สีสันชีวิต
พลเอกปรีชา เอี่ยมสุพรรณ
 

 

 

เขาเป็นชายชาติทหาร
ผู้กรำศึกในสมรภูมิอย่างท้าทาย
ด้วยพลังแห่งความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
เขาคือทหารหาญ ผู้องอาจแกล้วกล้า
เขาเป็นทหารแก่ ไม่มีวันตาย

 

รู้จักพลเอกปรีชา เอี่ยมสุพรรณ

ผมเกิดจังหวัดสุพรรณบุรี คุณพ่อจบธรรมศาสตร์ รับราชการเป็นตำรวจ สุดท้ายรับยศ พันตำรวจเอก คุณแม่เป็นแม่บ้าน มีลูก ๕ คน ผมเป็นลูกชายคนเดียวในครอบครัว นอกนั้นเป็นผู้หญิงหมด เรียนมัธยม วัดทรงธรรม อ.พระประแดง สอบเข้าเตรียมทหาร และเรียนต่อ เตรียมนายร้อย จบ จปร. รุ่น ๗ ภรรยาคือ คุณจุฑามณี อดีตเคยเป็น ผู้ตรวจราชการ กระทรวงวิทยาศาสตร์ มีบุตรด้วยกัน ๘ คน

ฐานะครอบครัวค่อนข้างยากจน ปากกัดตีนถีบ บรรพษุรุษของผม เป็นชาวนา คุณพ่อเป็นลูกคุณปู่ แต่เนื่องจาก เป็นข้าราชการผู้น้อย ไม่มีเงิน ตอนสอบเข้า ร.ร.เตรียมนายร้อย ต้องใช้เงิน ผมขอเงินคุณปู่ ๑,๖๐๐ บาท ปู่ขายข้าว ๒ เกวียน และบอกผมว่า "เอ็งเป็นหลานข้า ใช้นามสกุลข้า เอ็งอย่าไปโกงเขา" เป็นเงินก้อนโตที่สุด ที่ผมใช้ในชีวิตของผม คุณปู่ ไม่ได้เรียนจบอะไร เป็นชาวนาไทยธรรมดา ๆ แต่มีอำนาจต่อรอง กับนายทุนสูง ไม่ได้เกวียนละ ๘๐๐ บาท ไม่ขาย ผมรู้ตอนนั้นว่า คนที่พึ่งตัวเอง และไม่เป็นหนี้ จะมีอำนาจต่อรองสูง สามารถกำหนดอะไร ได้ทุกอย่าง ด้วยชีวิตของตนเอง แม้กระทั่ง ราคาสินค้า ซึ่งผิดกับสมัยนี้ เกษตรกรเรา กำหนดราคาข้าวไม่ได้ นายทุนและพ่อค้า เป็นผู้กำหนด จากเงินจำนวนนั้น ทำให้ผมรู้ทุกอย่าง รู้ความเชื่อมโยงของชีวิต ไม่รู้อย่างเดียว ทำไมคนจน ไม่มีวันเป็นอิสระได้เลย ในทุกเรื่อง

 

วางแผนการศึกษาเอง

ผมสอบเข้าได้ทั้งเตรียมจุฬาฯ และเตรียมนายร้อย พ่อแม่อยากให้ เรียนเป็นหมอมาก ผมต่อรองเรียน ร.ร.นายร้อย พ่อให้เลือกตำรวจ อันดับหนึ่ง เพราะพ่อเป็นตำรวจ แต่ผมเห็นพ่อเป็นตำรวจแล้ว จึงเลือกทหาร อันดับหนึ่ง จริงๆ แล้ว ในส่วนตัวผม นึกอย่างเดียวเรื่องฐานะ คิดตั้งแต่เรียน ม.๖ แล้วว่า ( ม ๖. คือ ม.ศ ๓) พ่อแม่ ไม่มีปัญญาส่งเสีย เสียค่าเรียน ในมหาวิทยาลัย ได้หรอก เราไม่อยากให้พ่อแม่เดือดร้อน เพราะตั้งแต่เล็ก ผมเป็นลูกชายคนเดียว เย็นย่ำค่ำคืน ยังต้องไปเก็บจาก ให้แม่เย็บขาย หน้าหนาว เคยอยากได้ เสื้อหนาวสักตัว ผมต้องไปเป็น กรรมกรแบกหาม ทำงานยังกับ สายพานมนุษย์ ตั้งแต่ ๘ โมงเช้า เป็นช่วงวัยรุ่น ที่มีความอยากสูงมาก

