สิบห้านาทีกับพ่อท่าน .
 


 


ถ – งานพุทธาฯครั้งที่ 33 ย้ายจากศรีษะอโศกมาจัดที่ราชธานีอโศก มีบรรยากาศอย่างไร

ตอบ – บรรยากาศดี ดีกว่าที่คาดไว้ เพราะราชธานีอโศกเพิ่งจะจัดงานพุทธาฯ หรืองานปลุกเสก ที่จะจัดต่อไป ในเดือนเมษายนนี้ก็ตาม ซึ่งเป็นงานรวบรวมญาติธรรมเข้ามาบำเพ็ญธรรม ไม่ใช่งานลักษณะเดียวกับที่เคยทำมา เช่น งานปีใหม่ตลาดอาริยะ งานเพื่อฟ้าดิน หรืองานอื่นๆ มันไม่เหมือนกันเลย เพราะฉะนั้นงานนี้เป็นงานขลัง พวกบ้านราชเองก็ยังหวั่นๆ ในครั้งแรก แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว บรรยากาศและคนที่เข้ามา กลับกลายเป็น เหมือนเป็นการมารวม ของญาติธรรม จากทุกชุมชน และจากพุทธสถานอื่นๆ ที่มาช่วยกัน โดยไม่ได้เป็นเจ้าภาพ ก็พลอยเข้ามาร่วมเป็นเจ้าภาพ โดยเฉพาะ เช่น พวกศรีษะ ศาลี ก็ถือว่าเป็นเจ้าภาพหลักร่วม ที่สำคัญ เป็นงานที่ญาติธรรม จากทุกแห่ง มารวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ณ บ้านราชเมืองเรือ

ถ – งานนี้ พ่อท่านรวมทั้งสมณะ สิกขมาต ได้ชักชวนพวกเราให้ไปอยู่รวมตัว ที่บ้านราชกัน ชวนอย่างเป็นจริงเป็นจัง มากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลที่แจกแจงถึงว่า การกระทำครั้งนี้ จะเป็นทั้งประโยชน์ตน และประโยชน์ท่านอย่างยิ่ง ขอให้พ่อท่าน สรุปนัยสำคัญอีกครั้ง

ตอบ – คือตอนนี้ เราต้องเข้าใจถึงสภาวการณ์ที่ก้าวหน้าขึ้นมาถึงรอบที่โตขึ้น รอบที่กว้างขึ้น รอบที่ใหญ่ขึ้น งานเราก็มากขึ้น พลังงานที่เราต้องมาทำงานกับสังคมก็จะต้องมีมากขึ้นด้วย นี่มองกันโดยไม่ต้องลึกซึ้งอะไรเลย มองดูสามัญเขาก็รู้แล้ว และยอมรับไหมว่า ขณะนี้ ความก้าวหน้าของเราดีขึ้น การพัฒนาของเราดีขึ้น ความสัมพันธ์กับสังคมก็ดีขึ้น การรับรู้ หรือแม้แต่การยอมรับของสังคมก็ดีขึ้น เพราะฉะนั้น ก็เป็นการก้าวหน้า การพัฒนา ที่เห็นชัดๆ งานที่เราจะทำกับสังคมรอบกว้าง สังคมจำนวนเพิ่มขึ้นมากขึ้น มันก็ต้องมีมากขึ้น ถ้าเราไม่เพิ่มคน เราไปเพิ่มพลังงาน เพิ่มมวลที่จะต้องเข้าไปทำงาน ทำอะไรต่ออะไร เพิ่มเติมขึ้นไปอีก มันก็ไม่สมดุล มันต้องรองรับสิ่งที่จะเข้ามาหา เมื่อเข้ามาหาเรา หรือเราจะเข้าไป สันพันธ์กับข้างนอกเพิ่มขึ้น มันก็คือเกิดปฏิกิริยา เกิดเหตุการณ์อย่างนี้แล้ว ซึ่งเราก็จะต้องรับให้มันถูก เรียกว่า รับลูกเป็น เราก็จะต้อง รับให้มันถูกต้อง กับสภาวการณ์ ที่มันเป็นเช่นนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าเราซื่อบื้ออยู่อย่างเดิม ไม่มีอะไรคลี่คลาย ไม่มีอะไรเพิ่มเติม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง อยู่แต่เท่านี้

