ชาติหน้ามีจริงหรือ?

ความไม่แน่ใจ สงสัยข้อใหญ่ของปุถุชนทั้งหลายนั้น เห็นจะได้แก่ ปัญหาที่ว่า "ชาติหน้ามีจริงหรือ?" ทั้งๆที่ แม้จะเป็นพุทธศาสนิกชนเอง โดยแท้มาชั่วอายุ ไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ระดับมาแล้วก็ตาม เขาเหล่านั้นก็ยังได้ชื่อว่า "งมงาย" อยู่นั่นเอง เพราะเขาเชื่อว่า พระพุทธเจ้านั้นเป็นผู้ประเสริฐสุด ที่ควรเชื่อถือเคารพอย่างสูงสุด เพราะพระองค์เป็นสัพพัญญู รู้แจ้งในสิ่งต่างๆอย่างถูกต้องแท้จริง แต่กระนั้นก็ดี เขาก็ยังไม่เชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเวียนว่ายตายเกิด (สังสาร) ตามที่พระพุทธองค์ ตรัสสั่งสอนไว้ เมื่อเขาเชื่อและนับถือพระพุทธองค์ แต่เขายังไม่เห็นจริงตามพระพุทธองค์ คนผู้นั้นจึงได้ชื่อว่าเป็นคน"งมงาย" เพราะคำว่า"งมงาย" ก็คือการเชื่อ โดยที่ตนเองก็ไม่เห็นจริงแท้ตามนั้น เรียกว่าเชื่ออย่าง"งมงาย" ยิ่งทุกวันนี้ ยิ่งดูเหมือนคนเหล่านั้น จะคิดว่าตัวเองศิวิไลซ์ หรือเจริญก้าวหน้า หรือฉลาดปราดเปรื่อง ยิ่งกว่าสมัยปู่ ย่า ตา ทวด และก็ยิ่งจะลังเลสงสัยยิ่งขึ้น จนไม่เชื่อเอาเลยว่า "ชาติหน้ามีจริง" และก็เพราะเหตุว่า ไม่มีความเชื่อเสียเลยว่า "ชาติหน้ามี" นี่เอง จึงทำให้คนผู้คิดว่าตัวเองศิวิไลซ์แล้ว เจริญแล้ว ก้าวหน้าแล้ว ทำอะไรก็ทำได้ ตามอำเภอน้ำใจตนเอง มิได้ห่วงหน้าพะวงหลัง หรือคิดคำนึงระมัดระวังตัว ระวังใจอันใดเลย จิตปรารถนาอย่างไร ก็ทำเอาจนสมปรารถนา จิตอยากอันใด ก็ตั้งหน้าตั้งตาให้ได้มาซึ่งความอยากอันนั้นให้ได้ แม้ด้วยการ"บังเบียด"ผู้อื่นอย่างเบา ไปจนอย่างแรง ขนาดขั้นที่ท่านสอนสั่งไว้ว่า มันเป็นการกระทำที่ตกนรกอเวจีอะไร ก็มิได้พรั่นมิได้กลัวเกรง ด้วยเหตุคิดได้ หรือฉลาดได้เพียงว่า เกิดมาก็ชาติเดียว ตายแล้วก็จบกัน "ชาติหน้าไม่มีหรอก"

"คน" ถ้ายิ่งมีกิเลสหนาเท่าใด ก็ยิ่งจะมองเห็นความแท้จริงไม่ได้เท่านั้น หรือคือผู้ไม่มีธรรมะ ไม่เชื่อธรรมะเท่านั้น นั่นเป็นข้อพิสูจน์หรือเป็นข้อวัด เป็นมาตรการ อันจะนำไปสอนกับใครๆก็ได้ ดังนั้น คนที่ทำชั่วทำเลวลงไปได้มากๆ ขนาดรู้ตัวว่า สิ่งที่ตนทำอยู่ในขณะนี้ คือ "ความเลว-ความชั่ว" แต่ก็ยังก้มหน้าก้มตา กระทำ"ความเลว-ความชั่ว"นั้นอยู่ อย่างตั้งอกตั้งใจนั้น ผู้นั้นแหละ คือ ผู้อยู่ใต้อำนาจของ"กิเลส" อย่างสิ้นพละกำลัง ทั้งๆที่รู้ว่าตนกำลังเป็นผู้กระทำ ในสิ่งที่"คน"หรือ"มนุษย์" ไม่ควรทำเลย เพราะไม่ใช่"สิ่งประเสริฐ" สมชื่อมนุษย์เสียเลย แต่ก็ยังอุตส่าห์ทำทั้งรู้ๆนั่นแหละ ก็คิดดูเถิดว่า คนผู้นี้ เขามีอะไรบังคับข่มขู่เอาไว้ใช่ไหม จึงได้ยอมทำเลวทำชั่วได้ทั้งรู้ๆเช่นนั้น ถ้าคิดเผินๆ ก็จะตอบว่า "ใช่แล้ว" คนผู้นั้นถูกบังคับข่มขู่ ให้ทำอะไรล่ะ หรือใครล่ะบังคับ? บางคนก็จะต้องตอบว่า"กิเลส"ทั้งปวง บางคนก็จะต้องตอบว่า"ตัณหา" หรือ"อุปาทาน" ทั้งปวงนั่นเอง บังคับ

