมอง อย่างจับผิด เขาจะตู่ว่า เขาจะด่าอย่างผิดๆ ก็ต้องหาความจริงให้ได้ ครั้นเขาด่าผิดๆ มันไม่ถูก เราก็ปล่อยเสีย เขาจะจ้อง จะจับผิดอะไรนั่นน่ะ เราไม่ได้จ้างเขา แม้แต่บาทเดียว สลึงเดียว หรือ ล้านหนึ่ง สองล้าน เราไม่ได้จ้างเขาเลย เขาจะทำให้แก่เรา นั้นเป็นคุณค่า เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

เมื่อเราไม่มีจิตเพ่งโทษว่า คนอื่น เขาจะมาเที่ยวได้จับผิด จับโทษจับภัยอะไร เป็นตัวผู้ร้ายแก่เรา เราไม่มีใครเป็นผู้ร้าย ในโลก แม้แต่ศัตรู ก็ไม่ใช่ผู้ร้ายของเรา ถ้าเราทำใจได้อย่างนี้ เราจะเบิกบานแจ่มใส แล้วเราจะมองเห็นความจริงว่า ผู้ที่เขามาทำอะไรแก่เรานี่ จะมาจับจ้อง จับจุดอะไรอยู่ คนนั้นคือ คนที่เขาจะมาทำประโยชน์ ให้แก่เราก็ได้ เราจะรู้ในภายหลัง แต่ทว่า เราระแวงตัว เมื่อเราระแวงตัวแล้ว เราระแวงผู้อื่น เราจึงเกิดการไม่สบายใจ ใจเราจึงไม่ใส เมื่อใจเราไม่ใส ใจเราก็ไม่เบิกบาน เมื่อใจเรา ไม่เบิกบาน จิตเราจะสุขุมไม่ได้ นอกจาก สุขุมไม่ได้แล้ว เรายังจะเป็นทุกข์อีกด้วย ความทุกข์ ก็ทับถมทำลายทำร้ายตน อึดอัดขัดเคือง หนักแน่น ยุ่งยากเข้าไปมากใหญ่ เราจะทำอะไร ละเอียดสูงขึ้น จะเจริญยิ่งขึ้นไม่ได้ มีแต่จะตกต่ำๆๆๆ สุดท้าย ก็ตกไปจริงๆ ลงไปในนรกโน่นเลย น่ะ เพราะฉะนั้น ขอให้ทำความเข้าใจในเป้า ให้ความเบิกบาน ทำให้แก่ตนนี่ ให้ละเอียดขึ้นไป ดังที่ได้แนะนำ วิเคราะห์วิจัยให้ฟังนี้ ให้ละเอียด แล้วเราจะเป็นคนที่ได้กำไรก่อนอื่น เมื่อมีจิตเป็นฌาน จิตเบิกบาน ขับไอ้ความที่ มันจะทำให้ร้ายอะไร ออกไปในจิตได้แล้ว เราจะเกิดปัญญา เราจะเกิดการพิจารณา เราจะเกิดเห็นความจริง ความสุขุมเกิดขึ้น ความที่จะเป็นรุนแรง จะเป็นเรื่องร้อน จะเป็น เรื่องลำบาก อะไร ก็จะไม่เกิด

เราจะไม่หยาบต่ำลง เราจะไม่วู่วาม เราจะไม่รุนแรง เราจะเป็นผู้ที่ละเอียด สุขุมขึ้น การละเอียดสุขุมนั่นเอง จะทำให้เรา สามารถที่จะเป็นกำแพง หรือเป็นเพดานชั้นสูง ขึ้นไปได้ เมื่อ เรามีแรงมีฤทธิ์ เพราะรู้ และเพราะเราไม่เปลืองแรง ไปอะไรอื่นเลย แม้แต่ไปคอยระแวง แม้แต่ไปเดือดไปร้อน อยู่กับเรื่องที่ไปผูกพันกับคนอื่น เราเอาแรง มาใช้หมด ในปัจจุบันใดๆก็ตาม เราก็จะมีฤทธิ์แรง ทั้งทางธาตุรู้ ลักษณะรู้ และ ทางธาตุแห่งความแรง แรงเป็นพลังเป็นกำลัง ที่จะทะลุเพดานบินสูงขึ้นไป นั้นได้ เมื่อเราทำได้ทุกอย่าง ก็จะถูกปรับให้สู่ความอ่อนโยน ให้สู่ความไม่แข็ง เป็นสิ่งที่อยู่กับโลก อย่างนิ่มนวล อ่อนโยน นิ่มนวล สุภาพ แล้วมันจะเกิดการราบรื่น เรียบร้อยไปได้ แม้จะอยู่ในขวากหนาม จะอยู่ในพื้นที่ ที่มีภูเขา หลุม เหว อะไร อย่างไร มันก็จะราบรื่นไป ตามความสูง ความต่ำ ของอุปสรรคที่มีอยู่ในโลก โลกไม่มีสิ่งที่ราบเรียบ เป็นหน้ากระจก โลกไม่มีอย่างนั้น โลกคือการโคจรไปสัมผัส สัมพันธ์กับทุกระบบ บางอย่าง ก็มีระบบร้าย และอย่างระบบร้ายนี้ ก็ขจัดไม่ออก มันเป็นซาตานแห่งโลก อยู่นิรันดร์

