ธรรมปัจเวกขณ์ (๑๓๖)
๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๕

เรายิ่งปฏิบัติธรรม และยิ่งจะพยายามจะรู้ แยบคายยิ่งขึ้น ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะทิ้งเบื้องต้น สำหรับผู้ที่ยังกำลังกระทำตน ให้ถูกฐานะของตน ที่มีเบื้องต้น หรือมีฐานต้น ที่เราจะต้องปฏิบัติ ฐานต้นที่หยาบอยู่ เราก็ต้องทำสิ่งที่ได้หยาบแล้ว ละเอียดขึ้นไปอีก ก็ยังมีสอดซ้อน อยู่ในตัวของมันเองอีก ที่เราจะต้องแยบคายขึ้น จะต้องดู ต้องคอยพยายามตรวจตรา และก็เก็บกวาด ให้สะอาดเพิ่มขึ้นๆ เพราะฉะนั้น แม้จะมีส่วนเหลือ ที่เราไม่ได้คลุกคลีเกี่ยวข้อง เป็นธรรมชาติ เช่น อบายมุขหลายอย่าง ที่เราไม่ได้มีอะไร มากนัก ที่มันจะมากระทบกระแทก เพื่อให้เราได้เห็นความไหว ได้เห็นความเคลื่อน อะไรขึ้นอีกบ้าง ไม่เช่นนี้ มันก็จะเป็นอนุสัย หรือมันกบดาน อนุสัยคือ ตัวที่มันนอนนิ่ง อนุสัยเป็นนอนนิ่ง นอนเล็ก นอนละเอียด ซึ่งมันไม่มีบทบาท อะไรหยาบ ที่เราจะรู้ไม่ได้ง่ายๆ เราไม่ค่อยเอาใจใส่ มันก็ยิ่งจะไม่รู้ได้เลย จะไม่เห็นว่า มันมาปรากฏตัว แต่มันก็ยังมีบทบาทของมัน เพราะฉะนั้น เราจะต้องแยบคาย เมื่อใดก็ตาม ที่เรายังมีภาวะที่จะต้องสัมผัสสัมพันธ์ต่อ สิ่งอะไรต่ออะไร เรามีสติรู้ตัวทั่วพร้อม เราจะต้องละเอียดลออ สุขุมประณีต ที่จะดู ที่จะตรวจ ที่จะมีความรอบรู้ มีธัมมวิจัย อย่าเผลอไผล อย่าประมาท อย่าดูถูก อย่าดูถูกว่า หรือว่า อย่าหลงว่า เราหมดแล้วสนิท เสียก่อน เราจะต้องดูแล้วดูอีก ตรวจตราแล้วตรวจตราอีก อย่าไปโมเมรับปัดเศษ หรือเรียกว่างบดุล ว่ามันจบแล้ว เป็นแล้ว ได้เร็วนัก การที่ตรวจให้แน่ใจ ให้ละเอียดลออ ให้สะอาด ยิ่งขึ้น ๆ นี่แหละ มันจะเกิดความแยบคาย สุขุม ประณีต

เพราะแม้ในฐานหยาบเรื่องหยาบ อะไรหยาบอยู่ เราก็จะต้องดูด้วย และพร้อมกันนั้น ในฐานที่มันสมส่วน สมฐานะของเรา ในขณะนี้ หยาบไปได้แล้ว เหลือหยาบในฐานอื่นๆ ที่มันสูงขึ้น เราก็ถืออันนั้น เป็นสักกายะต่อไป ส่วนจะเก็บกวาดเป็น รูปราคะอรูปราคะ ในฐานที่ต้นมาก่อน เราก็เก็บกวาดไปทำไป สอดร้อยกันขึ้นไป ละเอียดลออยิ่งขึ้นๆ ทุกขณะ ทุกเวลา เราพึงผ่าน โดยชีวิตธรรมชาติ จะกิน จะอยู่ จะหลับ จะนอน จะสัมผัส จะสัมพันธ์กับอะไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ เป็นแบบฝึกหัด ทำให้เราตรวจสอบและมั่นใจ ถ้าเห็นจริงว่า มันไม่มี มันก็ไม่มี ถ้ามันมี มันก็มี ถ้าเผื่อว่า เราตรวจอย่างละเอียด มีบทปฏิบัติ ตามหลักสติปัฏฐาน ๔ หรือ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ แล้วจริง เราก็จะเก็บกวาด ตามหลักการ และทฤษฎีใหญ่ยิ่ง ของพระพุทธเจ้านี้ได้ ไม่ตกไม่หล่น ต้องเห็นจริง ต้องอย่าประมาท แล้วก็จะได้ความแน่นอน เมื่อมันหมดแน่นอน มันเกลี้ยง มันสะอาด มันเรียบร้อย มันไม่เหลือ มันก็จะยืนยันความไม่เหลือนั้น เสมอๆ ไม่ใช่ซ้ำซาก แต่ต้องให้รู้ว่า ให้แล้ว เป็นแล้ว ก็อย่าไปใช้แรงงาน ไปถมอยู่ ไอ้ที่เรามั่นแล้ว ว่าเด็ดขาดแล้ว เห็นชัดเจนแล้ว แล้วก็ไปนั่งซ้ำแซะ ซ้ำซาก ประเล้าประโลม เสพย์แช่ ไปรื่นเริงบันเทิง เอร็ดอร่อย อยู่ในฐานแป้น ที่มันได้ ฉะนั้น ก็เริงใจ มีอบอุ่นใจ ชื่นใจอยู่แค่ที่มันได้ มันอดไม่ได้ละ ที่มันจะมีความปีติยินดี ที่เราได้บ้าง แล้วก็ไปลิ้มเล็มอยู่ ก็ขอให้พวกเราได้รู้จักเวลา แล้วเป็นรู้แล้ว ได้เป็นได้ ไอ้ที่จะทำเพิ่ม ทำใหม่อีก มันยากขึ้นอีก มันละเอียดขึ้นอีก เราก็จะได้พัก ฐานที่เราได้ และไอ้ที่เอาใหม่ มันก็ยากขึ้นอีก คนเรามันตาย ตรงนี้แหละเก่ง ตายตรงนี้ เอาแค่นี้ละวะ ซึ่งมันก็ดีกว่าเดิม มาแล้วละ