แต่โดยแท้แล้ว "ไม่ใช่หรอก" กิเลสก็ดี ตัณหาหรืออุปาทานก็ดี มันไม่สามารถจะบังคับใครได้ นอกจากมันจะหลอกล่อ หรือเล่นกลลวงเอากับมนุษย์ จนมนุษย์ยอมทำตาม เพราะ"ไม่รู้"เท่าทันเท่านั้น ถ้าผู้ใด"รู้"เท่าทัน หรือ"รู้"จริงๆแท้ๆแล้ว ผู้นั้นจะไม่ยอมทำตาม"กิเลส" หรือที่เรียกอยู่เมื่อกี้ว่า ทำตาม"กิเลส" บังคับข่มขู่อยู่เป็นอันขาด เพราะ"กิเลส"บังคับข่มขู่ใครไม่ได้ มันไม่มีพลังอำนาจถึงขนาดอย่างนั้น "คน"ต่างหาก ที่ไป"หลง"กิเลส ไปเชื่อกิเลสมันหลอก มันดึงเข้าพรรค เข้าพวกเอา และข้อใหญ่ข้อหนึ่ง ที่กิเลสมันหลอกมันลวง มันครอบงำเป่าหูอยู่ทุกวันนี้ มันพยายามบอกกรอกหูไว้เสมอว่า "ชาติหน้าไม่มีหรอก" มันไม่บอกเปล่า แถมยังหาข้อแย้งข้ออ้าง ข้อพิสูจน์อะไรต่างๆ มาอธิบาย มาเป็นตัวอย่าง มาชี้แจงให้"คน"หลงเชื่อตามมัน ให้ได้เสียด้วย ผู้ที่คิดว่าตนศิวิไลซ์ ตนฉลาดตนเจริญก้าวหน้า นั่นแล คือผู้"หลง"เชื่อ"กิเลส"พวกนี่ ... และ แล้วก็ได้กระทำการประพฤติตนอยู่ อย่างคนไม่เชื่อว่า "ชาติหน้ามีจริง" ตามที่"กิเลส"มันหลอก ถ้าใครยังเชื่อว่า "ชาติหน้ามีจริง" ไม่หลงเชื่อตาม"กิเลส"มัน ผู้นั้นก็จะไม่กระทำชั่ว เพราะต้องกลัวบาป จะตามไป"ชาติหน้า"

คนผู้มีการประพฤติตนอยู่อย่าง คนไม่เชื่อว่า"ชาติหน้ามีจริง" จึงเป็นภัยกับคนอื่นๆใดๆ เป็นภัยกับสังคม เป็นภัยกับโลก พราะเขาไม่ห่วงความดีความชั่ว เขาไม่ห่วงหน้าพะวงหลังแต่อย่างใด เขาจะไม่เชื่อบาปไม่เชื่อบุญ เขาจะอยู่อย่างอิสรเสรีเต็มที่ ใครทำ-ทำ ใครแย่ง -แย่ง ใครโกง-โกง ใครเห็นแก่ตัวใดๆ ทำได้ทุกกรณี ไม่มียางอาย ไม่มีหวั่นเกรง ไม่มีกระดาก จงสังเกตดูเถิด แม้ในคนผู้มีฐานะดี คนผู้มีความรู้สูง คนผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ คนเหล่านี้ ย่อมอยู่ในข่ายของผู้ไม่เชื่อว่า "ชาติหน้ามีจริง" ทั้งสิ้น ถ้าผู้นั้นทำชั่วทำเลวอย่างไม่อาย ให้เราเห็นเราทราบ

ทำไมข้าพเจ้าจึงยืนยันนักหนาว่า คนพวกนี้ เป็นคนไม่เชื่อว่า"ชาติหน้ามีจริง" ก็เพราะเหตุว่า เขากระทำชั่วได้กระทำเลวได้นั่นเอง คนผู้เชื่อว่า"ชาติหน้ามีจริง" อย่างถ่องแท้ใจ จะไม่กล้าทำชั่วทำเลวเป็นอันขาด แม้นิดแม้น้อย เพราะย่อมไม่มีใคร อยากให้มีดบาดมือ แม้จะแผลเล็กแผลน้อย ย่อมไม่มีใครอยากให้ไฟไหม้หรือไฟลวก หรือแม้ไฟสัมผัสส่วนใดของร่างกาย แม้แต่นิดแต่น้อย นั่นเป็นข้อพิสูจน์ ทุกคนรู้ดีว่า มีดบาดมือ มันเป็นบาปเป็นภัย ทุกคนรู้ดีว่า ไฟไหม้ไฟลน มันเป็นบาปเป็นภัย มันเป็นผล เป็นทุกข์เป็นโทษ เจ็บปวด ทุกคนเชื่อ ทุกคนเข้าใจดี รู้ซึ้งรู้แท้ ถึงผลของบาป ในการถูกมีดบาด ผลของบาปในการถูกไฟไหม้ ดังนั้น คนจึงไม่ยอมให้บาป อันเกิดจากมีดบาด หรือถูกไฟไหม้ เกิดขึ้นกับตนเป็นอันขาด แม้จะเล็กจะน้อยปานใด นี่จึงเรียกว่า ผู้นี้มีความเชื่ออย่างจริงว่า การถูกมีดบาด การถูกไฟไหม้นั้นเป็นบาป เชื่ออย่างสนิทใจ เชื่ออย่างซาบซึ้ง จึงไม่ยอมแตะต้อง"บาป" อันจะเกิดจากถูกมีดบาด เกิดจากถูกไฟไหม้ เป็นอันขาด ดังนี้ จึงจะเรียกว่า "เชื่อ"

