อย่าแต่งงานเลย
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
ณ บรรณอโศก เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๙

คนนอกจาก จะมีความต้องการ กินอยู่หลับนอนเยี่ยงสัตว์อื่นแล้ว คนก็ยังมีความต้องการ ก่อเผ่าสืบพันธุ์ เหมือนดังสัตว์อื่นอีกด้วย และดูจะเป็นเรื่องยุ่งยาก กว่าสัตว์ทั้งหลายในโลก ปัญหาของคนขี้โลภ สะสม หอบหวง กักตุน สร้างความวุ่นวายกันอยู่ในทุกวันนี้ ย่อมเกิดมาจาก คนที่ยังหลงการก่อเผ่าสืบพันธุ์ อย่างบ้าคลั่ง จนทำให้สมดุลในโลกนี้ต้องขาดไป หากมนุษย์จะอยู่ด้วยคุณงามความดี ช่วยเหลือกัน ตามประสาที่มนุษย์จะช่วยกันได้ โดยไม่ต้องสร้างคน มาปลูกฝังผูกขาด แต่เฉพาะเผ่าพันธุ์ของตน มันมิเป็นความดีอันล้ำค่า เยี่ยงองค์พระพระศาสดาพากระทำหรือ "อย่าแต่งงานเลย" เป็นคำบรรยายที่ สมณะโพธิรักษ์ ได้รับอาราธนาจาก ผู้สนใจชีวิต และพุทธธรรม
------------------------------------

เรามาฟังกันเรื่อง "อย่าแต่งงานเลย" เอาว่า อย่าแต่งงานเลยนี่ ฟังดูคล้ายว่ามาขวางโลกเค้าอย่างมากมาย เพราะว่าสัตวโลกเกิดมา ก็มีแต่แต่งงาน มีแต่ต้องมีคู่ผัวตัวเมีย หรือว่าสืบพันธ์อะไร สร้างลูกสร้างหลานอะไรต่อๆๆ ต่อกันออกไป อันนั้นก็ใช่นะ สิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติ หรือเป็นเรื่องที่ก่อโลก เรื่องที่สร้างโลกมาแต่ไหนแต่ไร สัตวโลกที่ได้เกิดมาในโลก ก็ล้วนแล้วแต่ถูกโลกเป็นเจ้า เป็นผู้มีอำนาจ สามารถที่จะบีบรัด หรือว่าบังคับให้แต่งงาน หรือให้สืบสัมพันธ์ ที่เราเรียกสั้นๆกันว่าสืบพันธุ์ ต่อเผ่าพันธุ์ ไม่ให้ขาดสาย ให้มันพัฒนาติดต่อๆๆ ต่อไปอยู่เรื่อยๆ เป็นเรื่องของพลังงาน ที่มีแนวโน้มไปทางก่อโลก ก็ไม่อยากจะหยุดโลก ก็จะต้องก่อต่อไป สืบต่อไปเรื่อยๆ

ส่วนสัตวโลกอีกชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่ามนุษย์ชั้นสูงที่สุด ซึ่งได้เข้าใจต่อความเป็นจริง เข้าใจต่อแนวดึงดูด ความดึงดูดของโลก หรือแนวดูดแนวผลักของโลกแล้ว แล้วก็มีความเข้าใจ จนกระทั่งถึงคำว่ากิเลส หรือคำว่าตัณหา หรือที่เราใช้ภาษาเรียกว่า แรงดูดกันอย่างหนึ่ง แล้วเรียกภาษาใช้ในสำหรับสัตวโลก หรือคน หรือเรียกว่าตัณหา คือความปรารถนาเอามาเกาะกุมไว้ เอามารวมกลุ่มไว้ ซึ่งเป็นอำนาจที่โลกนั่นแหละ เป็นผู้สร้าง เมื่อมีในคนหรือมีในสัตวโลก ก็มีอำนาจนั้น และก็มีกำลังเหนือกว่าสัตวโลกนั้นๆอยู่ สัตว์ที่ประเสริฐ จนกระทั่งมีความเข้าใจ และทำตัวเอง อยู่เหนือความดึงดูดอันนี้ได้ ไม่เป็นธาตุ(ทาส)ของความดึงดูด อันที่เรียกว่าตัณหา หรือเรียกว่าแรงดูดนี่ได้ เป็นสัตว์ชนิดประเสริฐที่สุด เหนือกว่าโลก เหนือกว่าธรรมชาติ

การอธิบายหรือการบรรยายที่ว่า "อย่าแต่งงานเลย" คราวนี้ จึงเป็นเรื่องของเหนือโลก เป็นความเหนือโลก หรือเป็นเรื่องการเหนือธรรมชาติ เราเรียกเป็นภาษาว่า โลกุตระที่แท้จริง เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดมีเจตนาคิดเอาแต่แค่ว่า จะมาฝืนธรรมชาติทำไม จะมาเหนือโลกทำไม ก็อยู่เป็นทาสโลก อยู่ตามโลกๆเขานั่นแหละ เอ้า ผู้นั้นก็ฟังเรื่องนี้ ก็ไม่รู้สึกสนุกล่ะ หรือว่าอาจจะไม่ศรัทธาเลื่อมใส และอาจจะไม่ได้ปัญญาเอาด้วย แต่ถ้าผู้ใดเข้าใจจุดเป้าหมายนี้ซะก่อนว่า "อย่าแต่งงานเลย" นั้นเป็นเรื่องที่จะพยายามฝืนธรรมชาติ หรือจะอยู่ให้เหนือธรรมชาติ เหนือโลก เหนืออำนาจดึงดูดของโลก หรือเหนืออำนาจตัณหาที่มีอยู่ในมนุษย์ เพื่อที่จะไม่ต้องเป็นทาสมัน จริงๆ และมันเป็นไปได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ค้นพบ หรือแม้แต่ไม่ถึงขนาดพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาก็ค้นพบกันมาก่อนแล้ว ในเรื่องการทำตน ให้เหนือกว่าความรู้สึกทางเพศ หรือความรู้สึกทางโลก หรือเหนือกว่าตัณหาราคะ เรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงผู้ชายนี้ ศาสดาศาสนาอื่น ที่ไม่ต้องมีคุณธรรมสูงละเอียดลออ เหมือนอย่าง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรอก เป็นเรื่องแค่กามตัณหา หรือเรื่องแค่เมถุนธรรมนั้นนะ เขาเข้าใจดีแล้วว่า เป็นภาวะอันหนัก เป็นภาระอันยุ่งยาก ที่มันดึงเราไว้ มันผูกพันเราไว้ ที่มันทำให้เราไม่มีอิสระ ที่ทำให้เราทำงานอยู่ในวงแคบ ทำงานเพื่อคนอื่น หรือกว้างขวางแก่ผู้อื่นไปนั้น ได้โดยยาก

ผู้ที่มีความเข้าใจกว้างขวางละเอียดลออ เข้าใจเหตุปัจจัยมาแต่ต้นแล้ว เขาก็จะไม่แต่งงาน หรือจะไม่สร้างห่วง ไม่สร้างเครื่องร้อยรัด ไม่สร้างสิ่งที่เราจะต้องทำขึ้นมาแล้ว เราจะต้องมีความรับผิดชอบ จะทิ้งก็ไม่ได้นะ จะต้องรับผิดชอบ เราจะต้องดูแลประคบประหงมไปจนกว่า จะสามารถปล่อยไว้กับโลก ได้อย่างไม่เป็นภาระของสังคม ไม่เป็นภาระของโลก มีผู้รับช่วงต่อ หรือว่าตัวเขาเองช่วยตัวเองได้ เพื่อที่จะไปกับโลกเค้าอย่างนั้น อย่างนั้นแหละ โดยไม่โหดร้ายเกินไป ไม่ทารุณเกินไป เพราะถ้าผู้ใดไม่สร้างซะเลย ก็ไม่มีความจำเป็นอะไร ที่จะต้องไปรับผิดชอบ แล้วก็ไม่ต้องเป็นภาระอะไร ที่จะต้องมาจัดสรรให้เขาอยู่ได้โดยดีพอสมควร เป็นผู้ที่มีอิสระ ปราศจากห่วง จะทำงานอะไรๆต่ออะไร เพื่อใครอะไรก็ได้ สบายดีที่สุด ไม่ต้องเป็นกังวล ไม่ต้องเป็นภาระ ถึงเรียกว่าเป็นผู้ได้กำไร เพราะฉะนั้นคำว่า อย่าแต่งงานเลย เป็นภาษาที่ชักชวนคน ที่จะทำประโยชน์ให้แก่โลกได้สูงที่สุด ผู้เห็นดีเท่านั้นที่จะยินดี และก็จะพยายามตัดตัณหา หรือพยายามอยู่เหนือธรรมชาติ พยายามที่จะตัดดึงแรงดึงดูด ที่มันจะต้องโน้มน้าวดึงเรา ไปให้เราสืบพันธุ์ หรือไปกระทำกิจอันใดนี้ขึ้น แต่งงานเนี้ย ซึ่งเราหมายเอาจุดที่เรียกว่า เราจะต้องสมสู่ และก็ทำกรรมวิธีอย่างหนึ่ง ผสมพันธุ์และก็มีเผ่าพันธุ์ ซึ่งเป็นลูกเป็นหลานอะไร ไล่ๆออกมา โดยการสร้างชนิดหนึ่ง เป็นการสร้างอย่างธรรมชาติ เป็นการสร้างที่แนบเนียนที่สุด และมันก็จะสืบต่อออกมาจริงๆ โดยที่เราไม่ต้องไปทำอะไรกันมาก มีกรรมวิธี กดเหมือนกดปุ่ม หรือกรรมวิธี เหมือนที่จะแตะไว้ หรือว่าสัมพันธ์ไว้ง่ายๆ เริ่มต้นจุดแรกแล้ว ทุกอย่างมันจะดำเนินกันไปเอง โดยอัตโนมัติ และมันก็จะสืบสานขึ้นมาเป็นตัวคน ตัวบุคคล ซึ่งมันลึกลับซับซ้อนสำหรับผู้ไม่รู้

แต่ถ้าผู้ที่รู้แล้ว ก็ไม่ลึกลับซับซ้อนอะไร มันเป็นโรงงานอัตโนมัติ ที่แนบเนียนเหลือเกิน มีแรงงานใช้อณูต่างๆ ใช้ปรมาณูต่างๆ ใช้วัตถุต่างๆ ใช้ธาตุดินน้ำลมไฟต่างๆ ไปประกอบกันขึ้นมาได้ อย่างแนบเนียนมาก ไม่ใช่ของแปลกประหลาดอะไร ไม่ใช่เรื่องไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย มันมีเหตุมีปัจจัยของมันจริงๆ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าผู้ใดเข้าใจแล้วว่า ไอ้เรื่องสมสู่กัน ก็เพื่อการสืบเผ่าต่อพันธุ์เท่านั้น ถ้าโลกนี้ อย่างทุกวันนี้ ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปสืบเผ่าต่อพันธุ์ออกมา ทำไม เพราะคนจะล้นโลกอยู่แล้ว และเขาก็พยายามสืบต่อสร้างบุคคล อยู่ถ้วนทั่วทุกมุมโลก โดยความไม่เข้าใจว่ามันเฟ้อแล้ว พลโลกจะล้นโลกแล้ว เกิดการแย่งชิงกัน เกิดการเข่นฆ่ากัน แย่งสิ่งที่ตัวเองนั่นแหละ มามอมเมาลงไปในโลก สร้างขึ้นมายั่วยวนโลก แล้วก็ให้คนในโลกนั้นหลงงมงาย แย่งชิงกันฆ่าแกงกันเอง แล้วเราก็ทุกข์ทรมานเอง หาสันติไม่ได้ สิ่งเหล่านั้นมีอยู่ในโลกมากมาย

