ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๒๕

การปฏิบัติธรรมนี่ มันมีความเข้าใจ ที่ยังไม่รอบถ้วน ยังแปลความกระจ่างไม่ออก อยู่อันหนึ่ง ก็คือว่า เราต้องเอาตน ดูตน มองตน กระทำการขัดเกลาที่ตน การเน้นปฏิบัติธรรมนั้น จุดนี้ถูกต้อง ทีนี้ คนเข้าใจ ความหมายนี้ ไม่รอบถ้วน ก็เลยเข้าใจไปว่า จงเอาแต่ตัวแต่ตน เห็นแต่แก่ตัวแก่ตน เอาตัวรอด เป็นยอดเดี่ยว ดูแต่ตน คนอื่นยังไม่ต้องแล คนอื่นไม่ต้องเกี่ยว คนอื่นไม่ต้องสัมพันธ์ นี่ความหมายมัน มันก็ออกไปอย่างนั้น ซึ่งเป็นความหมายผิด เป็นความหมายเพี้ยน ---

คำว่าดูตนนั้น จะอยู่ที่ใดเราก็ดูตน อยู่คนเดียวก็ดูตน และศาสนานั้น พระพุทธเจ้ายืนยันว่า มิตรดี สหายดี เพื่อนดี เป็นทั้งหมดของศาสนา เป็นทั้งหมด ของพรหมจรรย์น่ะ ต้องอยู่กับบัณฑิต อยู่กับมิตร อยู่กับสหาย ยิ่งเราปฏิบัติธรรมใหม่ๆ เราต้องอยู่กับ หมู่คน แวดล้อมไปด้วยพี่เลี้ยง อันครบพร้อม มีมิตรดี สหายดี เพื่อนดี ไม่ใช่จะปลีกตนอยู่ ---

เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมที่มีแนวโน้ม เป็นฤาษี ไปอ่านพระธรรมของ พระพุทธเจ้าบอกว่า เมื่อคราว ที่ท่านบอก ให้บอกว่า เอ้า! ปลีกเดี่ยวไปอยู่ ในขณะที่จะปัจเวกขณ์ ในขณะที่จะทบทวน บุพเพนิวาสานุสติญาณ เพื่อที่จะให้มีจิต ไม่ต้องมีอะไรกวนมาก เพื่อนั่งคิดทบทวน ย้อนเรื่อง ตรวจตรา อะไรต่ออะไร ก็เข้าใจไม่ได้ เข้าใจว่า การปฏิบัติธรรม ต้องอยู่คนเดียวๆ แล้วเอาแต่คิดๆๆๆๆๆ อ่านๆๆๆๆ อะไรเฉยๆ ซึ่งตรงกันข้ามกับ หลักการ มรรคองค์ ๘ อย่างสิ้นเชิงน่ะ มันเป็นการต่างกับ หลัก มรรคองค์ ๘ อย่างสิ้นเชิง ทีเดียว ---

ความเห็นที่มันมีความรู้สึกว่า เราจะแยกออกไป เป็นฤาษี แบบเก่าๆ มันเป็นความรู้พื้นฐาน เป็นความรู้ดื่นดาษ ใครเขาก็เข้าใจ ใครเขาก็รู้ เพราะฉะนั้น จึงไปเอาความรู้เก่าๆ อันนั้นน่ะ มาผนวก หรือ มารวมกับ ความรู้ของ พระพุทธองค์ จึงทำความเข้าใจ ที่ลึกซึ้งของ พระพุทธองค์ไม่ได้ เพราะมันก็ไม่ค่อยง่ายนัก ---

