021 ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๒๖

วันคืนก็ผ่านไป พระอาทิตย์ขึ้น แล้วพระอาทิตย์ก็ตก เราเองซึ่งเป็นคน ก็อยู่ในแวดวง ของวัฏสงสารเหล่านี้เหมือนกัน เราถ้าเผื่อว่า ได้เป็นผู้ที่มีสำนึก มีความเข้าใจ มีความรู้แล้ว เราก็เดินทางไป ทุกอย่างก็เป็นไปแล้ว เราก็เป็นมนุษย์ มีจิตมีวิญญาณเป็นคน เหมือนพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก มันก็จะต้องเป็นไป เราก็จะต้องผ่านวันผ่านคืนไป เมื่อเรามีปัญญา มีจิตวิญญาณอันดี เราได้รู้ว่า เมื่อเราเกิดมา ก็พึงเป็นประโยชน์ เป็นคุณค่า เป็นอะไรที่มันดีที่สุด ที่มันจะพึงเป็นไปได้ เมื่อเราเข้าใจแล้ว

แต่ละวันแต่ละคืนที่มันผ่านไป พร้อมกับตะวันขึ้น แล้วก็ตะวันตก เราก็พัฒนาทุกขณะ เป็นไปด้วยดี จิตใจ เบิกบาน แจ่มใส นี่เป็นกำไรเบื้องต้น ได้แนะนำไว้เสมอ ความหมองหม่นใจ ความไม่สบายใจ ความอึดอัดใจ สลัดทิ้ง ไม่มีข้อแม้ เราจะต้องทำตน ให้เป็นคนสบายๆ ปลอดโปร่ง เพราะฉะนั้น อะไรที่มากระทบ ทำให้เราไม่ชอบใจ ทำให้เราไม่สมใจ ไม่อะไรก็ตามแต่ เราสลัดอารมณ์นั้นออก แล้วพิจารณา ทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างไม่ใช่ของใคร ทุกอย่างไม่ใช่ของเรา ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ผ่านไป แล้วก็ผ่านไป เพราะฉะนั้น เราจะไปยึดไปถือ เอาอะไรมาเป็นของเรานั้น มันไม่ได้เรื่อง

แม้ที่สุด เราทำสิ่งที่ดีที่สุด เป็นคนดีที่สุด สร้างสรรสิ่งที่ดีที่สุด ให้คนได้มี ความสามารถ สร้างสิ่งวิเศษที่สุดได้ สิ่งวิเศษที่สุดนั้น ก็จะเป็นคุณค่าแก่มนุษย์ ถ้าเราได้อาศัย เราก็ได้อาศัยสิ่งวิเศษนั้น

ถ้ามันยังมีคุณค่า แล้วก็มีคุณประโยชน์ต่อผู้อื่น ต่อไปอีก ผู้อื่นก็จะได้อาศัย คุณวิเศษนั้น แล้วเราก็จะตายจากมัน หรือมันก็จะต้อง พลัดมือเราไป เป็นของผู้อื่น ถ้าไปเป็นของผู้อื่น ผู้อื่นได้อาศัย ได้ประโยชน์ได้คุณค่า มันก็ดีแล้ว มันน่าดีใจ มันน่าดีใจ มันเป็นความดี ถ้าเราได้สามารถสร้างสิ่งดี แล้วก็เลื่อนไหลให้คนอื่น เขาได้ใช้ไป ให้เป็นประโยชน์คุณค่าด้วย ชีวิตเราก็มีค่า เกิดมาไม่เสียชาติเกิดให้หนักแผ่นดิน เป็นประโยชน์

ที่ได้ย้ำได้ซ้ำสิ่งเหล่านี้ ให้เห็นชัดเจน ก็คิดว่ามันเป็นความสำคัญ ที่คนเรานี่ กลัวเหนื่อย ได้เหนื่อย มันก็หายเป็น ถ้าเหนื่อยแล้ว ได้สร้างสรร มันก็ไม่เป็นปัญหาอะไร ตัวตน ความเห็นแก่ตัวของเรา อยากจะเสวย อยู่เฉยๆ ร่องๆ แร่งๆ หรือเสพ เสพอาการ เสพอารมณ์ที่เราชอบ เราก็เสพมัน แล้วมันก็เดินไปหาตาย เราไม่ต้องเสพ เราไม่ต้องลิ้มอะไร เราไม่ต้องไปเสวยอะไรเลยในโลก อะไรมันเป็นความดีงาม มันจะเหน็ดจะเหนื่อย จะเมื่อยจะล้า ถ้าพอเป็นไปได้ ไม่ถึงกับทรมานตัว ทรมานตนจนเกินการ อุตสาหะวิริยะ เราก็เป็นไป แล้วเราก็จะตาย

