เม็ดทราย ๙

ดอกอโศกร่วงหล่น
กาลเวลาย่อมกลืนกินสรรพสิ่ง รวมทั้งตัวของมันเอง
จะมีก็แต่สัจธรรมอันอมตะเท่านั้น ที่ยืนยงอยู่เหนือกาลเวลา
ส่วนอสัจธรรมนั้นย่อมพินาศเสื่อมสิ้นไป
นี่คือความจริงอันยากยิ่งที่ผู้ใดจะปฏิเสธได้
ดอกอโศกร่วงหล่น...
ร่วงหล่นไปตามกรรมและกาละ
บางดอกเมื่อร่วงหล่นลงสู่พื้นดินแล้ว
ก็แปรสภาพเป็นปุ๋ย บำรุงเลี้ยงลำต้น ให้เติบโตต่อไป
แต่บางดอกก็แพร่พิษร้าย กระจายไปทั่ว
เพราะแท้จริงแล้ว มันหาใช่ดอกอโศกไม่
มันเป็นเพียงดอกกาฝาก ที่เต็มไปด้วยพิษร้าย
แอบแฝงเกาะกินต้นอโศก มาช้านาน
จนผู้คนหลงเข้าใจ ว่ามันคือดอกอโศกแท้ๆ ดอกหนึ่ง
กาฝากที่เกิด ภายหลังลำต้นเติบโตแล้ว
ย่อมถูกประสบพบเห็น ได้โดยง่าย
แต่กาฝาก ที่เกาะกินอยู่ตั้งแต่ ต้นยังเป็นหน่ออ่อน
แอบแฝงเจริญเติบโตขึ้นมา พร้อมๆกับลำต้น
แทรกอยู่กับกิ่งก้านสาขา อย่างกลมกลืนสนิทเนียน
ก็ยากยิ่งที่ผู้ใด จะสังเกตเห็นได้
เมื่ออโศกเติบใหญ่ขึ้น จนผลิดอกออกช่อ
ดอกของกาฝาก พิษก็บานสะพรั่ง
เปล่งสีสันสวยสดตระการ
ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่ว
งามยิ่งกว่า หอมยิ่งกว่า ดอกอโศกแท้ๆเสียอีก
ด้วยที่จริงแล้ว อโศกมิใช่ไม้ดอก
แต่เป็นไม้ผล แห่งความพ้นโศก
ซึ่งเป็นอาหารแห่งวิญญาณ ของเหล่าเวไนย

ดอกอโศก จึงไม่เปล่งสี ส่งกลิ่นจัดจ้าน
มีแต่ความเข้มข้นแห่งธรรมรส
อันเป็นที่ใฝ่เสพ ก็แต่เฉพาะวิญญูชน ผู้รู้ค่าเท่านั้น
สีสันและกลิ่นหอม ของดอกกาฝากพิษ
ย่อมยั่วยวนใจให้ผู้คน หลงใหลเสน่หา
ไม่เฉลียวถึงพิษร้าย ที่ซ่อนเร้นอยู่ ในความหวานหอม
แม้กระทั่ง อโศกบางดอก ที่อ่อนเดียงสา
ก็ยังหลงเอนซบด้วยศรัทธา โดยไม่รู้เท่าถึงการณ์
ปล่อยให้พิษร้ายกัดกร่อน จนแคระแกร็น
จนเมื่อกาฝากพิษ หลุดร่วงไปแล้ว
ดอกอโศกน้อย จึงค่อยรู้สึกตัว ด้วยความช้ำชอก
แม้จะยังไม่สาย ก็เกือบบรรลัยไปเหมือนกัน
บทเรียนบทนี้ ราคาแพงนัก !
หลุดร่วงไปแล้วหนอ กาฝากเอย
แม้เจ้าจะหลุดร่วงไป พร้อมกับดอกอโศก ที่ร่วงหล่น
แต่เจ้าก็ไม่ใช่ดอกอโศกหรอก
เพราะถ้าเป็น ดอกอโศกที่แท้แล้ว
ถึงมันจะถูกด้วงแมง เจาะไชจนเน่าเสีย ก่อนเป็นผล
ต้องหลุดจากขั้ว ร่วงหล่นลงสู่ดิน
มันก็จะยังอุทิศซาก ให้เป็นปุ๋ยแก่ต้นอโศก
จะไม่ยอมแพร่พิษร้าย ทำลายเผ่าพันธุ์ของมัน เป็นอันขาด
สิ้นสุดกันเสียทีนะ เจ้ากาฝากพิษ
อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย
เมื่อพายุผ่านพ้นไป ท้องฟ้าก็แจ่มใส
หลังอโศกสลัดใบ ก็มีแต่ความเขียวสะพรั่ง
ไม่โรยราด้วยใบแก่ ดอกเน่า และกาฝากพิษอีกต่อไป
ความตายก็คือความเกิด
บัดนี้อโศกเกิดใหม่ เป็นทวิชาติอีกครั้ง
ภายหลังจาก ต้องลมพายุโหมกระหน่ำ
จนต้องขุดรากถอนโคน จากแดนดิน ถิ่นกำเนิดในอดีต

