ธรรมปัจเวกขณ์ (๘๒)
วันที่ ๕ มกราคม ๒๕๒๕

ผู้ปฏิบัติธรรม ที่ปฏิบัติมาแล้ว เป็นผู้เก่า ต้องพิจารณาถึงรายละเอียด ฐานสูงเพิ่มให้มาก ต้องสำนึกให้มากว่า ฐานที่เป็นฐานที่เคยเรียก ใช้ศัพท์เรียกว่า "ได้แป้น" ถ้าเราได้แป้นแล้ว แล้วก็หลงแป้น เหมือนลิงได้แป้นแล้ว นั่งอยู่ที่นี่ ไม่เพิ่มฐาน มันก็ได้อาศัยจริง มีฐานอาศัยของเราจริง

ถ้าเผื่อว่า เราไม่พิจารณาเพิ่ม หาภูมิเพิ่ม มีกรรมฐานเพิ่ม มีเครื่องที่จะพาเป็นพาหะ มีศีล มีหลักเกณฑ์ มีตบะ มีเครื่องที่จะกระทำ ให้เราได้ละเอียดลออขึ้น อดทนข่มฝืนมากขึ้น อุตสาหะวิริยะยิ่งขึ้น เป็นอุบายวิธี หรือเป็นกรรมฐานวิธีการ หรือศีลหรือวินัย ก็ตามใจเรียก สูงขึ้นไปได้ทั้งสิ้น ถ้าเราไม่มีเครื่องที่จะมาทำ ให้เราสูงขึ้นไปอีกจริงๆแล้ว เราก็เป็นลิงนั่งแป้นอยู่ตรงนั้นแหละ ดีไม่ดี จะเสื่อมถอยเอา เราคิดง่ายๆว่า สมมุติว่า เรานั่งแป้นอยู่ที่เก่า เราอยู่กับหมู่ฝูง หมู่ฝูงนี่ก็เหมือนกับจักรวาล เราอยู่ในสังคมหมู่ฝูง หมู่ฝูงคนอื่นๆเขาเลื่อนขึ้นๆ เลื่อนขึ้นๆ แต่เราเองเป็นดาวดวงนั่งแป้น เป็นส่วนหนึ่ง เป็นมวลชิ้นหนึ่ง ที่เป็นลิงนั่งแป้นอยู่กับที่ ในเมื่อในจักรวาลนี้ หมู่ฝูงเขาเลื่อน ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ แต่เรานั่งแป้นอยู่ที่เก่า เท่ากับเราเสื่อมลงๆ ในวงจักรวาลนี้ ในวงหมู่สังคมนี้ ฟังดีๆ เราถือว่า เรายึดมั่นแหละ เราอยู่ในแป้น ไม่ตกต่ำ แต่เท่ากันกับเราลดลงต่ำ เมื่อเพื่อนเขาเลื่อนขึ้น ฐานของจักรวาลสูงขึ้น เราเองเป็นคนบ๊วย อีกหน่อย เราก็หลุดจากจักรวาลนี้ได้ ฟังให้ดี เมื่อทุกคนเขาเลื่อนขึ้นไป เลื่อนขึ้นไป ในหมู่จักรวาลนี้ แต่เราเองเป็นตัวลิงนั่งแป้น หรือเป็นดาวดวงที่อยู่กับที่ เราก็จะกลายเป็นดวงที่ต่ำลงๆ แม้เราจะไม่เลื่อน ลดต่ำฐานของเราเลยทีเดียวก็ตาม เราจะเป็นผู้ตกต่ำได้ โดยนัยนี้

สุดท้าย ดีไม่ดี เราจะหลุดออกจากจักรวาลนี้ หลุดออกจากหมู่นี้ หมู่นี้ก็จะอุ้มเอาจักรวาล หรือ ดูดเอาจักรวาล หรือเป็นตัวดวงจักรวาล ที่มีรัศมีแข็ง มีแรงดึงดูดจัด มีความหนาแน่นสูง แล้วมันก็จะพากันขึ้นไป แล้วเขาก็จะทิ้งเราไว้ อย่างไม่ดูแลเราได้เลยทีเดียว ไม่ดูดำดูดีเราได้ เพราะเราไม่พยายามพากเพียรติดกลุ่ม จะเป็นแกะน้อยหลุดฝูง จะเป็นดาวที่จักรวาลทิ้ง จักรวาลอันนี้ทิ้ง เป็นอย่างนั้นจริงๆ