ผมไม่ใช่คนเก่ง แต่มีความคิดว่า ถ้าจะสอบคัดเลือกแข่งขัน เราต้องรู้ทุกอย่าง ผมจะพกสมุดโน้ตเล็ก ๆ เล่มหนึ่ง สำหรับ short note วิชาต่าง ๆ พยายามทำความเข้าใจ และท่องจำไว้ แม้ขณะเล่นกับเพื่อน ก็จะหยิบออกมา ทบทวนเสมอ ช่วงเวลาที่ ผมทุ่มเทมาก ๒ ครั้ง ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ของชีวิต คือตอนสอบเข้า ร.ร.นายร้อย และตอนสอบเข้า ร.ร. เสนาธิการทหารบก

 

ได้ดีเพราะถูกพ่อแม่ตี

ผมถูกสอนเรื่องความรับผิดชอบต่อหน้าที่ งานบ้านทุกอย่างต้องทำ เป็นลูกชายคนเดียว ที่อยู่ใกล้คุณแม่ ตลอดเวลา คุณพ่อไปทำงาน ลูกๆไปโรงเรียนตามเวลา กลับตามเวลา กินตามเวลา ถ้าไม่กินตามเวลา ก็ไม่ได้กิน ทุกอย่างจบ เพราะบ้านเรา ไม่ร่ำรวย กินข้าวพร้อมกัน พ่อแม่ลูก คุณแม่นั่งข้างๆ และเป็นคนสุดท้าย ที่กินอาหารเหลือจากสำรับ ทำให้เรา มีระเบียบ มีเวลา เมื่องานที่รับผิดชอบ เสร็จแล้ว จะไปทำอะไรอื่น พ่อแม่ไม่ว่า แต่ถ้างานที่รับผิดชอบ ยังไม่เสร็จ ถูกตีแน่ และผมถูกตีบ่อยๆ หน้าที่ผม ต้องล้างกระโถน ของพ่อแม่ ปูที่นอนให้พ่อแม่ ซึ่งผมจะปูไว้ ตั้งแต่บ่าย ๒ โมง ถ้าเป็นวันหยุด เพราะบ่าย ๓-๔ โมง เพื่อนๆ จะมาเรียก ไปเล่นฟุตบอล เราเรียนรู้ ว่า ถ้าได้ทำหน้าที่ รับผิดชอบสำเร็จแล้ว จะมีเวลาไปพบปะ เพื่อนๆ หรือทำเรื่องอื่นๆ ที่เราชอบได้

พ่อแม่จะกำหนดหน้าที่ ให้ลูกแต่ละคนทำอะไร ส่วนเรื่องหนังสือหนังหา พ่อแม่ไม่ค่อยเข้มงวด เท่ากับหน้าที่ รับผิดชอบในครอบครัว แม่คือครูคนแรก ที่จับมือผมสอนเขียน ก ไก่ ข ไข่ คุณพ่อดุมาก เวลาลูกๆ ทำผิด จะถูกตี ๒ ครั้ง แม่ตีแล้วก็เล่าให้พ่อฟัง พ่อตีต่ออีก ๑ ครั้ง

 

ผมรักแม่

ครอบครัวของเราอบอุ่นมาก แม้เราจน เพราะฉะนั้น เราต้องเพิ่มรายได้ ด้วยการรับดอกไม้ประดิษฐ์ ที่เขาใช้กัน ในงานเข้าพรรษา มาทำที่บ้าน พี่ๆ น้องๆ ช่วยกันทำ ร่วมสุขร่วมทุกข์