การปฏิบัติที่มองตนดูตน เอาที่ตัวที่ตนนั้นน่ะ คำกล่าวนี้ถูก แต่เอาที่ตัวที่ตน หรือว่ามองตัวมองตน ดูที่ตนนี่ ดูได้ แม้อยู่ในท่ามกลางเพื่อนฝูง อยู่ในขณะการงาน เราก็ดูตนเสมอ มีสติปัฏฐาน มีการรู้ตัว ทั่วพร้อม สังวร สำรวม อินทรีย์ทั้ง ๖ อยู่จริงๆ เราจะต้องหัด ตั้งแต่อยู่ในที่ ที่มันไม่มีอะไร จุ้นจ้านนัก เช่นอยู่ในวัด อยู่ในสถานที่ ที่กับหมู่กับฝูง ที่ห้อมล้อมน่ะ ไม่มีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อบายมุข หรือว่า เรื่องอะไร ยุ่งยาก มากมาย เข้ามากระทบกระแทก ให้เราเอง จิตแปรปรวน หรือเกิดกิเลสมาก เราก็หัดฝึกไป เพื่อที่จะรู้ว่า เราปฏิบัติแล้ว ถูกกระทบแล้ว เราก็จะรู้เท่าทัน อ่านจิต อ่านใจออก อ่าน มโนปวิจาร ๑๘ ออก คือ รู้เวทนาทั้งหมด ๑๘ มาเข้าทวารตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็จับไล่ทัน ตรวจวิเคราะห์ มีธัมมวิจัย มีสติ มีวิริยะ รู้ชัด แล้วก็มีวิธีการ ที่จะลดละ จางคลายลง ได้จริงๆ แล้ว เราก็กระทำไปเรื่อยๆ เราจึงจะปฏิบัติธรรม ดูตน เอาที่ตนนั้น เป็นหลักแรกจริง แต่ไม่ได้หมายความว่า แม้เราทำที่ตนแล้ว เราก็ไปทำ คนเดียว ยิ่งเข้าใจเลยเถิดไปว่า ผู้บรรลุยิ่งต้องไป คนเดียวเลย ยิ่งบรรลุเท่าไหร่ ยิ่งหมายความว่า อิสรเสรีแล้ว ไม่ต้องคลุกคลีกับใครเลย หยุดความเกี่ยว เกี่ยวข้อง หยุดความคลุกคลีแล้ว นั่นคือความบรรลุ นั่นจึงเข้าใจเลยเถิด ออกนอกศาสนาพุทธ ไปสุดโต่ง ไม่มีคำตรัส ไม่มีคำยืนยัน ของพระพุทธเจ้า ยืนยันว่า ศาสนานี้ มหาบุรุษ หรือยิ่งเป็น ผู้บรรลุแล้ว ยิ่งต้องเป็น พหุชนะหิตายะ พหุชนะสุขายะ โลกานุกัมปายะ ทั้งรูปรอย แบบอย่าง ในตำนาน พระพุทธเจ้า ส่งพระอริยเจ้า พระอรหันต์เจ้า เข้าไปในเมือง เข้าไป ช่วยเหลือ เฟือฟาย แม้ท่านเองก็กระทำ พระมหาสาวก ก็กระทำ ยิ่งเป็นการคลุกคลี เกี่ยวข้อง ช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน เป็นศาสนาแห่งประโยชน์ เป็นศาสนา แห่งความเกื้อกูล เป็นศาสนาแห่งสิ่งที่ จะต้องสมาน สามัคคี สังคม สรุปแล้วว่า เป็นศาสนาแห่งสังคม ด้วยซ้ำ ---

เพราะฉะนั้น การทำความเข้าใจไม่ถูกต้อง ทำปัญญาให้รู้ว่า จงดูที่ตน ตรวจอ่านที่ตน สังวรที่ตน ระวังที่ตน เอาที่ตนเป็นฐานสำคัญ อันนี้แหละ เข้าใจว่าบทแรก ก็ตาม บทตามความต่อๆไป จนจบก็ตาม ก็ต้องเข้าใจให้ชัดเจน ละเอียดลออ แล้วเราก็จะปฏิบัติธรรม โดยไม่ผิดเพี้ยน โดยไม่ออกนอกลู่ นอกทาง จนกลายเป็น ระบบเก่า ศาสนาเก่าๆ ซึ่งกลายเป็น เห็นแก่ตัวแก่ตน ตัดช่องน้อย แต่พอตัว แล้วไม่มีคุณค่า ไม่มีประโยชน์ แก่หมู่ฝูง มนุษยชาติอะไรเลยน่ะ ซึ่งเป็นที่น่ารังเกียจ แล้วก็ปราชญ์ หรือว่า นักรู้ หรือว่า ผู้มีปัญญาธรรมดา เขาเข้าใจแล้วว่า ศาสนาอย่างนี้ มันใช้ไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนี้ แล้วล่ะก็ มันไม่ได้เกิด คุณค่าอะไร ในสังคมมนุษย์น่ะ เป็นแต่เพียง เอาตัวรอด เป็นยอดเดี่ยวเท่านั้น อย่างนี้ไม่ใช่ศาสนา โดยเฉพาะ จะเอามาตู่ ศาสนาพุทธ เป็นอันขาด ---