นี่ใช้ภาษาสื่อแทนให้คุณฟัง จะใช้ภาษาจักรวาล จะใช้ภาษาแกะฝูง จะใช้ภาษาสังคม จะใช้ภาษากลุ่มหมู่ จะใช้ภาษาอะไรอีก ก็ได้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเราพิจารณาวิเคราะห์วิจัย ฐานของตนเองเพิ่ม เท่าที่พอเป็นไปได้ เราต้องมีอุตสาหะวิริยะ เจริญยิ่งอยู่ เจริญยิ่งอยู่ หรือเป็นผู้ที่มีวุฑฒิ วุฑฒิๆ พระพุทธเจ้า ท่านไม่สรรเสริญคนหยุดอยู่ คนทรงอยู่กับที่ หรือป่วยการกล่าวไปใยถึงความเสื่อม เสื่อมน่ะ เราไม่เอาแน่ แม้แต่ทรงอยู่ พระพุทธเจ้าก็ไม่สรรเสริญ โดยนัยอย่างนี้ ไม่เช่นนั้น เราก็จะไม่เจริญก้าวหน้า

บอกแล้วว่า การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้น เที่ยงตรง แต่ไม่ใช่หยุดนิ่ง เที่ยงตรงแน่นอน มั่นคง เจริญยิ่งอยู่ เคยทำรูปที่มือให้ดู ว่าสภาพที่มันสูง สภาวะที่เดินก้าวหน้านั้น มันไม่มีหยุดอยู่หรอก พระพุทธเจ้าท่านเจริญยิ่งอยู่ พระอรหันต์เจ้า ท่านเจริญยิ่งอยู่ ท่านหมดทุกข์ในตัวเองจริง แล้วท่านก็ไม่ได้ตกต่ำ พระอรหันต์เจ้านั่น ท่านหมดทุกข์ แล้วท่านก็จะเจริญยิ่งอยู่ต่อไป แม้ท่านจะตาย สลายไป ก็เลิกกัน ก็จริง แม้ยังไม่ตาย ทุกวินาที ท่านเป็นคนเจริญ เป็นคนประเสริฐ จึงเรียกว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าเราไม่เรียกพระอรหันต์ ว่าท่านผู้เจริญ เราจะเรียกใครว่าเป็นผู้เจริญ พระอรหันต์ก็ไม่นั่งแป้น ถ้ายิ่งนั่งแป้นอยู่ บอกแล้วว่า ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ยังทรงอยู่ หยุดอยู่นั้น แม้แต่กฎทุกกฏนี่ หลักฐีติสูตร ที่พระพุทธเจ้าท่านว่า ท่านไม่สรรเสริญคนหยุดอยู่ ท่านสรรเสริญคนเจริญยิ่ง เจริญยิ่งอยู่ แม้กฎนี้ เราก็ทุกกฏอยู่อย่างนั้น ทำไมพระอรหันต์เข้าใจไม่ได้ ต้องเข้าใจได้ และต้องสอดคล้องกัน ในนัยคำสอนพระพุทธเจ้า ไม่ค้านแย้ง เป็นไปจริงตามธรรม บทธรรม ตามพระคาถา ตามทฤษฎี ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ทุกอันสอดคล้อง เมื่อเป็นผู้ที่ยิ่งยอด เป็นอรหันต์ ก็ต้องสอดคล้องกัน สูตรอย่างนี้ ไม่ใช่สูตรยิ่งใหญ่อะไร ไม่ใช่สูตรของพระโพธิสัตว์ อะไรซักหน่อย เป็นสูตรธรรมดา สูตร ฐีติสูตร สูตรรากฐานธรรมดา

เราก็จะต้องรู้ เข้าใจในนัยแห่งคำสอน นัยแห่งการเจริญก้าวหน้า ให้ชัดเจน แล้วกระทำให้ถูกตรง ถ้าเราจะอยู่ในฐานะที่เราเป็นคนสูง ธรรมดาๆ มีแป้นนั่ง แน่นอน ถ้าเรามองไปหาปุถุชน มองไปหาคนต่ำ เราก็สูงกว่าเขา เราก็เสวยบุญแค่นี้ เราก็ทำได้ แต่เราไม่สอดคล้องกับทฤษฎีพระพุทธเจ้า เราไม่ใช่ผู้เจริญ เรายังเป็นผู้ติดยึด หรือผู้ทรงอยู่ ในนัยของความว่า ไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็นัยอันนี้ เราไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่เราจะเลื่อนขึ้นสูง มีตถาคโต มีสุคโต เราจะเป็นผู้ที่เป็นไปอยู่เรื่อย โคจร แต่โคจรขึ้นทิศสูง เคยทำมือให้ดูว่า เราเอง เราพุ่งขึ้นไป ตั้งทิศสูงขึ้นไปเลย แต่เลื่อนอยู่ ตรง เลื่อนอยู่ ไม่ให้เป๋ไป๋ ไม่ให้เอนเอียงออกไปในทิศทางที่ล้มเหลว ในทางที่เอนเอียง ให้ซื่อ ให้ตรง ให้เที่ยง เป็นไปด้วยดี อยู่อย่างเจริญ เจริญยิ่ง นี่เป็นความหมาย เข้าใจความหมายให้ชัด แล้วเราก็ทำให้ถูกตรง จึงจะเป็นผู้เจริญ

