029 ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๒๖

อาตมาก็ยังขอยืนยัน ให้พวกเราได้หยั่งถึงสัจจะ ให้เข้าใจแท้ชัดๆ ว่าสัจจะ มันมีอยู่ ๒ มีสมมุติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ สัจจะ จะได้มาจริงๆ เพราะปฏิบัติสู้ทน ทั้งข่ม ทั้งฝืน ทั้งใช้ปัญญา แล้วพิสูจน์ความจริง เมื่อการละจริงล้างจริง ได้ความเจริญดีจริง ด้วยความพ้นทุกข์จริง คุณรู้ คุณเข้าใจ ว่านี่เป็นการละ หน่าย คลาย ล้างกิเลสจริง คุณได้สมบัติ คุณได้ทรัพย์ ความปลื้มใจอันประเสริฐ ของคนในโลก ไม่ใช่ทรัพย์โลกีย์ เป็นอริยทรัพย์ เป็นโลกุตรสมบัติ

ดังที่พระพุทธเจ้า ท่านตรัสถามพระราหุล จะเอาโลกียสมบัติ หรือเอาโลกุตรสมบัติ ราหุลตอบว่า จะเอาโลกุตรสมบัติ มาเอาสมบัติที่ละล้างกิเลสนี่แหละ มาทิศทางนี้ คุณต้องเข้าใจความจริงอันนี้ ที่เรียก ก็ต้องเรียกว่า ปรมัตถสัจจะ แล้วคุณก็มั่นใจ เชื่อถือ เป็นศรัทธา เพราะมันมีสัจจะเกิดแล้วหนอ คุณต้องรู้ด้วยตน คุณต้องเข้าใจด้วยของตน มันมีจริงเป็นจริง ถ้าคุณหลอกตัวเอง คุณก็หลอกตัวเอง มันไม่มี คุณหลงว่ามี ก็เป็นความหลง ของคุณเอง

แต่ถ้าอันนั้นเป็นสัจจะ พ้นจากความหลง เป็นความจริง ดูได้จริงแล้วไซร้ คุณจะเกิดศรัทธาจริงๆ ศรัทธาในธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม ซึ่งทรงขึ้นน้อยหนึ่ง ก็รู้ไว้ มากขึ้น จนเป็นฐีติ จนเป็นจาคะ ละล้าง ปลดปล่อย จนบริสุทธิ์สนิท จางคลาย ว่าง เปล่า จบ เป็นการสะอาดแล้ว ซึ่งกิเลสแห่งปัจจัยนั้นแห่งปัจจัยนี้ คุณรู้จริงเห็นจริงของคุณ คุณเกิดศรัทธา ในสัจจะนี้ อย่างเชื่อมั่น คุณก็ได้ส่วนตัวของคุณ

คนที่ได้ปรมัตถสัจจะแล้ว เป็นโลกุตระ คนนั้นก็จะเข้าใจสมมุติสัจจะ เราจะรู้ว่าเขามี คุณเลิกสิ่งนั้น โลกมันก็มีสิ่งนั้น คุณอยู่เหนือสิ่งนั้น เพราะฉะนั้น สิ่งนั้นจะสัมผัสเราอย่างไรๆ ในโลกนี้ สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย คุณก็จะว่าง อุเบกขา แล้วก็จะปฏิบัติตน กับสิ่งนั้น อย่างเหมาะสม เป็นอุเบกขา เป็นความบริสุทธิ์อยู่ ปฏิบัติกับมันอย่างบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา ยังบริสุทธิ์ ปฏิบัติรวมอยู่อย่างไร มันก็ดูดซึมเราไม่ได้ เรายังขาวผ่อง ขาวผ่อง ๆ เราไม่ดูดไม่ซึมจริงๆ