ฉันใกล้เป็นอโศก
ฉันอาศัยอยู่ใต้ต้นอโศก
ตั้งแต่ต้นเป็นพุ่มเล็กเล็ก
จนกระทั่ง แตกใบ แตกกิ่ง
แผ่ร่มเงากระจาย ไปทั่วฟ้ากว้าง
แต่เชื่อไหมว่า...
ฉันไม่มั่นใจ ว่าเป็นพวกอโศก แต่อย่างใด
ทั้งทั้งที่ฉัน ก็ตั้งปณิทานแน่วแน่
ขอยึดหลักธรรม เป็นแกนนำชีวิต
ฉันปฏิบัติธรรม ตามแนวอโศก
จากการเอาศีลมาเป็นรั้ว
และรัดรั้วให้เข้มข้นขึ้น
จากศีลจนกลายเป็นสมาธิ
และสมาธิก็ได้กลายเป็นปัญญา
น่าแปลก!
ที่แม้ฉันจะฝึกพากเพียร ลดละอยู่
แต่ฉันก็ยังไม่มั่นใจว่า
ตัวเองคือ อโศกคนหนึ่ง
แม้จะคลุกคลีกับหมู่ สหธรรมิกมากมาย
ฉันก็ยังรู้สึก ถึงความมีช่องว่าง
ช่องว่างระหว่างฉัน กับหลักธรรม ของชาวอโศก
แม้ฉันจะดำเนินรอย ตามรุ่นพี่ ไม่ผิดเพี้ยน
แต่ในห้วงลึกแห่งหัวใจ
ฉันรู้ว่า...มันยัง ๆ
มันยังไม่ได้เป็น ชาวอโศกเต็มตัว
ฉันรู้สึกว่า ยังห่างจากอโศกมากนัก
อโศกคืออะไรหนอ?
ฉันมักจะถามในใจอยู่เสมอ

อโศกคือนิมิตใหม่ ของพุทธสถาบัน
อโศกนั้นคือ หลักธรรมอันบริสุทธิ์
แต่...โอหนอ! บริสุทธิ์นั้น คืออะไรกันเอ่ย ?
และแล้ว...
นับแต่อโศกดอกแรก ที่ร่วงหล่น
และกิ่งใบบางส่วน ที่หลุดผล็อย
ทยอยอุบัติขึ้น
ต่อหน้าต่อตาของฉัน
บางดอกที่เรียบร้อย
กลับถูกหนอนเจาะกิน
บางดอกที่เขื่องโข กลับมีแต่ความว่างเปล่า
บางกิ่งที่ดูแข็งแรง กลับเปราะเหลือแสน
ใบที่เขียวสด
กลับซีดเน่าใน ยามลับตาคน
กลางเสียงหวีดร้อง อย่างสุดเสียดาย
กลางเสียงสะอึกสะอื้นโหยหา
ที่ดอกแต่ละดอก กิ่งใบแต่ละกิ่ง
หล่นลงไปอย่างไม่คาดฝัน
มันหล่น แล้วก็หล่น
มันตก แล้วก็ตก
ผล็อย ! ผล็อย !
ตุ๊บ ! ตุ๊บ !
จากเสียงร้องไห้ของฉัน
ที่เห็นการ่วงหล่นครั้งกระโน้น

มาบัดนี้
เสียงนั้นก็หายไป
และหายไปอย่างกู่ไม่กลับ
ฉันได้แต่พยักหน้ารับรู้

รับรู้ถึงความตายที่เกิดขึ้น
ด้วยดวงใจที่ไม่ไหวสะท้าน
จากหัวใจอันปวดร้าว
ได้กลายมาเป็นขุนเขา อันหนักแน่น
จากความไม่ยอมที่จะฝืน เอาชนะโลก
ก็ได้คลายปล่อย ให้ไหลไปตามกระแส
จากดวงจิตที่ปักมั่นตายตัว
ก็เริ่มคลายเกลียว
ยอมรับถึงความเป็นอนัตตา แห่งสรรพสิ่ง
ฉันมั่นใจและแน่ใจ
ว่าเริ่มไหลเข้าสู่ความเป็นอโศก
เพราะฉันกำลังได้บทเรียน อันล้ำค่า
ที่ยากจะหาเงินทองซื้อหา
มันทำให้ฉันเริ่มรู้
เริ่มเข้าใจ
เริ่มแจ้งสว่างโพลง
ไม่มีผิดฝา
ไม่มีผิดตัว
ว่าสัทธรรมที่แท้คืออย่างไร ?
ธรรมะที่แท้คืออะไรกันแน่ ?
ไม่ใช่เพียงแค่ตาเนื้อ
ไม่ใช่เพราะเห็นเคร่งสำรวม เรียบร้อย
ไม่ใช่เพราะเห็นว่า ปฏิบัติมานาน
ไม่ใช่เพราะเห็นพูดธรรมะเก่ง แตกฉาน
และไม่ใช่เพราะ มีผู้เคารพศรัทธามากมาย
สิ่งเหล่านี้เป็นเพียง ส่วนประกอบเท่านั้น
ธรรมะก็คือธรรมะ
ธรรมะย่อมหยั่งลงที่จิต
มีใจอันเมตตาใสสะอาด

มีจิตอันไร้ฝ้าธุลีหมอง
มีศีลอันบริสุทธิ์
ไร้ทุกข์ มาเข้าครอบครองต่างหาก
ตุ๊บ! ตุ๊บ!
ผล็อย! ผล็อย!
หล่นอีกแล้ว
ฉันรีบเดินไปดูอย่างกระหาย
ดูซิว่ามันเน่าร้ายตรงไหน
เพื่อที่ฉันจะได้ป้องกัน
เพื่อที่ฉันจะได้เห็นชัดขึ้น
ในธรรมะที่แท้ ว่าคืออย่างไร
โอ! โอ!
เพราะฉันเริ่มรู้ว่า
ธรรมะที่แท้คืออะไร
ฉันจะได้ประพฤติปฏิบัติ
และวางตัวปรับจิต ได้ถูกต้องยิ่งขึ้น
โอ! โอ!

