สิบห้านาทีกับพ่อท่าน โดย ทีม สมอ. ตอน...
เอื้อไออุ่น
หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 223
หน้า 1/2

ครอบครัว เป็นจุดเริ่มต้น ของการสร้าง สัมพันธภาพ ที่ดีงาม และ พัฒนา ออกไปสู่วงกว้างขึ้น จากคนในใกล้ชิด สู่คนนอก ห่างไกลออกไป จวบจนโลกทั้งผองพี่น้องกัน แต่สิ่งหนึ่ง ที่คอยขัดขวาง ความเจริญก้าวไกล คือกิเลส ที่มีอยู่จริงในตัวเรา ภายใต้อำนาจบงการ ของกิเลส เงื่อนไขต่างๆ ถูกสร้างขึ้น ก่อความบาดหมาง ขุ่นเคืองใจ ความไม่สามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน

การเกิดขึ้นของรายการ “เอื้อไออุ่น” จึงเป็นอีก หนึ่งความพยายาม อย่างยิ่งของพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ ที่ปรารถนาเห็นพวกลูก ๆ อยู่รวมร่วมกันอย่างอบอุ่นมีความรักฉันท์พี่น้องแก่กัน

: ถาม เมื่อไม่นานมานี้ ที่สันติอโศกมีรายการ “เอื้อไออุ่น” ซึ่งเกิดจากการดำริของพ่อท่าน อยากทราบว่ามีเหตุผล หรือ ความคิดอย่างไรที่จัดคะ

: ตอบ อาตมาเห็นความจริง เห็นจิตวิญญาณของพวกเราว่า ยังไม่เป็นสาราณียธรรม ยังไม่เป็นการสัมพันธ์ที่ระลึกถึงกัน ยังไม่มีสาราณียะ ไม่มีปิยกรณะ ไม่มีครุกรณะ ไม่มีสังคหะอันสมบูรณ์ มันยังมีวิวาทะ ยังไม่เป็นอวิวาทะ รวมทั้งยังไม่เป็นสามัคคียะ และ ยังไม่มีเอกีภาวะที่ครบครัน ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

อาตมาดูตามสภาพเป็นจริงว่า มันได้ขนาดหนึ่ง แต่ก็ยังบกพร่องอยู่ขนาดหนึ่ง

ต้องหาวิธี หากลวิธีที่จะทำให้ดีขึ้น เจริญขึ้น พัฒนาขึ้น ซึ่งอาตมาคิดว่า เป็นเรื่องของการขาดสภาพพฤติกรรมสัมพันธ์ อาตมาเลยพยายามริเริ่มดู โดยระลึกถึงความเป็นจริงของมนุษยชาติ ว่าควรจะมีการสังสรรค์กัน มีอะไรที่สัมพันธ์กันเหมือนอย่างพี่ๆ น้องๆ พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย มานั่งรวมกัน หรือ แม้แต่มิตรสหายก็เหมือนกันมานั่งรวมกันแล้วมีอะไรก็พูดคุยสนทนากันไปซึ่งเป็นความสัมพันธ์อันสนิทไม่ใช่เรื่องของพิธิการ หรือ การกำหนดรูปแบบอะไรแข็งโป๊ก แต่ให้เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ที่มีบรรยากาศเป็นธรรมชาติ

อาตมาอยากให้เกิดอย่างนั้น ก็พยายามอธิบายให้พวกเราเข้าใจ และ ก็ลองนำทำ พาทำกัน แต่ก็ยังยาก พวกเรายังไม่เข้าใจ พอเรียกมารวมกัน กลายเป็นว่าอาตมานั่งอยู่ แล้วก็มานั่งซักถามอะไรต่างๆ กลายเป็นการถามตอบปัญหา เป็นเรื่องแข็งๆ เป็นเรื่องไม่ใช่โอภาปราศรัย สัมพันธ์กันไปอย่างเป็นกันเอง มีอะไรก็คุยกัน ปรึกษาหารือกัน ปรับทุกข์กันบ้างอย่างนี้เป็นต้น มีอะไรจะว่าจะกล่าว จะท้วงติงกันก็ได้ หรือ มีเหตุการณ์อะไรดีๆ มาเล่าสู่กันฟังอย่างเป็นธรรมชาติ