เพราะฉะนั้น การที่ยังมีการทำชั่วทำเลวอยู่ ทั้งๆที่รู้ตัวดีว่า ตนยังแตะต้อง"ความชั่ว-ความเลว"อยู่นั้น ผู้นั้นจึงได้ชื่อว่า "ไม่เชื่อ"ว่า"ชาติหน้ามีจริง" ถ้าเชื่อว่า"ชาติหน้ามีจริง" จริงๆแล้ว ก็จะไม่กล้าให้"ความชั่ว - ความเลว" อันต้องเป็น"บาป" แตะต้องแปดเปื้อนชีวิตไว้ เป็นอันขาด เพราะ"บาป" มันให้ผลเป็นทุกข์เป็นภัย และเจ็บปวดทรมานแน่ๆแท้ๆ แต่มันอาจจะให้ในโอกาสต่อไป ซึ่งก็จะเป็น"ชาติหน้า" เสียแหละมาก มันเนิ่นนาน ยืดเวลาออกไปอีกเท่านั้น แต่เป็นจริง เป็นแท้ เหมือนมีดบาด เหมือนไฟไหม้ ยังไงก็ยังงั้น

ถ้าผู้ใดเชื่อจริงๆ เชื่อแท้ๆได้ว่า "ชาติหน้ามีจริง" จะไม่กล้าแตะต้อง หรือกระทำสิ่งใด อันตัวเองรู้ว่า จะก่อ"บาป"เลยจริงๆ ด้วยดังนี้แหละ ข้าพเจ้าจึงขอยืนยันว่า คนผู้ใดยังกระทำชั่ว ยังประพฤติตนในทางที่ไม่ดี ทั้งที่รู้โทษรู้คุณมันอยู่ คนผู้นั้นคือ ผู้ไม่เชื่อว่าชาติหน้ามีจริงโดยแท้ ถ้าผู้ใดเชื่อว่าชาติหน้ามีจริง จริงโดยแท้แล้ว จะไม่กล้าแตะต้องความชั่ว หรือแตะต้องสิ่งที่จะเกิดบาป ที่ตนรู้ตนเห็น ได้ชัดๆแจ้งๆ เป็นอันขาดจริงๆ ถ้าอยากพิสูจน์อีกด้านหนึ่ง ก็จงให้ไปเสาะหา ถามไถ่ หรือสังเกตเอา จากคนผู้ระลึกชาติได้ หรือคนผู้ตายไป พบเห็นนรกเห็นสวรรค์ แล้วฟื้นขึ้นมานั่นเถิด คนผู้ประสบดังนั้นกับตนเอง จะเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่า "ชาติหน้ามีจริง" แล้วจะไม่กล้าแตะต้อง สิ่งที่เป็นบาปหรือความชั่ว ที่จะก่อบาป เป็นอันขาด เหมือนคนเชื่อว่า มีดบาดเป็นบาปเป็นภัยก่อทุกข์ ไฟไหม้เป็นบาปเป็นภัยก่อทุกข์ "ความสนิทใจ" หรือ "ความซาบซึ้งใจอย่างแท้จริง"นี้ เป็นเรื่องที่เกิดใน"คน"ได้ยากยิ่ง มีคนส่วนมาก เข้าใจว่าตน"รู้" ตน"เข้าใจเพียงพอ" ก็พลอยคิดว่า ตนอยู่ในสภาวะ"สนิทใจ" หรือ"ซาบซึ้งใจ" อย่างแท้จริงแล้ว ในสิ่งที่ตน"รู้" และตน"เข้าใจ"นั้นๆ แต่แท้จริง ยังหรอก เหมือนกับหลายๆคน ที่กำลังอ่านเรื่อง "ชาติหน้ามีจริงหรือ?" อยู่นี้ ก็คงจะคิดว่า ตนเอง"เชื่อ"ว่าชาติหน้ามีจริง แต่แท้จริงนั้น "เชื่อ"อย่างนั้นเอง เชื่อเพียงเผินๆ ไม่ได้เชื่ออย่างสนิทใจ หรือถ่องแท้ซาบซึ้งใจอะไร เท่ากับเชื่อว่า มีดบาด ไฟไหม้ จะเป็นบาป เกิดทุกข์หรอก ลองคิดลองชั่งใจตนเองดูดีๆ เป็นอย่างนั้นแทบทั้งนั้น จึงยังคงเป็นผู้กล้าทำชั่วอยู่ ยังไม่มีหิริโอตตัปปะ (การละอายบาป การกลัวบาป) แท้ๆได้สักที หรือใครคิดว่าตัวเองพ้นแล้ว ในการทำชั่วทำเลวในชาตินี้ ได้หยุดทำแล้วจริงๆ ละเว้นแล้วจริงๆ มีไหมเอ่ย? แต่ก็ต้องมีอยู่อย่างแน่ๆ ในจำนวนของพุทธศาสนิกชน เพราะพุทธศาสนิกชนแท้ๆ ปฏิบัติแท้ นั้นมีอยู่ และผู้ที่ได้หยุดทำชั่วทำเลวได้ด้วยสติ ตัวผู้นั้นย่อมได้ชื่อว่า ผู้ถึงกระแสแห่งพระนิพพาน นั่นแล

ดังนั้น เรามาทำความเข้าใจในเรื่อง "ชาติหน้า" กันให้ดี กันดีกว่า

คำว่า "ชาติหน้า" ก็หมายความว่า "มีสิ่งเกิดใหม่" และสิ่งที่เกิดใหม่นั้น ก็ต้องเนื่องมาแต่สิ่งเก่า ไปผุดโผล่ขึ้นมาใหม่ เป็นชีวิตใหม่อีกที เรียกกันว่า "ชาติหน้า"