กาฝาก
๘ สิงหาคม ๒๕๒๒



บทปฏิบัติใดที่ "เป็น" ได้แล้ว ดีแล้ว
มีผล เห็นผล และ "เป็น" จนมั่นใจแล้ว
ก็จงเพิ่มบทปฏิบัติใหม่ ให้ "เป็น" ใหม่ ได้ใหม่
ให้ดีอีก มีผลเห็นผลอีก เรื่อยๆ ไป
ดั่งนี้แล คือ ผู้เดินเข้าหานิพพาน

สมณะโพธิรักษ์
๒๙ สิงหาคม ๒๕๒๒



เมื่อใดก็ตาม ที่เราเฝ้าดูจนรู้จักใจของเรา
ชีวิตของเราจะเปลี่ยนแปลง
เราจะทำอะไร ก็ด้วยใจของเรา
คบมิตรก็ด้วยใจของเรา
ไม่ใช่ความคิด ที่แอบแฝงผลประโยชน์ หรืออามิสอยู่เบื้องหลัง

บางที เมื่อเราทักทายผู้คนนั้น
เราต้องการผลประโยชน์ หรืออามิสอยู่เบื้องหลัง
เราต้องการอะไรบางสิ่งจากเขา
เราแสร้งทำเป็นคนดี ความดีจากที่เราเสแสร้งขึ้น ไม่ใช่ความดี
แต่ความดีทีแท้จริงนั้น ออกมาจากดวงใจ ดวงใจที่ซื่อบริสุทธิ์

ความเมตตาที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่การเสแสร้งเมตตา
แต่เป็นผลของการสิ้นเวร สิ้นภัยในมนุษย์
พฤติกรรมที่เหลือ จึงจัดว่าเป็นเมตตาเกื้อกูล

เขมานันทะ



เสืออยู่ดงพงไพรใครก็หวาด
เพราะอำนาจพยัคฆ์จักขยาย
โจรทมิฬหินชาติพิฆาตกาย
ยิ่งเลวร้ายสูงสุดอาวุธมา
เปรียบคนที่มีมานสันดานชั่ว
ได้ชุบตัวแตกฉานการศึกษา
ยิ่งเลวร้ายหลายเล่ห์ทุกเวลา
เพิ่มศักดาตามมานสันดานเดิม

ศรีภราดร


คนคือขี้ ขี้คือคน ปนกันอยู่
ใครเริ่มรู้ ต้องวิ่งหนี ว่าขี้เหม็น
จะหนีขี้ หรือหนีคน หนีตนเอง
เลิกละเลง คนก็เลอะ เปรอะขี้อาย

คุณแม่หนาหนักเพี้ยง พสุธา
คุณบิดรดุจอา กาศกว้าง
คุณพี่พ่างศิขรา เมรุมาศ
คุณพระอาจารย์อ้าง อาจสู้สาคร

โลกนิติ



ทุวิชาโน ปรภโว โหติ
ผู้รู้ชั่วเป็นผู้ฉิบหาย

++++++


ไม่มีอะไรเหลือเมื่อหลอกตน
ไม่มีอะไรเลวเท่าลวงมหาชน
ไม่มีอะไรร้ายกว่าโมหะ
ไม่มีอะไรแรงกว่ากรรม


สิ้นภพจบแดน
ลุพุทธศักราช สองพันห้าร้อยยี่สิบสอง
วันอังคารที่ ๒๑ แรม ๓ ค่ำ เดือน ๙
ประวัติศาสตร์ แห่งการเข็นกงล้อธรรมจักร
จะต้องสลักจารึก ไว้อีกหน้า
ถึงเกียรติ-ประวัติ ของเหล่าอริยสาวก
ผู้หาญกล้าปราบเหล่าอธรรม ไปทั่วเจ็ดแว่นแคว้น
ผู้พลีชีวิตอุทิศวิญญาณ
ร้อยเรียงเป็นพวงมาลา
ถวายบูชาแด่องค์สมเด็จ พระผู้มีพระภาค
ขอเป็นข้าทาส แห่งองค์พุทธะต่อไป
สายธารแห่งความเปลี่ยนแปลง
ไหลยอกย้อนแพรวพราวชวนหัว
ในวันนี้
ณ สถานที่นี้...แดนอโศก
แดนแห่งความร่มรื่น เย็นสบายใจ
แดนแห่งความเพาะฟัก เมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะ
แดนแห่งการเกิด ของดวงประทีปนับสิบ นับร้อย
ได้ถูกตัดสินชะตาชีวิต
เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ แห่งสัทธรรม
มิให้ใครย่ำยีผลาญพร่า
ความสูญเสียนั้น ทุกอย่างสูญเสียได้
การแตกสลายนั้น ทุกอย่างแตกสลายได้
ยกเว้นและยกไว้ เพียงสิ่งเดียวในแดนดิน...
"ธรรมะของพระพุทธองค์"
ระฆังฉันเช้า ดังก้องกังวาน
มื้อสุดท้ายแห่งชีวิตแดนฯ

กำลังจะเริ่มในไม่ช้า
หลังการตักอาหารใส่บาตร เรียบร้อย
ท่ามกลางความเงียบสงบ อย่างวังเวง
ดวงตะวันยังฉายแสง ณ ที่เดิม
คำประกาศพิพากษา ตัดสินประหาร
เริ่มเปล่งสีหนาทอย่างอ่อนโยน
แถลงเหตุแห่งการรวมพล
และการก่อเกิด แต่เบื้องบุพกาล
สุดท้าย...ประหารชีวิต สถานเดียว
ท่ามกลางหยาดน้ำตา ที่ไหลรินอย่างปวดร้าว
และบ้างก็เริงร่า