ถ้ามันเป็นจริงว่า เราก็อยู่เท่าเก่า เราไม่ได้ไปไหน และก็ไม่ได้ก้าวหน้า และก็ไม่มีอะไรเพิ่มมา เราก็อยู่เท่าเก่าไป แต่ทีนี้เราเห็นจริง และยอมรับความจริงอันนี้ไหมว่า มันก้าวหน้า มันเพิ่มขึ้น มันมีอะไรๆมากขึ้น และเราก็จะอยู่เท่าเดิม อยู่นิ่งเหมือนเดิม ผู้รับงานก็จะต้องหนักแน่ หนักแล้วก็ไปไม่รอดด้วย อย่างนี้มันก็เสื่อมก็เสีย นี่คืออธิบายรายละเอียด ให้จินตนาการ ให้คิดตามว่า มันเป็นเช่นนั้นไหม ถ้าเห็นเป็นเช่นนั้นด้วย มันก็ใช่ แต่ถ้าไม่เห็นเป็นเช่นนั้นด้วย ก็จะอธิบายว่าอะไรอีกล่ะ

นอกจากเราจะไม่ยอมรับว่า เราก้าวหน้าขึ้น เราเพิ่มขึ้น สัมพันธ์กับสังคมมากขึ้น ผลที่สัมพันธ์นั้น มันควรดำเนินต่อไป หรือเราควรจะถอย แต่ถ้าสัมพันธ์กับสังคมแล้ว มันไปไม่ได้หรอก มันแหลกลาญ ทะเลาะเบาะแว้ง มันต้องสูญเสีย มันต้องเป็นไปไม่ได้ดี เราดูแล้ว เราก็ไม่น่าจะเพิ่มขึ้น หรือยังไม่น่าจะพัฒนาต่อ แต่ถ้าเราเห็นอยู่จริงว่า มันพัฒนาต่อได้ เราก็ควรทำต่อให้มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่จริงอย่างนี้

ถ – ทำไมต้องเป็นที่บ้านราช ในเมื่อเรามีชุมชนอยู่หลายแห่ง

ตอบ – เราเองก็มีเหตุปัจจัย เราก็ดูซิว่า จะเอาตรงไหนล่ะ ถามว่าทำไมต้องเป็นบ้านราช ถ้าไม่เป็นบ้านราช จะขยายที่สันติอโศก มันจะขยายออกไหมล่ะ แล้วอะไรๆหลายอย่าง แม้ว่าภูมิประเทศ แม้แต่ในเหตุปัจจัยต่างๆ ที่เราจะขยายในส่วนนั้นส่วนนี้ เรื่องอะไรก็แล้วแต่ มันเหมาะสมไหมล่ะ สถานที่องค์ประกอบอย่างนั้นๆ มันเหมาะสมกว่ากันไหมล่ะ ซึ่งอาตมาก็เห็นว่า ที่ตรงนั้นมันมีเหตุปัจจัยต่างๆพวกนี้ ที่ครบพร้อมกว่า ที่จะใช้ได้ และก็อยู่ เชื่อมต่อทั้งด้านโน้นด้านนี้ ด้านที่เรามีขึ้นไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา ด้านสื่อสาร ด้านถิ่นที่ที่เราจะลงหลักปักแหล่งอะไรต่างๆ ที่ก่อขึ้น สร้างขึ้น ทำขึ้น ที่แม้จะไปรวมกันอยู่ ก็ไม่แออัดอะไร มันเป็นเหตุปัจจัยที่มีองค์ประกอบพอเพียง