ถ้าเราเผื่อว่า เราเกิดสร้างคนขึ้นมาอีก คนหรือลูกของเรา ก็จะเกิดมาเป็นคู่ต่อสู้ หรือคู่แข่งแย่งอยู่ในโลกอีก ก็เป็นทุกข์เพิ่มขึ้นๆ ปริมาณผู้แย่งคน เท่าใดๆ มันก็ยิ่งจะมีการต่อสู้ มีการแก่งแย่ง มีการลำบากยากเข็ญ แก่งแย่งกันมาก มันก็ถึงกับ การฆ่าแกงกันขึ้นมากมาย สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่ทำให้ผู้รู้สามารถรู้ได้ เราไม่จำเป็นจะต้องมาสร้างคู่แข่งขึ้นมาในโลก เราได้เกิดมาแล้ว แล้วก็เป็นความไม่รู้ของพ่อแม่ ที่สร้างเราเกิดมา ไม่มีเจตนา บางคนก็อาจจะมีเจตนาด้วยซ้ำไป คือมีจิตใจอยากจะได้ลูก อยากจะสร้างเผ่าสร้างพันธุ์ขึ้นไว้ โดยความหลงตัวหลงตนว่า เผ่าพันธุ์ของตัว ควรจะสืบต่ออยู่ หรือไม่บางที มีลูกมีหลานมา เขาก็เป็นภวตัณหาอย่างหนึ่ง เขามีลูกมีหลานขึ้นมา ก็จะรู้สึกว่ามีความสุข มีการแสดงความสามารถในการเลี้ยง หรือบางคน เลวกว่านั้น มีลูกขึ้นมาเพื่อที่จะได้ใช้ สร้างมันขึ้นมาเพื่อที่จะเป็นของใช้ เป็นเครื่องใช้ หรือเป็นผู้รับใช้ แม้ที่สุดแก่เฒ่า เขาก็จะได้รับใช้เรา อะไรเหล่านี้เป็นต้น นั้นเลวยิ่งกว่าการมีลูกขึ้นมา เพื่อที่จะมาเป็นผู้สร้างสรรในโลกเท่านั้น หรือ อย่างมีลูกขึ้นมาอย่างพรหมนี้ มีลูกขึ้นมาอย่างจะใช้ลูกนั้น เลวขึ้นไปอีก หรือยิ่งผู้ใดมีลูกขึ้นมา เพื่อที่จะทำให้เป็นข้าทาสบริวาร เลยทีเดียว ก็ยิ่งเลวลงไปอีก หรือที่สุด ผู้ที่ไม่อยากให้มีลูกเลย แต่แต่งงาน ก็เป็นภาระสองต่อ เป็นภาระตรงที่เรียกว่า เราจะทำกรรมวิธี เหมือนกันกับสืบพันธุ์สมสู่ เพื่อที่จะต่อเผ่าต่อพันธุ์ เป็นกรรมวิธีของธรรมชาติ แต่เราจะฝืนธรรมชาติ โดยไม่พยายามให้มันก่อเกิดเผ่า ก่อพันธุ์ออกมาตามธรรมดา จึงยุ่งยากในการทำคุมกำเนิดโดยวัตถุกัน หากรรมวิธีต่างๆนานา ที่สุด แม้ใช้หยูกใช้ยา หรือพยายาม แม้แต่จะนับวันที่นับอะไรต่ออะไร ซึ่งเป็นการสร้างผลิตขึ้นมา จากในวงวัฏจักรของสังขารในร่างกาย หรือสรีระกาย ที่มันสร้างไข่ สร้างการเดินทางของไข่ สร้างอะไรต่ออะไรออกมาสืบพันธ์ ในจังหวะการเดินทางของมัน ก็คนพยายามเรียนรู้ และก็พยายามที่จะผสมพันธุ์ ไม่ให้เกิดจังหวะที่สมดุล และก็จะไม่เกิดลูกขึ้นมาอย่างนั้นก็มี

แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีการตกค้าง และมีการพลาด มีการก่อลูกขึ้นมา ก็ให้เดือดร้อนลำบาก ด้วยความไม่อยากมีลูก เพราะรู้ว่ามันเป็นภาระ แล้วรู้ เป็นห่วงแล้ว แต่ตัวเองก็ยังตัดกิเลสตัณหา ตัดไอ้ความรู้สึกว่า มันเป็นรสอร่อย เป็นเรื่องที่จะต้องยึดถือ ที่จะต้องเสพย์ต้องมี เป็นรสเป็นชาติ อยู่ตามที่โลกได้หลอกกันไว้แต่เดิมนั้น มันไม่มีเหมือนกับต้นไม้มันสืบพันธุ์ ต้นไม้มันผสมพันธุ์กัน มันไม่มีรส ไม่มีชาติอะไร มันสืบพันธุ์ ไม่สืบพันธุ์ มันก็เฉยๆ มันไม่มีการดิ้นรนกันจนรุนแรง จนลำบากลำบน จนแย่งชิง

พอเป็นสัตวโลก มีอารมณ์รุนแรง แล้วก็จะแย่งคู่กัน แรงหน่อย บางทีลงทุนถึงขนาดฆ่ากันแกงกัน เจ็บปวดเจ็บป่วย ยอมลงทุนลงแรง เหมือนสัตวโลก สัตว์ต่างๆหลายชนิด ซึ่งเราเห็นอยู่แล้ว แม้แต่หมูหมา วัวควาย ม้าช้างอะไร ก็จะเห็นได้ว่า มันแย่งชิงการสมสู่ แย่งชิงสัตว์ตัวผู้ตัวเมียอะไรกัน มันมีความรักความชอบกัน ตัวเมียบางทีก็เลือกตัวผู้ ตัวผู้ก็แย่งตัวเมีย อะไรกันไป ซึ่งเป็นการยังติดอยู่ในอารมณ์ที่จะต้องเสพย์ เสวยอารมณ์ ที่จะต้องสืบพันธุ์ อันนี้ก็รุนแรงขึ้นตามลำดับ เมื่อมาเป็นคน ก็ยิ่งหลอกล่อกันมากยิ่งขึ้น มอมเมายิ่งขึ้น ถือว่าเป็นของควรได้ ควรมีควรเป็น และก็ปรับปรุงพัฒนา มีการสร้างสมมุติว่า เป็นรสเป็นชาติอย่างโน้นอย่างนี้ มีอะไรต่ออะไรต่างๆ ทั้งรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสมากมาย ที่จะโน้มน้าวเข้าไปในตัวบุคคล ต่อบุคคล หรือเรียกว่าขั้วบวกขั้วลบ หรือเรียกว่าผู้หญิงกับผู้ชาย และก็จะพยายามที่จะดูดกัน ให้ได้มากที่สุด ให้สัมผัสเสียดสีกันให้บ่อยที่สุด ให้เร่งเร้าที่สุด ให้มีจังหวะที่จะสืบสัมพันธ์ออกมาได้ มีจังหวะถี่ที่สุดมากที่สุด

แต่โดยแท้จริงแล้วมีความรู้ว่า ถ้าเผื่อเกิดการมีลูก หรือการต่อเผ่าต่อพันธุ์ออกมามาก ก็เลี้ยงกันไม่ไหว แต่อารมณ์ซิ กลับไปเร่งเร้ามอมเมากัน สร้างภวตัณหา สร้างกามตัณหา สร้างอารมณ์เป็นรูปภาพ เป็นจิตที่จะวางภพวางชาติเอาไว้ด้วย ว่าได้อย่างโน้นได้อย่างนี้ เป็นรูปรอยลักษณะ อย่างโน้นอย่างนี้ ต่างๆนานา วาดไว้เป็นวิมานไว้ก่อนก็มี เสร็จแล้วก็ได้สมกับวิมาน เมื่อได้สมกับวิมาน ทวารตาอย่างนี้ หูอย่างนี้ กลิ่นอย่างนี้ รสลิ้นอย่างนี้ รสสัมผัสเสียดสีอย่างนี้ สมใจครบ ไปอีกห้าทวารนั้นแหละ เรานึกว่าเราได้เราสมใจ ที่เราได้สัมผัส ได้รับรู้ หรือว่าได้รับลิ้น ครบทั้งทวารทั้งหก แล้วเราก็จะรู้สึกว่า มันเป็นสุขสมใจ อร่อยถึงที่สุดแห่งความสุข เรียกว่า สุดยอดแห่งความสุข ที่เราเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Climax อะไรพวกนี้ ก็เหมือนกัน แล้วเราก็จะพยายามแย่งกันแข่งกัน หาอะไรต่ออะไรที่เรา มันจะให้สมใจที่เรา วาดไว้ในจิตของเรา ที่เรายึดเอาไว้ เรียกว่าอุปาทาน หรือสร้างสมมุติอย่างนั้นๆ เอาไว้ว่า เราจะต้องให้ได้รับสัมผัสอย่างนี้ ทั้งรูปทั้งรสทั้งกลิ่นทั้งเสียงทั้งสัมผัส ทั้งใจที่เป็นภพที่เราปั้นล้ำหน้าไปว่า ถ้าอย่างนี้แล้ว เอ้...อย่างนี้ ก็รู้สึกว่า มันก็อย่างนี้หล่ะ เซ็ง จะพยายามประดิษฐ์ขึ้นในใจ สร้างภพสร้างชาติ ให้มันมีแปลกๆเปลี่ยนๆ มีอะไรที่พิลึกพิลือ อะไรออกไปอย่างไร วิตถารออกไปอย่างไรก็ตามแต่ ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องของภพชาติ ที่นำล่วงหน้าไปก่อนทั้งสิ้น แล้วก็มาหลอกล่อกัน เปลี่ยนแปลงกัน แล้วก็มาทำการสัมผัสเสียดสีกัน เพื่อที่จะให้ได้รสชาติ ตามที่เราไปอุปาทานเอาไว้ ยึดหวังเอาไว้ เราจะต้องได้มาตามนั้น ต้องมีตามนั้น อย่างนี้ตลอดเวลา คนจึงเป็นขี้ข้าตัวเอง เพื่อที่จะบำบัดสิ่งที่ตัวเองไปสร้างเอาไว้ เป็นภวตัณหา และกามตัณหา เป็นมโน เป็นอรูปมยอัตตา ถ้าได้เป็นมโนมยอัตตา สมใจในรูปในจิต โตใหญ่ออกมา จนกระทั่งเป็นโอฬาริกอัตตา เป็นอาหารทางนอก ๕ ทวาร ที่จะรับสัมผัส จะเอาไปให้มันสมใจ ชูใจเอาไว้ เลี้ยงชีวิตเอาไว้ ก็จะต้องมาแสวงหาอีก