ยิ่งเป็นการเช็คสัจจะ ยิ่งเป็นการยืนยันสัจจะ ว่าเรายังสะอาดอยู่หนอ แม้อันนั้น มันจะแรงขึ้นมาอีก มีฤทธิ์มีอะไรขึ้นมาอีก เราก็จะรู้ โอ๊ย! อันนี้แรงขนาดนี้ เราไหวนิดหนึ่งนะ นี่เราไม่ไหว ไม่ไหวเลย อันนี้ไหวหวั่นนิดหนึ่ง อันนี้เจ็บนิดหนึ่ง แล้วก็ตั้งใหม่อีก จนชนะไปอีก มันยิ่งจะเป็นสุญญตวิหาร เป็นสุญญตมหาวิหาร เป็นปรมานุตตรา ของสุญญตวิหาร ดังที่ขอยืมคำนี้มาใช้ แต่เราไม่ควรไปใช้ถึง ปรมานุตตร สุญญตวิหารนี้หรอก แต่ว่ามันจะเป็นมหาสุญญตวิหาร ขึ้นไปจริงๆ มันจะว่าง มันจะวาง มันจะแน่น มั่นคงขึ้นไปจริงๆ เป็นสภาพที่ยิ่งว่างเฉย เพราะเรามีบทปฏิบัติ มีสิ่งที่ยืนหยัดยืนยัน มีของจริง ของพิสูจน์ เราจะได้รับอย่างนั้น โดยธรรมชาติขึ้นไปจริงๆ

สมมุติสัจจะ จึงส่งเสริมปรมัตถสัจจะ นี้เป็นหลักเกณฑ์ ทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ส่วนของอื่น ก็หนีไปเลย แล้วเขาก็เลิกกันเลย เขาไม่ต้องพิสูจน์ เขาไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องวิทยาศาสตร์ ของพระพุทธเจ้าท่านวิทยาศาสตร์ พิสูจน์สัจจะ แต่ไม่ใช่ว่า จงใจพิสูจน์ แล้วก็ไม่เหิ่มห่าม จะดิ้นเข้าไปพิสูจน์เกินแรงเกินภูมิ เราจะต้องตรวจตน เจียมตน ถ่อมตน อย่าไปอวดโอ่ อวดอ้าง อย่าอวดดี ไปเอาเกินแรง แล้วตาย ถล่มตายเยอะแล้ว ตายเพราะเหิ่มห่าม เพราะทำเป็นอ้าขาผวาปีก หลงตัวว่า นึกว่าใหญ่ ว่าเก่ง ตาย ตายอย่างไม่เป็นท่าเลย หงายผลึ่งออกมาเลย ตายมาเยอะแล้ว อันนี้เตือนสติเรา ข้อสำคัญ ต้องตรวจตนให้ดี บอกแล้วว่าเราเอง แม้เราจะมีฤทธิ์แรงสูง แต่เราทำไปจริงๆ มันจะเหมือนพาสชั้น อย่าไปอาจหาญเกินกล้า เกินแก่นเกินตัว แล้วเราเองจะแย่นะ

แต่เราอยู่กับสัจจะทั้งสองส่วน เราสร้างปรมัตถสัจจะให้แก่ตน เพราะเราอยู่กับสมมุติสัจจะ แล้วเราก็จะอยู่เหนือมัน ไม่ต้องวิ่งหนีไปไหน แต่เรารู้แบ่ง รู้กำหนดให้ตน เป็นกรรมฐาน เป็นขนาด เป็นของเรา เป็นไป เป็นไป เป็นไป เราจะได้สัจจะที่แท้จริง เราจะได้ศรัทธา เราจะมีธรรมะ เราจะมีฐีติ เราจะมีตัวจาคะ