นั่นคือ ความหมายคำว่า "ชาติหน้า" และก็ถูกต้องที่สุดแล้ว เพราะ "ชาติ" ก็แปลว่า "การเกิด" ชาติหน้า จึงหมายความว่า การเกิดอีกใหม่ ในคราวต่อไป

เรื่องการเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดใหม่ วนเวียน เวียนวนอะไรกัน ไม่รู้จบสิ้นนี้ เป็นเรื่องที่คนสงสัยกันจริง ว่ามันจะเป็นไปดังนั้นจริงๆหรือ? ทำไมจะต้องเกิดใหม่ ทำไมจะต้องต่อเนื่องกันอยู่อย่างนั้น

ถ้าผู้ใดเข้าใจคำว่า "วัฏฏะ" อันคือคำว่าหมุน ว่ากลม ว่าวน "ไม่มีหัวไม่มีหาง"ได้ และเข้าใจคำว่า โลกนี้ หรือโลกไหนก็ตาม มันมีอยู่ ๒ สภาวะเท่านั้น คือ ตายกับเป็น หรือ นิ่งกับเคลื่อน หรือ มีกับไม่มี หรือ หายไปกับคงอยู่ หรือ รูปกับนาม หรืออะไรก็ได้ ที่เป็นสภาวะคู่ ลองนึกคิดเอาเองก็ได้ ถ้าใครเข้าใจดังนี้ ก็จะเข้าใจการวนเวียน ของการเกิดกับตายได้ง่าย และซาบซึ้งใจได้ดี

เพราะมันไม่มีอะไรเกิดใหม่ และไม่มีอะไรสูญหายไปเลยในโลกนี้ นอกจาก มันวนเวียนเปลี่ยนแปรสภาวะอยู่เท่านั้น จากเกิดแล้วก็ตาย จากตายแล้วก็เกิด จากรูปแล้วก็นาม จากนามแล้วก็รูป หรือ จากใหญ่แล้วก็เล็ก จากเล็กแล้วก็ใหญ่ จากช้าแล้วก็เร็ว จากเร็วแล้วก็ช้า เป็นอยู่ดังนี้เรื่อยไป อะไรที่มันมีอยู่ มันก็แสดงความมีอยู่ออกมาให้เห็น และเมื่อมันยังไม่ตาย มันก็จะแสดงตัว ค่อยๆใหญ่ขึ้นๆๆๆ แต่ถ้าสิ่งที่มีอยู่นี้ตายลง มันก็จะแสดงตัว ค่อยๆละลายไป หรือค่อยๆ เล็กลงๆๆๆ มันก็มีอยู่เท่านั้นเอง ในโลกนี้ ไม่เห็นจะมีอะไร ไม่ตายก็เป็น ไม่ใหญ่ก็เล็ก ไม่คงอยู่ก็สูญหายไป ก็เท่านั้น ดังนั้น เมื่อเราเกิดมาแล้ว มันก็คือ "เป็น"แล้วก็ต้อง"ตาย" เมื่อ"ตาย"แล้ว จะไปไหนล่ะ ก็ต้องกลับมา"เป็น"อีก จนได้หนะแหละ เพราะไม่เช่นนั้น อะไรล่ะจะกลับมา"เป็น" ถ้าไม่ใช่เรา เพราะในโลกนี้ ไม่มีอะไรเกิดใหม่ และไม่มีอะไรสูญหายไป แม้ปราชญ์ชั้นไอสไตน์ ยังไม่ถึงขั้นพระพุทธเจ้าเลย ยังยืนยันว่า โลกนี้มีแค่สสารกับพลังงาน และไม่มีอะไรสูญหายไปไหน มีแต่การแปรสภาพ และเคลื่อนที่เท่านั้น แต่พระพุทธองค์ รู้มากกว่าไอสไตน์อีกว่า นอกจากแปรสภาพและเคลื่อนที่แล้ว ก็หมุนวนเวียนเป็นวัฏฏะอยู่แล้ว ก็ต่อเนื่อง เป็นไปด้วย"กรรม" และแม้การตัดวัฏฏะ ของสิ่งใดๆให้ขาด ทำอย่างไร พระพุทธองค์ก็ทราบวิธี หรือจะนำ"พลังงาน" มาใช้ในรูปใด พระพุทธองค์ก็ทรงสามารถทำได้ทั้งสิ้น เมื่อมันไม่มีอะไรอื่นอีก มันก็มีสิ่งที่มันมีอยู่เท่านั้น ก็จริงไหมล่ะ ทุกคนลองคิดดู ดังนั้น สิ่งที่เป็นไปอยู่ในโลกเรานี้ มันก็คือความหมุนเวียน การเปลี่ยนสภาวะของสมบัติต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้เท่านั้น ไม่มีอื่นใดอีกเป็นอันขาด