ในสภาพกรรมวิธีที่จะต้องปลีกตนไปบ้าง ที่จะต้อง ห่างเว้นบ้าง ในสิ่งที่กระทบ กระแทกกระเทือน เรามีอินทรีย์ พละอ่อน เรายังไม่สามารถ เกี่ยวข้องได้ มันก็มีอยู่ เป็นขั้น เป็นตอน ถ้าเรามีสิ่งแวดล้อม เพียงพอ เสนาสนะ มันก็ดีพอ มิตรสหายเป็น บุคคลสปายะ ก็ดีพอ แล้วเราเอง เราก็ได้อะไร ที่พอเป็นไปได้ ทั้งอาการทางกาย ได้อาหารทางจิต ที่พอเป็นพอไป เจริญงอกงามอยู่ เราก็เกิดธรรมะ เป็นธรรมสปายะ ได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่จะต้องปลีกออกจากหมู่ ไม่ทำการทำงาน ไม่เอากิจ เอากรรม อะไรเลย ไม่ใช่นะ ขอให้เข้าใจอันนี้ ให้ชัดแจ้ง ให้ลึกซึ้ง แล้วเราจะเป็น ผู้ที่ทำประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ไปพร้อมๆ กัน ---

ดังคำถามเมื่อวานนี้ก็มีว่า ประโยชน์ตน คืออย่างไร ประโยชน์ท่าน คืออย่างไร มันไปพร้อมกัน ประโยชน์ตน ก็ได้ด้วย เราได้ตัดกิเลส และ ประโยชน์ท่าน ผู้อื่นก็ได้รับประโยชน์ แม้ทางวัตถุ และยิ่งทางนามธรรมด้วย หรือ ทางธรรมด้วย คนอื่นก็ได้รับ ธรรมะด้วยน่ะ ได้จริงๆ สอดคล้องกันอยู่ พร้อมๆ กัน ไม่ใช่แบ่งกันเป็นเสี่ยง ไม่ใช่แบ่งกันเป็นส่วน แบ่งกัน เป็นคนละเรื่อง คนละราว คนละอัน ไม่ใช่ ! เป็นธรรมะ ที่เป็น สมังคี เป็นธรรมะที่เกิดพร้อมๆกัน อยู่ด้วยกัน ต่อเนื่องกัน เกี่ยวกันอยู่ สัมพันธ์กันอยู่ ไม่ใช่เรื่องตัดขาด ตัดวิ่น ---

ส่วนการตัดขาดหลุดนั้น คือจิตใจ จิตใจตัดขาด จิตใจนี่หลุดพ้น จิตใจนั้นดับสนิท จิตใจมีอำนาจ จริงๆ เป็นความเป็นได้ ที่ลึกซึ้ง แม้อย่างนั้น เราก็ยิ่ง สัมพันธ์กับคนอื่น แล้วเราเอง เราก็ขาดสนิท เราก็หยุดได้ สะเด็ด เราก็เหมือนกับ ไม่เกี่ยว ไม่ข้องกับใคร ไม่คลุกคลีกับอะไร ที่เป็นกิเลส เพราะฉะนั้น อะไรเป็นกิเลส เราดับสนิทได้ ไม่คลุกไม่คลี ไม่เกี่ยว ไม่ข้องจริงๆ แต่มันก็สัมพันธ์โดยรูป สัมพันธ์โดยสภาวะ ที่มองเห็นได้ รู้ได้เสียด้วยซ้ำ แต่จิตใจนั้น สะอาด ปลอดโปร่ง แตะไม่ติด เหมือนน้ำกับใบบอน ดังที่ได้เคย ยกตัวอย่าง นี่ลักษณะอันนี้ ไม่ใช่ว่าเข้าใจได้ง่ายๆ ผู้มีเองเป็นเอง จึงจะรู้ เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ เพราะฉะนั้น หลักการ แม้การปฏิบัติน่ะ มีมรรคองค์ ๘ มีการประพฤติ ปฏิบัติ ต้องมีผัสสะ ---