แม้แต่เราอยู่กับสมมุติสัจจะในโลก จึงอยู่อย่างเหนือ อยู่อย่างไม่วิ่งหนี อยู่อย่างไม่ดูดซึม อยู่อย่างก้อนน้ำแข็ง กลางเตาหลอมเหล็ก จึงเรียกว่า อยู่เหนืออย่างชัดเจน และเราก็จะเป็นผู้ที่ฉลาด ปรับสมมุติสัจจะ เราจะทำยังไง อยู่กับคนเขามีอย่างนี้แหละ เขามีสิ่งที่เราหลุดพ้นมาได้นี้แหละ เราจะปรับตัวกับเขายังไง เราจะวางเฉยยังไง

หรือว่าเราจะช่วยขัดเกลาเขายังไง เราจะให้เขาได้รับประโยชน์บ้าง เราจะให้เขารู้ได้ยังไง จนเขาศรัทธาเลื่อมใส จนเขายอมที่จะมาล้างตาม เพราะเขาเห็นดี เขาเห็นชอบ แล้วเขาก็ละ เขาก็มีวิธี นโยบาย ช่วยเขาล้างเขาละได้อีก มันก็จะเกิดสร้างคนเผ่านี้ เผ่าโลกุตรธรรมนี่ เผ่าโลกุตรภูมินี่ คนมนุษย์โลกุตระนี่ ขึ้นมาอีกๆๆ

เพราะฉะนั้น สัจจะที่เป็นสมมุติสัจจะ ก็จะกลับทำให้พระอริยะ ผู้ที่หลุดพ้นแล้ว มั่นคงในสัจจะ ที่เป็นปรมัตถธรรม ถึงวิมุติ ถึงสุญญภาพ สุญญตาแล้วนี่ เป็นผู้ที่สร้างเชื้อ สร้างวิญญาณ ก็เพราะให้เขาได้ล้างวิญญาณ เหมือนอย่างเราได้ล้างนี่แหละ ต่อไปอีก ต่อไปอีก ความหมดเชื้อของพุทธ จึงจะไม่หมด

จะเห็นได้ว่า ลัทธิพระพุทธเจ้า จึงไม่ใช่ลัทธิเดียรถีย์ ฤาษี ที่สั้นกุด ที่ได้แต่ประโยชน์ตน แล้วไม่ทำงาน หรือไม่เป็นผู้ที่เป็นธรรมทายาท ไม่ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นต่อ ไม่สร้างเผ่าต่อ ไม่สร้างพันธุ์ต่อ จะเห็นได้ชัดเลยว่า ของพระพุทธเจ้าไม่กุด จะมีเวลายาวนาน มันจะต่อเผ่าต่อพันธุ์ไปยาวนาน ด้วยความจริง เพราะเรามีสัจจะจริง มันจะจริง ถ้าหลง ก็เป็นสัจจะหลง ก็ทำลายศาสนาในตัวของมันเอง แต่ถ้าเป็นสิ่งผิดเลย เราหลงว่าเป็นของจริงเลย แล้วทำไปเลย นั่นคือ ตัวทำลายแท้

ทวนให้ดี อย่าให้ผิดให้เพี้ยน ถ้าไม่ผิดแล้ว ผู้ที่มีปัญญา อาตมาพูดด้วยปัญญาของตนเอง อาตมาพูดด้วยความจริงใจของตนเองว่า มันจะต้องเป็นอย่างนี้ ใครไม่เชื่ออย่างนี้ ใครไม่เห็นอย่างนี้ ก็เชื่ออย่างเขา แต่อาตมาเชื่ออย่างนี้ คุณก็พิจารณาว่า เชื่ออย่างนี้ ดีหรือไม่ดี คุณตัดสินเอาตาม ถูกหรือไม่ถูก คุณตัดสินเอาตาม แต่อาตมาบอกแล้ว อาตมาเห็นอย่างนี้ มั่นใจอย่างนี้ อย่างนี้คือถูก อย่างนี้คือดี อาตมาจะเอาดีอย่างนี้ ใครจะเอาดีอย่างอื่น ก็เรื่องของคนอื่น คุณจะเอาดีอย่างอื่น ก็เรื่องของคนอื่น คุณจะเอาดีอย่างอื่น ที่เขาไม่เห็นตาม อย่างนี้ ก็บอกว่า เอ๊ย! ไม่ต้องหรอก เอาแต่ตัวแต่ตน หนีๆ ร่องๆ แร่งๆ ไปอย่างนั้น เป็นพระพุทธเจ้าโคตม เพราะองค์โคตม สอนอย่างนั้น ก็ว่าไป แต่อาตมาว่า ว่าอย่างนี้