ถาม – ขอให้พ่อท่านชักชวนพวกเราอีกครั้ง

ตอบ – ที่จริงก็ชักชวนไปมากมายแล้ว อาตมาไม่อยากใช้คำว่ากดดัน ใช้คำว่าประเล้าประโลม หรือทำให้รู้สึกว่าได้รับความกดดันเกินไป อยากให้ทุกคนใช้ปัญญา ใช้ความนึกคิดของตนเอง วินิจฉัย พิจารณาทั้งตัวเองและความเหมาะควรที่เราจะได้กระทำไหม ถ้าเห็นว่ามันเป็นผลดี แก่ตนเหมือนกัน ผลดีทั้งส่วนรวมที่จะเกิดขึ้น เขาตัดสินใจกันเอง แล้วเขาก็ทำ แต่ถ้าเขาดูแล้วไม่เป็นผลดีแก่ตนเอง เขาก็ไม่ทำแน่นอนอยู่แล้ว หรือเขาเห็นว่าไม่เป็นผลดี แก่ตนเอง แต่มันเป็นผลดีต่อส่วนรวมได้อย่างคุ้มนัก เขาก็จะเสียสละของเขา มันก็เป็น เรื่องของเขาอีก หรือยิ่งเขาเห็นว่าเป็นประโยชน์ ทั้งต่อตนเอง และประโยชน์ต่อส่วนรวมด้วย ก็ยิ่งแน่นอน เขาก็ทำกันเอง

ถาม – งานนี้พ่อท่านเทศน์ประโยคหนึ่งว่า “คนชอบเสแสร้ง มักจะทำที่กายกรรม วจีกรรมได้เก่ง แต่ยังไม่เข้าถึงมโนกรรม” หมายความว่าอย่างไร และจะเกิดผลดีผลเสีย แก่ผู้นั้นอย่างไร

ตอบ – คนที่เสแสร้ง เขาก็ต้องรู้การกระทำของเขา ว่าการพูดอย่างนี้ ทำอย่างนี้ เมื่อคนอื่นได้เห็น ได้ฟัง เขาก็จะได้รับรู้สิ่งที่เราแสดงออกทั้งกายกรรม วจีกรรม เพราะฉะนั้น คนที่เสแสร้ง จะต้องแสดงบทบาท ทางกายกรรม วจีกรรม ให้คนอื่นได้รับซับทราบ อย่างที่เขาเอง เขาต้องการ ส่วนมากเขาต้องการที่จะทำให้ผู้อื่นเห็นว่า เขาดีอย่างโน้นอย่างนี้ ก็แสดงว่า เขาเองไม่เข้าใจจิตวิญญาณของเขา บางทีจิตวิญญาณของเขามันยังไม่ดี ไม่ได้เป็นอย่างนั้น

จริงๆแล้ว การเสแสร้ง แสดงออกไม่ตรงกับจิตใจที่เป็นจริง มันเป็นการโกหกมดเท็จ ทางกายกรรม วจีกรรม เพราะฉะนั้น จึงแสดงว่าเขาไม่รู้ เขาเองมีจิตใจอย่างไร เพราะถ้าเขารู้ว่า จิตใจของเขาเป็นอกุศล เขาจะเสแสร้งที่จะมดเท็จ ออกมาทางกายก็ดี มดเท็จออกมาทางวาจาก็ดี มันก็ต้องมาจากจิตก่อน คำว่าเสแสร้ง คือ มันไม่ค่อยจะตรงแล้ว ไม่ค่อยจะซื่อสัตย์แล้ว ถ้าเขารู้ว่า จิตใจของเขาไม่ซื่อสัตย์ เขาจะรู้สึกละอาย ไม่ต้องการจะทำ เขารู้สึกว่าทำไม่ดี แต่เขาไม่รู้ไปถึงจิต และเขาก็ไม่เข้าใจว่าเขาทำบาป ซึ่งเป็นกรรมที่แท้จริง ที่เขาต้องสั่งสม