เพราะฉะนั้น ในนัยที่จะพิจารณาตัวเองอยู่เสมอนั้น เป็นความเข้าใจที่จะต้อง เข้าใจได้ลึกซึ้ง เราพิจารณาตัวเองอยู่เสมอ เราพยายามดูตน พยายามช่วยเหลือตนอยู่เสมอ ทุกข์ร้อนของเราน้อยลง เราก็ดูตนอยู่นั่นแหละ

แม้เป็นพระอรหันต์เจ้าแล้ว ท่านก็ยังดูตน เช่น พระสารีบุตร ท่านเอง วาสนา บารมีของท่าน ยังไม่ดีในบางส่วน กายกรรม แต่ท่านพ้นทุกข์แล้ว ท่านถอนอาสวะแล้วด้วย แต่กายกรรมวจีกรรม ที่ดีกว่านี้ยังมีอีก ท่านจะต้องปรับปรุง กายกรรม วจีกรรมของท่านจริงๆ ในอภิณหปัจเวกขณ์ ข้อที่ ๓ ตั้งข้อสังเกต เคยตั้งให้ฟังแล้วว่า กายกรรม วจีกรรม ที่ดีกว่านี้ยังมีอีก ไม่มีคำว่า จิตนะ เพราะฉะนั้น อันนี้ท่านสอนพระอรหันต์ทีเดียวนะ จะบอกให้ กายกรรม-วจีกรรมดีกว่านี้ยังมีอีกนะ เป็นคำสอนที่ลัดสั้นไว สำหรับพระอรหันต์ทีเดียวนะ อภิณหปัจเวกขณ์ นี่ไม่ใช่เรื่องตื้นเขินทีเดียว แต่เอามาใช้กันหยาบๆได้ ปุถุชนก็ต้องดูกายกรรมวจีกรรม ของตนเช่นกัน พอเป็นพระอรหันต์สมบูรณ์ ในเรื่องของจิตแล้ว เรื่องของกายกรรมวจีกรรม ก็ต้องปรับปรุง ไม่ใช่ว่าไม่ปรับปรุง พัฒนาอยู่อย่างยิ่ง เพราะเรามีชีวิตเนื่องกับผู้อื่น เพราะเราเอง เราจะต้องอยู่ในโลก เหนือโลก แม้เราจะไม่ใช่คฤหัสถ์แล้ว ก็จริง แต่เราก็เนื่องอยู่ เพราะฉะนั้น กายกรรมวจีกรรม ที่ดีกว่านี้ยังมีอีก จริงแสนจริง แม้เราจะเป็นผู้ที่ตู่ท้วงด้วยศีลโดยตน ตำหนิตนด้วยศีลไม่ได้แล้ว ก็ยังมีศีลที่สูงขึ้น ยิ่งๆขึ้น ศีลโพธิสัตว์ ศีลของผู้ที่ยิ่งๆขึ้น ของพระอรหันต์เจ้า ท่านจะเข้าใจ มียิ่งกว่า

ผู้รู้จะตำหนิเราด้วยศีล ได้หรือไม่ ท่านไตร่ตรองแล้ว ท่านจะตำหนิได้ ผู้ที่มีปัญญายิ่ง ท่านจะตำหนิได้ เราก็จะต้องพิจารณาสูงขึ้น ดังกล่าวนี้ให้จริง เราถึงจะสู่สูงยิ่งๆ นิรันดร์ หรือใช้คำว่า อนันตัง ไม่มีที่สิ้นสุด คือเราจะเป็นผู้เจริญ เจริญยิ่งอยู่ อย่างเป็นอนันตัง หรืออย่างไม่มีที่สิ้นสุด เราจะไปสิ้นสุดตรงที่ จะตัดสินรอบว่าเป็นพระพุทธเจ้า หรือเป็นพระอรหันต์ ก็จะต้องเข้าใจโพธิกิจ โพธิกิจหรือโพธิสัตว์ อันแยกกันไม่ได้ อรหันต์กับโพธิสัตว์ อย่าแยกกัน นี่ขอกำชับ ไม่เช่นนั้น เราจะแตกเป็นสังฆเภท หรือ เป็นนิกาย ๒ นิกาย ผู้ใดรวมอรหันต์กับโพธิสัตว์ ได้ด้วยปัญญา และ มีสภาวธรรม มีพฤติกรรมอันตรงจริง ผู้นั้นแลคือ ผู้สำเร็จอรหันต์ที่แท้ และคือ ผู้เป็นโพธิสัตว์ที่จริง


สาธุ

*****