นับแต่นี้ไป
พื้นดินอันแน่นแข็ง จะยังคงอยู่
ต้นกล้วย ต้นมะพร้าว จะยังคงสะบัดใบ
สายลมจะยังคงโชยพัด
แสงอาทิตย์จะยังคงชอนไช ผ่านแมกไม้ ตรงนั้นตรงนี้
ขาดอยู่แต่สิ่งเดียว
คือสายธรรม ที่เอ่อไหลท่วมท้น
โอบอุ้มดวงวิญญาณน้อยๆ ของทุกคน
บทเพลงแห่งธรรมคีตะ จะร้างรา
ความศักดิ์สิทธิ์แห่งพุทธสถาน จะจากไป

ไม่มีการทำวัตร
ไม่มีการสากัจฉา
ไม่มีการเพ่งเพียรตบะธรรม
ไม่มีเสียงเคาะระฆัง
ไม่มีการเยื้องก้าว ของนักเรียนโลกุตระ อย่างสำรวมอีกต่อไป

การเปิดโลกได้สิ้นสุดลง
การหงายของที่คว่ำ ได้สูญสลาย

การสัลเลขะอันเป็นที่รัก ได้จากไป
จากไป ดุจสายน้ำ ที่ไม่มีวันไหลกลับ
จากไป ดุจกายเนื้อของชีวิต ที่แตกขันธ์
เหลือแต่ความทรงจำ ที่รับรู้แห่งการเคยมี
ไยอาลัยใยสุดท้าย ขาดสะบั้นลง

ลาก่อนแดนอโศก
แดนที่เคยเพาะเลี้ยงชีวิต ให้เติบกล้า
เคยประหารชีวิตมนุษย์ เพื่อศาสนา... มามากมาย
และวันนี้ มันก็ได้ถูกประหาร เพื่อศาสนา เช่นเดียวกัน
หลับเถิดแดนฯ
หลับให้สนิท
๗ ปี เพียงพอแล้ว สำหรับการงาน ที่แสนเหน็ดเหนื่อย
พักเถิดแดน
พักให้สบาย
หมดหน้าที่อันยากเข็ญ เพียงเท่านี้
ปล่อยให้ลูกๆ ออกโผบินด้วยลำแข้ง
ไม่ต้องมัวพะวงห่วงหา อีกต่อไป

สบายใจเถิดแดนฯ
สบายใจเถิด
จะไม่มีอะไรหยุดยั้ง การเข็นกงล้อของเราได้
พวกเรายังคงมีกำลัง ที่จะขุดศาสนาชีวี ขึ้นลอยฟ้า
เย็นใจเถิดแดนฯ
เย็นใจเถิด
พวกเรากำลังฮึกเหิม
ที่จะปราบเหล่าอลัชชี ให้แตกพ่าย
ไม่ต้องห่วงหา
ไม่ต้องอาลัย
นั่งดูเพลงยุทธอันลั่นฟ้า ของพวกเราเถิด แดนฯ เอย



ดวงตะวันเริ่มคล้อย
นักรบแห่งโลกุตระเริ่มเดินทัพ
เรามาอย่างเบิกบาน
และจากไปอย่างเบิกบาน
ดูจะเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ แห่งรูปธรรม
แต่นามธรรมนั้นซิ
ประหารอีกสิบแดน ก็ไม่เทียมเทียบ
ไปละนะ แ ด น อ โ ศ ก

กุฏิเบอร์ ๐
๒๖ สิงหาคม ๒๕๒๒



เมื่อลูกไก่เจาะเปลือก แตกออกนั้น
มันก็รู้ว่าเปลือกแข็ง ซึ่งหุ้มห่อ
และขังตัวเอง ไว้อย่างโดดเดี่ยวนั้น มิใช่ตัวมัน
เปลือกนั้นไร้ชีวิต ไม่มีการเติบโต
กั้นขวางไว้ มิให้เห็นโลกภายนอก
มันจะกลมงดงามเพียงไร
ก็เป็นสิ่งจำต้อง ทำให้แตก
เพื่อตนเอง จะได้ออกสู่อิสรภาพ
แสงสว่าง และอากาศบริสุทธิ์
ก็จะบรรลุถึงความหมายสมบูรณ์ ของการเป็นไก่

รพินทรนาถ ฐากูร


อินทรีผงาดฟ้า
อินทรกำลังจะผงาดฟ้า
หลังจากฟักตัวมานาน
จนขนขึ้นเต็มตัว
และแล้ว...
เมื่อได้เวลาที่จะลืมตา ขึ้นมองโลก
เพื่อเตรียมแผ่ปีก ไปทั่วฟากฟ้า
เปลือกที่หุ้มห่อ รอบตัวมัน
ก็ได้ถูกเจาะกระหน่ำ ทำลาย
แตกไปอย่างยับเยิน

ณ ที่นี้
สิ่งที่เห็นสวยงาม
ในอดีตจะไม่มีอีกต่อไป
เปลือกไข่อันสวยสะอาด วาววับนั้น
ได้หายไปจากโลก
ท่ามกลางความอาลัยอาวรณ์
ความสะเทือนใจ ของผู้ที่ไม่เข้าใจ ถึงการเปลี่ยนแปลง
ว่าจะมัวเปลี่ยนไปทำไม
พวกเขายังพอใจ
ที่จะเห็นเปลือกไข่อันสวยงาม
ติดอยู่ในดวงใจตลอดไป
หารู้ถึงจุดกำเนิด ของไข่ใบนั้นไม่
ว่าการที่มันอุบัติขึ้นมา เพื่อหาอะไรกัน
เปลือกไข่อันสวยงาม ได้แตกสลายลง
ท่ามกลางเสียงหวีดหวิว โหยไห้
แทรกประสาน ไปกับเสียงโล่งใจ ปีติยินดี

เปลือกไข่อันงาม ที่เราเคยพบเห็น
ได้แตกแล้วหนอ
เปลือกไข่อันสวย ที่เราเคยเจอ
ได้ถูกทำลายแล้วหนอ
เสียงสะอึกสะอื้น คร่ำครวญ
พลางก้มหน้า ไม่ยอมมองสิ่งใด
เหลือแต่สายตาของผู้ที่สงบ และมองการณ์ไกล
กำลังจ้องมองดู สิ่งที่ซ่อนอยู่ในภายใน

โอ! เจ้าถูกนกอินทรี
ผู้เป็นเจ้าแห่งนกทั้งหลาย
กำลังลืมตาขึ้นดูโลก อย่างสำรวม
มันกู่ร้องก้องไปทั่วฟ้า
สะท้อนหุบเขา-ลำเนาไพร อย่างอึงคะนึง
ขนของมันงาม
งามระยับ ยิ่งกว่าอาทิตย์ยามเช้า
ช่างงาม งามอย่างประหลาด
ยิ่งกว่าอาทิตย์ยามอัสดง...