ถ้าเราเข้าใจไตรลักษณ์ ที่ว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันไม่ใช่ตัว มันไม่ใช่ตน มันเป็นสิ่งที่เลื่อนไหลไป มันไม่ใช่ของใคร มันไม่เที่ยง และมันก็เป็นตัวที่ตั้งอยู่ไม่ได้ เรียกว่าทุกข์ มันตั้งอยู่ไม่ได้ถาวรหรอก มันก็ทรงค่า ถ้ามันเป็นของมีค่า มันก็ทรงค่าทรงคุณ แล้วก็ให้เขาอาศัยได้ที่สุด เท่านั้นเอง

แล้วมันต้องมีเหตุปัจจัยที่จะช่วย อย่างศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าสร้างไว้ เป็นของที่มีค่า เลิศลอยนักหนา มันก็ยังไม่เที่ยง อาศัยเหตุปัจจัย อาศัยลูกศิษย์ อาศัยผู้รู้ อาศัยผู้ที่ กตัญญูกตเวที ได้ซ่อมแซม อารักขนา บูรณะรักษา ให้ศาสนานี้ มีไว้สำหรับ เพื่อประโยชน์มนุษย์ต่อไป

มนุษย์ได้รับศาสนานี้ ต่อทอดกันไป เราก็ได้อาศัยความรู้ อาศัยศาสนานี้ เพื่อเป็นคนดี คนประเสริฐ เพื่อความเป็นอยู่สุขสำราญของเรา สร้างสรรไป สุขสำราญไปได้เท่านี้

ความจบ พยายามสรุป ให้ชีวิตให้ได้ แล้วเราจะรู้ความจริงว่า เรารู้แสนรู้ แต่กิเลสที่มันมีตัวจริง มันมีตัวจริง ที่ดึงถ่วงเราเอาไว้ให้ตกต่ำ ให้อืดอาดเชื่องช้า ไม่พัฒนาไป ไม่เจริญไป นี่กิเลสทั้งสิ้น

เราเถียงไม่ได้ ต่อเหตุที่ชัดเจน และเราก็อยากได้ ถ้าเราไม่ทำมันก็ไม่ได้ ถ้าเราทำ ไม่อยากได้มันก็ได้ เมื่อเรารู้ว่าดี เราควรได้ เราก็ทำเข้า พัฒนาเข้า เป็นไปเข้า มันก็ดี มันก็เดินไปสู่สภาพที่มันดีขึ้น เพราะฉะนั้น อะไรอื่น ที่จะพาเราไปสู่สิ่งสูงสุด ไม่มีเลย นอกจากความเพียร นอกจากความข่มฝืน เราจะมีความข่มความฝืน ฝืนไปสู่ดี ไม่ใช่ดีนี่ มันไม่ฝืน, มันฝืน ฝืนจนกระทั่ง สุดท้าย เราได้ชำนาญ เราได้สามารถ แล้วมันก็ไม่ฝืน มันได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบาก แล้วสุดท้าย ก็ได้เป็นอัตโนมัติ มันก็มีรูปรอยอย่างนี้ พิสูจน์เถิด ไม่ว่าจะเป็นความดีย่อม ความดีกลาง ความดีใหญ่ ความดีที่สุด อะไรก็ตาม

เราต้องเป็นผู้ที่เข้าใจด้วยปัญญา แล้วก็สู้ไม่ถอย เป็นผู้ที่เอาจริง เป็นผู้ที่จะไม่ถดถอย ถอยหลังเลย ที่เราจะเดินหน้าไปเรื่อย เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น แม้เราจะต้องข่มต้องฝืน แม้เราจะต้องอดต้องทน ต้องสู้ เราก็ทำใจเบิกบานเข้าไว้ ทำใจให้ปลอดโปร่ง อย่าอับเฉา อย่าเศร้าหมอง ทำปัญญาให้แจ้งจริงๆ ว่านี่ดีแน่ ดีจริง เถียงไม่ได้ หมดทางที่จะเถียง เด็ดขาด แล้วเรื่องอะไร เราจะไม่เดินไปในทางดีนี้ เราจะมีวาสนาเท่าไหร่ มีบารมีเท่าไหร่ เราจะต่ำต้อยแค่ไหน ถ้าเราได้เดินเข้ามาเห็นเข้ามาพบ เข้ามามีทิศทาง ที่จะพานำกันไปได้