ตอนที่ผมไปตัดจาก ให้แม่เย็บ เมื่อกลับถึงบ้าน คุณพ่อจะรอล้างเนื้อล้างตัวให้ผม ก่อนเข้านอน ความผูกพัน ระหว่างกัน มีเสมอ ตอนถูกตี เราก็จะสำนึกในความผิด และตั้งใจจะไม่ทำอีก เกิดความกลัว ในการทำผิด และอาจเพราะ ผมเป็นลูกชายคนเดียว แม่จึงรักใคร่ ผูกพันเป็นพิเศษ อย่างเช่น เวลาแม่ไปตลาด ต้องชวนให้ผมไปด้วย บางครั้ง ผมกำลังเล่นสนุกกับเพื่อน ๆ ไม่อยากไป ผมก็ประท้วง ด้วยวิธีต่าง ๆ นั่งถ่างขา ถ่างแข้ง แม่ไม่ว่าอะไร แม่จะเดินนำไปก่อน ให้เราแสดงสุดฤทธิ์ สุดเดช แต่ถ้าแม่เดินย้อนกลับมาอีกครั้ง จะถูกตี แม่คงมีจิตวิทยา ให้เด็ก ๆ ได้ระบายอารมณ์ หรือเวลา แม่เข้าครัว ผมจะเข้าไปช่วยปอกหอม กระเทียม คั่วพริก ขูดมะพร้าว ตำน้ำพริก จนทำอาหารเป็น แม่ทำอาหารทุกอย่าง อร่อยมาก จะไม่ซื้ออาหารข้างนอก ให้ลูกๆ กิน เพื่อเป็นการประหยัดด้วย ทำให้ผมมีความรู้สึก ผูกพันกับแม่

 

สังคมไทยในอดีต

ผมนำประสบการณ์ การสอนบางอย่างของพ่อแม่ มาดัดแปลง ในการเลี้ยงดูลูก อะไรที่ควรจะเสริม เติมแต่ง ให้มันสมบูรณ์ขึ้น ประกอบกับ ผมเป็นทหาร การเรียนรู้ ในระบบทหาร ก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่นำมาปรับใช้ ในการเลี้ยงลูกด้วย

สมัยก่อน แม่จะมีเวลาอยู่กับลูกเกือบ ๒๔ ชม. เว้นแต่เวลาเราไม่อยู่บ้าน ไปเรียนหนังสือ พ่อแม่ดูลูก อย่างใกล้ชิด อยู่ในบ้าน ก็อยู่ในสายตาพ่อแม่ ออกจากบ้าน อยู่ในสายตาเพื่อนบ้าน สายตาของชุมชน พอเข้าร.ร. ก็อยู่ในสายตา ของครู เพราะฉะนั้น เด็กสมัยก่อน จะถูกเฝ้ามองตลอดเวลา เหมือนมีกล้องวงจรปิด คอยสอดส่อง ผมไปทำอะไรผิด กลับมาบ้านถูกตีแล้ว เพราะมีเพื่อนพ่อ เพื่อนแม่มาฟ้อง เรียกว่า ทุกส่วนของภาคประชาชน จะดูแลเด็กให้อยู่ในกรอบ ไม่คลาดสายตาไปได้เลย ทุกคนในชุมชน เหมือนญาติพี่น้อง สื่อสารกันได้ตลอด ลูกเต้าบ้านไหน ทำอะไรผิด จะรู้ถึงหูพ่อแม่ ก่อนเจ้าตัว จะกลับถึงบ้าน ซะอีก พวกเขาต่างมี ความมุ่งปรารถนาดีต่อกัน บ้านผมทำกับข้าว ๑ อย่าง ก็เดินแจกบ้านต่างๆ และเราก็ได้รับกลับมา เพิ่มอีกหลายอย่าง มันเหมือน เป็นการแลกเปลี่ยนกัน แต่ไม่ใช่ เราให้กัน ด้วยจิตอยากจะให้ ผมอยากให้สังคมวันนี้ เป็นอย่างวันก่อน ๆ แต่รู้ว่าคงยาก

 