อาตมาเห็นจริงอย่างนี้ อาตมาว่าอย่างนี้ อาตมามั่นใจในสัจจะอย่างนี้แล้ว อาตมาทำงาน อย่างนี้ อาตมาจึงนำคุณไปอย่างนี้ แล้วจะไปสู่ปรมัตถสัจจะ ที่อาตมาว่า มันสูญจริงๆ สูญญภาพ เป็นอาการที่สูญอย่างนี้ อย่างนี้นี่ อาตมาชี้บอกคุณไม่ได้ ไม่มีใครรู้ ใครเห็นด้วยอาตมา อาตมาว่าง อาตมาเบา อาตมาหนักงานนอก อาตมาไม่กลัวหรอก หนักงานนอก เมื่อย อาตมาพัก ใครจะมาห้ามอาตมาก็ไม่ได้ เพราะอาตมา ไม่ได้ไปทำ เอาอะไร แลกอะไร อาตมาจริงใจว่า อาตมาไม่แลกจริงๆ อาตมาทำอย่างจาคะ อาตมาทำอย่าง จบตาย แล้วอาตมาก็สู้ด้วยสันติ อาตมาก็ทำอย่าง จบเป็น อาตมามีเลือดนักสู้ อาตมาสู้ อาตมาสร้าง ไม่ได้แลกเอาของใครแล้ว อาตมาจบในตัวแล้ว อาตมาสร้างอย่างจาคะ จบในตัวแล้ว อาตมาจบในตัว จบจริงๆ อาตมาสร้างอย่างจาคะ ทำแล้วจบในตัว

แต่อาตมาจะไม่จบขันติ ตราบที่อาตมามีขันธ์ ๕ อาตมายังมีขันธ์ ๕ อาตมาไม่จบขันติ อาตมาสู้ไม่ถอย เลือดขันติอาตมาไม่จาง อาตมาทำงานนี้ โดยพยายามประมาณ ให้พอเหมาะพอดี ให้งามให้สุภาพ ไม่ให้แตกร้าว ไม่ให้ทะเลาะเบาะแว้ง ไม่ให้อยู่อย่าง เดือดร้อนดิ้นรน อาตมาพาคุณทำงานมา ๑๐ กว่าปี อาตมาว่า อาตมาไม่ได้พาคุณ อยู่อย่างเดือดร้อนดิ้นรน อาตมาว่า สงบสุขพอควรทีเดียว ในหมู่กลุ่มของเรา

แม้แต่คนอื่น เขาจะหาเรื่องอะไรมาก็ตาม อาตมาก็ว่า อาตมาไม่ได้พาคุณวิ่งหนี ไม่ได้พาคุณวิ่งหนี ไม่ได้พาคุณซอกๆ ซอน อาตมาพาคุณไปเดินหน้า อยู่ตลอดเวลา แม้อุปสรรคจะผ่านมาเท่าไหร่ เรารู้กันดี อาตมาก็ยังว่า เราไปกันได้ดีอยู่ แม้เขาจะบอกว่า เขายิ่ง เขาใหญ่อะไร ยังไงก็ตาม ก็ไม่เห็นเขาจะมารุกราน อะไรเราได้มากมาย ไม่ใช่ท้าทาย ไม่ใช่อวดดี แต่อาตมาว่าธรรมะมีฤทธิ์ ธรรมฤทธิ์มันมี มันคุ้มกัน ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ธรรมต้องรักษาผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม ผู้มีธรรมะที่แท้จริง ผู้ประพฤติธรรมที่เป็นสัจธรรม ธรรมะต้องรักษาผู้ที่มีสัจธรรม มันจะบอกว่า ธรรมะรักษาผู้ประพฤติธรรมเฉยๆ ไม่พอ ธรรมะต้องรักษาผู้ประพฤติธรรม ที่เป็นสัจธรรม และมีสัจธรรมจริง อาตมาเห็นว่า อย่างที่เรากำลังพิสูจน์อยู่