ด้วยเหตุนี้ สภาวะต่างๆที่มันเกิดมา มันก็จะต้องเกิดมาจากสมบัติที่มีอยู่ และก็ต้องแน่นอนที่สุด สภาวะใดที่อุบัติใหม่ขึ้นมา มันก็จะต้องอุบัติมาจากสภาวะเก่า และจะต้องต่อเนื่องกันไป เป็นลำดับๆ จะไม่ขาดสายจากกันได้เป็นอันขาด เรียกว่า "สัมพันธภาพ" ที่ไอน์สไตน์เรียกว่า "Relative" นั่นเอง สิ่งที่จะร่วมการเกิด การผสมผเส หรือรวมตัวขึ้นมา ก็จะต้องเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ๆกันนี่เองแหละ มันจึงจะเกิดการ"ร่วม" หรือการ"รวมตัว"กันได้ ถ้ามันอยู่กันคนละฝั่งละแดน มันก็ย่อม จะนำมา"ร่วม" หรือ"รวมตัว"กันไม่ได้แน่ๆ สิ่งที่จะเป็นไปต่อเนื่องกัน มันก็ต้องอยู่ในสถานที่ อยู่ในเวลา และอยู่ในสภาพที่จะนำมาร่วมมาหมุน มาผสมผสานกันไปได้พอดี และมีโครงสร้างที่พอเหมาะพอเจาะกัน ในวาระนั้นๆด้วย มันจึงจะเป็นกฎธรรมดาๆ ถ้าไม่เช่นนั้น ก็เป็นปาฏิหาริย์ เป็นเรื่องเกินกว่าเหตุ เป็นเรื่อง"ผีจับยัด" หรือเป็นเรื่องที่เรียกในสำนวนว่า "พระเจ้าสร้าง" แต่แท้จริง เรื่องของ"พระเจ้าสร้าง"นั้น ก็จะต้องสร้างตามเหตุตามปัจจัย จะจับ"ยัด" เอา"หัวแดง ตาสีฟ้า"ของฝรั่ง มาต่อให้"ร่างเล็กผิวขาวเหลือง" ในเมืองไทย โดยไม่มีการเกี่ยวข้องกันเลย ไม่ว่าจุดใดนั้น ไม่มี"พระเจ้า"องค์ไหนบันดาลได้ หรือ "ผี"ตนใดจับยัดใส่ได้ ถ้าขืนอยู่กันคนละฟากโลก ดังนี้ละก็ จะเกิดได้เป็นได้ จะต้องมีที่มา เกี่ยวโยง ติดต่อซึ่งกันและกันมาเสมอ ไม่เมื่อใดก็เมื่อหนึ่งเป็นแน่แท้ จะเกิดโดยไม่มีเหตุนั้น เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ส่วนสภาวะใด จะดีจะเลว จะเป็นไปในรูปใดอย่างไร มันก็ต้องขึ้นอยู่กับการผสมปรนปรุง หรือสร้างขึ้นมา แล้วใครล่ะเป็นผู้สร้าง ถ้าไม่ใช่ตัวเราเองอีก

ด้วยประการดังนี้ "คน" ผู้ตายโดยไม่"สิ้นกรรม" และไม่ใช่"สิ้นอายุ" คือตายโดย"อุปัทวเหตุ" ซึ่งเกิดการบังเอิญ เพราะกรรมใหม่ของตนเองกระทำขึ้น เรียกว่า ยังไม่ถึงคราวตายแต่ตาย คนผู้นี้จะมีโอกาส มาเกิดใหม่ได้อีก และส่วนมาก มาเกิดเร็วด้วย ยังไม่ต้องไปตกนรก หรือขึ้นสวรรค์ ตามแรงกรรม ยังจะได้รับอนุญาต (ที่จริงไม่มีใครอนุญาตหรอก นอกจาก แรง"ตัณหา"ของตนเอง) ให้มาเกิดเป็น"คน"อีก จึงมักจะเกิดวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เช่น เกิดใหม่มาเป็นลูกของลูก (คือ เช่นพ่อหรือแม่ ตายแล้ว กลับมาเกิดเป็นลูกของลูก) หรือเป็นน้องของตัวเองอีกที (ชาติก่อนเป็นพี่ ชาติใหม่เป็นน้อง) หรือ เกิดอยู่ในเครือของคนบ้านใกล้เรือนเคียง หรือห่างไปหน่อย ก็ไม่ไกลข้ามฟาก ข้ามแดน ข้ามจังหวัด ข้ามภาค อะไรไปนัก ยังเกี่ยวเนื่องวนเวียนกันอยู่ ในส่วนใกล้ๆเคียง เป็นต้น แต่ถ้าคนตายอย่างธรรมดา คือ ตายโดย"สิ้นอายุ" ก็จะต้องไปจมอยู่บนสวรรค์ หรือตกอยู่ในนรก อีกนานแสนนาน กว่าจะได้กลับมาเกิดอีกใหม่ เพราะ"คน"นั้น "ตัณหา"เป็นแรงนำเกิดเสมอ เมื่อมี"ตัณหา"หนัก เห็นแก่ตัวมาก ในขณะเป็น"คน" ก็ก่อ"บาป"ไว้มาก และ "คน"ส่วนมาก มักจะอยู่ในจำนวนนี้ คือเห็นแก่ตัว และยอม"ก่อบาป" ไว้ด้วยแรงตัณหา ที่เห็นแก่ตัวนี่เอง บาปจึงสะสมมาก และ จะต้องไปตก"นรก"เสียก่อน ดังพระพุทธองค์ตรัสไว้ ในอังคุตตรนิกาย เอกนิบาตว่า
"... คนที่ตายไปแล้ว กลับมาเกิดเป็นคนได้อีกนั้น มีจำนวนน้อยนัก ส่วนที่ตายไปแล้ว ไปเกิดในนรก ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไปเกิดเป็นเปรตนั้น มีจำนวนมากกว่ามากนัก โดยแท้จริง..." ดังนี้ เป็นต้น