ถ้าเผื่อว่าใครคิดง่ายๆ เอาแค่ได้แค่นี้แหละ เราก็ได้แป้นดีกว่าเขา หนักหนาแล้ว ไอ้ส่วนจะสูงขึ้นไป มันยาก แล้วก็จะป่ายจะปีน จะพยายามอุตสาหะ วิริยะไปไม่ได้ ไอ้ตัวนี้แหละ เป็นตัวทำให้คนตายน้ำตื้น หรือไม่โตต่อ มันตายอยู่แค่นั้นๆ ไม่โตต่อไป ไม่พัฒนาต่อไป อันค้านแย้งกับพระพุทธเจ้า ท่านยืนยันสอนเรา อันท่านไม่สรรเสริญ อันการหยุดอยู่ การทรงอยู่เท่าเดิม ท่านสรรเสริญ การยิ่งอยู่ยิ่ง(สูง)ขึ้น แม้มันจะยาก หรือมันจะจำเป็นต้องพากเพียร บากบั่น เราก็ควรจะทำตน ให้เป็นผู้ที่อุตสาหะวิริยะ แยบคาย พากเพียรกระทำขึ้น เพื่อให้เดินทางไปสู่จุดสุด เรายังไม่ถึงจุดสุด ที่สุด อยู่ตราบใดๆ เราจะไม่ควรประมาท อยู่ตราบนั้นๆ

ขอให้พวกเราสังวรระวัง ในแง่ที่ได้แนะนำแล้ว ก็ย้ำซ้ำซาก กำชับกำชากันนี่ ให้มากๆ เราจะได้เป็นประโยชน์ ทั้งตน ถึงที่สุดที่สูง บริบูรณ์ และ จะได้เป็นประโยชน์ ทั้งแก่โลก สืบทอด เป็นทายาทของศาสนาจริงๆ เพราะสิ่งที่ ยังไม่ลงตัวจริง ยังไม่ถึงที่สุดจริง มันจะเป็นทั้ง อรหันต์และโพธิสัตว์ ที่ขอยืนยันว่า มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และไม่เป็นอย่างจริง ถ้ามันถึงจริง มันจะเป็นอย่างจริงๆ เป็นอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์ เป็นธรรมทายาท เป็นผู้ที่ไม่เอียง ไม่เพี้ยน เป็นลงตัว อย่างนั้นเลย เพราะความหมาย ที่บอกง่ายๆแล้ว หมดตัวตน ไม่มีอื่น มันมีแต่ทำเพื่อท่าน และ เราก็รู้ด้วยปัญญา เหตุผล บอกอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่า เรื่องยากเรื่องเย็น เมื่อเวลาเราเอง เราเป็นคนขยัน มันก็เป็นทฤษฎีถูกต้อง มันก็เป็นคุณงามความดี เมื่อขี้เกียจ เมื่อลอยชาย เมื่อเอาแต่ตัว แต่ตนอยู่ มันก็เป็นอัตตา เมื่อไม่เอาตนเอาตัว เมื่อช่วยผู้อื่น เมื่อทำ เมื่อเมื่อยก็พัก ไม่เมื่อยก็เพียร อุตสาหะวิริยะไป ขวนขวายไป การขวนขวาย ก็เป็นความดี เป็นกุศล เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นยอดแล้ว ย่อมยังอยู่แต่ด้านกุศล กุศลนั้น จะถึงพร้อมอยู่จริง ไม่มีตัวตนมาค้านแย้ง ไม่มีตัวตนมาดึงรั้ง ให้เราเอง เห็นแก่ตัวแก่ตน แต่มันจะเห็นแก่ส่วนผู้อื่นๆไป เมื่อพอทำแก่ผู้อื่น ถ้ามันจะมากไป เราก็ประมาณ อันนั้น มันจะกลายเป็นเกินไป มันเสียผล เพราะผู้อื่น เขารับไม่ได้บ้าง ก็เพราะว่า มันเฟ้อ มันท่วม มันท้น มันทิ้งเปล่าบ้าง อะไรบ้าง อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งทำแล้ว มันเกินไป มันไม่สมควรที่จะเฟ้อเล่น เราก็จะรู้ได้ ในรายละเอียดเหล่านั้น ส่วนที่เราขวนขวายขยันหมั่นเพียรอยู่ และมันก็ไม่ได้เฟ้อได้ง่ายๆ นักหรอก