เราไม่ได้พากันวิ่งลนลาน ดิ้นรนหนี แต่เราก็ทำงานกันก้าวหน้า พัฒนากันไปอยู่ได้ เราไม่ได้ไปตอบโต้ โต้เถียงต่อสู้อย่างกร้าวกราด ต่อสู้อย่างหยาบ เราไม่ได้ต่อสู้ อย่างหยาบคายเลย เราว่าขนาดนี้ พอเหมาะกับเหตุการณ์ พอเหมาะกับหน้าสิ่วหน้าขวาน ขนาดนี้แล้ว เราไม่ต้องถึงกับขนาด หยาบกว่านี้ อาตมาก็ว่า มันหยาบอยู่เหมือนกันแหละ มันยังไม่เรียบร้อยกว่านี้ได้ อาตมาก็ว่า มันเหมาะกับกาลยุคแล้ว แต่หยาบแค่ไหน คุณประมาณเอาเถิด ว่าคุณเห็นใจอาตมาไหมว่า มันมีอุปสรรคขนาดนี้ อาตมาต้องทำแรง เพื่อรักษา อาตมาก็จะต้องใช้วิธี กลวิธี กลปรานี เพื่อที่จะทำถึงขนาดนี้นะ

ที่อาตมาได้ยกอุทาหรณ์ว่า อาตมาเหมือน หมาน่อยตัวหนึ่ง เมื่อหมาใหญ่ มาขู่ คำราม อะไรต่ออะไรบ้าง อาตมาก็เห่าบ้าง แอ๊ง! แอ๊ง! ยังไงบ้าง ก็เพื่อที่ไม่ให้เขาทำร้ายเรา แล้วเราก็รักษากายภาพ รักษาศักยภาพของพวกเรา ที่มีสิ่งแวดล้อม เป็นศักยภาพ เป็นหมู่กลุ่ม เป็นมวล พวกคุณก็ไม่ได้เดือดร้อน เพราะเขาไม่ได้ขบคุณ ไม่ได้กัดคุณ ผิวเนื้อผิวหนังคุณ เหมือนผิวเนื้อผิวหนังของอาตมา ผิวเนื้อผิวหนังของอาตมา หรือพวกคุณ เป็นผิวเนื้อหนัง ไม่ถูกหมาใหญ่กัด คุณไม่ได้เจ็บ คุณไม่ได้บาดเจ็บ คุณไม่ได้เลือดไหล คุณไม่ได้มีรอยแผล จากหมาใหญ่ คุณฟังออกไหม ที่อาตมาเทียบ อาตมาว่า อาตมาได้คุ้มครอง ได้ดูแลศักยภาพ หรือกายภาพ ที่อาตมากำลังสมมุติว่า เนื้อหนังมังสาของหมาน้อยตัวนี้ ไม่ได้ถูกหมาใหญ่ขบ ไม่ได้ถูกหมาใหญ่กัด ไม่ได้เลือดออก ไม่ได้เจ็บปวด แต่พอเป็นไป เท่าที่เขาขู่ เขาคำราม แล้วอาตมาก็ได้ร้อง แอ๋งๆ ถ้าจะว่าร้องแอ๋งๆ นี่เป็นความหยาบ อาตมาก็ได้ร้องแค่ ความหยาบขนาดนี้ เห็นอยู่ รู้อยู่ จะว่าอาตมาร้องเสียงดัง ร้องเสียงน่าเกลียด ก็พอเป็น