และแม้จะไม่ตก"นรก" ก็จะไปเกิดบนสวรรค์เสีย ก็มีจำนวนไม่น้อย (แต่ก็มีจำนวนน้อยกว่าไปตกนรก แน่ๆ) ที่ไปเกิดบนสวรรค์นั้น ก็เพราะแรง"ตัณหา" อีกนั่นเอง คือ ผู้ที่ระลึกเห็น"สวรรค์" เป็นแดนสุข ปรารถนาสวรรค์ เป็นถิ่นที่น่าอยู่น่าไป นั่นคือ ผู้แสวง"บุญ" แสวง"กุศล" จึงพยายามทำบุญทำทานทำกุศลต่างๆ อันจะพึงมีโอกาสทำได้ ก็เพียรทำ จิต (อันเต็มไปด้วยตัณหา) ก็มุ่ง"สวรรค์" มุ่ง"สุข" บนแดนสวรรค์ ทุกครั้งไป ที่ทำบุญทำทานทำกุศล เมื่อสะสมบุญ สะสมกุศลไว้มาก เพียงพอ ก็ย่อมต้องไปเกิดเสพสุขตาม"กรรมที่ตนได้ก่อ" ได้สะสมไว้นั้น อย่างแน่นอน ถ้า"เหตุ" คือบุญกุศล มากกว่าบาป-อกุศล ผู้นั้นจะต้องขึ้นสวรรค์ ไม่มีปัญหา และก็จะไปจมอยู่บนสวรรค์ อีกเนิ่นนาน จนลืมชีวิตเก่าๆ อันเคยเป็นมนุษย์ ทุกอย่างทุกประการ และก็อีกเช่นกัน ผู้ไปเป็นเทพบุตรเทพธิดาอยู่บนสวรรค์นั้น ก็คือ ผู้จมอยู่กับ"กามตัณหา"อยู่อีกนั่นเอง เมื่อมีแต่"สุข" ก็จะหลงระเริงอยู่แต่กับ"สุข"นั้น บังเบียดผู้อื่น และบังเบียดตัวเอง เสพสุขอันเป็นกามนั่นเอง อยู่บนสวรรค์ ไม่ก่อความบริสุทธิ์ผ่องใส ให้แก่"จิต"ตนเองแต่อย่างใด เมื่อ"กินบุญ"ที่สะสมไว้นั้น จนหมดจนสิ้นแล้ว ก็จะเกิดเป็นสัตว์อื่นอีกต่อไป เมื่อตายจากชาตินั้น และส่วนมาก แม้เทพบุตรเทพธิดาก็ดี พระพุทธองค์ก็ตรัสไว้ อีกหนะแหละว่า "...เทวดา ที่ตายจากสวรรค์แล้ว จะได้มาเกิดเป็นคนในเมืองมนุษย์อีกนั้น ก็ยากกว่ายาก ส่วนมากไปเกิดในแดนนรก เป็นเปรต เป็นเดรัจฉาน เสียแหละมาก" เพราะกินบุญเก่าเสียจนเกินทุน เสียเป็นส่วนใหญ่

ดังนั้น การจะเกิดเป็น"คน" จึงไม่ใช่ของง่ายเลย แม้ผู้ที่เชื่อว่า "ชาติ"นั้น ติดต่อๆกันไปตามลำดับ เป็นชาติแล้วชาติเล่า หรือ "การเกิด" ต้องติดต่อกันตามลำดับๆ เหมือนลูกโซ่ จะเป็นความจริงก็ดี จึงควรจะเรียนรู้ให้ได้ว่า การเกิดที่ดี ที่ประเสริฐสุดนั้น ไม่มีแดนไหน ประเสริฐเท่าแดนมนุษย์ หรือเกิดเป็นคนนี่ ได้เป็นอันขาด ความเป็นมนุษย์ คือความเป็นกลาง เป็นความบริสุทธิ์ถ้วนทั่ว เพราะจะสร้าง"กรรม" ใดๆ ก็ได้ เร็วกว่าเกิดใน"ภพ" ใน"ภูมิ"อื่นๆ และได้รวดเร็ว เป็นผลได้สูงกว่าสัตวโลก ใน"ภพ"ใด "ภูมิ"ใด ทีนี้ ก็คงมีผู้อยากจะทราบบ้างกระมังว่า แล้วทำอย่างไรล่ะ จึงจะได้เกิดมาเป็น"คน" อีก

ก็อยู่ที่แรง"ตัณหา" และแรง"กรรม" นี่อีกหนะแหละ ผู้อยากเกิดเป็น"คน"อีก จะต้องมี"ตัณหา" คือ จิตมุ่งจะเกิดเป็นคน อย่ามุ่งไปเป็นเทพบุตรเทพธิดา อยู่บนสวรรค์นั้นหนึ่ง หรือทำบุญทำทาน อย่าไปตั้งจิต หวังบุญหวังกุศล และจงประกอบ "กรรม"ให้ดี ให้พอเพียง ที่จะยังพออยู่ในภพมนุษย์นี้ได้ด้วย