ถ้าเห็นการสะสมพวกนี้แล้ว จะเข้าใจได้ว่า ล้วนแล้วแต่คนทั้งนั้น ที่มันหลอกตัวเอง หรือไปสร้างอารมณ์ ไปสร้างความยึดถือมาให้แก่ตัวเอง แล้วตัวเองก็เป็นขี้ข้าตัวเอง เพื่อที่จะแสวงหา สิ่งที่ตัวเองสมมุตินั้นตลอดไป ยิ่งมากก็ยิ่งจะต้องซมซานมาก ถ้าเผื่อว่าไม่มากอะไรนัก มันก็ยังซมซานน้อย เหนื่อยน้อย เป็นภาระน้อย ถ้าผู้ใดลดได้ ไม่พยายามที่จะมีอารมณ์เหล่านี้ แม้คำว่าแต่งงาน หมายเอาว่าคู่ผัวตัวเมีย ซึ่งเราไม่แต่งงาน ถ้าผู้ใดยังไม่หมดอารมณ์ ยังไม่ได้ตัดอารมณ์ ที่ว่าจะต้องสมสู่ ที่ว่าจะต้องบำบัดด้วยอารมณ์สัมผัสเสียดสี ด้วทวารทั้งห้าทั้งหก ดังกล่าวแล้ว ที่อธิบายมาแล้วเมื่อกี้ ผู้นั้นก็ยังซมซานหาสิ่งที่มาบำบัด สัมผัสเสียดสี ได้อารมณ์ทั้งห้าทั้งหก อยู่เท่านั้นเอง แม้ไม่ได้ใช้คำว่าแต่งงาน คือมีคู่ร่วมบำบัด ร่วมสัมผัสเสียดสีให้ได้ ในสภาวะธรรมชาติอย่างนั้น อย่างที่เรายึดถือว่า เป็นเรื่องใหญ่เหลือเกินนั้นน่ะ

เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่จะยังไม่ได้ล้างความยึดถือ ล้างความติดยึดในรสชาติสัมผัส ทั้งหกทวารนี้ออก ผู้นั้นแม้ไม่ได้แต่งงาน ก็จะยิ่งซมซาน วุ่น กังวล เพราะเราไม่มีอะไรอยู่ที่จะบำบัด อยู่ในมือของเรา หรือว่าอยู่เป็นชิ้นส่วน หรือว่าเป็นของของเราที่ใกล้ตัว ที่ได้ตกลงแล้ว เหมือนกับคนที่ จะมีอาหารอยู่ในบ้าน จะกินเมื่อไหร่ ก็ไม่กังวลอะไร ไม่ห่วงไม่ลำบากใจ ก็สบายใจอยู่ช่วงหนึ่ง

ผู้ใดยิ่งไม่มี แต่ว่าอารมณ์ใคร่ อารมณ์อยาก อารมณ์เมถุน อารมณ์ที่จะต้องร่วมสัมผัส ในทวารทั้งห้าทั้งหกนี้ ยังไม่ลดถอยแล้วละก็ ยิ่งจะเป็นผู้ที่ กระเจิงด้วยความกังวล กระแสของความกังวล ที่จะต้องให้ได้มาสมใจ เมื่อมันใคร่อยากขึ้นมาแล้วล่ะก็ มันจะเป็นทุกข์มาก เพราะฉะนั้น กระแสของความกังวลพวกนี้ จะมีตัวสติของตัวเองอยู่เสมอ จึงอดไม่ได้ ที่จะต้องพยายามแสวงหา สิ่งที่จะเป็นกรรมสิทธิ์ หรือสิ่งที่จะอยู่ในครอบครอง เหมือนเราหาข้าวมาไว้ในบ้าน จะกินก็ควักออกมาจากบ้านเลย สบาย ก็จึงต้องพยายาม สายตาก็เฝ้าแล หูก็เฝ้าเลือกเสียง ทุกอย่างก็พยายามแสวง เพื่อเอาสิ่งนั้นมาไว้เป็นสมบัติเสีย ถ้าได้แต่งงานเสีย ก็รู้สึกสบายใจ เหมือนมีข้าวอยู่ในบ้านหน่อยหนึ่ง แล้วก็จะนั่งกิน นั่งบำบัดอยู่อย่างนั้นแหละ และ ก็ผลของการบำบัดนั้น มันก็จะก่อลูกก่อหลาน ก่อภาวะ ก่ออะไรต่ออะไรออกมามากมาย อย่างน้อยที่สุด เรามีคนมาเกี่ยวข้องกันสองคน เราก็จะมีทุกข์ขึ้นไป อย่างหนึ่ง ดีกว่าหนักกว่า อยู่อย่างอิสระ เพราะว่าภาวะการแต่งงาน มันจึงเป็นภาวะ เมื่อเริ่มต้นมีคู่แล้ว ก็เป็นภาระไปแล้ว เป็นภาระจริงๆ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่ใจเรา ไม่ใช่ตัวเราแท้ๆ เนื้อหนังมังสาก็ไม่ใช่ อารมณ์ก็ไม่ตรงกัน จึงเกิดการทะเลาะกันได้ ขัดแย้งกันได้ ต้องอดออมถนอมน้ำใจกัน อะไรต่ออะไร บางทีก็ต้องอดทน มันไม่ตรงกันเลยเสียทีเดียว ใจเราจะเอาสมใจเรา ตามที่เราต้องการ ยังไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้น ยิ่งมีใจสองใจ สองคนขึ้นมา มันก็ลำบากขึ้น ยิ่งมีลูกมีหลาน มีอะไรต่ออะไรขึ้นมา แม้เราจะเลี้ยงมันจริงๆ เราก็เลี้ยงหัวใจมันไม่ได้ เราจะเลี้ยงได้แต่กายเท่านั้น หัวใจมัน มันก็ชอบตามใจของมันเหมือนกัน จึงจะต้องมาคอยบังคับดูแล เลี้ยง พยายามฝึกฝน ให้ใจมันดี ให้ใจมันสูง ให้ใจมันไปในทางดี ปั้นให้มันเป็นประโยชน์แก่โลก ก็เป็นภาระยุ่งยากมากมาย

นี้พูดวนไปวนมา ให้เห็นทั้งเนื้อของที่ที่มาเป็นห่วง ในสภาพที่ต้องแต่งงาน และก็จะมีผลพลอยที่ติดตามออกมา เป็นการสืบต่อ และก็พูดไปจนกระทั่ง ถึงอารมณ์ของจิตเราเอง ซึ่งเป็นความหลง ว่าจะต้องได้รับรสอร่อย จะต้องได้รับรสสัมผัสเสียดสี สมอกสมใจ ตั้งแต่ทวารห้าข้างนอก ไปจนถึงทวารข้างใน ซึ่งเราคิดว่า เราเองเป็นผู้ได้อร่อย ได้เสพสุขเป็นโลกียสุข ได้สมใจในอารมณ์ ของอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องมีอย่างนี้ ต้องได้สัมผัสอย่างโน้นอย่างนี้ เราจะเป็นผู้คอยบำบัดตัวเอง คอยรับใช้ตัวเอง คอยหามาป้อนให้แก่ตนเอง อยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยังไม่ตัดกิเลส หรือพยายามทำความเข้าใจด้วยปัญญา ให้เห็นแจ้งชัดว่า มันไม่มีหรอก ไอ้ที่ว่า ความสุขอะไรของมันนั้นนะ มันไม่มี มันเป็นสภาพที่เราไปหลงตามๆ คนเขาหลอกเรา ถ้ามี ต้นไม้ก็ต้องมี เพราะเป็นการสืบพันธุ์ กระทบ มีปฏิกิริยาบวกกับลบเหมือนกัน ถ้ามี สัตว์ก็จะต้องมีจัดจ้านเหมือนกันเท่าคน ต้นไม้ก็ต้องเท่าคน แต่แท้จริงมันไม่เท่ากัน มันมีน้อยกว่ากัน แล้วมันก็ไปหลงสมมุติกว่ากัน ต้นไม้หลงสมมุติน้อยหน่อย สัตว์ก็หลงสมมุติน้อยกว่าคน คนก็ไปหลงสมมุติมากกว่าสัตว์อีก จึงมีมากกว่าสัตว์ บ่อยกว่าสัตว์ บ่อยมากทีเดียว ทุกวันนี้ ไม่ว่ากลางวันกลางคืน ไม่มีเวล่ำเวลา ไม่มีฤดูกาล ไม่มียกเว้น บางทีบางสิ่งบางอย่าง ที่ดูกาละ น่าเกลียดน่าชังด้วยซ้ำไป ก็ไม่มีการยกเว้น ไม่มีการอดกลั้นได้ จึงดูกลายเป็นลามก

และคนมันก็โง่ซ้อนโง่ลงไปอีก ทั้งๆที่คนก็แสนที่จะเฟ้อแสนที่จะมาก เรื่องของเมถุนธรรม ด้วยเรื่องของตัณหากิเลส ไอ้เรื่องอย่างนี้ จัดจ้านแล้ว วิตถารมากแล้ว เพราะว่ามันไม่ใช่เป็นเรื่องของการสืบพันธุ์ ก็มากแล้ว มีแต่จะสัมผัสเสียดสีกันเฉยๆ ให้ได้ครบทั้ง หูตาจมูกลิ้นกายใจ ตามที่ตนเองปั้นยึด และก็จะได้สัมผัสได้กระทบ เกิดปฏิกิริยาอย่างนั้น มากเกินกว่าอะไรอยู่แล้ว แต่ตัวเองก็ไม่รู้ หลงเป็นวักเป็นเวรอยู่ว่า ตัวเองต้องจะได้รับรสชาติอย่างนั้น มีปฏิกิริยาอย่างนั้น จะได้สมใจตามที่เราหลงนั้น ไปหลงคนที่วิตถาร ก็วิตถารหนักไปใหญ่ ถ้าได้สัมผัส เสียดสีกับผู้ชายต่อผู้ชาย ก็ยิ่งดีกว่า ผู้ชายกับผู้หญิงอีก อะไรอย่างนี้ หรือผู้หญิงกับผู้หญิง ดีกว่าไปร่วมกับผู้ชายอะไรอีก อย่างนี้ ซึ่งมันเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไป เป็นแต่เพียงการสัมผัสเสียดสี เท่านั้น มันไม่ใช่เรื่องของการสืบพันธุ์ ต่อเผ่าต่อพันธุ์อะไร ตามธรรมชาติแต่ดั้งเดิมเลย สัตว์มันก็ไม่วิตถารถึงปานนี้ แต่คนมันวิตถารออกไปอีก ซึ่งเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ไปสร้างสมมุติลงมารับใช้ตนเอง แล้วตนเองก็โง่ ไปซมซาน ไปเดือดร้อนดิ้นรน อย่างนี้เป็นต้น

ซึ่งเป็นความโง่หลงสมมุติ เห็นได้ชัดว่า มันเป็นสมมุติ เป็นเรื่องยึดถือ เป็นอุปาทานที่ตั้งขึ้น ว่าได้กระทบสัมผัสเสียดสีอย่างนี้ มีปฏิกิริยาอย่างนี้ เป็นความสุข เป็นความมัน เป็นความอร่อย เป็นรสชาติ เป็นชีวิตชีวา เป็นอะไรก็ตามแต่ ที่เอาภาษาเรียก แล้วเราก็ไปหลงมัน จะต้องไปกระทำสิ่งนี้ ให้เกิดอยู่ เป็นอยู่ มีอยู่ ทำนานๆแล้วจะต้องติดในอนุสัย จะต้องเร่งเร้า จะต้องก่อความอยาก จะต้องพยายามโตขึ้นโตขึ้น เร่งเร้าให้ถึงจุด พอถึงอารมณ์ ถ้าเผื่อว่านานๆ นานไป แล้วไม่ได้ จะต้องมีภาวะนี้เสพ