บิน...
มันบินทะยานขึ้นแล้ว
แผ่ปีกทั้งสองข้าง โลดแล่นไปบนหมู่เมฆ
บินไป บินไป...
ในไม่ช้า
มันจะประกาศศักดิ์ศรี แห่งความเป็นอัจฉริยะ
เหนือหมู่นกใดใด

เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
แตกอีกแล้ว
เปลือกไข่อันสวยงาม
แตกสลายลงไปแล้ว
มันกำลังทยอยกันแตก
แข่งกับเสียงโหยไห้
ที่ยินดีแต่จะให้ไข่ ยังคงเป็นไข่ อยู่ชั่วนาตาปี

เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
แตกอีกแล้ว
เปลืกไข่อันงามแงะ ถูกกระเทาะออกมา
ท่ามกลางเสียงขัดเคือง
จากเหล่าผู้หลงใหลเฝ้ามอง
ยินดีแต่ความกลมๆ รีๆ
ก่นประณามผู้ไปกระเทาะ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

บินขึ้นแล้ว
เหล่าอินทรีเริ่มบินขึ้นแล้ว
มันแผ่ปีกกระจายร่มเงา
เกลื่อนกล่นไปทั่วปฐพี
คลุมประสานไปทั่วท้องฟ้า

อา! ถึงเวลาแล้ว
ที่อินทรีจะเหินเวหา
ประกาศความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ให้โลกรู้

ชวน ชอบกรุณา



เมื่อเราใช้พลังเจตจำนงของเรา
เพื่อบรรลุเป้าหมาย ซึ่งมิได้เกิดมาจากตัวเอง
แต่เป็นเป้าหมายที่เราตั้งขึ้น เพื่อเอาใจคนอื่น
หรือเพื่อตอบสนอง ความเพ้อฝัน
เกี่ยวกับสภาพที่ตัวเอง เป็นอยู่นั้น
ขอให้รู้เถิดว่า เรากำลังสร้างตัวประหลาด
ซึ่งเป็นมนุษย์หุ่นยนต์ ประเภทหนึ่ง
ขึ้นมาครอบงำชีวิตตนเอง
ดร.เบอร์นาร์ด เบอร์โควิทซ์

อันคุณงามความดีที่มีอยู่
ใครลบหลู่ดูหมิ่นไม่สิ้นสูญ
นานเท่านานเพียงไรยังไพบูลย์
เหมือนแสงสูรย์ส่องหล้าเป็นอาจิณ

แจ่มนภา



เพื่อนเป็นดาวโชติช่วงบนห้วงฟ้า
จรัสกล้าจรไกลใครก็เห็น
เด่นอำไพเคียงขวัญพระจันทร์เพ็ญ
เมื่อเพื่อนเป็นผู้มีชัยกับวัยวัน
แต่ความจริงยังนิรันดร์ตราบวันนี้
เพื่อนเด่นดี แต่...ประชาต้องอาสัญ
ดาวจึงดับ กับกรรมทราม ที่ตามทัน
จำให้มั่น "อย่าเริงหลง จงทำดี"

จิตรามีน


ทาสทรมาน
ยามเช้า แห่งอรุณรุ่ง
เสียงไก่ขันเริ่มเจื้อยแจ้ว
ไม้ใหญ่น้อยเริ่มสะบัดตัวตื่นขึ้น อย่างรื่นเริง
ผึ้ง ผีเสื้อ โผบินอย่างคึกคะนอง
ชีวิตเริ่มตื่นขึ้น
ตื่นขึ้นจากความหลับ ที่มัวเมา
เพื่อแสวงหามรรคา แห่งสัจธรรม
ตามครรลองชีวิต ที่เป็นไป

บางคน
อาจจะต้องใช้น้ำเดือด ราดสาด
แต่บางคน
เพียงแต่น้ำอุ่นก็สำนึก

ฉันตื่น...
ตื่นขึ้นมาอย่างอึดอัด
รู้สึกราวกับนักโทษ ที่ถูกลงทัณฑ์
กว่าจะสำนึกได้ ก็สายเกินไป
อาหารเมื่อวานเย็น
ยังคงโครกคราก อยู่ในกระเพาะ
มันปันป่วนอย่างน่าช้ำใจ และน่าเจ็บใจ

เจ้าลิ้นนะเจ้าลิ้น
ไฉนจึงหลงงมงาย ในรสโอชาแห่งอาหาร
เพียงแค่อยู่ไปวันวัน
ไยต้องมาวุ่นวาย ให้เดือดร้อนไปหมด
อย่าว่าแต่จิตใจที่แหลกสลาย
แม้ร่างกายของฉัน
มันก็ไม่สบายไปทั่ว
ทั้งอึดอัด ขัดเคืองเหลือแสน