การปฏิบัติธรรมเพื่อหลุดพ้น เป็นพระอริยเจ้า ชั้นสูงสุดนั้น เป็นเรื่องที่ยาก สิ่งที่ยากที่สุด แห่งที่สุด นั้นก็คือ อัตตา หรือ มานะ ตัวตน ตัวสุดท้ายที่สุด ของมนุษย์ เราละอบายมุขจากชีวิต มันก็เป็นของหยาบ ที่พอจะละล้าง พอทนได้ แม้เราจะมีชีวิตอยู่ ๑๐๐ ปี เราก็สามารถจะทน โดยไม่ต้องไปคลุกคลีเกี่ยวข้อง ไม่เสพย์ ไม่ติดอีกได้ เราจะละกาม เราจะละ โลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็พอกระทำได้ แต่ที่สุด ตัวสำคัญ อัตตา หรือมานะสังโยชน์นี้ มันเป็นเรื่อง ลึกซึ้งเหลือเกิน ที่เราจะต้อง เรียนรู้ ให้จริงว่า เราจะเป็น ผู้ปลอดภัย เป็นผู้ปลอดโปร่ง เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ไม่มีความติดยึด ตัวความพอใจของตน แม้แต่แค่เรื่องของศักดิ์ศรี เรื่องของความไม่ไว้ใจ เรื่องของความดูถูก ดูแคลน เราจะต้องพิจารณา ให้ลึกซึ้ง อย่างจริงๆ ---

อาตมาทำงานศาสนามาทุกวันนี้ ทุกวันนี้ก็ยังได้รับ การดูถูกดูแคลน ยิ่งกว่าหมู กว่าหมา เขาไม่ได้รับรอง ส่วนใหญ่ เขาไม่ได้รับรอง แต่เรารับรองกัน เพียงฝ่ายในๆ นับถืออาตมา ยกย่องอาตมาก็ตามนั้น อาตมาจะหลง ในคำยกย่อง ของคุณหรือไม่ ก็เป็นส่วนของอาตมา และอาตมาจะต้องรู้ว่า อาตมาจะต้อง ไม่มีอัตตา ไม่มีมานะ ในการที่คุณ มายกย่อง นับถือ เป็นอันขาด อาตมาจะไม่ทุกข์ เพราะเขาย่ำยี ดูถูก ดูแคลน อาตมาจะไม่หลงระเริง เพราะที่คุณให้เกียรติ นับถือ ยกย่อง เชิดชู แต่การนับถือยกย่อง ของคุณ ก็เป็นบุญของคุณน่ะ ที่คุณเอง คุณมีบุญ มีกุศล มีความดี ที่อาตมาให้ประโยชน์ แก่คุณบ้าง ซึ่งคุณจะนึกว่า มันมากหรือมันน้อย ก็ตามความรู้สึกของคุณ ว่าเป็นคุณค่าสูง เหลือเกิน เทิดเศียรเทิดเกล้า ก็ตามแต่ หรือคุณจะเห็นว่า เล็กๆน้อยๆ ก็ตามใจ เป็นความกตัญญู กตเวที ส่วนตัว ของคุณๆ กันเอง ---