ทุกวันนี้ ยิ่งต้องการมากๆ ฉะนั้นไอ้เรื่องเฟ้อ จึงยังไม่ต้องกลัว ยังไม่ต้องเกรง อะไรมากนัก นอกจาก กาลเวลา หมู่กลุ่มบุคคลนี้ ก็ให้เขาแค่นี้ พอดีพอควรแล้ว และ แล้วเราก็ยังมีงานอื่น ที่จะทำอีก เพื่อที่จะขยายออกไปอีก ยังมีคนอีกมากนัก ที่จะรับธรรมะ เพราะฉะนั้น เรามีฤทธิ์มีแรง มีความสามารถ อยู่มากเท่าใดๆ มันไม่เฟ้อได้ง่ายๆหรอก เป็นต้น ถ้าเราก็จะรอบถ้วนแล้ว และเป็นจริงแล้ว ทุกอย่าง มันลงตัวลงตน ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ยืนหลักเลยว่า ธรรมใดวินัยใด เป็นไปเพื่อความขยัน ธรรมนั้นวินัยนั้น เป็นของเราตถาคต ธรรมที่เป็นเมตตา กรุณา เกื้อกูล เอื้อเฟื้อ กตัญญูกตเวที โอบอ้อมอารี ขยันหมั่นเพียร อะไรพวกนี้ มันอยู่ในด้านกุศลนี่ ที่เห็นเป็นความประเสริฐ ของมนุษย์ อยู่อย่างจริงจัง ได้แท้จริงๆ พวกใด ผู้ที่ยังเข้าใจก็ไม่ถูก แล้วก็มาพิสูจน์ ก็ยังไม่ถึง และ มันก็จะยังไม่ถึงจริง และมันก็จะยังไม่เห็นจริง เมื่อพวกเราได้พิสูจน์ ก็ขอให้พิสูจน์ให้ถึง ให้เห็นจริง แล้วเราจะได้เป็นผู้สืบทอด พระศาสนา เพราะผู้ที่ได้แก่ตนแล้ว สืบทอดพระศาสนาอยู่ ก็เป็นคนสมบูรณ์ ประเสริฐสุด ซึ่งจะสามารถรักษาศาสนานี้ไว้ได้ ยืนนานที่สุด เท่าที่ความจริง หรือสัจจะอันนี้ มันจะเกิดจริง มีจริง ถ้ามันไม่จริง มันก็เสื่อม ก็ไม่ได้หมายความจะไม่เสื่อม ขนาดที่เราอุตสาหะ วิริยะขนาดนี้ มันยังมีกิเลสดึงคน นักกว่านัก เพราะกิเลส มันดึงคน จึงทำให้ศาสนานี้เสื่อมไปได้ ถ้าไม่มีกิเลสดึงคนแล้ว แน่นอน ความดีนี่ คนรู้ทุกคน และควรจะได้ทุกคน แต่มันไม่ได้ทุกคน ก็เพราะกิเลสนั้นแหละ ไม่มีอื่น ที่มันดึงคนไว้ เพราะฉะนั้น มันจะไปได้ไกลที่สุด ดีที่สุด เท่าที่เราอุตสาหะวิริยะ แต่ละบุคคลเป็นธรรมทายาท ของพระพุทธเจ้า ได้จริง เมื่อเข้าใจจริง พิสูจน์จริง ขอให้พวกคุณได้พิสูจน์ พบความสมบูรณ์นั้นเถิด และ อาตมาไม่จำเป็น จะต้องพูดอีกเลย คุณก็จะเป็น ผู้ที่จะเป็นผู้พูด อย่างที่อาตมาพูดนี้ต่อ และต่อๆ สืบทอดกันไป ชั่วกาลนาน.

สาธุ

*****