พ่อแม่ที่อ่อนแอเลี้ยงลูกให้แข็งแรงไม่ได้

ผมเลี้ยงลูกแบบทหาร ผมคิดว่าเด็กไม่มีอะไรมาก เราควรมีเงินสนับสนุน ให้เขาเรียน ถ้าเขาเรียน เราหาเงินให้เขาเรียน และจะไม่ไปยุ่ง ในรายละเอียด ไม่ถามไม่แทรกแซง ให้เกียรติเขา บอกเขาเพียงว่า ขอให้ลูกตั้งใจเรียน เพราะความรู้ คือเครื่องผ่อนแรง ในชีวิตของคนเรา ถ้าไม่มีความรู้เป็นเครื่องผ่อนแรง เราต้องใช้แรงกาย การมีความรู้ เราก็ใช้ปัญญา แทนแรงกาย เพราะฉะนั้น เราจึงต้องมีความเหนื่อยยาก ในการใช้แรง ในช่วงหนึ่งช่วงใด ถ้าลูกไม่ใช้ความรู้ เป็นเครื่องผ่อนแรง ลูกก็ต้องใช้แรงกาย ไปตลอดชีวิต ลูกจะไหวหรือ สอนให้เขาคิด โดยไม่จ้ำจี้จำไชเขามาก แต่ถ้าไม่เรียน หรือเกเร ก็ตัดน้ำตัดไฟ มีข้าวให้กินที่บ้าน ไม่ต้องไปไหน ไม่ให้เงิน ที่จะไปทำอะไรไม่ถูกต้อง ถ้าอยากมีความเจริญ ก้าวหน้า ก็ต้องเรียน และเรียนอย่างประหยัด ใช้เท่าที่จำเป็น เพราะพ่อไม่ใช่คนร่ำรวย ข้าราชการทหาร ไม่ร่ำรวย ลูกคนไหน สอนไม่ได้ ก็ไม่ต้องเป็นพ่อลูกกัน ไม่ยอมให้ลูก เอาเท้าเขี่ยตา ไม่ยอมเด็ดขาด

คนเป็นพ่อต้องเข้มแข็ง เราอย่ารักตัวเอง เราจะไม่กลัวว่าลูกไม่รัก อย่ากลัวเสียหน้าเสียตา ว่าลูกจะมาท้าทาย อะไรเรา แม้บางคน อาจมองว่า ผมไม่รักลูก ก็ไม่ว่าอะไร เราต้องเชื่อมั่น และแฟร์ทุกอย่าง ในที่สุด ลูกก็ปรับตัวได้ ขอบคุณพ่อ เข้าใจก็ดีแล้วลูก ผมไม่ว่าไม่ซ้ำเติมลูก นี่เป็นจุดวิกฤต ในครอบครัว ที่เราต้องผ่านให้ได้

ลูกแต่งงานไปแล้ว ผมจะไม่ไปยุ่ง ไม่โทรหา ไม่ร้องขอ ไม่ออดอ้อน ไม่ไปสร้างภาระ ให้ลูกเลี้ยงดูตัวเอง และเลี้ยงครอบครัวให้ดี เมื่อลูกขอคำแนะนำ ทำอะไรก็ได้ที่ลูกชอบ แต่ลูกต้องไม่เป็นหนี้ ไม่เป็นโรค ไม่ประพฤติ เสียหาย ลูกทำได้ ๓ อย่าง ลูกชนะ ลูกไม่จำเป็นต้องรวย ไม่เคยสอนให้ลูก หาเงินมากๆ แต่สอนให้ลูก เป็นคนมีคุณค่า ผมมีลูก ๘ คน ชาย ๗ หญิงคนสุดท้อง พวกเขาและครอบครัว จะมาเยี่ยมเยียนพ่อ ในวันสำคัญๆ รับผมไปเที่ยวไปกิน ผมจะจ่ายเองทุกครั้ง ลูกไม่ต้องจ่าย พ่อรู้ว่าลูกมีภาระ พวกเขาก็นำของมาให้แทน ผมรับ แต่เงินลูกไม่เอา พ่อขอเป็นผู้ให้ และพ่อก็ให้ อย่างคนที่ไม่ร่ำรวยอะไร ไม่ได้แสดงว่า กูเป็นพลเอก ทำกร่างให้ลูกเหิมเกริม ไม่มี

ผมไม่เอาหลานมาเลี้ยง ลูกของเขาต้องเลี้ยงเอง เราเป็นคนแก่แล้ว บางทีเผลอไผล ตามเด็กไม่ทัน ทำให้ลูกเขา หกล้มหกลุก ผมมีข้อสังเกตด้วยนะ แม่จะเลี้ยงเราแบบหนึ่ง พอเลี้ยงหลานอีกแบบ ในเรื่องเดียวกัน ป่านนี้แม่ตีแล้ว แต่เป็นหลานกลับไม่ตี

 