โอหนอ! เศร้าหมอง!
ฉันเศร้าหมองไปทั่ว ทุกตารางนิ้ว
จริงอย่างที่พระพุทธองค์ตรัสไว้
"ความชั่วยังไม่สุกงอม แสดงผล
เหล่าพาลชน ย่อมยังหลงระเริง"
เมื่อวานเย็น ฉันก็มีความสุข
ก๋วยเตี๋ยว ไอติม แกงจืด แกงเผ็ด
ขนม ขต้ม ผลไม้ นานาชนิด
ฉันค่อยๆ ฆ่ามัน
ฆ่ามันทีละอย่าง อย่างมีความสุข
บดเคี้ยวลงสู่ท้อง อย่างรื่นเริง

นี่แหละ นี่แหละ
แดนสวรรค์ของฉันขนานแท้
แต่แล้ว เช้านี้ละ
สวรรค์ของฉัน ก็ได้พังทลายลง
มีแต่ทุกข์ที่พากันบินว่อน
ฉันกลายเป็นนักโทษ
ผู้ถูกทรมาน ด้วยวิบากของตัวเอง

โอ! รสอร่อยอยู่ไหนหนอ รสอร่อย
ทุกอย่างก็เหมือนพยับแดด ละอองเมฆ
ความน่าลิ้ม ได้โบยบิน หายไปเกลี้ยง
ไม่มีจิตอยากจะกิน อีกต่อไป
ทั้งๆที่เมื่อวานเย็น
มันกลับสั่น เป็นเจ้าเข้า

ผีร้ายเอย ผีร้าย
พอเสพย์สมใจก็บินหนี
ทิ้งไว้แต่ความทุกข์ที่หลงทำไว้
เห็นไหม เจ้าลิ้น

ความอร่อยมันมีตัวตนที่ไหน
ตัวเจ้าก็แสนเล็กกระจิริด
แต่กลับทะเยอทะยาน ละโมภไม่สิ้นสุด
ลองบุพเพฯ ในสิ่งที่เจ้ากินดูซิ
เห็นไหมว่า มันช่างไม่มีอะไรจริงๆ
ยามหิว ทุกอย่างก็หยาดเยิ้ม
ยามอิ่ม มันก็เหมือนขี้หมาก้อนหนึ่ง
โอ! เจ้าลิ้น
ช่างหลอกฉันได้ หลอกฉันดี

เอาละ
เดี๋ยวนี้ฉันได้รู้แล้วว่า
รสอร่อยที่แท้นั้น ไม่มีในโลก
มันถูกอุปโลกน์ขึ้นมา ก็เพราะหลง
ต่อไปนี้
ทุกครั้งที่เจ้าอยากจะกิน
ฉันจะจดจำเหตุการณ์เช้านี้ไว้
ว่ารสอร่อยที่แท้ ก็เป็นอนัตตา

พอกันที
สำหรับนักโทษ ผู้ถูกทรมาน ทั้งหลับทั้งตื่น
พอแล้ว
สำหรับ การหลงเป็นทาส ของลิ้นในปาก
มา เจ้าลิ้น มานี่
เอ้า ! กราบฉันงามๆ สามครั้ง!!

อัสสาทะ
๒๕ สิงหาคม ๒๕๒๒


สุนทรียภาพนิรันดร์
แม้ว่าจะมีความทุกข์ในชีวิต
ชาวพุทธจะไม่เป็นผู้เศร้าโศก ต่อสิ่งนั้น
จะไม่โกรธหรือขัดใจ ต่อความทุกข์
ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาความชั่ว ในชีวิต
ตามทัศนะทางพุทธศาสนา คือ
ความขัดใจหรือความโกรธ ปฏิฆะ
ได้แก่ ความตั้งใจ ที่ไม่ดีต่อสัตว์ทั้งหมด
ต่อความทุกข์ทั้งมวล
และต่อสิ่งที่เกี่ยวข้อง กับความทุกข์
หน้าที่ของมันคือ
สร้างฐานแห่งความไม่เป็นสุข
และความประพฤติที่เลว

ดังนั้น จึงเป็นความผิดที่ใจเสาะ ต่อความทุกข์
ความไม่อดกลั้น หรือความโกรธต่อทุกข์
ไม่อาจจะขจัดทุกข์ได้
ตรงกันข้าม มันเพิ่มความยุ่งยากขึ้น ทีละน้อยๆ
เพิ่มความเลวร้าย
และทำให้สถานการณ์ทรุดลง
จนไม่อาจจะยอมได้
สิ่งที่จำเป็นก็คือ ไม่โกรธหรือใจเสาะ

แต่เป็นการเข้าใจปัญหา ของความทุกข์
มันเกิดมีมาได้อย่างไร และมันดับได้อย่างไร
และเมื่อนั้น ทำงานด้วยความอดทน
ด้วยปัญญา ด้วยตั้งใจจริง และพละกำลัง

มีคัมภีร์พุทธเก่าๆ อยู่สองคัมภีร์
คือ เถรคาถา และเถรีคาถา
ซึ่งบรรจุคำอุทาน อันประกอบด้วย ความยินดี
ของบรรดาสาวก ของพระพุทธเจ้า
ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง
ผู้พบสันติและความสุขในชีวิต
ด้วยคำสอนของพระองค์

ครั้งหนึ่ง พระเจ้าโกศล ได้ทูลพระพุทธเจ้าว่า
ไม่เหมือนสาวก ของระบบศาสนาอื่นๆ
ผู้ซึ่งดูแล้วเหนื่อยหน่าย ไม่แจ่มใส
ซีด เฉื่อยชา ไม่น่าเพลิดเพลิน
แต่สาวกของพระองค์ เป็นผู้เอิบอิ่ม รื่นเริง (๑)
แสดงออก ซึ่งความเป็นผู้ชนะ และขยัน (๒)
ยินดีชีวิตด้านจิตใจ (๓)
มีอินทรีย์อันน่ายินดี (๔)
อิสระจากความกลัว (๕)
เยือกเย็น (๖)
สันติ (๗)
และมีชีวิตอยู่ด้วยจิตใจ ที่แช่มชื่น (๘)
ฯลฯ...มีจิตใจดี