จนป่านนี้แล้ว ไม่มีทางอื่นที่จะดีไปกว่าหรอก ที่เราจะเดินหน้า พยายามไป อุตสาหะ วิริยะไป ตัวเราก็เท่านี้หนอ แล้วก็พากเพียรไป มันก็จะได้ มันก็จะเดิน

วันคืนก็ผ่านไป พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก เราก็เดินทางไปสู่หลุมฝังศพ เรื่อยไปๆ ถ้าเผื่อว่าเราอุตสาหะวิริยะมาก เราก็พึงได้มาก อุตสาหะวิริยะน้อย เราก็พึงได้น้อย ก็เป็นความเชื่องช้า

เพราะฉะนั้น ผู้ใดได้รับผลอยู่ แม้จะได้มากได้น้อย ก็สะสมเดินทางไป เมื่อใจเรารู้ว่า เราเอง ทำใจเราให้เบิกบานร่าเริง เป็นอยู่สุข ไม่อับเฉา ไม่หม่นหมอง มันก็ร่าเริง เบิกบานไปกับกิจการงาน เบิกบานร่าเริงไปกับกรรม ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ผ่านวัน ผ่านคืนไปๆๆ ส่วนดีหรือไม่ดี เราไม่ใช่เป็นคนให้ค่า โลกเขาจะให้ค่าเอง

ดังเราเคยเห็นประวัติศาสตร์ผ่านๆ ผู้ที่ทำดีแล้ว คนก็ริษยา ในเวลาเป็นๆ คนเขาไม่ยกย่องสรรเสริญ เชิดชูเท่าไหร่ แต่เวลาตายไปแล้ว เขาต้องทำอนุสาวรีย์ให้ เขาต้องยกย่อง สรรเสริญ เชิดชู ก็ไม่รู้จะทำยังไงดีกว่านั้น เพราะฉะนั้น ประวัติศาสตร์ หรือว่าสิ่งที่มีอย่างนี้ เป็นตัวอย่างให้แก่เรามามากแล้ว เราก็พยายามระลึกถึง

คนเราก็เท่านั้นเอง ถ้าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ถ้าจะกินอยู่ หลับนอน ร่องๆแร่งๆไปนั้น ชีวิต มันไม่ยากหรอก ทำเอาง่ายๆ เมื่อไหร่มันก็เสร็จ แต่ว่าจะเป็นคน ที่เกิดมาไม่เสียชาติเกิด ไม่โมฆบุรุษ รังสรรค์ไป สร้างสรรไป มีอะไรที่ดี แม้ใจเราเอง เราก็ทำใจเราเป็น หัวใจเรา ก็เบิกบานร่าเริง แม้มันจะต้องขัดเกลาตนเอง ที่เหลืออยู่ บารมีเราน้อยอยู่ เราก็ได้ชื่อว่า เรามีฐานอาศัย มีสิ่งที่เราได้พักพิง และเราก็จะพัฒนาตัวเอง ไปตามบารมี ของแต่ละคน แต่ละคนทุกคน เราก็จะได้ผล ได้พลังปัจจัย และฉลาด ที่มีฐานอาศัย โดยไม่อึดอัด ขัดเคือง ไม่อับเฉา

สิ่งใดบกพร่อง แก้ไข พลาดแล้วก็ปรับปรุง สิ่งใดดีก็เจริญขึ้นๆ เราก็ได้ชื่อว่า เกิดมาเป็นคน ได้เดินทางไปด้วยความเจริญ และได้อาศัยสิ่งที่เรียกว่า เป็นอยู่สุข ด้วยความสบายใจ ไปตลอด เพราะฉะนั้น ชีวิตของเรา จะต้องการอะไรอีก นอกจาก การพัฒนาตัวเองให้เจริญ และได้ฐานอาศัย สิ่งอาศัย ที่สบายแก่ชีวิตของเราไป จนกระทั่ง ตราบตาย

สาธุ.