บางคนอาจรู้จิตใจ แต่กิเลสมันมาก กิเลสรุนแรง จนเขาไม่สามารถบังคับได้ คนๆนี้ก็ทำบาป ให้ตนเอง แต่คนที่ทำบาปทำกรรมพวกนี้ ไม่ค่อยเชื่อกรรมเชื่อวิบาก และส่วนใหญ่ ไม่ได้ปฏิบัติธรรม ถ้าปฏิบัติธรรมจริงๆ จะซื่อสัตย์ต่อตนเอง และถ้าปฏิบัติ เป็นสัมมาทิฐิ จะรู้จักจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้น คนที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม ก็จะไม่รู้จิตวิญญาณ ก็จะเสแสร้ง ถึงแม้ว่าจะปฏิบัติธรรม แต่ถ้าไม่รู้ไม่เป็นสัมมาทิฐิ ก็ไม่รู้จักจิตวิญญาณ ก็จะเสแสร้งอะไรๆ ออกไปได้ อย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นเพราะเขาไม่รู้

ส่วนที่ถามว่า จะเกิดผลดีผลเสียอย่างไร เกิดผลเสียสิ ในเมื่อเขาทำสิ่งที่เป็นอกุศล แม้สังคม อาจจะยอมรับในเรื่องดีที่เขาเสแสร้งทำ ก็เพราะสังคมไม่รู้นี่ว่า เขาเสแสร้ง เขาโกหก เขามดเท็จ เขาก็ทำเพื่อให้ตนเองดูดี ได้รับความยอมรับนับถือ ยกย่องเชิดชู เคารพบูชา อะไรก็แล้วแต่ กรรม การเสแสร้งก็เป็นกิริยา ที่เป็นบาปอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เขาก็ได้รับกรรม ที่เป็นบาป อยู่แน่นอน แม้ทางโลกคนจะยอมรับนับถือ เห็นดีเห็นชอบ เหมือนคนโกง ไปคอรัปชั่น เขาก็ได้เงิน เอาชัดๆเลย เขาไปปล้นเก่ง ตำรวจจับไม่ได้ เขาได้เงิน แต่เขาก็ได้บาป

ส่วนมากคนที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม จะไม่รู้ว่ามาแต่เหตุ คือ จากจิตวิญญาณที่เสแสร้ง หลอกลวง แต่ยังมีประเภทหนึ่ง คนที่ปฏิบัติธรรมพยายามฝึกหัดทำกายกรรมให้ดี ทำวจีกรรมให้ดี แต่ใจของเขายังไม่ดี ใจของเขามันจะพูดไม่ดี จะพูดแบบโกรธ หรือจนถึงกับอยากทำร้ายอะไร ก็แล้วแต่ เขาก็พยายามกดข่ม พยายามรู้ตนเอง เขาทำด้วยสำนึก เขาอ่านจิตของเขาออก เรียกว่าคนรู้จิตไง คนปฏิบัติธรรมจะรู้จิตตนเอง และสำนึกว่านี่เราจิตไม่ดี นี่เราจะไปทำไม่ดี เขาก็อดกลั้นไว้ ไม่ด่า ไม่ทำรุนแรง ถึงเขาจะโกรธ เขาก็จะไม่โกรธ พยายามทำให้ดี มันก็เหมือนเสแสร้ง ในความหมายภาษาว่าคนเสแสร้ง แต่เขาปรับไม่ให้มันกระทำ เขาปรับกาย ปรับวจีโดยรู้การกระทำ จึงรู้อำนาจของจิตว่า จิตจะคิดไม่ดี และเขาสำนึก พยายามแก้ไข อย่างนี้ไม่ได้บาป อย่างนี้เขากลับได้บุญ เขากลับได้ประโยชน์ ในการที่รู้ตัวเอง และพยายาม ที่จะทำดี มีสำนึก และจิตก็ลงโทษจิตตัวเอง พยายามวิปัสสนา ไม่ปล่อยออกมา ทางกาย วาจา เขาก็ได้ครบแล้ว ได้ครบพลังของจิตที่มันจะแสดงออกมาทางกาย ทางวาจาอย่างที่ไม่ดี และเขาก็ไม่ได้ทำออกมาแล้ว ก็ได้อย่างหนึ่งแล้ว ถ้าเขายิ่งพัฒนาโดยปัญญา เห็นว่าเรานี้ ไปให้อำนาจของกิเลสครบงำ มันไม่ดี ไม่เข้าท่า ทำให้เราปฏิบัติไม่ดี ทำอะไรออกมาไม่ดี เขาได้สำนึก ก็เป็นวิปัสสนาญาณ ที่จะทำให้กิเลสเบาลง ถ้ากิเลสที่เขาพยายามกดข่มไว้ ว่ามันรู้สึกไม่ดีนั้น ก็แสดงว่าเขาได้ทำให้กิเลสลดละ จางคลายลงได้ ลดลงได้มากเท่าไร มันจึงตรง แต่มันยังตรงไม่ได้ง่ายๆหรอก ในขณะที่คนมีกิเลส