พระเจ้าแผ่นดินเพิ่มเติมว่า
"พระองค์เชื่อว่า ลักษณะที่สมบูรณ์นี้
เนื่องมาจาก ข้อเท็จจริงที่ว่า
พระคุณเจ้าผู้เจริญเหล่านี้
ได้ตรัสรู้คำสอนอันยิ่งใหญ่
และมีความหมายของ พระผู้มีพระภาค"

พระพุทธศาสนา
มีลักษณะตรงกันข้าม กับลักษณะที่เศร้าโศก เสียใจ
ความกลัว และความสนใจที่ทึมๆ
ซึ่งถือว่าเป็นนิวรณธรรม ต่อการตรัสรู้สัจธรรม

กล่าวอีกอย่างหนึ่ง
ควรสนใจที่จะจำไว้ ณ ที่นี้ว่า
ความปีติเป็นหนึ่ง ในบรรดาโพชฌงค์
หรือ องค์ธรรมเพื่อการตรัสรู้
ซึ่งเป็นคุณลักษณะ ที่จะต้องปลูกให้เกิดขึ้น
ในการทำ พระนิพพานให้แจ้ง

ดับลิว ราหุลเถระ

 

๑. หฏฺฐปฺปหฏฺฐา
๒. อุทคฺคุทคฺคา
๓. อภิรตรูปา
๔. ปิณินฺทฺริยา
๕. อปฺโปสฺสุกฺกา
๖. ปนฺนโลมา
๗. ปรทวุตฺตา
๘. มิคภูเตน เจตสา
คัดมาจากหนังสือ"พระพุทธเจ้าสอนอะไร"
ของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
โดยพระมหาณรงค์ จิตตโสภโณ แปล



สัตว์ทั้งหลายย่อมเคลื่อนไหว
วัตถุทั้งปวงย่อมหยุดนิ่ง
ใครฝึกตน ให้เป็นผู้ไร้ความเคลื่อนไหว
ย่อมไม่ได้ประโยชน์อะไร
นอกจากทำตนให้แน่นิ่ง อย่างวัตถุ
ถ้าท่านจะหาความสงบนิ่ง ที่ถูกแบบ
ก็ควรเป็นสงบนิ่ง ภายในการเคลื่อนไหว

เว่ยหล่าง




เมื่อใจคุณ เต็มไปด้วย...
ความโลภ...โกรธ...และหลง
ชีวิตคุณ มืดมัวดุจความมืดแห่ง...
กลางคืน
แน่นอน ใจคุณย่อมเร่าร้อน...ดิ้นรน...
เศร้าซึม...หงอยเหงาและทุกข์โศก
เมื่อใจคุณ หมด...
ความโลภ...โกรธ...และหลง
ชีวิตคุณ แสนเจิดจ้า ดุจความสว่างแห่ง...
กลางวัน
ใจคุณ ช่างสะอาด...สว่าง...สงบ
และเป็นสุขนิรันดร

อุทัย



การได้ให้ "สิ่งใดๆ" กับคนที่เรารัก
หรือ คนที่คอยเกื้อกูลประโยชน์ แก่เรานั้น
มันไม่ใช่ของแปลกอะไรเลย
เพราะนั่นแหละ คือ ความยังเห็นแก่ตัว
มันยังเพื่อความพอใจของ "ตน" เอง
จะประเสริฐเพียงใด...ถ้า
แม้ผู้ที่เรา"ไม่รู้จัก" "ไม่ให้ประโยชน์แก่เรา"
แต่...เขามีความจำเป็น ต้องการอย่างยิ่ง"
สมควรอย่างยิ่ง ที่จะมอบให้
ทั้งวัตถุ แรงกาย และแรงปัญญา
การเกื้อกูลก็หลั่งไหล ไปถึงเสมอๆ
นั้นคือ "การให้" ที่จริงแท้ที่สุด
ไม่ใช่ เพื่อใคร
แต่...เพื่อ "สัจธรรม" แท้จริง
เพื่อ สันติภาพอันไพศาล ตลอดโลก

พุทธรักษา



ขณะที่คนเราเสพกามนั้น
เราต่างอยู่ในโลกส่วนตัว ของเราคนเดียว
และให้ลองสังเกต ลักษณะจิตในตอนนั้น
เราจะว้าเหว่ ยิ่งกว่าอยู่คนเดียวกลางป่า เสียอีก
อีกคนหนึ่งที่อยู่ด้วยกัน ไม่ได้ทำให้เรารู้สึก มีเพื่อนเลย
และหลังจากกามกิจผ่านไป
เงาทะมึนบางอย่าง จะปรากฏขึ้น ในส่วนลึก ของความรู้สึกทันที
ความปีติจากกาม
ต่างจากความปีติ จากนิรามิสสุข ก็ตอนนี้
ความปีติจากนิรามิสสุข
ทำให้เราเปิดกำแพงอัตตาออก
เป็นอันหนึ่งอันเดียว กับเพื่อนมนุษย์ และจักรวาล
แม้เราจะอยู่โดยลำพัง กลางป่าก็ตาม
แต่กามคุณ ทำให้เราก่อ กำแพงอัตตาขึ้น
และหมกอยู่ในโลก ของตัวเอง

สันยาสี นิรนาม



โอ้โอ๋...อนิจจัง...ความรัก
แจ้งประจักษ์ลมแล้งไม่สงสัย
ดั่งพายุหมุนเป็นเกลียวแสบเสียวใจ
หลงอาลัยทุกข์ระทมสุดซมซาน