เจียมตัวเจียมใจ

ตั้งแต่วัยเด็ก ผมกินอยู่หลับนอนอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็ทำอย่างนั้น ผมจะหลีกเลี่ยง การเป็นหนี้ เช้ามีกล้วยน้ำว้า ใส่กระเป๋า ๒ ใบ กลางวันอีก ๒ ใบ ตามด้วยน้ำก๊อก ที่กองร้อย ผมระวังการใช้เงินเกิน จ่ายแต่ละวัน ไม่เกิน ๓๐ บาท ต้องมีระเบียบวินัย ในการใช้เงิน เพราะสิ่งสำคัญที่สุด ในชีวิตคือ อากาศหายใจ คนไม่ได้คิด เพราะไม่เห็น และจับต้องไม่ได้ สูดทุกวันฟรี น้ำก็หากินได้ฟรี ในเมื่อสิ่งที่จำเป็นที่สุด ในชีวิตเราฟรี เรื่องอะไร จะเป็นทาส ให้คนอื่นมาเหยียบเรา ดังนั้น เราจึงไม่จำเป็น ต้องเป็นหนี้ใคร

 

พลังชีวิตของผม

ทุกขั้นตอนของชีวิตถูกหล่อหลอม ทุจริตสักบาทไม่เคยทำ เพราะฉะนั้น พูดได้เสียงดังฟังชัด ผมนั่งรถเมล์ ไปทำงาน บางคนว่าสร้างภาพ เราก็ไม่ว่า ชีวิตผมเรียบง่าย ติดดิน ออกไปไหนๆ ก็ใส่ชุดนี้ ไม่โอ้อวดใคร ๆ มันเป็นระเบียบของชีวิต ที่ทำมาจนชิน จนกระทั่ง อะไรที่เกินเลยกว่านั้น เราก็ทำไม่เป็น บางที พอเราเป็นทหารชั้นผู้ใหญ่ หน่วย เขาให้เกียรติ เขาเอาสารวัตร มาเฝ้าหน้าห้อง เป็นระเบียบของเขา หรือเวลาไปไหน ๆ มีรถนำ เราอายมีความรู้สึกว่า ทำไม ต้องให้เขา มาลำบาก บางทีเราขอร้อง น้องไปเถอะ ไม่ต้องหรอก ไม่รู้บางทีอาจเพราะ ชีวิตเป็นอย่างนี้ มาตั้งแต่เด็ก เป็นอัตโนมัติ จะตกแต่งอย่างไร ก็คงไม่เข้าท่า ในรุ่นของผม จบมาก็รบทัพจับศึกแล้ว ในสนามรบ ก็มีแต่ความอดอยาก ยากแค้น เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย นอนกลางดิน กินกลางทราย มันก็เป็นหนึ่ง ที่หล่อหลอม ให้เราตัดทอน สิ่งฟุ่มเฟือย หรูหราออกไป

การอยู่ในสนามรบนาน ๆ เราก็ติดชีวิต ที่ไม่ปรุงแต่งอะไรมาก มันก็สบายแก่ตัวเรา บางทีเราอาจเป็น อีกแบบก็ได้ ถ้าไม่มามีชีวิตอย่างนี้ แต่บังเอิญมันถูกตกแต่ง ถูกหล่อหลอมมา อย่างง่ายๆ แล้ว ผมจะไม่เอาตัวเอง เป็นมาตรฐาน ในบั้นปลาย ความต้องการในอาชีพของเรา ต้องสละได้แม้ชีวิต เพราะฉะนั้น ต้องเตรียมพร้อม ทุกอย่าง เมื่อถึงคราว ที่เราจะเสียสละชีวิต ต้องสละได้ ในเรื่องความฟุ่มเฟือย ความสะดวกสบาย ต้องฝึกปรือตัวเอง ถ้าเรามุ่งมั่น เป็นทหารที่ดี สุขภาพร่างกาย วัตรปฏิบัติ การกิน การอยู่ การนอน ต้องให้เรียบง่ายที่สุด และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด คือนอนตรงไหน ก็หลับได้ หลับง่าย ตื่นง่าย กินง่าย

 

