ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๒๕

อยากจะขอแนะนำคำว่า ปทปรมะ คือคำว่า ปทปรมะนี่ เราเข้าใจกันผิดๆ เพี้ยนๆกันอยู่เยอะ โดยเข้าใจ เอาตัวความหมายต้น ปทปรมะ ความหมายต้น หมายความว่า คนที่ไม่เจริญเลย หรือคนที่ สอนไม่ได้แล้ว ที่เขาสอนไม่ได้แล้วนั้น ก็เพราะเขาโง่นั้นหนึ่ง โง่จริงๆ สอนยังไงก็ไม่รู้เรื่อง โง่ พูดกันก็ ไม่รู้เรื่อง แนะนำยังไง ก็ทำตามไม่ได้ นั่นเรียกว่า คนโง่จนสุดที่ ปทปรมะ ก็ไม่มีทาง ที่จะแก้ไขได้นั้น หนึ่ง ---

สอง เป็นคนฉลาด ฉลาดเฉลียวทุกอย่าง แต่มีกิเลสน่ะ มีกิเลส ไม่พยายามละกิเลส มีแต่ความฉลาด ไปหากิเลส ให้แก่ตัวเอง สะสมหากิเลส ให้แก่ตัวเอง แม้แต่เรียนศาสนา เรียนพระธรรม ของพระพุทธเจ้า เรียนมาก รู้มาก ท่องจำได้ สดับมาก ท่องจำคล่องปาก ขึ้นใจ สอนคนอยู่ด้วยซ้ำ แต่เสร็จแล้ว ตัวเองก็ ไม่ได้ธรรมะ ไม่ได้เอามาประพฤติ ปฏิบัติ ให้เจริญ ซ้ำมิหนำ กลับให้ตัวเองนั้น มีความฉลาด เอากิเลสเข้าตัวเอง ซ่อนแฝงเล่ห์กล ดังนี้เป็นปทปรมะ ที่ประเภทที่ พระพุทธเจ้า ท่านอธิบายไว้ แต่ส่วนประเภท ที่บอกว่าโง่ อธิบายไม่ได้ สอนไม่ได้นั้น ไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้า อธิบายไว้ แต่เห็นแต่เกจิอาจารย์ รุ่นอื่นๆ อธิบายไว้ แต่ในพระไตรปิฎกแล้ว ปทปรมะ นั้นคือ ผู้ฉลาด ท่องพระพุทธพจน์ได้มาก จำพระพุทธพจน์ ได้มาก สดับมาก จำได้คล่องปาก ขึ้นใจ และสอน ประกาศธรรมอยู่ และก็มีข้อแม้ว่า ที่เรียกว่า ปทปรมะ นั้นคือ แต่ไม่บรรลุธรรมเลย ไม่ว่าชาติใดๆ ไม่บรรลุธรรมในชาตินั้นๆ ---

ทีนี้ท่านบอกว่า ไม่บรรลุธรรมในชาตินั้นๆ ถ้าเราเข้าใจกำกวม เข้าใจว่า เป็นชาติ คือการตาย จากชาตินี้ ก็ถูกต้องด้วย คือเกิดมาชาตินี้ มันไม่ได้ธรรมะอะไร เลยล่ะชาตินี้ มันไม่ได้บรรลุ มันเอาแต่ กิเลสใส่ตัวเอง ดังที่ได้กล่าวแล้ว แม้จะเรียนมาก รู้มาก อย่างไรก็ตาม จะมีมากยังไงก็ตาม จะเปรียญ ๙ ประโยค ปริญญาเอก ของศาสนาพุทธ ก็ตาม แล้วมันก็มีแต่ กิเลสให้ตัว ไปทั้งชาติ แล้วตายไป บุคคลผู้นั้น ก็ชื่อว่า ปทปรมะ จริงน่ะ ---