คนทรยศ
ฉันก่อเกิดมา
กลางธรรมชาติดินฟ้า และป่าเขา
สดใสเริงร่า
กลางความรัก ความอบอุ่นของพ่อแม่
ชีวิตของฉัน คือส่วนหนึ่ง แห่งความทรงอยู่ของท่าน

แต่ในไม่ช้า
ฉันจะเอากรรมสิทธิ์นี้ ไปทุ่มให้แก่คนรัก
เขาจะเป็นเจ้าของ ทุกๆอย่างที่ฉันมี
ยากนัก ยากหนา
กว่าฉันจะเติบโต
ใจหายแล้ว ใจหายอีก นับร้อยๆ พันๆ ครั้ง
ที่พ่อแม่ฉันต้องตระหนก ด้วยความห่วงใย
ดึกดื่นแค่ไหน ท่านก็ต้องลุกขึ้น
ลุกขึ้นมาปลอบฉัน กล่อมฉันให้คลายทุกข์
ปีแล้วปีเล่า ท่านถนอมกล่อมเกลี้ยง
แปลบปลาบทุกครั้ง ที่ฉันร้องไห้
ถ้าความลำบาก เจ็บปวดของท่านดุจน้ำ
มันก็คงท่วมท้น เสียยิ่งกว่ามหาสมุทร
ถ้าความทุกข์อันเนื่องมาแต่ฉันดุจไฟ
มันก็คงเผาผลาญ จนเหล็กกล้าหลอมละลาย

อีกไม่นานซินะ
ฉันจะมอบชีวิต ให้ผู้ที่ฉันรัก ฉันหลง
ฉันจะมอบตัวตน แห่งความเหนื่อยยาก ให้แก่เขา
ตัวตนซึ่งหลายคน อุตส่าห์ดูแลเป็นอย่างดี
และอีกไม่นาน
ฉันก็จะสร้าง อาณาจักรน้อยๆ ขึ้นกักขังตัวเอง
จะสร้างห่วงอีกหลายห่วง ไว้คล้องขาแขน

คล้องคอ คล้องตัว คล้องหัวใจ
ไม่ให้มีโอกาสได้เห็น แสงตะวันฉาย
ฉันจะหมดอิสระที่จะโบบิน
ปีกของฉัน จะถูกเด็ดทิ้ง
วันเวลาที่ผ่านไป
ฉันจะต้องรับภาระ ที่เฟ้อขึ้น
รับผิดชอบ ในสิ่งที่คนอยู่คนเดียว ไม่ต้องรับ
มือฉันจะยาวขึ้น เที่ยวโอบปกป้อง จนแขนเรียวเล็ก
ตัวฉันจะบวมโตขึ้น ปานขุนเขา

และแน่ละ
มันจะต้องรับทุกข์ เท่าภูเขานั้นด้วย
ชีวิตของฉัน กำลังจะแบ่งตัว
จากหนึ่ง เป็นสอง เป็นสาม เป็นสี่...
ต่อไปๆ อย่างไม่หยุดยั้ง
ฉันจะต้องห่วงกระเพาะ อีกหลายกระเพาะ
เหน็ดเหนื่อย ในการบำรุงร่างกาย ที่แบ่งภาคออกไป มากขึ้น

วันคืนล่วงผ่าน
ฉันจะคอยเป็นทุกข์ กับชีวิตที่ฉันสร้าง
กลัวโน่นกลัวนี่สารพัด
เถาวัลย์แห่งวิญญาณ เริ่มผูกมัดฉัน
จนหมดโอกาส ที่จะใคร่ครวญ ถึงแก่นแท้ชีวิต
มันจะต้องห่วง เรื่องปากท้อง เรื่องการอยู่รอด
จนหมดโอกาสที่จะรู้ ทุกข์อริยสัจ

โอหนอ!
เจ้านกน้อยสีขาว ในหัวใจฉัน
ฉันสัญญากับมัน ยามที่ฉันลืมตามองโลก เป็นครั้งแรก
ว่าจะพาไปสู่ดินแดน ที่ใสบริสุทธิ์
ไร้ธุลีหมองใดๆ จะกล้ำกราย
ปีกสีขาวของมัน สามารถกางแผ่

ร่อนถลาผกผันไปมา ได้อย่างอิสระ
แต่ฉันกำลังจะลืมสัญญา
ลืมสัจจะที่ให้ไว้ ขณะที่ประคองมาด้วยกัน

อีกไม่นาน
ชีวิตที่ได้มา ด้วยความเหนื่อยยาก
ด้วยความสาหัส
กำลังจะอุทิศให้แก่มนุษย์ อีกคนหนึ่ง
ที่ฉันก็ไม่เคยรู้เรื่องราว ของเขามากนัก
โคตรตระกูลของเขา
ฉันก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าสืบมาจากไหน
ชีวิตที่ฉันรักที่สุด อีกไม่นาน
ก็จะมอบให้ไปอย่างง่ายๆ
เหมือนขนมสักชิ้น ที่ถูกซื้อไปกิน
แล้วฉันก็จะฝังตัวเอง อยู่ตรงนั้น

แดนสวรรค์ที่ฉันหลงชื่นชม
มันก็คงเป็นสุสานของฉัน
รวมทั้งเจ้านกน้อยสีขาว
ที่ฉันตระบัดสัญญา ที่เคยให้ไว้
กลับทุบปีกมัน จนบินไม่ได้
ฉันชั่วหรือเปล่าหนอ
ห า ก ท ร ย ศ ตั ว เ อ ง ?

เสฉวนน้อย

จากสารอโศก ฉบับ ดอกอโศกร่วงหล่น
ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๑-๓ สิงหาคม-ตุลาคม ๒๕๒๒

หน้า ๙

เม็ดทราย หน้า 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14