สัจธรรมในสงคราม

การทำหน้าที่คือ การปฏิบัติธรรม เรามุ่งทำหน้าที่ของเรา ให้ดีที่สุด ในสนามรบ ลูกน้องผม ถูกฝ่ายข้าศึก ยิงมา บาดเจ็บสาหัส ผมเข้าไปช้อนประคองเขา เมื่อกี้ยังเห็นกันอยู่ ยังพูดกันอยู่ ลมหายใจสุดท้ายของเขา ในอ้อมอกผม เห็นอย่างนี้บ่อย ๆ ลูกน้องบางคน ข้าศึกกำลังระดมยิงเข้ามา แกเป็นห่วงของในบังเกอร์ จะเข้าไป ผมบอก อย่าเข้าไปนะ เข้าไปปั๊บ ตูมพอดี ผมเห็นความไม่เที่ยงแท้ แน่นอนของชีวิต นี่คือธรรมะ สอนให้เราเห็นเลย ในสงคราม ตายวันไหน เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ในขณะยังมีชีวิตอยู่ สถานการณ์มันสอน มันบอกเราเอง เห็นเอง

สงครามหรืออุปสรรคทั้งหลาย เหมือนแรงดัน เหล็กเวลาเราต้องการหล่อหลอม ให้มันเป็นเหล็กที่ดี เราต้องใช้ไฟ ให้ร้อน ใช้ความดันมาก ชีวิตของมนุษย์ ก็เหมือนกัน ถ้าพันฝ่าอุปสรรค มุ่งมั่นที่จะเอาชนะให้ได้ ตัวเองก็จะถูกหล่อหลอม ให้มีจิตที่แข็งแกร่ง ให้เป็นคนที่สลัด สิ่งที่ไม่ดีงาม ออกไปได้ง่าย ถ้าเรามุ่งที่จะสำเร็จ ในหน้าที่รับผิดชอบ โดยเฉพาะ การรักษา ชาติบ้านเมือง

 

เดินตามหาข้อมูล

ผมเองเป็นคนช่างสังเกตสังกา จากสิ่งแวดล้อม ที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น ในชีวิตประจำวัน ในสนามรบ ในชีวิตปกติ ต่อมาคือ การเห็นบุคคลอื่น ที่ได้ประพฤติปฏิบัติ เช่น เพื่อนร่วมงาน ผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชา ที่จริงชีวิตของคนเรา เกิดมาก็เหมือน ต่อสู้ในสงคราม ถ้าเราไม่สนใจ สิ่งรอบข้าง เราจะรักษาชีวิตของเรา ให้มีความสุข ผ่านอุปสรรคอันตราย ผ่านความยากลำบาก ไม่ได้เลย

 

บทบาททหารกับการเมืองแบบไทย ๆ

ผมเป็นทหารไม่มีใครบังคับให้ผมเป็น เป็นอาชีพที่ผมภูมิใจ และรักมาก ถูกชะตากับตัวเองมาก ได้ทำในสิ่งที่ ผาดโผน โจนทะยาน ผมชอบบู๊ เพราะฉะนั้น อะไรที่ผมรับหน้าที่มา ผมต้องทำให้ดีที่สุด เพื่อชาติบ้านเมืองของเรา ในสนามรบ เราผ่านความเป็น ความตายมามาก หน้าที่ของทหาร มีอย่างเดียว คือปกครองชาติบ้านเมือง ให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข นักการเมือง มาแล้วก็ไป ระบบราชการ เป็นหลักของชาติบ้านเมือง ต้องอยู่ตลอดไป นักการเมือง มาใช้นโยบายของรัฐ ผิดบ้างถูกบ้าง ทุจริตบ้าน จนเกิดความสับสน ในที่สุด เกิดความผิดพลาด ใครจะรับผิดชอบ ทหารเป็นระบบราชการ ก็เป็นหลักของ นักการเมือง ถ้าเขาเป็นรัฐบาลที่ดี เห็นแก่ประเทศชาติ อย่างแท้จริงๆ เราก็ต้องเป็นเครื่องมือ กลไกที่ดี ถ้ารัฐบาลทำไม่ดี เราก็ใช้อำนาจที่มีอยู่ ทำความเข้าใจ ตักเตือน ป้องปราม ที่สุดทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องปราบปราม ดีกว่าปล่อยให้ชาติ ย่อยยับ จนแก้ไขไม่ได้ ความรับผิดชอบ มาถึงตัวเราเสมอ อยู่ที่เราจะเข้าไปรับผิดชอบ ตอนไหน

 