ก่อ "กรรม"อย่างไร ถึงจะเรียกว่า ให้ดีให้พอที่จะอยู่ในภพมนุษย์ "กรรม"ที่ว่านั้นก็คือ จะต้องไม่ทำชั่วทำเลว มากเกินกว่า ๕๐ เปอร์เซ็นต์ของชีวิต การจะรู้ว่า ตนเองทำชั่วทำเลวได้แค่ใดนั้น ก็จะต้องให้พระอริยบุคคลขึ้นไป จึงจะตัดสินชี้ขาด หรือเป็นตุลาการให้ใครได้ ตัวมนุษย์ผู้ใดหรือปุถุชนคนใด ก็จะชี้ขาด หรือมองความชั่วความเลวของตัวเองออกนั้น หาได้ยากยิ่ง จึงไม่รู้ว่าตนก่อความชั่ว หรือความเลวไว้เท่าใด แต่ถ้าจะให้ดีก็คือ ต้องมี"สติ"ให้ได้เสมอ แล้วก็พยายามรู้ ให้ได้ทุกลมหายใจเข้าออกว่า เราทำ-พูด-คิด อยู่ทุกขณะนี้ อันใดรู้สึกว่า ไม่ควรไม่ถูกไม่ตรงไม่ชอบ ก็ให้งดเว้นเสีย ทำแต่ที่ควรที่ถูกที่ตรงที่ชอบ ทำดังนี้เสมอ ทำทุกเวลาทุกวินาที ทุกลมหายใจเข้าออกให้ได้ ผู้ที่ทำได้อย่างนี้ เกินกว่า ๕๐ เปอร์เซนต์ของชีวิต ทั้งการไม่ลืมตัว คือ "มีสติ" และทั้งการได้ประพฤติ ในการทำ - พูด - คิด ในทางที่ดี ที่ควรที่ถูกที่ตรง ที่ชอบละก็ ผู้นี้ก็จะมีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์ได้แน่ๆ ถ้าทำได้น้อยกว่า ๕๐ เปอร์เซ็นต์ คือทำไม่ดี ทำไม่ถูกไม่ตรงไม่ชอบ เกินกว่า ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ผู้นั้นก็คือ ผู้มี"บาป" ต้องตกนรกนั่นเอง ก็ย่อมไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ดังนั้น ต้องพยายามสะสม"กรรม" ดังกล่าวแล้ว ให้เกินกว่า ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ขึ้นไปให้ได้มากเท่าใด ยิ่งได้เกิดเป็นมนุษย์ แน่นอน มากเท่านั้น และเป็นมนุษย์ที่กำเนิดดี มีเผ่าพันธุ์ดี ตามแรง"กรรม"ของตน

และอีกอย่างที่ต้องขอเน้น ก็คือ ใน"กรรม" ที่ตนปฏิบัตินั้นๆ จะเป็นทานเป็นกุศลใดก็ตาม อย่าไปตั้งจิตอธิษฐาน เป็นสุขเป็นสวรรค์ เป็นอันขาด ให้ทำไปโดยบริสุทธิ์ ทำไปโดยไม่หวังอะไร ทำไปโดย ให้แจ้งใจตนเองให้ได้ว่า เราทำเพื่อสำรอก ใจเราเท่านั้น ทำเพื่อการไม่ตระหนี่ถี่เหนียวเห็นแก่ตัว ทำเพื่อประโยชน์โลก ประโยชน์ของสิ่งที่เกิดอยู่นั้น โดยตรงโดยแท้ เช่น การทำทานแก่คนจน เราก็จงให้คนจนนั้นไป โดยเพื่อให้เขาได้ใช้สมบัติที่เราให้นี้ เป็นการจุนเจือ เอื้อเฟื้อคนจน คนนั้นจริง ด้วยเมตตา ด้วยกรุณามุทิตา และต้องไม่หวังผลตอบแทนใดๆ จากการทำทานนี้ด้วย ทำใจให้บริสุทธิ์ วางเฉย และเช่น ทำบุญโดยช่วยสร้างโรงพยาบาล ดังนี้ ขณะที่ทำ ก็จงทำโดยตรงๆ ทำโดยอย่าไปคิดเพื่อลาภ เพื่อยศ เพื่อสรรเสริญ ใดๆ เป็นอันขาด ถ้าเราทำ ก็เพราะเรามีเงินหรือมีสมบัติจะทำ แล้วก็ให้มันเป็นสถานที่ดำรงประโยชน์แก่สัตวโลก หรือมนุษย์อื่นๆได้คลายทุกข์ อันเกิดจากเจ็บไข้ และก็อย่าไปหวัง แม้สวรรค์สมบัติอีกด้วยเช่นกัน การทำบุญทำทาน ทำกุศลใด ทุกครั้งทุกครา ต้องพยายามทำให้ได้ดังนี้ เมื่อทาน - บุญ - กุศล มันเกินกว่า ๕๐ เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป และ เราไม่ได้หวังสวรรค์สมบัติ อันใดเป็นแน่แท้ เราก็เป็นอันหวังได้ว่า เราจะเกิดมาเป็นมนุษย์ มาเป็นคนอีกในชาติหน้า และ จะสู่ดีด้วยตาม"กรรม" ที่เราได้สั่งสมเป็น"บารมี"ของเรา และจะเวียนมาเกิดเร็วด้วย