เพราะฉะนั้น บางคนอดรนทนได้วันหนึ่ง สองวัน ห้าวัน เจ็ดวัน บางคนอดได้เดือนหนึ่ง และก็ทนไม่ได้ อดกลั้นไม่ได้ เพราะสภาวะที่มันโตอยู่ข้างในจิต เป็นราคะ มันก็ค่อยๆฟักตัว จะต้องได้นะ อย่างนี้ อารมณ์อย่างนี้ เพราะมันยังไม่สูญหาย เชื้อเหง้าอยู่ในรากเหง้าของจิต มันจึงก่อฟักตัว และก็เติบโตขึ้นมา จนมีฤทธิ์มีแรงความต้องการนั้นมาก พอถึงรอบ ก็บังคับให้ตนเองไปแสวงหา ไปเอามาบำบัด มาทำกรรมวิธีอย่างนี้ มาสัมผัสอย่างนี้ ให้ได้สมใจให้ได้ ถ้าไม่ได้แล้ว ทนไม่ได้ นั่นก็เป็นความโง่ของคนชั้นหนึ่ง หรือเป็นความเก่งของโลกียะ ของธรรมชาติ ของโลก ที่มันจะต้องบีบบังคับบุคคลให้อยู่ใต้อำนาจ แล้วคนนั้นจะต้องไปทำ ตามที่มันต้องการ แต่คนก็ฉลาด เลี่ยงออกอยู่นิดหนึ่งตรงที่ว่า ทำอย่างนั้นก็ได้ แต่ว่าไม่ให้มีการสมดุล ไม่ให้เกิดภาวะ การก่อเกิด โดยการคุมกำเนิด ด้วยวิธีต่างๆ หรือไปทำ เลี่ยงไปทางอื่นเสีย เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่ไปมีอารมณ์อันนี้ไม่ลดถอย แต่ว่าถ้าไปทำก็รู้ ถ้าไปสมสู่ ก็ว่ามันจะเกิดภาวะทุกข์ติดตามมา จึงเลี่ยง ไปสมสู่ หรือเรื่องอะไรต่ออะไร ซึ่งเลอะเทอะ เป็นแต่เพียงการหลงใหล ในการสัมผัสเสียดสี เท่านั้น เป็นผู้หญิงต่อผู้หญิง เป็นผู้ชายต่อผู้ชาย หรือไม่เกี่ยวกัน ไปสัมผัสอะไรกันก็ได้ ไปเสียดสีอะไรก็ได้ ไปสมมุติอะไรก็ได้ ไปยึดอะไรก็ได้ เป็นสภาวะ ใช้วัตถุอื่นๆ หรือใช้ลมใช้แล้ง อะไรก็ตามแต่เถอะ บางทีก็เป็นเพียงอารมณ์ของจิต ไปกระทบสัมผัส ทางตาหูจมูกลิ้นกาย กระทบสัมผัสถึงใจ ถึงความสัมผัสนั้นเต็มที่ ก็เกิด Climax ไคลแม็กซ์ขึ้นได้ หรือเกิดการสุขสมใจที่ตัวเอง มีภาวะตัณหาในจิตก็ได้ อย่างนี้ก็เป็นการหลง เป็นกิเลสตัณหาอยู่ในจิต ก็คิดให้ได้

เรารู้แล้วว่า การแต่งงานเป็นทุกข์ การแต่งงานเป็นภาระ การแต่งงานลำบาก ต้องรับผิดชอบ ตั้งแต่นอกจากตัวเราเอง ซึ่งแสนหนักอยู่แล้ว จะต้องประคบประหงมกัน พอสมควร เราจะต้องไปคอยดูแลอีกคนหนึ่งที่เป็นคู่ และยิ่งต่อจากนั้น ก็มีเผ่ามีพันธุ์ มีลูกมีเต้า ซึ่งจะแผ่ขยายไปจากหนึ่ง สอง เป็นสามเป็นสี่ เป็นห้าเป็นหก เป็นเจ็ดเป็นแปด เป็นเก้าเป็นสิบ สมัยก่อนนี้เป็นสิบ เป็นยี่สิบ เป็นอะไรต่ออะไรกันมากมาย และก็พยายามวิ่งเต้น เลี้ยงกัน แต่ก่อนนี้แข่งขันกันน้อย มีแต่หาผักหาหญ้า หาอาหารมาให้กินกัน และก็ได้กินอาหาร และก็เติบโตขึ้นไป ขยายเนื้อขยายตัวขึ้นไป มันก็ไม่มีอะไรมาก แต่สมัยนี้มันมีสมมุติมาก มีข้าวมีน้ำ อะไรเลี้ยงให้โต แต่ตัวก็ยังไม่พอ มันจะต้องบรรจุปัญญาลงไปในสมอง เพื่อที่จะแก่งแย่ง ด้วยเล่ห์ด้วยกล แย่งชิงลาภยศสรรเสริญสุข แย่งชิงความมีอำนาจ แย่งชิงวัสดุ แย่งชิงอะไรต่ออะไรต่างๆนานา ซึ่งล้วนแล้วแต่จะต้องกระทำ ด้วยแข่งขันกันด้วย เพราะไม่ถือว่า การเป็นอยู่ในร่างกายชีวิต กินข้าว และก็โตวันโตคืน หรือขยับไปขยับไป ตามภาวะของการสังเคราะห์ อาหารกับร่างกายนี้เท่านั้น เขาไม่พอใจ เขาจะต้องประกวดประขันกัน หรือว่าแสดงค่าของความเป็นมนุษย์ ด้วยการที่จะเสวยสุขบ้าง หรือไม่ก็เสวยสรรเสริญ มีสรรเสริญเยอะแยะ หรือไม่ก็จะต้องมียศสูงๆ หรือมีลาภแยะๆ อย่างที่เขาถือว่า เป็นค่าของมนุษย์ เป็นสิ่งที่แสดงความเจริญ แสดงความใหญ่โต แสดงความเฟื่องฟูของมนุษย์ สิ่งนั้นเป็นเรื่องธรรมด๊าธรรมดา ไม่ต้องพูด ที่ฟังอยู่ในนี้ ก็ต้องรู้แล้ว

เพราะฉะนั้น เรื่องเหล่านี้ ไม่จำเป็นจะต้องมาเรียน ทำไมทุกคนแสวงหา และทุกคนก็ทำเพื่อเป้าหมายอย่างนี้อยู่แล้ว แต่เป้าหมายทางธรรมนี้ซิ มันตรงกันข้ามกัน แม้เรามีลาภ เราก็อยู่เฉยๆ ไม่สะดุ้งสะเทือน มีก็ได้ไม่มีก็ได้ แม้มีแล้ว ก็เอามาแจกจ่ายจนหมดตัว ก็แสนจะไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย มียศ ถ้าใครเอายศมาแต่งตั้ง ถ้าเผื่อว่าโลกมันจะตำหนิติฉิน เราก็ไม่รับเอาตำแหน่งนั้นด้วยซ้ำไป เราจะปล่อยคืนให้แก่โลกไป ใครจะแย่งใครจะชิงกัน ใครจะฆ่าใครจะแกง ช่างหัวเขาไปเลย เราก็ไม่จำเป็นจะต้องไปคู่แข่งของโลก ไม่ว่าจะแย่งลาภ ไม่ว่าจะแย่งยศ หรือแม้ที่สุด ใครจะมาแข่งขันกัน สรรเสริญเยินยอว่า โอ้ คนๆนี้มีความสุข เสพย์สุข มียอดของความไคลแม็กซ์ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อะไร ยังไงๆ ก็จะได้สมใจ ชี้นิ้วเอาได้ หรือมีวัสถุแลกเปลี่ยนเอาได้ มีอำนาจที่จะกระทำมาให้แก่ตนได้ โดยอำนาจต่างๆนานา ก็แสนที่ไม่จำเป็นจะต้องแย่งชิงใคร ผู้ที่ถอดตนถอดตัวได้ปานนี้ ก็เป็นผู้ที่จำเป็นที่จะต้องไปแสวงหา ไอ้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส

นี่พูดออกมาไกล เกินกว่าการแต่งงานมาก เพื่อที่จะให้รู้การเกี่ยวข้อง หรือเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท หรืออิทัปปัจจยตา หรือปัจจยาการของมันว่า มันโยงเชื่อมต่อกันออกมาหมด ไกลๆๆๆ ไปจนกระทั่ง ถึงลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แม้ที่สุดถือตัวถือตน ว่าไอ้นี่เป็นของของเรา คู่คนนี้เป็นของของเรา หวงแหน ใครมาแย่งชิงเอาไปไม่ได้ ใครมาร่วมสมสู่ไม่ได้ หรือใครแม้แต่จะมาปรายตามอง มาชมเชยด้วยสายตา ลิ้มเลียด้วยสายตา ก็ไม่ได้ ใครจะมาจับมาแตะมาต้อง ก็ยิ่งไม่ได้ใหญ่ อย่างนี้เป็นต้น

มันก็เป็นสภาวะที่หวงแหน เป็นสภาวะที่ถือว่า ของตัวของตนมากมาย แล้วตนเองก็จะมีทุกข์ ถ้าเผื่อว่ายึดมาก ใครมามองหน่อย ก็ไม่ละ หรือใครมาจับมาต้องหน่อย ก็โกรธ ทะเลาะกันกับคู่ ว่าทำไมไปให้เขาจับ ทำไมไปให้เขามอง และก็ไม่เข้าใจตนเองอีก อ้า ...ยินดี ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่างๆ แม้ที่สุดในคู่ของเรา แต่งตน แต่งตัว ประคบตัวเอง ประหงมตัวเอง พอกเพิ่มให้มันอยู่ ยิ่งยั่วยวนหนักขึ้น สวยมากขึ้น คนอื่นมันก็ยิ่งอยากมอง เอาเรายิ่งหึงยิ่งหวง เขาก็ยิ่งมอง เราก็ยิ่งโกรธยิ่งทะเลาะกัน นี่เป็นเรื่องของความไม่รู้ ที่มันย้อนแย้ง อยู่ในตัวของมันเอง

เพราะฉะนั้น ผู้ใดหึงหวงผัวมาก เมียมาก ก็อย่าไปให้แต่งตนแต่งตัว อย่าให้ไปทำอะไรที่มันยั่วยวนผู้อื่นมาก ก็ปล่อยให้เป็นคนโทรมๆ ทรุดๆ อยู่อย่างนั้นแหละ เราจะได้ไม่จำเป็นจะต้องไปเที่ยวลำบากใจ ในการที่คนอื่นมาอยากได้ อยากมีอยากเป็น มาจ้องมาเพ่ง เพราะคนอื่นก็ชอบด้วยรส กลิ่น เสียง สัมผัส เหมือนกัน อย่างนี้เป็นต้น