ถาม - บางคนบอกว่าเขาเป็นคนตรงไปตรงมา ใจคิดอย่างไร พูดอย่างนั้น

ตอบ - มันก็ถูก ก็ซื่อดี ใจเราที่ไม่ดี เราก็พูดออกมาที่ไม่ดี ใจเราที่ไม่ดี เราก็แสดงกายกรรม ออกมาที่ไม่ดี แล้วกัน อย่างนี้ก็บรรลัยกันหมด อย่างน้อย การเสแสร้งอย่างนี้ เวลาเข้าสังคม เขาเรียกว่ามารยาท โดยพยายามควบคุม ไม่ให้มันออกมาตามใจ ที่เราอยากทำ ใจเป็นหลัก ใจเป็นประธาน คนทำกรรมต่างๆ มาจากจิต มโนปุพพัง มโนเศรษฐา มโนมญา

ถาม – เมื่อเราเลือกฝ่าย เราจึงมีฝ่ายตรงข้ามที่ไม่ชอบเรา และมาก่อกวนชวนวิวาท ดังที่เป็นอยู่ พวกเราบางคน ที่ไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรก ที่พ่อท่านนำพาชาวอโศกเข้าสู่การเมือง ก็เพราะเขาห่วง และกลัวจะเกิดเรื่องร้ายต่างๆ กับพวกเราดังที่เป็นอยู่

ตอบ – เขาประมาณตามภูมิปัญญาของเขา อีกอย่างเขาก็รู้อยู่แต่เขาไม่กล้า เขากลัวว่า อาจมีถึง การตาย ผู้ที่มีภูมิธรรม เข้าใจเรื่องการตาย การเกิด ก็เป็นเรื่องของสิ่งสามัญ เรื่องของธรรมชาติ ธรรมดา ที่เมื่อมันสุดวิสัย มันก็ต้องเป็นไปบ้าง ตัวอย่างเช่น ในสมัยพุทธกาล ก็มีอยู่มากมาย จะไม่ให้มีการสูญเสียอะไรเลยไม่ได้ สาวกของพระพุทธเจ้า ก็ตายเป็นเบือ มากมายก่ายกอง เพื่อให้เกิดศาสนาที่ดี ขนาดพระพุทธเจ้า ก็ยังต้องสูญเสีย และเก่งขนาด พระโมคลาน ซึ่งเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย ก็ยังต้องสูญเสียชีวิต สังเวยสิ่งเหล่านี้ เพื่อที่จะแลกเปลี่ยน ให้ได้มา ในสิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มันต้องเกิดการได้มา เสียไป หรือว่า เกิดการเจริญพัฒนา พระพุทธเจ้ากล่าวว่า เราต้องสูญเสียทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะ เราต้องสูญเสียอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต แม้ที่สุดสูญเสียชีวิต เพื่อรักษาธรรม เราก็ต้องยอมสูญเสีย