ส่วนตัวอาตมานั้น อาตมาจะต้องล้างมานะ จะต้องล้างอัตตาเลยว่า เราจะไปหลงระเริง หรือแม้แต่ บุญคุณ เพียงนิดน้อย หรือ จะมากหลาย ที่คุณให้ก็ตาม จะไปหลงเป็นตัวเป็นตน ยึดติดระเริงใจไม่ได้ โดยเฉพาะ สิ่งที่เขาไม่ได้นับถือ ไม่เชื่อมั่น ความไม่เชื่อมั่น ของคนอื่น ความไม่ไว้ใจ ของคนอื่น ความไม่เคารพ นับถือ ด่าสาด กราดกล้า ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ จะไม่เป็นภัย ทำให้อาตมาหยุดยั้ง การทำงานศาสนาไปเลย อาตมาขอกล่าว อย่างชัดแจ้งว่า ชีวิตของอาตมา ตัดเศียร ถวายศาสนา และ อาตมาจะอยู่กับ ผู้ที่จะเอาศาสนา ไม่จากกัน ไม่พรากกัน ไม่ห่างจริงๆ ใครอยู่กับอาตมา เหลือน้อยคน ก็จะให้รู้ว่า จะทำได้น้อยคน อาตมาไม่มีทางเลือก อาตมาไม่มีอื่น อีกเลยในชีวิต อาตมาไม่เห็นอะไร ดีกว่าจุดนี้ และ อาตมา จะไม่อ่อนแอ จะไม่พ่ายแพ้ เพียงคารมคน หรือ เพียงจิตของมนุษย์ ที่เขาไม่เคารพเรา ไม่นับถือเรา ไม่ไว้ใจเรา อาตมาจะไม่ เป็นอันขาดเลย อาตมาถือว่า อันนั้นเป็น ความโง่ของเรา ที่เรายังมี อัตตาตัวตน แม้เขา ไม่ไว้ใจเรา เราต้องเรียนของเราเอง ศึกษาของเราเองว่า เรามีความจริงหรือเปล่า ถ้าอาตมายืนหยัด อยู่ที่บนความจริงแล้ว ใครไม่ไว้ใจอาตมา ช่างเขาเถิด เพราะเขายัง ไม่รู้ความจริง อาตมาสงสารเขา อภัยเขา และอาตมา จะไม่มาฮึดฮัด เป็นมานะของตนเอง เพื่อที่จะมาทำอะไร เป็นเชิงย้อนแย้ง เป็นอิตถีภาโว ประชดประชัน ตีโต้ ตอบโต้ ประท้วงอะไร เป็นอันขาด อาตมาจะใจเย็น คือใจสงบ รู้ความจริง ถ้าเรายืนอยู่ บนความจริงแล้ว เป็นจบ เรามีความจริงของเรา เราเป็นจบ ---

ตัวมานะ ตัวอัตตา พวกนี้ซับซ้อนลึกซึ้ง ในพวกเรา ถ้าเราเข้าใจมันไม่ได้ เราสูงกว่านี้ไม่ได้ เมื่อมันมีเหตุ เหตุปัจจัย ที่มันพาให้เราเอง เราปล่อยคลายใจไม่ได้ เราจะไม่เจริญในชีวิต จะไม่เจริญในธรรม จะไม่ประเสริฐ ต่อไปอีกจริงๆ อาตมาเห็นหลัดๆ อยู่กับเนื้อกับตัว อยู่กับตา อยู่กับจิต อยู่กับสติปัญญา เห็นชัดๆ นะ ---

เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเรา ได้พยายามพราก พยายามลดละ ความต่ำ ความหยาบ ดังกล่าวมาแล้ว ตั้งแต่ฐานอบายมุข ฐานโลกธรรม ฐานกาม ฐานอะไร เราแน่ใจหรือไม่ มันมีเศษซ้อนนะ เศษซ้อน เศษส่วนที่เหลือ กระปริดกระปรอย ก็อย่าประมาท ทำซับซ้อนเข้าไปให้เกลี้ยง แม้กระนั้น ก็ยังมีตัว อัตตามานะ นี่เป็นตัวร้าย ที่เราไม่เจริญอีก เราจะแพ้ภัยตัวแค่นี้ อย่าเป็นอันขาด ถ้าเราแพ้ภัยตัวแค่นี้ เราก็ไปไม่ถึง ที่สุดแห่งที่สุด ที่องค์สมเด็จ พระสัมมา สัมพุทธเจ้ารู้ทาง และก็นำมา แนะนำเรา สอนไว้ เป็นสังโยชน์ ๑๐ ประการ แล้วเราก็เหลือมานะ เหลืออัตตาอย่างนี้ ก็น่าเสียดาย อาตมาเอง อาตมา จะไม่เหลือใคร สักคนหนึ่งที่ทำงาน อาตมาก็จำเป็น จะต้องสู้ด้วยตัว เพราะว่า อาตมาว่า อาตมาเป็นตัวศาสนาแล้ว อาตมาแน่ใจ ในงานศาสนาแล้ว อาตมาเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้าอีกเท่าใดๆ อาตมาก็ทำ เพราะไม่มีทางเลือก อาตมาทำมานี้ ด้วยเต็มใจ ด้วยภาคภูมิ จะบอกว่าภาคภูมิ ก็ภาคภูมิ ภาคภูมิคำนี้ ไม่ใช่ว่า การหลงระเริง ที่เราได้ทำสิ่งดีนี้ อาตมาจะซ้อนรู้ ของอาตมาเองว่า อันนี้ก็เป็นอัตตา ที่อาตมาจะต้องติด ต้องยึดอยู่นั่นเอง ถ้าอาตมายังมาหลง อาตมาก็ต้องติด ถ้าอาตมาไม่หลง อาตมารู้เท่าทัน อาตมาก็จะไม่ติดสิ่งนี้ ---

แม้แต่พวกเรา ผู้ที่มารวมหมู่ รวมกลุ่มกัน อยู่ที่นี่แล้ว ขอให้สอบทาน อย่าแพ้ภัยตัว แม้ผีมาร ตัวเล็กน้อย ตัวละเอียด ลึกซึ้ง ตัวสูง ทำท่าทีผงาด อย่างนั้น ก็ให้รู้เท่าทัน จิตนั้นเถิดน่ะ อาตมาเอง อาตมาพูดอย่างนี้ เพื่อให้ตัว ผู้ที่มีจิต ที่มันไม่ดีตัวนี้ หรือ ผีร้ายตัวพวกนี้ เพื่อจะได้ขจัดมันออก ประโยชน์ของตน ถ้าได้ประโยชน์ของตนนั้น อาตมาก็พลอย ได้ประโยชน์ด้วย คุณก็ได้ประโยชน์ด้วย เพราะอาตมา ก็จะเบาแรงขึ้น จะมีผู้ที่มีภูมิ ฐานที่สูงขึ้นไปอีก ช่วยงานการ ทางศาสนา พรั่งพร้อมอุดม แทนที่อาตมา จะเหลือตัวคนเดียว หรือตัวพวกเรา น้อยคนลง แล้วมันก็ โลกมารกิเลส มันก็ใหญ่ขึ้นๆ เหลือเกิน ทางธรรมก็จะลดลงๆ แล้วจะเป็นอย่างไร ไม่ต้องคิด ก็น่าจะตอบได้ ไม่ใช่ยากเย็นอะไร ---

เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า เราช่วยบอกกัน ช่วยชี้กัน ช่วยเตือนกัน รู้ตัวแล้ว ก็จงรู้ความจริงให้ได้ อย่าแพ้ภัยตัว อย่าอ่อนแอเลย แก้ไขปรับปรุงเถิด สิ่งที่ดี มันก็ควรจะดีตอบ สิ่งที่ไม่ดี ถ้าเราแพ้ก็น่าอาย ที่เราแพ้มาร ที่เราแพ้ สิ่งที่มันเป็นมารนะ เป็นซาตาน มันเป็นตัวผี มันเป็นตัวสังโยชน์ มันเป็นตัวกิเลส มันเป็นตัวมานะ เป็นตัวอัตตาน่ะ ---