เมื่อเราหวงๆ ผัวๆ เมียๆ กันเองอยู่ ก็อย่าไปเที่ยวให้ผัวๆเมียๆของเรา แต่งเนื้อแต่งตัว ทำกลิ่น ทำรส ทำรูป ทำเสียง ทำสัมผัส ทำอาการอะไร ที่จะไปยั่วยวนคนอื่นเป็นอันขาด มันจะได้ไม่เป็นสื่อ ในการที่จะได้ไปเที่ยวยั่วยวน ย้อนแย้งคนอื่นเขาอยู่ แล้วเขาก็จะมาอยากเสพย์เราน่ะซิ แล้วมันก็จะยื้อแย่งกัน จะต้องเข้าใจเหตุ ถ้าเข้าใจสมุทัยของมันเหล่านี้ เป็นต้น

นี้สาธยายรวมความยืดยาดมามาก ก็จะสาธยายเข้าไปในประเด็นที่ว่า อย่าแต่งงานเลย ให้ชัดๆ กล่าวโทษ หรือเรียกว่า กล่าวกามาทีนวะ หรือกล่าวโทษภัย ของความใคร่อยากนี้ ให้ชัดเจนลงไป จะพยายามหามุมเหลี่ยมของโทษของภัยต่างๆ ในการที่จะไปแต่งงานนี้ ว่าจะมีโทษเท่าใด มีภัยเท่าใด มีเหตุเท่าใด ปัจจัยเท่าใด โทษภัยของคำว่า แต่งงาน

เรามาพูดกันตั้งแต่คำว่า แต่งงานง่ายๆ ตามภาษากันเสียก่อน เขาใช้คำกันดีดีๆ แต่งกับงาน แต่งกับงาน หรือว่าไปกระทำการแต่ง หมายความว่า ปรุง หรือ หมายความว่า มีเพิ่ม ไปมีเพิ่ม หรือไปมีงานเพิ่ม แต่งงานไปมีงานมาเพิ่ม นี้ภาษามันชัดๆ แต่คนก็ไม่สำเหนียกไม่สำนึก เมื่อเราไปหางานอะไรต่ออะไรมาเพิ่ม คราวนี้ ก็เน้นเอาเข้าเป้าเลย เราเป็นคู่ผัวตัวเมีย หรือมีคนสองคนขึ้นมา แล้วก็จะมีทุกข์ปานใด ๆ สองคน ที่มีคู่กันขึ้นมา แต่ก่อนเราอิสระ เราไม่มีใคร เราคนเดียว เราจะกิน จะอยู่ จะไป จะมา จะรับใช้อะไร ก็รับใช้ตนเองคนเดียว พอเริ่มต้น สมมุติว่า เรามีคนสองคน เป็นคนคนเดียวกันนะ จะถนอมน้ำใจกันนะ จะห่วงหวงกันนะ เหมือนประดุจดังคนคนเดียว ดังกล่าวแล้ว การแต่งงาน แม้แต่ทางนิตินัย พฤตินัย อะไรก็ตามแต่ ก็เหมือนคนๆเดียว แม้ทางกฎหมาย ทางบ้านเมือง ทางคนอื่น ก็ยอมยกให้ว่า เหมือนคนคนเดียวกัน แม้แต่ตัวเอง ที่ทั้งสองคน ก็พยายามเหมือนคนคนเดียวกันอยู่ อยู่ใกล้อยู่ชิดกัน จะไม่ห่างไม่เหินกันมากที่สุด เท่าที่ตัวเองจะสามารถกระทำได้ แต่โดยสัจธรรมแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ มันก็ต้องห่างต้องเหินกัน และมันก็ต้องแยกไป ทำสัดทำส่วนแต่ละคน แต่ละอัน แต่ละอย่าง อยู่นั่นเองแหละ แต่โดยสมมุติ มันก็เป็นอย่างนั้น คือจะอยู่เหมือนเป็นคนๆเดียวกัน ให้มากที่สุด

แท้จริง กำลังค้านธรรมชาติที่แท้จริง หรือค้านความจริงที่แท้จริง ก็มันคนสองคน มันไม่ใช่คนๆเดียวกัน มันไม่ใช่ชิ้นเดียว มันสองชิ้น แต่เราจะพยายามอุตริ ทำให้มันเป็นชิ้นเดียวกัน ให้มันมีกายเหมือนกัน กายไม่เหมือนกันก็เอามาผสมกัน ผสมกันด้วยกันไม่ได้ เพราะตัดเนื้อ ตัดชิ้น ตัดหนังตัดกระดูกอะไร เอามาแตะให้มันกลืนกันไม่ได้ ก็เอามันมานอน ให้มันใกล้กัน นั่งให้มันใกล้กัน อะไรก็ให้มันอยู่ด้วยกัน แม้แต่คิดกันแล้ว ไม่พอ ก็กอดกันไปให้แน่นๆ ให้มันอยู่กันเสมอๆ ให้มันกอด ให้มันแน่นๆเสมอๆ เป็นการแสดงให้โลกเห็นว่า ฉันอันเดียวกันนะ ฉันอันเดียวกันนะ ซึ่งเป็นการเสแสร้ง เป็นการกลบเกลื่อนสัจจะ มันคนละชิ้น ไม่ใช่ชิ้นเดียวกัน ให้กอดกันให้ตาย ตลอดวันตลอดคืนยังไง มันก็คนละชิ้น มันไม่ใช่ชิ้นเดียวกัน จะให้เนื้อต่อเนื้อ มันงอกติดกัน มาละลายหากัน ยากมหายาก ยากจริงๆ ไม่ใช่ของง่ายๆ

เพราะฉะนั้น เมื่อมันเป็นไปไม่ได้ ก็เอาส่วนสองส่วนมาผสมกันซะ ของเธอส่วนหนึ่งของฉันส่วนหนึ่ง มีกรรมวิธีโดยธรรมชาติ ผสมออกมาเป็นอีกอันหนึ่ง ว่านี้เป็นอันเดียวกัน ส่วนผสมของเราแท้ๆ เพราะว่าไหนๆ ก็ฝืนธรรมชาติ หรือว่าแกล้ง หรือพยายามที่จะอุตริ เกินธรรมชาติไม่ได้ ว่าเอามากอด มาแปะ มาแนบมาแน่น มายังไงกัน มันก็มาชิ้นเดียวกันไม่ได้แล้ว ก็จะต้องผสมซักส่วนหนึ่งของเรา โรงงานข้างในผลิตออกมา ต่างคนต่างมีคนละส่วน คนละอันคนละชิ้นมาผสม เป็นชิ้นเดียวกันออกมา เรียกมันว่าลูก แล้วก็นึกว่า เป็นของๆเรากันทั้งคู่ อุปาทาน ยึดถือว่าเป็นของๆเรา ที่จริงเป็นของๆเรา ถูกแล้ว เป็นชิ้นส่วนของเราผสมกันออกมา สองคนทำมาเป็นคนหนึ่งขึ้นมา เป็นสิ่งที่สาม และเราก็ยึดถือว่า เป็นของๆเรา

แต่แท้จริงไม่ใช่ เราตอนนี้คิดอีกทีหนึ่ง ไม่ใช่เรา และไม่ใช่ชิ้นเดียวกับของๆเราอีกด้วย ไม่ใช่ ถึงแม้แต่จะของสองส่วน ที่เอามาจากไหนก็ตามแต่ ของผู้หญิง มาจากโลกขั้วโลกเหนือ ของผู้ชาย จะมาจากขั้วโลกใต้ คนขั้วโลกใต้กับคนขั้วโลกเหนือ มาผสมพันธุ์กันเข้า ออกมา ซึ่งขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้ รู้แล้วว่า คนละชิ้นส่วนกันจริงๆ ไกลกันอยู่สุดโลก คนละฝั่งโลก แต่เมื่อมาผสมกันแล้ว ออกมาแล้ว จะบอกว่า ไอ้นี้เป็นแล้ว เป็นอันเดียวกันแล้ว เป็นส่วนผสมอย่างหนึ่ง และ ไม่ใช่เรากันด้วยอย่างนี้ ไม่ใช่ของแม่ที่มาจากขั้วโลกเหนือ ไม่ใช่ของพ่อที่มาจากขั้วโลกใต้ ที่แท้ เป็นแต่เพียงสัดส่วน หรือชิ้นส่วนหนึ่งๆ เท่านั้นเอง มาผสมกัน และเราก็เป็นภาวะซิ ทีนี้ ด้วยความหลง หลงด้วยอุปาทานว่า นี่เป็นของๆเรา รักให้มากนะ นี้เป็นมาตั้งแต่สัตวโลก

เพราะฉะนั้น ลูกของสัตวโลก เดรัจฉานก็ตาม เป็นสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ มันหวงลูกของมันเหมือนกัน เพราะความหลง มันเกิดมาก่อนคนอีก ที่จะมาพัฒนาเป็นมนุษย์ซะอีก มันเกิดมานานแล้ว ตั้งแต่ในสัตว์เดรัจฉาน ยังไม่ถึงคนหรอก ไอ้การที่รักชิ้นส่วน ชิ้นที่สาม เหมือนของเรานี้ โดยอุปาทานว่า เป็นของๆเราเนี้ยะ ก็รักก็หวงก็ห่วง บางทีตายแทนกันได้ ก็เป็นภาระหนักอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าหากผู้ใดไม่งมงาย ไม่ไปหลงสร้างชิ้นส่วนเหล่านี้ออกมา ตัวก็ไม่ต้องมีภาระ ที่จะต้องรักต้องหวงต้องห่วง ต้องสร้างขึ้นมาในโลก แต่โดยสัจจะ ชิ้นหนึ่งนั้น เราสร้างขึ้นมาแล้ว เราก็จะต้องให้มันเป็นดีอยู่ดี โดยธรรมดา สัตว์โลกก็พยายามเลี้ยงมัน ช่วยตัวเองได้ สัตว์เดรัจฉานมันก็เลี้ยงลูกของมัน ทุกชนิด เพื่อที่จะให้ลูกมันอยู่กับโลกได้ ต่อสู้กับธรรมชาติได้ ด้วยช่วงหนึ่ง และมันก็ดีกว่าคน อีกจุดหนึ่ง คือ สัตว์เนี่ยะ พอมันรู้ เลี้ยงลูกของมัน พอที่จะอาศัยตนได้ เลี้ยงตนได้ อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนของตน เป็นที่พึ่งของตนได้ แล้วมันก็ปล่อย มันปล่อยจริงๆ มันตัดวางเลย แม้ลูกจะมายุ่งมาเกี่ยวอะไรกับมันอีก มันก็ไม่เอาภาระด้วย แกต้องไปหากินเอง แกต้องไปดิ้นรนของแกเอง โตแล้ว มีภาวะควรรับผิดชอบ ตัวเองได้แล้ว สัตว์มันก็รู้เวลาปล่อย