หลังเกษียณอายุ สดชื่นแข็งแรงและหนุ่มขึ้น

ความรักชาติบ้านเมืองเป็นแหล่งรวมพลังของทุกสิ่ง มันเป็นความบริสุทธิ์ สะอาด เป็นมิติที่สูง ต้องเสียสละ ต้องเป็นผู้ให้ การเป็นผู้ให้ เรามีความสุข สมัยที่ยังรับราชการ เราต้องมุ่งมั่นทำงาน ผมไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อนนัก ตอนนี้ได้พักผ่อนเต็มที่ ดูแลตัวเอง กินอาหารครบ ๕ หมู่ ออกกำลังกายแบบท่าทหาร ยึดพื้น ย่อเข่า ซิท-อัพ จ๊อกกิ้ง ไปไหนมาไหน ถ้าไม่ไกลมาก ใช้วิธีเดิน ซึ่งได้ประโยชน์หลายอย่าง ได้พบปะเพื่อนบ้าน พูดคุย ส่งทอดประสบการณ์ ทักทายให้กำลังใจกัน บางที พบแม้ค้าขายถั่ว เขานอนฟุบข้างๆหาบ ไม่มีใครซื้อ เราก็ซื้อ ยกระดับจิตใจ ไม่ให้เขาหงอยเหงา วันนี้เขาขายได้แล้ว เราได้กินถั่ว ก็มีประโยชน์ ได้สร้างขวัญ กำลังใจ ให้คนสู้ชีวิต ทำสัมมาอาชีพ เงินของเรา ใช้ให้เป็นประโยชน์ ผมใช้ทุกอย่าง มีเหตุผล

จิตเบิกบาน คิดถึงชาติบ้านเมือง จิตไม่ตกเป็นทาสของความอยาก จิตพยุงสังขาร ให้เข้มแข็ง ผมเอง มีโรคโลหิตจาง แต่กำเนิด หมอบอก จะเอาเป็นคนไข้ตัวอย่าง เพราะมีความสดชื่น ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น อย่าไปกังวลกับมันเลย โรคภัยไข้เจ็บ ก็อยู่กับมันไป ถึงเวลาต้องตายมันก็ตาย ผมไม่ทุกข์ ไม่กังวล

พิสูจน์สิ่งที่ท่านพุทธทาสสอน หน้าที่คือธรรมะ คนเราต้องทำหน้าที่ ให้ดีที่สุด ต้องเป็นคนดี ทำหน้าที่ให้สำเร็จ คนรักชาติ คือ คนที่ทำสิ่งดีๆ ให้ชาติ ผมเชื่อว่า คนที่มีจิตวิญญาณรักชาติ เขาจะเป็นซูเปอร์แมน

 

ความเสียสละเหนือสิ่งอื่นใด

ทุกคนมีหน้าที่ก็ทำไป คนตายก็ตายไป คนอยู่ ก็ทำต่อไป ครอบครัวไม่เป็นอุปสรรค ในการที่ผมจะมีชีวิต เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เขาต้องรู้ว่า ผมเป็นทหาร เขาต้องยอมรับ ผมไม่กังวล ถ้าผมตาย ลูกจะอยู่กับใคร ไม่เคยคิด พอเข้าสู่สนามรบ มุ่งอย่างเดียว ให้ชนะเท่านั้น ไม่ได้คิดถึงครอบครัว แต่ทุกอย่างที่เราทำ ทำให้ครอบครัว มีความสุข ความเจริญ ทุกวันนี้ ทั้งลูกและเมีย ก็ดูแลผม

 

ผมคือผม

ผมใช้เหตุผลและโดยมาก เหตุผลของผม ถูกต้องเสมอ เพราะผมไม่มีอารมณ์ หรือประโยชน์ส่วนตน เข้ามาเกี่ยวข้อง เอาความถูกต้องเป็นหลัก ในการตัดสินใจ แม้ชีวิตยังยอม เพราะฉะนั้น เรื่องอื่นอย่ามาขวาง อะไรที่ไม่ถูกตรง ผมไม่เคยทำ ยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง และยึดอันนั้นเลย ไม่มุ่งมั่นในประโยชน์ส่วนตน มุ่งมั่นทำทุกอย่างให้สำเร็จ ผมไม่คาดเลยว่า ตัวเราเท่านี้ จะทำอะไรมากมาย หลายอย่างได้ขนาดนี้

 

สีสันชีวิต พลเอกปรีชา เอี่ยมสุพรรณ น.ส.พ. เราคิดอะไร ฉบับ ๒๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๒