ถ้าเราไม่รู้เท่าทันมัน มันเล่นงานเราจริงๆ อภัยเถิด สำหรับผู้ที่เขาไม่รู้ ที่เขาเอง เขาจะ กล่าวกราด กล่าวกล้า ด่าว่าอะไร ทำให้เราอ่อนเพลีย ทำให้เราแพ้ ทำให้เรา ไม่มีความร่าเริง แข็งแรง อาจหาญ แกล้วกล้า กลายเป็นคนสิ้นแรง ป้อแป้ กลายเป็นคนอับเฉา หม่นหมอง กลายเป็นคนหลบ กลายเป็นคนไม่สู้ ที่จริงไม่ใช่จะยุ ให้ไปสู้กับอะไร สู้กับสัจธรรม หรือว่า ทำงานให้แก่มนุษยชาติ ถ้าตัวเรา แน่ใจว่า ตัวเราก็ไม่มีอะไรแล้ว นี่ชีวิตมันก็เท่านี้ๆเอง เมื่อเท่านี้ๆ เองแล้ว เราก็เดินทาง ไปสู่หลุมฝังศพ แล้วมีอะไรเหลือ นอกจากการงาน ที่เราจะสืบสาน เป็นทายาทพระพุทธองค์ หรือ เป็นทายาท ในการงาน ที่ดีที่สุด อันนี้อันเดียว อาตมาจำนนจริงๆ อาตมาไม่มีงานอื่นอีกจริงๆ มองไปไหน ก็ไม่เห็น การงานนี้ แม้เหนื่อย อาตมาก็รู้ อาตมาว่าทุกคนรู้นะ ว่าอาตมาเหนื่อย และทุกคน ก็มีคนเห็นใจ อยู่บ้างน่ะ ส่วนใคร จะไม่เห็นใจ อาตมา ก็ไม่ว่าล่ะนะ ไม่เห็นใจก็เรื่องของเขา จิตใจเขาเป็นของเขา เขาจะเห็นใจอาตมา หรือ ไม่เห็นใจอาตมานะ จะช่วยอาตมา หรือ ไม่ช่วยอาตมา ก็เป็นเรื่องของเขา สิทธิของเขาทั้งนั้น อาตมาเอง อาตมายังบังคับใคร ไม่ได้หรอก และก็ไม่ชอบบังคับ จริงๆน่ะ ถ้าทำได้ โดยที่เรียกว่า จะไม่บังคับเลย นั่นเป็น เป้าหมาย ที่อาตมาต้องการ ---

แต่ถ้าเผื่อว่า จะต้องบังคับบ้าง อาตมาก็ต้องทำบ้าง ตามสิทธิที่พอทำได้ ที่เขามามอบให้ ถ้าแม้ว่ายิ่งโตๆ กันแล้ว และ อาตมาจะบังคับ ยากที่สุด บังคับได้น้อยที่สุด เพราะว่า ถือว่าโตแล้วนี่ อย่าได้บังคับกันเลย นิดหน่อย ควรจะมีไหวพริบ และ ควรจะรู้ตัว รู้ตน แก้กลับกันได้แล้วนะ อาตมาก็ยิ่งเกรงใจ ยิ่งจะไม่บังคับ เพราะถือว่า ความรู้นั้น มันลึกซึ้ง ซับซ้อน ตัวซับซ้อน ลึกซึ้งพวกนี้ โตแล้ว ก็น่าจะมีไหวพริบแล้ว ไม่ต้องให้พูดมาก เตือนมาก ไม่ต้องให้ทำ ท่าทีหยาบ อะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็น่าจะระลึกไว แววไว ปราดเปรียว มีปฏิภาณ แหลมคม และ แก้กลับ เพราะเป็นคนดี คนง่าย แล้วก็แก้กลับทันที อาตมาคิดว่า ศาสนาเรา จะไปได้อีก แม้มันจะมีมรสุม มีอุปสรรค แม้มันจะมีในตัวมันเอง มันจะต้องมีอะไร ที่เป็นวิบากของอาตมา ที่อาตมา จะต้องหนัก ไปมากกว่านี้ เพราะพวกเรา ถดถอยไป อาตมาต้องแบกรับหน้า เพราะคนเข้ามา มากขึ้น และ ผู้ที่จะช่วยเหลือ เฟือฟาย ก็ลดลงนะ ก็ถอยออกไป ปล่อยให้อาตมา รับอยู่คนเดียวๆ เป็นทิศทาง อย่างนี้อยู่จริง อาตมาก็ยินดี ที่จะมอบชีวิตนี้ถวาย แด่ศาสนา สุดกำลัง ในลมหายใจนี้เมื่อใด ยินดี ทั้งนั้น

สาธุ.---