แต่คนนี้ซิ ไม่รู้เวลาปล่อย เลี้ยงลูกไม่รู้จักโต เลี้ยงพ่อแม่ไม่รู้จักตาย ลูกเลี้ยงไม่รู้จักโต บางคน พ่อแม่อายุแปดสิบเก้าสิบแล้ว ลูกเป็นถึงอธิบดี เป็นถึงผู้ว่าราชการ ก็ยังคอยประคบประหงม ดูแล ถ้าลูกทำไอ้โน่น มาทำไอ้นี่ มาอะไรต่ออะไร ก็จะพยายามเที่ยวได้ยุ่งกับลูก คล้ายๆอย่างกับว่า แกจะช่วยตัวเองไม่ได้ ห่วงยังโน้นห่วงอย่างนี้ ไปยังไงมายังไง กลัวเขาจะไปไม่ถูกมาไม่ถูก ทั้งๆที่ตัวเองน่ะแหละ ถ้าไป ก็งมโข่ง เขาต้องคอยเป็นภาระดูแล ตัวไปตัวมาไม่ค่อยได้ ส่วนลูกเขาแข็งแรง เขามีปัญญา เขามีอุปกรณ์อะไรต่างๆ นานา ที่จะไปจะมา ตามความรู้ของเขา ไม่มีใครเขาอยากตายหรอก แต่ก็ห่วงเขาอยู่นั้นแหละ เหมือนกับเขาเป็นผู้อ่อนแออยู่ตลอดเวลา แต่ทั้งที่ไม่รู้ความจริง ตัวน่ะแหละแก่แล้ว อ่อนแอกว่าเขา ปัญญาก็น้อยกว่าเขาแล้ว ความแคล่วคล่องก็น้อยกว่าเขาแล้ว แต่ไม่รู้ตัว ห่วงลูกอยู่นั้นแหละ เหมือนลูกเป็นเด็กแดงๆ เป็นตัวเล็กๆ เป็นสิ่งที่จะต้องคอยประคบประหงม อันนี้คนโง่กว่าสัตว์ คนที่มีอาการอย่างนี้ คนที่มีความรู้อย่างนี้ โง่กว่าสัตว์

เพราะฉะนั้น คนต้องรู้ว่า เลี้ยงลูกต้องรู้จักโต เมื่อถึงวาระควรปล่อย ปล่อยให้แกสู้ตัวเอง ให้แกสร้างตัวเอง ให้แกช่วยตัวเอง เพราะแกจะต้องเป็นผู้ที่ช่วยตัวเอง เราจะต้องตายก่อน พ่อแม่จะต้องตายก่อนลูก โดยธรรมดา หลักใหญ่ๆ ส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้น โดยหลักเฉลี่ยแล้ว เพราะอายุมันมากกว่า เกิดก่อน จะต้องเสื่อมสลายไปก่อน เพราะฉะนั้น ต้องรู้ เลี้ยงลูกต้องรู้จักโต โตแล้วปล่อยแก ส่วนแกจะกตัญญูกตเวทีหรือไม่ อันนี้เป็นเรื่องของสังคม ที่จะสร้างมาแล้วในโลก สัตว์ธรรมดาที่เป็นเดรัจฉาน มันจะกตัญญูกตเวที ต่อพ่อต่อแม่นั้นน้อย ไม่เหมือนมนุษย์ มนุษย์รู้จักการสัมพันธ์ รู้จักบุญคุณ รู้จักการช่วยเหลือเฟือฟายพ่อแม่ เมื่อได้หนักหนา ได้สร้างตนออกมา ตนได้ดิ้นรนอยู่ในโลก พัฒนา หรือมากระทำอะไรที่ดีขึ้น แล้วตนก็จะได้อยู่ต่อไป ก็รู้ว่าสิ่งที่กำเนิดเรามา สิ่งที่ได้สร้างเรามา ได้ให้ความรู้ ให้กำลังกาย ได้ให้กำลังปัญญา แม้ที่สุด ได้ให้ทรัพย์เรามา ลูกก็จะต้องตอบแทนบุญคุณ ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ที่ดีของสังคม หรือหลักเกณฑ์ของความเจริญของสัตวโลก ที่เรียกว่ามนุษย์ จะต้องช่วยเหลือเฟือฟาย เพราะลูกที่อกตัญญู ลูกที่ไม่ตอบแทนบุญคุณ ไม่เลี้ยงพ่อไม่เลี้ยงแม่ จึงเป็นลูกที่เลวทราม ต่ำช้ามากที่สุด ตราหน้าได้เลย มันเป็นความเลว มันเป็นความไม่ถูกต้อง

ลูกจึงจำเป็นที่จะต้องมีหน้าที่ๆ เมื่อพ่อแม่เลี้ยงเรามาสมควร ก็ปล่อย เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องกลับไปเลี้ยงพ่อแม่ เพราะท่านนับวันจะอ่อนแอลง กำลังวังชาก็ลดถอยลง สติปัญญาก็ช้า ก็ลำบากลง แม้สุดท้าย ก็จะเดินจะเหินก็จะยาก เราก็จะต้องคอยดูแลช่วยเหลือท่าน เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของท่าน และเราก็เป็นผู้ที่เกิดมา อยู่มาได้ในโลก แม้จะมีความรู้ความสามารถ มีความเก่งอะไรขึ้นมาได้ ก็เพราะว่าท่านเป็นต้นเริ่มแรก แม้ท่านจะไม่ให้เราจริงก็เถอะ ไม่ให้เราทั้งหมดก็เถอะ เราก็จะต้องรู้ว่า สิ่งนี้ หาที่อื่นไม่ได้ ต้นกำเนิดอันนี้ เป็นของจริง ต้นกำเนิดอันนี้ ทุกคนมีอยู่ พ่อคนหนึ่ง แม่คนหนึ่ง เท่านั้น จะต้องกตัญญูกตเวทีให้มาก นี้เป็นความดีของลูก ถ้าเผื่อว่าใครมี พ่อแม่คนไหน ได้ความกตัญญูกตเวทีอย่างนี้จากลูก ก็เป็นบุญไป แต่ถ้าไม่มี และหวังเอาไม่ได้เลย พ่อแม่จะไปตู่ เอาความกตัญญ อย่างนี้จากลูก ก็น่าอายขายหน้า เพราะฉะนั้น จึงบอกว่า มันเป็นภาระ เป็นความลำบากใจที่สุด แม้เราเอง จะมีลูกมีเต้ามาไว้เพื่อใช้ มีมาไว้เพื่อที่จะเลี้ยงดูเราเมื่อแก่ เมื่ออะไรต่ออะไร ต่างๆนานา คิดดูแล้ว มันไม่คุ้มกันเลยว่า บางที พ่อแม่แก่ อยากจะได้ความช่วยเหลือจากลูกบ้าง และลูกมันก็เลว ลูกมันก็ไม่รู้จักกตัญญู เราเองอุตส่าห์เลี้ยงมาเป็นภาระ มีลูกมีเต้ามา แต่งงานมา มีลูกไว้เลี้ยงตน เมื่อแก่หน่อย ตามที่ตัวเองไปสร้างความหวังเอาไว้ กลับยิ่งพลาดหวังอย่างมากมาย ยิ่งเศร้า ยิ่งเจ็บยิ่งแสบ ยิ่งปวดช้ำลงไปอีก มากมายที่สุดเลย อย่างนี้ก็ไม่ใช่ไม่มีในโลก มีอยู่

และทุกวันนี้แหละ ความรู้อันนี้มันไม่มีกัน เพราะลูกเต้า ไม่กตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ ทุกวันนี้ ทำให้บ้านเมืองลำบาก ด้านตะวันออก ยังมีเรื่องนี้ ยังมีประเพณีอันนี้ ยังมีคุณธรรมอันนี้ ยังมีวัฒนธรรม ประเพณีอันนี้อยู่ ยังค่อยยังชั่ว ฝ่ายตะวันตก เดี๋ยวนี้ พ่อแม่ลูกเต้า มันทำตัวเหมือนสัตว์มากขึ้น เลี้ยงลูกจริง ให้รู้จักโต แต่ลูกไม่มีความเข้าใจในเรื่องวัฒนธรรม ที่จะต้องเลี้ยงพ่อแม่ รู้บุญคุณ รู้ความจริงว่า พ่อแม่ก่อเกิดเรามา แล้วก็รัก และก็สร้างเรามา ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ลำบาก ประคบประหงมมา และลูกก็ไม่มีกตัญญูกตเวที เลี้ยงตอบแทน อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องการมาก ในฝั่งตะวันตก และขาดหายไปแล้ว วัฒนธรรมอันนี้ขาดหายไปแล้ว มันไม่สืบต่อ ศาสนานี้ รู้มุมทุกมุม การตัดก็ตัดในส่วนหนึ่ง การที่จะทำโดยรูปแบบ โดยจิตใจก็ตาม ก็ทำในอีกส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้น การมีลูก จึงหวังได้ยากมาก ถ้าเราไม่มีซะเลย ก็ไม่ต้องหวัง เราก็ไม่ต้องเจ็บแสบ เราก็ไม่มีทุกข์ ก็ไม่เป็นเรื่องเป็นราวอะไรกับเรา เพราะฉะนั้น การไม่มีลูก ก็ไม่เป็นภาระ ที่จะต้องไปหวังอะไรอีก เป็นภวตัณหา เมื่อไม่หวังนั้น เราจะทำยังไง

ถ้าแต่งงาน เราจะต้องรับผิดชอบคู่ และจะต้องรับผิดชอบลูกหลาน ซึ่งจะเป็นภาระที่หนักหน่วงที่สุด เศรษฐกิจทุกวันนี้ ยิ่งจะทำให้เราเดือดร้อนที่สุด เห็นๆอยู่ และเลี้ยงได้แต่กาย เลี้ยงหัวใจ มันไม่ได้ นี้อีกอย่าง ถ้าลูกมันไปเลวไปชั่ว ไปบ้าระห่ำอะไรอีก ยิ่งช้ำสุดแสนช้ำ ยิ่งทรมานสุดแสนทรมาน จะฆ่าก็ไม่ตาย จะขาย(คาย)ก็ไม่รอด ทำอย่างไรก็ไม่ออก เมื่อลูกเป็นลูก ถ้ามันเลวก็ต้อง.. ไอ้คนสร้าง ก็ไม่อยากสร้างความเลวออกมา ริสร้างคนเลวออกมา แต่คนมันเลวออกมาโดยพื้นนิสัยด้วย ทางรูปธรรม นามธรรม ที่มีวิบาก มีกรรมวิบากอะไร ต่างๆนานา ซึ่งพูดกันไม่หวาดไม่ไหว เยอะแยะมากมาย เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดแล้วละก็ เราตัวเรานี่ ก็แสนที่จะลำบากแล้ว ถ้าไปแต่งงานมาอีก มีความรับผิดชอบมาเป็นสอง และมีความรับผิดชอบ มีลูกออกมาเป็นสาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า ยุ่งที่สุด ยุ่งที่สุด