แต่อาตมารู้ตัวว่า อาตมาเหมือนหมาน่อย ตัวหนึ่งเท่านั้น อาตมาไม่ได้หลงตัวหลงตน ใหญ่โตอะไร อาตมาทำงานไป เดินหน้า แม้หมาน้อยตัวนี้ ทำงานมาขนาดนี้ ก็ยังเดินหน้าอยู่ ไม่ได้วิ่งหนี วิ่งกลับไปรูอย่างเก่า หรือวิ่งกลับหลังหันเลย อาตมาไม่ได้พากลับหลังหัน แม้หมาน่อย ก็บุกเบิกไปได้ สิ่งเหล่านั้น เขายังไม่กล้าระราน ยังไม่กล้าละลาบละล้วงเรา แม้เราจะอยู่อย่าง ผู้ที่เรียกว่าถ่อมตน เหมือนหมาน่อยตัวหนึ่ง ไม่ได้ไปท้าทาย กับโต้กัดตอบอะไร จนเขาฝังเขี้ยว ฝังเล็บ ฝังรอย ก็ฝังรอยก็ฝังได้ เพราะเขาใหญ่ อาตมารู้อยู่ แต่ก็ยังไม่ได้ถึงขนาด ปล่อยปละละเลย ไปให้ถึงเขา ขนาดเขาทำเราได้ เขากัดเราได้ จนเราเลือดออก จนเรามีแผล จนเราเจ็บปวด จนเราผิวหนังถลอก อาตมาก็ว่า ยังไม่ถึงขนาดนั้นเลย

นี่เป็นอุทาหรณ์ ที่อาตมาเอาสิ่งจริงนี้มา ยกเปรียบเทียบให้คุณคิด ให้คุณวัดว่า เราทำงานศาสนา มีสัจจะหรือไม่ อาตมาว่า อาตมาทำงานมีสัจจะ มีของจริงยืนยัน มีหลักฐานอ้างอิงประกอบ แล้วนำพากันไป

ทีนี้ก็ขอย้อนถึง ปรมัตถธรรมของคุณกันเอง คุณได้ปรมัตถธรรมบ้างหรือไม่ จิต เจตสิกของคุณ ได้ละ เกลา กิเลสลดลงบ้างหรือไม่ ตรวจสอบจริงๆ อ่านให้ชัด

ถ้าแน่ใจแล้วว่า เอ๊ย! เราได้นะ นี่ได้ดีนะ ได้ไปขนาดนี้ๆๆ แล้วขอให้มั่นใจของคุณเอง อาตมาขอ ก็ไม่จริงหรอก ที่จริงคุณจะต้องมั่นใจของคุณเอง เป็นศรัทธาของคุณเอง ด้วยสัจจะที่คุณมี คุณเป็น และคุณมีปัญญาสอดส่อง อ่าน วิจัย วิจารณ์ วิเคราะห์ได้ออกเอง