แต่ทีนี้ถ้าเผื่อว่าเราเอง ไปรอเอาอย่างนั้น ชาติหนึ่งทั้งชาติ มันไม่เป็นการปฏิบัติน่ะ ทีนี้ถ้าเราเข้าใจชาติ ถือชาติเกิดของจิต แล้วก็ เราพยายาม ที่จะเรียนรู้ ให้ถี่ ให้ละเอียด แล้วแต่ละขณะ แต่ละเกิด การเกิดของจิต จิตเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป พฤติกรรมของมนุษย์ ถ้าแต่ละพฤติกรรม กายกรรมของเรา ก็เจริญ ได้ละกิเลส เพราะเราหยั่งรู้ว่า นี่เป็นกายกรรม ที่เป็นไป เพื่ออกุศล เป็นไปเพื่อบาป เป็นไปเพื่อ สะสมกองกิเลส เป็นไปเพื่อสะสมทุกข์ เราก็เลิกลดละ กายกรรมนั้น วจีกรรมก็ เหมือนกัน โดยเฉพาะยิ่ง มโนกรรม เราก็สามารถ ที่จะอ่านรู้ แล้วก็ควบคุม ให้ชาติของจิต แต่ละชาติ แต่ละดวง แต่ละขณะ ที่ให้เกิด เป็นชาติ ที่เราละกิเลส ลดกิเลสได้ มากที่สุด หรือว่า ให้เกิดเสมอ นั่นแหละ ตัวที่เกิดนั้น คือตัวที่ ไม่ปทปรมะ ตัวใด ที่ไม่เกิด ตัวใดที่ สั่งสมกองกิเลส ตัวใดที่สั่งสมทุกข์ ตัวนั้นของจิต เป็นปทปรมะ ขอให้เข้าใจ ให้ละเอียด ลออ แล้วเราต้อง พยายามสั่งสม พยายามที่จะปรับปรุง ให้ตัวเราเองนี้ มีความเจริญ อย่าเป็น ปทปรมะ อย่าให้เป็นคนที่ ไม่เจริญในจิต พยายาม ให้เจริญ ให้มาก เท่าใดๆ ชีวิตของเราทั้งชีวิต ก็จะเป็น ผู้ที่เจริญในธรรม มากเท่านั้นๆ น่ะ ---

ถ้าผู้ใดมีปัญญาอย่างนี้ แล้วพิจารณาอย่างนี้ ผู้นั้นก็จะละเอียด สุขุมประณีต เข้าถึงปรมัตถ์ แล้ว จะเป็น ผู้ที่ไม่เป็น ปทปรมะ ถ้าเรามี อินทรีย์พละ และปฏิบัติถูกทาง ถูกธรรมเพียงพอ ขอยืนยัน เพราะฉะนั้น การแก้ปทปรมะ ของมนุษย์นั้น ไม่ได้ไปแก้ที่ เอาตายจากชาตินี้ แล้วไม่ได้บรรลุธรรม อะไรเลย อย่างนั้น มีมากมายจริงๆ เพราะเขาไม่เข้าใจ ภาคปฏิบัติ ว่าควรไปอ่าน การเกิดตรงไหน ถ้าไปอ่าน การเกิดของ ชีวิตร่างกาย เขาก็จะประมาท ไปทั้งชีวิต แต่ถ้าเราไป ละเอียดลออ ไปอ่านการเกิด ของจิต แล้วดูความเกิด ของจิต ถ้าจิตเป็นกุศล จิตเป็นการละกิเลส ไม่เป็นไป เพื่อความทุกข์ ไม่เป็นไป เพื่อความกำหนัด เป็นไปเพื่อ ความมักน้อย เป็นไปเพื่อ ความสันโดษ เป็นไปเพื่อ ไม่ติดสวรรค์ ไม่คลุกคลีสวรรค์ เป็นไปเพื่อ ความขยัน หมั่นเพียร เป็นไปเพื่อ ความเลี้ยงง่าย ดังนี้เป็นธรรมะ ที่พระพุทธเจ้า ท่านสอนเอาไว้ เป็นเครื่องเทียบเคียง ของธรรมวินัย ของพระพุทธเจ้า เราปฏิบัติธรรมของ พระพุทธเจ้า โดยหลัก ๘ ข้อ คร่าวๆนี้แล้ว เราทำให้เกิดจริง ให้เห็นความเจริญ ของจิตจริงๆ โดย ปัญญาอันยิ่ง โดยญาณทัสสนวิเศษ เราจะได้เป็น ผู้ที่ไม่ ปทปรมะ เท่าที่เราจะมี อินทรีย์ มีพละ ทำให้เกิด ให้มากดวง มากขณะ มากอิริยาบถ มากกิริยา ให้ได้ยิ่งๆ ที่สุดน่ะ ก็จะเป็นการแก้ ปทปรมะ และ เห็นความจริงว่า เราไม่เป็น ผู้ที่ไม่เจริญ หรือไม่เกิด สู่ความเป็น อริยะได้ โดยตนเป็นผู้ รู้เห็นเอง ขอให้ทุกคน ได้สำเหนียก และ กระทำจริง แล้วคุณ จะได้เข้าใจ คำว่า ปทปรมะ ได้อย่างถูกต้อง และมี ความเป็นไปได้ อย่างแน่แท้

 

สาธุ.