เพราะฉะนั้น ทางที่พระพุทธเจ้าท่านพาทำ เพื่อที่จะไม่หลง ก็ให้พยายามรู้ความจริง ในทุกข์พวกนี้ให้ได้ มองดูโลก อ่านโลก เห็นโทษเห็นภัยมันให้ชัดเจน มองดูความจริงให้ได้ มุมไหนที่เขาเห็นชัดๆ เขาตีกันทะเลาะกัน ด้วยเรื่องผัวเรื่องเมีย เรื่องลูกเรื่องหลาน เรื่องการเป็นอยู่ เพราะว่าครอบครัว มันกระเบียดกระเสียน มันวุ่นวายโกลาหล การไปการมาการอยู่ และมีออกมาแล้ว มันไม่สมใจ อย่างว่า มันเลวมันชั่ว มันไม่น่าปลื้มใจ ดีใจอะไรต่างๆ นานาพวกนี้ เห็นเป็นโทษเป็นภัย ให้ได้ทั้งสิ้นว่า เราหวังเอาอะไรไม่ได้ เราหวังตามใจเราไม่ได้ ถ้ามันได้ มันก็ยังดี มันฟลุ้ค หรือว่ามันมีบุญซ่ะ ถ้ามันไม่ได้แล้ว มันจะเศร้าโศกเสียใจเดือดร้อน ว่าไอ้ลูกมันไม่ดี จิตใจมันไม่ดี บางที อย่าว่าจิตใจมันไม่ดีเลย ร่างกายคลอดออกมาพั้บ พิการแต่ต้นแล้ว อย่างนี้จะทุกข์เท่าไหร่ พ่อแม่จะเศร้าเสียใจเท่าไหร่ และก็จะต้องยอมแบกยอมหาม บางที ลูกก็ต้องคอยเลี้ยงมัน แม้มันโตแล้ว ก็ช่วยตัวเองไม่ได้ มันพิการ ด้วยอาการต่างๆ นานา พิการทางสมองก็ตาม พิการทางกายก็ตาม เป็นคน Moron เป็นคนอีเดียด ต้องเลี้ยงมันตลอดโต ตลอดตาย หรือไม่พิการทางกาย ทำอะไรก็ช่วยตัวเองไม่ได้ ก็จะต้องคอยดูแลมันอีก อะไรเป็นเครื่องที่จะรับประกันคุณว่า คุณแต่งงานแล้ว คุณจะได้สิ่งเหล่านี้ หรือคุณจะไม่ได้สิ่งเหล่านี้ คุณจะกะเกณฑ์เอาได้หรือ อะไรเป็นสิ่งกะรันตี เป็นสิ่งรับรองคุณว่า คุณเอง คุณแต่งงานแล้ว คุณจะไม่ได้สิ่งเหล่านี้มา ไอ้สิ่งที่มันบกพร่อง ถ้าได้ลูกมา ไม่บกพร่อง มันก็เป็นบุญนะ แต่ถ้าได้ของบกพร่องมา คุณจะทุกข์หัวใจอีกเท่าไหร่

ตัดต้นทางเสียเถอะ ตัดกิเลส อย่าไปแต่งงานเลย เมื่อจะไม่แต่งงาน เราก็จะไม่มีคนที่สอง มาเป็นคู่สืบสัมพันธ์ หรือสืบพันธุ์ เมื่อไม่มีคู่สืบพันธุ์ หรือสืบสัมพันธุ์ เราก็ลดกิเลสของเราลงด้วย เมื่อตัวผู้หญิงผู้ชาย ไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว แต่เรายังมีอารมณ์ที่จะต้องไคลแม็กซ์ หรือว่าจะต้องมีอารมณ์ สัมผัสเสียดสี ด้วยรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอะไร เราก็พยายามตามจับให้ได้ ว่ามันเป็นรสเป็นชาติอย่างไร มันหลงการสัมผัสเสียดสี อย่างนี้ เอาอย่างไร มันจะต้องกระทำตามธรรมชาติ ไปกดดันพวกนี้ ซึ่งมันถูกสั่งสมมานานชาติ นานนับกัปนับกัลป์ เป็นสัญชาตญาณ ติดอยู่ในคนนี้ มันนานเต็มทีแล้ว เราจะต้องรู้มันให้จริง แล้วก็ลดลง ลดลง มันไม่ใหญ่ มันไม่เก่ง พระพุทธเจ้าทำเหนือมาก่อนเพื่อน ทำเหนืออารมณ์เหล่านี้แล้ว ตัดขาดร่อน ไม่มีรสชาติเลยจริงๆ เพราะเห็นมันเป็นเรื่องของโลก ที่มันเกิดขึ้นมา เป็นแต่เพียงการสัมพันธ์กันเข้าไป แล้วก็ทำปฏิกิริยาปรุงแต่ง เท่านั้น ที่จริงมันไม่ใช่รสชาติ ไม่ใช่ความสุข มันไม่ใช่ความเพลิดเพลิน มันเป็นการจ่ายพลังงานส่วนหนึ่ง ออกมาเท่านั้น เพราะถ้าเราจะเอาพลังงานส่วนนี้ ไปจ่ายในการงานอะไรอื่นก็ได้ ที่เป็นประโยชน์ เอาไปสอนผู้สอนคน ไปแจกจ่าย ไปแบกไปหาม ไปสร้างไปก่ออะไรต่ออะไร ได้ทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น ในการที่จะลดอารมณ์ ในการที่จะไปสมสู่ หรือไม่เกี่ยวกับผู้หญิงผู้ชาย ก็คือ หาเวลาทำงาน ทำงานให้มาก ถ้าเราทำงานที่เป็นผลผลิตที่ดี เราก็จะได้งานที่เป็นผลผลิตที่ดี กำลังวังชาที่จ่ายออกไปนั้น ก็เป็นกำลังวังชาอันเดียวกัน ก็คือแคลอรี่ที่อยู่ในตัว แล้วเราเข้าใจให้ได้ว่า ไอ้อย่างนั้น มันไม่ใช่เรื่องของมนุษย์ ที่จะต้องไปเสียเวลา ไม่มีสิ่งนั้นก็ไม่เป็นไร ไม่ผิดประหลาดอะไร ไม่ด้อยอะไร ไม่ใช่ปมด้อย ไม่ด้อย เก่งด้วย เพราะมนุษย์มันขาดสิ่งนี้ไม่ได้ อดสิ่งนี้ไม่ได้ คนขาดได้ต่างหาก ที่เด่นที่โก้ที่เก่ง ต้องคิดให้เห็นนะ ไม่ใช่ปมด้อย เป็นปมเด่น ต้องคิดให้เห็น เป็นสัมมาทิฏฐิ แต่ถ้าเราไปเห็นตามโลก ว่าเป็นปมด้อย คนทำไม่เหมือนคนส่วนใหญ่เขาทำ และเราไม่ทำอย่างเขา เราไม่มีอารมณ์อย่างเขา เราไม่ไปเป็นอย่างเขา คนส่วนใหญ่เขาคิดอย่างนั้น และเขาก็ไปเป็นทาสสิ่งนั้น

เขาก็ไม่รู้ว่า โลกทุกวันนี้ ไม่ต้องการสร้างบุคคลแล้ว พลโลกจะเต็มโลกแล้ว เศรษฐกิจเรื่องนี้ ในการสร้างหรือผลิตคนนี้ ไม่มีดีมานด์ ไม่มีความต้องการ แท้จริง เป็นการลดต่างหาก เป็นดีมานด์ ลดพลโลก ลดการสมสู่ ลดการสร้างคนต่างหาก เป็นดีมานด์ของเศรษฐกิจในโลก เราต้องลดจำนวนคน เพราะว่าคนติดกิเลส มีอยู่แยะ เราช่วยโลกได้ เพราะเราไม่จำเป็นต้องไปมีกิเลส ต้องไปผลิตพลโลกออกมา อย่างคนที่เขาหลงกิเลส หรือคนที่มีกิเลส เขาห้ามตัวเขายาก ให้เขาสร้างเถอะ ปล่อยเขา พอเราบอกว่า ถ้าไปฝืนเขา ไปบังคับเขา มันก็เท่ากับยิ่งไปกั้นทำนบ เพราะทำนบจะมีกำลังดันสูงขึ้น แล้วมันจะพังทำนบลงมา แต่เราเอง เรามีลดกำลังที่จะพังทำนบลงได้ คือลดอำนาจของกิเลสตัณหา หรือความอยากที่รุนแรงนั้นได้ เราลดอำนาจนั้นลงมาได้ เราก็จะไม่มีวันทำนบพัง นอกจากไม่พังแล้ว เรารู้อำนาจนั้น ก็คือ พลังงานส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง พอเราผลักเบนพลังงาน ส่วนนั้นเสีย อย่าไปหลงในรูป รสกลิ่นเสียง สัมผัสเสียดสี อารมณ์อย่างที่เขาสมมุติอย่างนี้ คนไม่ต้องทำ ก็ไม่มีปัญหา สัตวโลกใดไม่ทำ ก็ไม่มีปัญหา เพราะฉะนั้น เราก็เลิกเสียสิ่งนี้ จ่ายพลังงานที่เรามีอยู่นี้ ไปในทางอื่น ไปคิด ไปลงแรงทางกาย เพื่อที่จะผลิตสิ่งที่ตามหลังแรงกาย ตามหลังแรงความคิดนั้นออกมา ก็เป็นผลผลิตที่โลกที่จะต้องเอาไปใช้ เอาไปเป็นประโยชน์ให้แก่มนุษยชาติ

อย่างนี้ ก็จะกลายเป็นคนมีค่าด้วยซ้ำไป แทนที่จะไปจ่ายพลังงานสมสู่ จ่ายพลังงานสัมผัสเสียดสี กว่าจะเกิดไคลแม็กซ์ จ่ายแคลลอรี่ไปมากกว่ามากเนี่ย แทนที่จะไปเปลืองเปล่าสิ่งเหล่านี้ เราคิดให้ได้เห็นให้ได้เนี่ย มันไม่ควร กู้คืนมาเสีย พยายามเห็นความจริง หรือสัจจะอันนี้ให้ได้ อย่าไปเปลืองเปล่า อำนาจรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ผสมกัน รวมกันทุกอำนาจ และก็สัมผัสเสียดสีกันรุนแรง จนกระทั่ง ถึงเกิดความร้อนอ่อนแข็ง อะไรก็ตามแต่ เราก็จะเกิดจุดที่สัมผัสเสียดสีสูงสุด ก็ถือว่าเป็นไคลแม็กซ์ มีจุดในการเคลื่อนขับถ่าย ขับถ่ายส่วนที่เรียกว่า เป็นธาตุน้ำออกมา หรือธาตุลม หรือธาตุไฟ ทำปฏิกริยากัน จนกระทั่งตกตะกอน ๆ ตกตะกอนสูงขึ้น สร้างได้สูงขึ้น จนถึงธาตุน้ำ และยังมีเศษส่วนของธาตุดิน ที่ผสมในธาตุน้ำ ไปรวมตัว จนก่อกันขึ้นเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ก็มีอีก เป็นตัวคน นั่นมันก็เป็นอีกเรื่องของการเสริมสร้าง ของการก่ออยู่โดยธรรมชาติ