แล้วเลือดแห่งขันติ เลือดแห่งการสู้ เลือดแห่งการจะทนต่อไป เพราะเราต้องใช้คำว่าทน สำหรับผู้ที่ยังไม่บรรลุสูงสุด จะต้องใช้คำว่าทน จนกว่าผู้จะจบจริง เป็นขันติ ที่แยกภาษาแล้วว่า ขะ + อันติ มันว่างแล้ว เป็นที่สุด ไม่ต้องทนอีก ก็เป็นตัวปรมัตถธรรม ของคุณเองแล้ว เมื่อนั้น คุณจะไปทนอะไร คุณไม่ต้องทน แต่คุณจะทนต่อการช่วยผู้อื่นต่อไป เพราะผู้อื่นนั้น สอนยาก บอกยาก ช่วยยาก คุณก็ต้องใช้ปัญญา ใช้วิธีการอย่างอาตมา ทำไปได้น้อยก็ตาม ตามฐานะของคุณ หรือไม่ก็ร่วมมือร่วมใจอาตมา ช่วยอาตมา เป็นเรี่ยวเป็นแรง อย่างที่เป็นมาอยู่ มันก็นำพาไป คุณก็ได้ช่วย แล้วคุณก็จะได้มีอะไร ต้องอดต้องทน ได้ฝึกได้ปรือ ได้รู้เหมือนกันว่า เออ! แม้เราได้แล้วนะ เราจะช่วยคนอื่น เราก็จะต้องค่อยๆ ได้ไปเหมือนกัน แล้วมันก็จะก้าวหน้าเจริญ เพราะเราเองมีความเจริญ ทั้งทางตน และทางช่วยผู้อื่นได้จริงๆ สอดซ้อนสอดร้อยไปในนี้ นี้เป็นระบบของพระพุทธเจ้า เป็นประโยชน์ตน - ประโยชน์ท่าน เท่าที่เป็นไป

ผู้ที่รู้หน้าที่ รู้ปรมัตถ์ว่า เราได้ประโยชน์เท่านี้แล้ว แล้วเราก็จะตาย ชาตินี้ขอจบ เป็นอรหันต์ ไม่ขอตาย แล้วไม่ขอเกิดมาอีก คุณก็มีสิทธิ์ แต่ในระหว่างคุณไม่ตาย โดยสมมุติสัจจะ ร่างกายคุณยังมีรูปนามขันธ์ ๕ คุณก็ต้องทำโพธิกิจของคุณไป ตามระบบของพระพุทธเจ้านี้ ไปตามควร อย่างน้อย ก็จะเป็นคนตามหมู่ ตามกลุ่ม ตามผู้นำ ผู้ที่พาคุณมา จนได้ประโยชน์ขนาดนี้ ไปช่วยเหลือเกื้อกูล อย่างน้อยเป็นกตัญญูกตเวที เออ! เราได้ประโยชน์ แล้วเราก็จะต้องช่วยเหลือ เฟือฟายท่านนะ ท่านพาทำอะไร ก็ทำไป ไม่เช่นนั้น เราก็เหมือนคนที่ได้แล้ว เราก็ไม่กตัญญูอะไรเลย ไม่ช่วยอะไรเลย แล้วก็วิ่งหนี ไปได้ แล้วก็ไม่เอาแล้ว ไม่ทำแล้ว ไม่เกื้อกูลอะไรแล้ว ไม่ช่วยเรี่ยวช่วยแรงอะไรแล้ว ก็เป็นเรื่องของความผิด อยู่เหมือนกันว่า มันไม่ใช่ลักษณะนั้นของพระพุทธเจ้า

แม้ว่าคุณจะช่วยงาน เราก็ไม่ได้ให้คุณไปออกแนวหน้าทีเดียว ถ้าคุณไม่เก่ง คุณอยู่แนวหลังได้ เพราะฉะนั้น ในขณะที่คุณอยู่แนวหลัง คุณไม่ต้องกระทบสัมผัส คุณไม่ต้องบาดเจ็บอะไร มากมายหรอก ทำโพธิกิจ หรือว่าทำงานที่เกื้อกูล อุดหนุน จุนเจือนั้น ก็เท่านั้นๆ

ฟังดีๆ นี่ลักษณะธรรมต่างๆพวกนี้ แต่ถ้าใครยังสมัคร อยากจะออกแนวหน้า ก็ระมัดระวังหน่อย มันก็จะต้องกระทบ กระทบสัมผัส เผชิญ ประจัน บางทีนี้ผู้ใหญ่ ไม่ไปด้วย คุณก็ต้องฟันแหลกเลย ต้องสู้ให้ดี บางทีก็บาดเจ็บเอาบ้างก็ คุณจะรู้ตัวของคุณเอง คุณจะแกร่งขึ้นมา คุณจะสามารถขึ้นมา ก็เพราะคุณเอง มันมีบทบาทอย่างนี้ไป เพราะฉะนั้น