มันต้องมีการสูญเสีย ไม่งั้นจะไม่มีคำว่า เสียสละ การเสียสละเป็นเรื่องสัจธรรม เป็นเรื่องดีงาม เป็นการเสียสละ ที่สมเหมาะสมควร เป็นต้น ไม่ใช่ไม่ยอมเสียอะไรซะเลย นั่นเป็นคนที่ เห็นแก่ได้อยู่ แหนหวงอยู่ ไม่กล้าหาญชาญชัย ขี้กลัวอยู่ ซึ่งก็เป็นธรรมดา ภูมิใครก็ตัดสินไป ตามภูมิของแต่ละบุคคล เป็นธรรมดา

ถ – มีคนกล่าวหาว่า ชาวอโศกชอบยุ่งเรื่องการเมือง

ตอบ – ต้องเข้าใจคำว่า ยุ่ง มองให้ลึกนะว่า ยุ่งหมายความอย่างไร การเข้าไปยุ่ง กับการเข้าไปร่วม มันต่างกัน คำว่า ยุ่ง คือ เข้าไปแล้ว ทำให้เกิดความยุ่ง ความวุ่นวาย ความสูญเสีย ความตกต่ำ ความไม่พัฒนาขึ้น เรียกว่า ยุ่ง แต่ถ้าเข้าไปแล้ว ทำให้ความวุ่นวายนั้น ลดน้อยลง หรือทำให้เกิด ความเจริญพัฒนา ก้าวหน้าขึ้นมา อันนี้เรียกว่าการเข้าไปร่วม ช่วยส่งเสริม ช่วยสร้างสรรค์ ช่วยทำให้ดีขึ้น มันก็เป็นธรรมดา ธรรมชาติ ถ้าคุณอยู่เฉยๆ แล้วทุกอย่างก็ดีขึ้นเอง งั้นคุณจะมา เกี่ยวข้อง ทำไมกันล่ะในโลก ก็ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกันเลยในโลก หรือว่าไม่ต้องไปยุ่ง อย่างที่เขาว่า หรือไปสัมพันธ์ อะไรกับใคร อย่างที่คุณว่า ต่างคนต่างอยู่ ต่างไป จะเป็นอย่างไร จะตายอย่างไร ก็ตัวใครตัวมัน มันไม่ใช่ ธรรมชาติมันต้องให้เกิด การสังเคราะห์ ธรรมชาติ ให้เกิดการรวม เกิดเป็นปฏิกิริยา ต่อกัน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมชาติ คนที่ออกห่าง คนที่บอกว่า ไม่เกี่ยวข้องกับอะไรนั้น มันเป็นตัวกู ของกูอย่างเดียว ยิ่งกว่าฤๅษีเสียอีก มันไม่รู้จักธรรมชาติแห่งความเป็นจริง และในธรรมชาติ ทุกอย่างมันคือ ความสัมพันธ์ ซึ่งกันและกัน เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว ไม่มีอะไรในโลก ที่จะไม่สัมพันธ์กัน แต่คนที่เข้าใจไม่ได้ เข้าใจง่ายๆตื้นๆ แต่แค่ว่าหลุดพ้น หรือการตัดขาดได้ คือ การไม่เกี่ยว และเขาก็ทำง่ายๆตื้นๆ ก็คือ เอาตัวออกไป เอาตัวไม่เกี่ยว เท่านั้นเอง ซึ่งเป็นความตื้นๆง่ายๆ ไม่ใช่เรื่องสัจจะ ไม่ใช่เรื่องสามัญธรรมดา ไม่ใช่เรื่องของ ธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องของ สิ่งที่เป็นจริง อยู่ในจักรวาลนี้

สมัยพุทธกาลก็มีเรื่องทำนองนี้เยอะแยะ พระพุทธเจ้าก็เคยโดนตอนที่ไปกับพระอานนท์ และ ถูกด่าว่า ถูกต่อต้าน ถูกขับไล่ ถูกทำลาย พระอานนท์ก็ชวนให้ย้ายหนีเถอะ พระพุทธเจ้าก็ว่า หนีจากที่นี้ ก็อาจไปโดนที่อื่นอีก และจะหนีไปที่ไหนอีกได้ล่ะ