แล้วผู้ใดรู้ความจริงอันนี้ได้ พยายามเข้าใจให้ดี ว่าถ้าเราไม่หลงรสชาติ ไม่หลงว่าเป็นสุข ไม่หลงว่าเป็นสภาพที่จะต้องเสพ ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เป็นผัสสะ เป็นการกระทบเสียดสีต่างๆ แล้วเราก็จะอยู่เหนือธรรมชาติอันนี้ ผู้ใดลดลงมาทางกายได้ แต่ทางใจยังมีอารมณ์อยู่บ้าง เล็กๆน้อยๆ เรียกว่าเก่งขึ้นแล้ว ผู้ใดลดลงมา แม้กระทั่ง ทางวจี ทางกาย หมดเลย ตาหูจมูกลิ้นกาย กระทบส่วนใดๆ ของสิ่งที่เป็นความสัมพันธ์กันทางเพศ ฝ่ายหญิงฝ่ายชาย ก็ไม่ได้เดือดร้อน ไม่ได้เกิดการปรุงอยู่ข้างใน อนุสัยไม่ทำงานต่อ ผู้นั้นก็เป็นผู้สบาย เบาว่าง อารมณ์ทางจิตก็ลด ละเอียดเข้า ละเอียดเข้า ละเอียดเข้า สุดท้าย ก็กระทบด้วยตาก็เฉย หูได้ยินก็เฉย จมูกได้กลิ่นก็เฉย ลิ้น กาย ก็เฉย แต่รู้อยู่ว่า สิ่งนี้ไม่เหมือนกับตัวเรา สิ่งนี้ ถ้าเราเป็นขั้วบวก สิ่งนี้ก็เป็นขั้วลบ ถ้าเราเป็นขั้วลบ สิ่งนี้ก็เป็นขั้วบวก ต่างกันอยู่ รู้อย่างนั้น แต่ แม้แต่ต่างกัน ก็ไม่จำเป็นต้องผสมพันธุ์อะไรกัน ต่างก็ต่างกันไปเฉยๆ ไม่จำเป็นที่จะต้องเอามาผสม เสียดสีอะไรกัน เราก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะถ้าเอาไปผสมเสียดสีกันเข้าแล้ว เกิดผลต่อออกมา เป็นทุกข์เป็นภาระ

เพราะฉะนั้น เราต้องจบจิต ตัดภาระเหลือสิ้นภาระอย่างนี้ให้ได้ ถึงอารมณ์จิต เห็นให้ได้ว่า มันไม่ใช่รสไม่ใช่ชาติ ไม่ใช่ความสุข ไม่ใช่โลกียสุข ไม่ใช่สิ่งที่คนจะต้องไปมีไปได้ ไปเป็นอะไร ก็ไม่ต้องไปลำบากอะไรเลย เห็นแล้วก็พยายามลดลงไปจริงๆ ลดลง เมื่อกระทบทางตา ก็ให้รู้เท่าทันว่า นี่เรากำลังจะบ้าหลงรสนะ หลงความสวยที่จะเอามาสัมผัส สัมผัสทางเสียงก็หลง ก็ต้องเอาเสียงมาสัมผัส หรือมาเป็นของเรา ทางจมูกทางกลิ่น ทางลิ้น จะเอามาสัมผัส มาเป็นของเรา หรือมาแตะสัมผัส ทำให้เกิดปฏิกริยา เกิดอาการร้อนซ่า เกิดรสชาติอะไรอันหนึ่ง ที่เป็นอารมณ์ปรุงแต่งขึ้น ไม่ใช่ความจริง ไม่มี

ผู้ใดเข้าใจจริงแล้ว แม้แต่กระทบให้ตายอย่างไร ตาจะกระทบตา หูจะกระทบหู หรือตาจะกระทบรูป หูจะกระทบเสียง จมูกจะกระทบกลิ่นอยู่ ลิ้นจะสัมผัสกับลิ้น หรือลิ้นจะสัมผัสกับกาย หรือลิ้นจะสัมผัสกับส่วนใด ของสิ่งที่เราหลงว่าเป็นของอร่อย มันก็เป็นการรู้สิ่งนั้นอยู่ เท่านั้นเอง เค็ม เปรี้ยว หวาน มันไปตามรสที่สมมุติเรียก มันไม่มีอะไรสูงกว่านั้น ไม่ใช่รสใช่ชาติ ไม่ใช่ความสุข ไม่ใช่ความทุกข์อะไร

ถ้าเผื่อผู้ใดรู้สัมผัสเสียดสี จะมีร้อนเกิดขึ้น จะมีเย็นเกิดขึ้น จะมีการรู้ว่าแข็งหรืออ่อนเกิดขึ้นก็ตาม ก็ไม่มีบทบาทอะไร หรือไม่มีผลที่จะต้องเร่งเร้าจิตใจ ให้มันสุขมันทุกข์อะไรไม่มี ไม่มีหรอก ต้องพิจารณาให้เห็นจริงว่า มันไม่มี และมันไม่เป็นจริง เพราะฉะนั้น คนไหนไม่มีสิ่งเหล่านี้ เขาก็ไม่สุข ไม่ทุกข์ได้อยู่ เพราะไอ้สิ่งเหล่านี้ ก็ไม่สุขไม่ทุกข์ได้ คนที่หลุดมาได้ เขาก็คน เราก็ต้องหลุดได้เหมือนกัน เขาไม่ต้องแตะต้องกับสิ่งนี้ อารมณ์เขาก็เฉยได้ อย่างไร ต้องเรียนรู้ ฝึกหัดรู้ ว่าอารมณ์มันเฉยลงได้ ว่างลง มันเฉยๆ มันไม่มีปรุง ไม่มีรสไม่มีชาติลง แม้ที่สุด เห็นอยู่ ตามที่เราเคยรู้เคยเห็นว่า แต่ก่อนนี้เป็นรสเป็นชาติ เราก็รู้ตามความจริง เพราะอย่างนี้ เราเคยหลงว่ามันเป็นรสเป็นชาติอยู่

แต่โดยสัจจะแล้ว เดี๋ยวนี้ จิตเราก็เฉยๆ มันไม่มีเรื่อง แต่ก่อนเราเคยรู้เท่านั้น เดี๋ยวนี้ เราเห็นก็เฉยๆ คนเขาหลง เขามีรสมีชาติ และก็มีอากัปกิริยา ต้องการหรือผลักออก เราก็จะรู้เขาได้ ว่าคนนี้ยังมีการผลักออก หรือความต้องการอยู่ เท่าใด ๆ แล้วก็คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ หรือคิดเป็นตัวเลข คิดเป็นจำนวน ที่จะเอามากล่าวก็ได้ แต่ตัวเรานั้น สูญ ว่างเปล่า กระทบเฉยๆ รู้ก็ รู้เฉยๆ และเราจะมีความรู้สูงขึ้นไปกว่านี้อีก เพราะเราเอง แม้กระทบก็เฉยๆ ไม่กระทบก็เฉย เราก็จะไม่กระทบ ไม่ไปเกี่ยวข้อง ให้คนเห็นชัดเจนว่า สิ่งนี้เราอย่าไปยุ่งไปเกี่ยว ไปแตะไปต้องเลย เพราะมันไม่ใช่เรื่องอะไร เราต้องแสดงให้เขาเห็นว่า เราไม่มีความสุขความทุกข์ความอะไร กับสิ่งเหล่านี้เลย แม้จะเป็นรูปเป็นภาพ เป็นตัวเป็นตนจริงๆ ก็ตาม เราเฉยที่สุด และกติกาที่จะใช้ สำหรับผู้ที่เฉยได้แล้วก็ดี แต่ว่าคนอื่น เขาไม่เข้าใจในจิตของเรา ที่มันเฉย บางที เราอาจจะต้องเกี่ยวข้อง ใกล้เคียง เขาก็จะนึกว่า เราเองอยากจะใกล้ เราอยากจะสัมพันธ์ เราอยากจะแตะต้อง อยากจะทำการเกิดปฏิกิริยา อะไรอยู่ทางใจอยู่บ้าง ซึ่งเป็นความหลงผิด หรือเป็นความอ่านไม่ออกของเขา

เขารู้ถึงจิตของเราไม่ได้ อย่างนี้ เราจึงจำเป็นที่จะต้องแสดงความบริสุทธิ์ให้มาก เมื่อจิตของเราบริสุทธิ์ เราก็อย่าไปเกี่ยวไปข้องให้เห็นมากที่สุด คนจะได้ไม่ระแวง คนจะได้ไม่สงสัย จะได้เข้าใจได้ถูกต้อง ว่า เออ จริงแฮะ กายของท่านยังไม่แตะต้องเลย ใจของท่านก็คงไม่มีอะไรบีบบังคับ ให้มาอยากแตะต้อง กระมังหนอ อันนี้พิสูจน์ข้างนอกก็ได้ ในก็จะต้องเห็นรูปรอยไปตาม เราบอกเขาจริงว่า ข้างในเราไม่มี ไม่แตะต้อง ไม่อยากมีอะไรหรอก ชัดเจนด้วย ไม่ใช่ปากว่าตาขยิบ มือไปแตะต้อง แต่บอกว่าใจของเราว่าง อะไรอย่างนี้ คนก็ไม่สนิทใจ ว่า เอ้... ถ้าทำได้ ไม่จำเป็นต้องเอามือไปแตะเลยนี่นา ในชีวิต ทำไมจะต้องไปแตะอยู่ ปากว่าอย่างนั้นแหละ เพราะบุคคล ผู้ที่สามารถที่จะไม่ต้องให้มือไปแตะ ให้คนมากล่าวตู่ ให้คนสงสัย ให้คนระแวงได้ ก็จะทำโดยไม่ไปแตะต้อง ไม่ไปเกี่ยวข้อง ทั้งๆที่เราแตะด้วยจิตว่างจริงๆ นี่แหละ ก็จะทำตนให้คนอื่นไว้ใจ ยอมรับได้อย่างสนิทสนม พอเราว่างจริงๆ กาย วจี มโนพร้อม พร้อมทั้ง ๓ ส่วนเลย เพราะไม่จำเป็นอะไรเลย ที่เราจะต้องเข้าไปยุ่งได้ด้วย ในชีวิตนี้ เราก็จะต้องแสดงความบริสุทธิ์ร่วมส่วน ใช้ภาษาว่า ความบริสุทธิ์ร่วมส่วน คือ กาย วจี มโน ทุกส่วน เราบริสุทธิ์ ไม่มีแตะต้อง ไม่มียุ่งเกี่ยว ไม่มีการสัมพันธ์สิ่งเหล่านี้ ก็จะเป็นความบริสุทธิ์ ละเอียดลออ เป็นที่สุดได้อย่างแท้จริง

สรุป ข้อสำคัญลงก็คือ พยายามที่จะเข้าใจถึงโทษถึงภัย ในการที่จะมีภาระ ในการที่จะไปแต่งงาน ไปมีคู่ ซึ่งรับผิดชอบ ตั้งแต่คู่ ต้องระวังทั้งกายของเขาด้วย จะต้องไปคอยแบก ทั้งจิตใจของเขาด้วย เขาชอบอย่างนี้ เขาไม่ชอบอย่างนี้ ประเดี๋ยวก็ขัดกัน ทะเลาะกัน แย้งกัน เพราะฉะนั้น มันจึงเป็นภาระมากๆ ในการที่จะไปแต่งงาน มีคนสองคนร่วมกัน มาอยู่กับเรา ต้องรับผิดชอบ ต้องเอาอกเอาใจกัน ต้องคอยระมัดระวังกัน โดยสมมุติในโลก อย่างนี้แหละ จึงไม่จำเป็นเลย ที่เราจะต้องไปมีส่วนที่สองขึ้นมา ถ้าผู้ใดอดได้ทนได้ จึงเลิกมาเสีย.

--------------------------------------------------------------------------------

ถอดโดย รัศมี แพร่คุณธรรม ๑๓ พ.ค. ๒๕๓๓
ตรวจทาน ๑. โดย อรณี ศรีทองอินทร์ ๑๔ พ.ค. ๒๕๓๓
พิมพ์โดย สม. นัยนา ๑๗ พ.ค.๒๕๓๓
ตรวจทาน ๒. โดย สม. ปราณี ๑๘ พ.ค.๒๕๓๓
ตรวจทาน ๓. ๑๖ ต.ค.๒๕๖๖