เพราะฉะนั้น ซาตานแห่งโลกนิรันดร์นั้น เราเอง เราอยู่ร่วมแม้ซาตานได้ ได้นั่นแหละ เราคือความเก่ง เราคือความชนะ ที่เราสามารถที่กระทำ ถ้าผู้ใดเรียนรู้ สิ่งเหล่านี้แล้ว ก็ศึกษาอบรม กระทำให้เบิกบาน อย่างจะผ่านมาสู่จุดสุขุม เมื่อจุดสุขุมแล้ว ก็จะปรับไปอีก สู่จุดอ่อนโยน เมื่อได้จุดอ่อนโยน อย่างรู้ดีแล้ว ทุกอย่าง เราก็จะรู้รอบ เราก็จะแคล่วคล่องว่องไว จะเป็นสภาพที่รู้ยิ่ง เหมือนกับคนขับรถ ที่รู้ทางที่ดี แม้จะขับขึ้นเขา ลงเหว มีโค้ง มีงอ มีหักอะไร ก็ทำได้รวดเร็ว คล่องแคล่ว เพราะรู้ดีทุกแห่ง ฉลาดรู้ กำหนดรู้ สำคัญมั่นหมายรู้ เพราะฉะนั้น จังหวะช้า จังหวะเร็ว จังหวะคล่อง จังหวะต้องหยุด ต้องชลอ จังหวะต้องเร็วได้ อย่างดี มันจะไม่มีอะไรติดขัดเลย ทุกอย่างจะปลอดโปร่ง คล่องแคล่ว ลุล่วงไปได้ การลุล่วง การปลอดโปร่ง โล่ง ว่าง นั่นคือ ความสบายสูงสุดของมนุษย์ นี่เป็นหลักของเบิกบาน สุขุม อ่อนโยน คล่องแคล่ว จะมีนัย ที่มีบทบาทสัมพันธ์กัน นัยอย่างนี้ ฉะนั้น ขอให้เราได้กระทำ อย่างแรกที่สุด คือ ปัจจุบันธรรม อย่าทำให้ตนเองหม่นหมอง ให้ตนเองเบิกบาน มีจิตเป็นฌาน อย่างแท้จริง โดยเฉพาะ สายของโทสโคตร พยาบาท แม้แต่ขัดข้อง อึดอัด นั่นเป็นของสาย โทสโคตร ทั้งสิ้น แม้แต่ความไม่ยินดี ก็ใช่ เราปลดปล่อยให้ได้ แล้วเราก็ศึกษาโดย โพชฌงค์ ๗ โดยสติปัฏฐาน ดำเนินการปฏิบัติตามหลัก ที่เราได้กระทำมา อย่างใหญ่ หรือ เป็นทางเอก ที่เราได้เรียนรู้ แล้วก็ได้ฝึกฝนมา ใช้บทปฏิบัติกรรมฐานนั้น ไปเรื่อยๆ เราก็จะเดินสู่ ทางแห่งความสุขุมขึ้น มีฤทธิ์แรงขึ้น จนก้าวล่วงไป ทำตนให้เป็นคน อ่อนโยน เรียบร้อยน่ะ เป็นคนอ่อนโยน สุภาพ นิ่มนวล ได้อย่างแท้จริง สุดท้าย อย่าว่าแต่อ่อนโยน นิ่มนวลเลย แคล่วคล่อง และ กระปรี้กระเปร่าน่ะ ปราดเปรียวน่ะ เร็ว แต่ก็มีจังหวะหยุด จังหวะช้า ตามบทตามบาท ตามสัจธรรม แห่งสิ่งแวดล้อม ที่แท้จริงน่ะ กรรมฐาน เบิกบาน สุขุม อ่อนโยน และ คล่องแคล่ว ขอให้ศึกษา ทำความเข้าใจให้ดี แล้วนำประพฤติทุกคน เรากำลังจะเลื่อนขึ้น หรือเรากำลังจะวิริยะ อุตสาหะ เพื่อความเป็นอย่างนี้ เราอย่าทำอย่างเคร่งเครียด แต่จงทำอย่างเคร่งครัด เราจะได้เจริญ ไปตามกรรมฐานหลัก ที่เรากำลังจะพิสูจน์ กรรมฐานนี้ เพื่อผลแก่ตน ทุกๆคน

สาธุ

*****