ดังนั้น จงแน่ใจเสียเถิดว่า ผู้เป็น"คน"ในชาตินี้ จะได้เกิดมาเป็น"คน" อีกในชาติหน้านั้น จะต้องก่อ"กรรม"ทำดีให้มาก เกินกว่า ๕๐ เปอร์เซ็นต์ในชีวิต และจะต้องก่อด้วยใจบริสุทธิ์ด้วย ถ้าแม้นไม่บริสุทธิ์ คือ ไปเป็นตัณหา หวังลาภยศสรรเสริญ หวังสวรรค์ด้วย ก็จะยังไม่มี"บารมี"อันเพียงพอ ที่จะเกิดมาเป็น"มนุษย์"ได้อยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้น ให้แน่ๆ ผู้ก่อ"กรรม"ดี ที่จะหวังได้ว่า จะได้เกิดมาเป็น"มนุษย์" จึงจะต้องก่อ"กรรมดี" เกินกว่า ๗๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป จึงจะหวังได้ เพราะใน ๗๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์นั้น ย่อมเป็นของแน่ว่า ปุถุชนผู้ก่อ"กรรม"นั้น ย่อมต้องอดไม่ได้ ที่จะหวังลาภ-ยศ-สรรเสริญ แม้ไม่หวังสวรรค์แล้วก็ตาม ดังนั้น เมื่อหวังลาภ-ยศ-สรรเสริญ มาเป็นผลตอบแทนในชาตินี้ ชาติที่เราทำนี้แล้ว ก็เป็นอัน"กรรมดี" อันนั้นหมดไป ไม่เหลือ"กรรมดี"นั้นไว้ เป็นสิ่งสะสมเป็น"บารมี" "กรรมดี"นั้น จึงพร่องไปด้วยดังนี้ หากจะให้"กรรมดี"นั้นบริสุทธิ์ เหลือสั่งสมเป็น"บารมี" เพียงพอหรือมากๆ เราก็จะต้องไม่รับผลตอบแทนใดๆเลย ในชาตินี้ แม้เขาจะตอบ แม้เขาจะนำมาให้ เราก็ปฏิเสธ ไม่รับทั้งนั้น หรือแม้ได้มาเป็นลาภเป็นยศเป็นสรรเสริญใด ก็ต้องไม่ยินดี ต้องนำออกบริจาคต่อ นำไปสร้างไปเสริม เป็นการสั่งสม"กรรมดี" หรือ"บารมี" ต่อไว้อีกให้ได้ นั่นแหละ เราจึงจะมี"กรรมดี" มี"บารมี"มากเพียงพอ ไม่เช่นนั้น การจะสะสม"กรรมดี" ไว้เป็น"บารมี" ให้ถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์นั้น จะไม่ได้เป็นอันขาด และถ้าทำได้อย่างบริบูรณ์ ยิ่งเป็นกรรมดี ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แถมในจิตผู้นั้น ไม่ทำเพื่อหวัง แม้ยศ แม้สรรเสริญ โดยแท้จริง ผู้นั้นก็ถึงบริบูรณ์ยิ่ง เป็นผู้บรรลุ"นิพพาน" นั่นเอง

มันจึงยากยิ่ง ที่"คน" จะได้เกิดมาเป็น"คน"อีก ลองอ่านทบทวน ทำความเข้าใจให้ดี และลองเปรียบเทียบจิตใจเรา ไปตามเรื่องเหล่านี้ดู เราจะต้องแก้ไข หรือปรับปรุงตัวหรือไม่ และเราจะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ หรือจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์อีก ลองคิดเอาเองดูซิ แต่ก็คงจะถูกต้องได้ยาก ทว่าก็ยังดี เราควรนึกถึงตัวเราเองให้มากๆ แม้จะไม่ตรงนัก มันก็จะยังเป็นส่วนดีส่วนได้ของเรา ก็จงพยายามทำเอาเถิด ถ้ายิ่งใครคิดปล่อยชีวิตตามยถากรรม หรือยิ่งไม่กลัวบาปกลัวกรรม ชาติชีวิตสืบต่อไป มันก็ยิ่งจะต่ำ จะทุกข์ทรมานยิ่งขึ้นเท่านั้น

ผู้จะได้บรรลุเป็น พระอริยบุคคลนั้น จะต้องได้ในชาติที่เป็นมนุษย์นี่เอง เป็นสัตวโลกอย่างอื่นใด แม้เป็นเทพบุตร เป็นพรหม ก็จะบรรลุไม่ได้ และแม้จะบรรลุ เป็นยอดแห่งอริยบุคคล ขนาดขั้น "อนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า" ก็ยังต้องมาเกิด ในแดนมนุษย์ เป็น"คน"นี่เอง ก็คิดดูเอาก็แล้วกัน เหตุผลต่างๆ ที่ได้อธิบายมานั้น มันไม่ใช่มีเท่านี้ดอก ที่จะชี้จะแจ้งให้ทราบ ประกอบให้เชื่อว่า "ชาติหน้ามีจริง" มันมากมายกว่านี้อีก ร้อยเท่าพันเท่า

ดังนั้น สำหรับคราวนี้ ก็ขอเล่ากัน แต่ในเสี้ยวธุลี ของเหตุผลหนึ่งไว้เสียก่อนว่า "ชาติหน้านั้นมีจริง" อย่าได้กังขา ทว่าอย่าหวังอะไรในชาติหน้าเป็นอันขาด จงก่อกรรมด้วยใจบริสุทธิ์ ใจว่างๆใจเฉยๆนั่นเถิด แล้วผู้นั้น จะไม่มีแม้ชาติหน้า แต่นั่นแหละ ผู้มี"ปัญญา"น้อย รู้ไม่ได้ เชื่อไม่ลง ก็ย่อมจะเชื่อไม่ลง หรือไม่ยอมเชื่อ หรือแม้จะเชื่อ ก็เป็นการเชื่ออย่าง"งมงาย" ยังไม่ใช่เชื่ออย่าง"ศรัทธา" จึงก็ยังไม่ดี ไม่ตรง ไม่ถูก ไม่ต้อง ไม่ชอบ อยู่นั่นเอง แต่เราจะมี "ศรัทธา" จะมีความเชื่อที่ถูกต้องได้ ก็ต้องมี"สติ" ใช้"สมาธิ" และไตร่ตรองวิจัยอยู่เสมอ พิจารณาอยู่เสมอ ทำ-พูด- คิด ให้ดีให้ชอบให้ควรอยู่เสมอ แล้ว"ศรัทธา"เราจะมีได้ จะเชื่อว่า "ชาติหน้ามีจริง"ได้ อย่างถูกแท้ อย่างจริง และ อย่างละเอียดถี่ถ้วน

๔ เม.ย.๒๕๑๓

ประกายธรรม ๒

******