สมมุติสัจจะนี้ มีอยู่ในโลก ปรมัตถสัจจะนั้น เมื่อผู้เหนือแล้ว อยู่ในสมมุตินี้ ปรมัตถสัจจะ เป็นสัจจะ ด้วยกันกับสมมุติสัจจะ ไม่แยกกัน จึงเรียกว่า อยู่เหนือโลก ถ้าแยกกัน จึงเรียกว่า หนีโลก เป็นโลกันตระ พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสแรงเลยว่า โลกันตระ แปลว่า นรกอเวจี วินิบาต ไปก็ไม่พ้นทุกข์หรอก ตกต่ำจมอยู่ จมอยู่ในนรก วินิบาต ไม่โงก ไม่เงย ไม่สามารถจะขึ้นสู่โลกุตระ ได้นานช้าเลยนะ เพราะยิ่งไปเสพ ยิ่งไปติด ยิ่งไปเป็นเดียรถีย์ เป็นฤาษี... อยู่ในภพนิ่ง ไม่มีอะไรเลย อดทนก็ได้นาน แล้วก็มีวิธีหลีกเร้นหนี ไม่ให้อะไร กระทบสัมผัสด้วย มันก็ยิ่งนานช้าไป แต่อยู่ในภพ เหมือนกับกบจำศีล อยู่อย่างนั้นแหละ อีกกี่ชาติไม่รู้ เขาจะโงเงยขึ้นมาเห็นโลก แล้วก็จะได้รู้ว่า โอ๊ย! เรายังสู้โลกไม่ได้ จึงวิ่งหนี เข้าไปอยู่ ในกะลาครอบอีก เพราะเราไม่สู้ เรามีระบบวิ่งหนี แล้วนานช้า คุณรู้มั้ยว่า พวกนี้วิ่งหนีเข้ากะลาครอบ กี่เที่ยว พวกฤาษี ที่ติดภพภูมิอย่างนี้ นานช้ามากเลย

คุณฟังนี้ หลายคนฟังออก จะรู้สึกขนลุกขนพอง เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าถึงไม่ยอมให้ แม้แต่โสดาบัน ในพวกภพฤาษี เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีมรรคองค์ ๘ ที่รู้ว่า นี่เราประจญประจัน รู้อยู่เห็นอยู่ เป็นปัจจุบันนี่เทียว แม้หลุด แม้ไม่หลุด แม้จางคลาย ดีขึ้นเรื่อย จนกระทั่ง วิมุติ อยู่เหนือแล้ว เป็นปรมัตถธรรม ต้องอยู่กับสมมุติธรรม สมมุติสัจจะอย่างนี้นะ

นี่ขยายความเรื่องของสมมุติสัจจะ กับปรมัตถสัจจะ ด้วยภาษาของอาตมา ด้วยลีลาของอาตมา ที่จะสื่อให้พวกคุณเข้าใจ ใครฟังด้วยดี มีภูมิ มีสภาวธรรม มีอะไร จะเข้าใจได้เพิ่มขึ้น ตอนนี้ อาตมาเก่งเท่านี้ ที่จะสื่อสมมุติสัจจะ และ ปรมัตถสัจจะ ในช่วงนี้ กาละนี้ และมีองค์ประกอบ สมเหมาะสมควรเท่านี้ ก็ขอสื่อ สมมุติสัจจะ และ ปรมัตถสัจจะ สู่กันฟังเท่านี้

ก็ขอสรุปว่า ขอให้เรียนรู้สัจจะ ที่เป็นจริง มีจริง รู้จริง คุณจะได้เป็นผู้เดินหน้าไปสู่ ปรมัตถสัจจะ ที่สมบูรณ์สูงสุดได้ ตามลัทธิของสมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นี้

สาธุ.

*****