ก็คงต้องค่อยๆ ทำกันไป อาตมายังไม่รู้ว่าจะได้แค่ไหน แต่ก็จะพยายามทำ เพราะเป็นเรื่องที่จะต้องมีในมวลมนุษยชาติ โดยเฉพาะมนุษย์ที่ยังจะต้องมีการพึ่งพาอาศัยกัน และ กัน นอกจากนี้ยังต้องมีจิตวิญญาณสัมพันธ์อันดีต่อกัน ทั้งของเรา และ ของทุกคนที่มีอยู่ ซึ่งไม่ใช่ว่าจะหมดกิเลสไปหมด เมื่อยังมีกิเลสอยู่ ก็จำเป็นต้องมีบทปฏิบัติ เรียกว่า มีพฤติกรรมอันดีงามของสังคมอยู่ตามฐานของมัน และ ควรเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งในกลุ่มชุมชนชาวอโศก

: ถาม พ่อท่านคิดว่าจะให้ภาพออกมาเป็นอย่างไรคะ

: ตอบ ที่ทำไปภาพยังออกมาแข็ง อาจเป็นเพราะจิตวิญญาณของพวกเรายังไม่ลงตัวกันดี ยังเข้าใจกันไม่ค่อยจะได้ และ การปรับตัวกันก็ยังไม่ค่อยดี จะบอกว่าเป็นอย่างนี้มันก็ถูกต้องหมดนั่นแหละ แต่ถึงจะเป็นกลุ่มใหญ่ มันก็คุยกันได้ คุณนึกภาพออกไหม คุณเคยไหมล่ะ ในบ้านของเรา แม้จะวงเล็กกว่าก็เหมือนกัน คุยกันไปตามประสาพี่ๆ น้องๆ มันเป็นการมารวมกันเพื่อโอภาปราศรัย เย้าแหย่กันไปบ้างก็ยังได้ เป็นต้น ซึ่งก็เป็นไปตามธรรมชาติ คงนึกออกละนะ

คิดว่าจะจัดให้มีไปเรื่อยๆ จะลองพยายามทำดูเอาตอนเย็นๆ ของวันอาทิตย์ที่ ๒ กับอาทิตย์ที่ ๔ ของเดือน บางครั้งอาจไม่มีอาตมา พวกเราก็มานั่งคุยกันได้จะนัด หรือ ไม่นัดก็แล้วแต่ ใครจะมา หรือ ไม่มาก็ตามใจ ถ้าเห็นเป็นความจำเป็น หรือ เห็นเป็นความสำคัญ เป็นเรื่องดี เรื่องงามก็มากัน เป็นเรื่องที่ไม่บังคับกัน และ ไม่ให้เป็นรูปแบบอะไรมาก นัดแนะกันมาโดยสัญชาตญาณ โดยความนึกรู้อะไรก็ว่ากันไป ใครจะมาเอาก็มา ไม่มาก็ไม่ว่ากัน

ใครจะคุยเรื่องคับข้องใจ ที่จะกระทบถึงใคร และ ต้องระวัง ก็แล้วแต่คุณจะระวังแค่ไหน เมื่อมารวมกันแล้ว เห็นหน้าเห็นตากันไหม ในขณะที่เราพูด ในวาระที่มีคนที่เราพูดถึงนั้น อยู่ด้วย หรือ ว่าพูดในขณะที่คนที่เราพูดถึง ก็ไม่อยู่ในนั้น ด้วย คุณก็ต้องระวังของคุณเอง ซึ่งก็เป็นการฝึกไปในตัว เพราะถ้าไม่ใช่เป็นลักษณะแบบถาม-ตอบ ก็ไม่ต้องมีการเขียนคำถามส่งขึ้นมาให้อาตมาก็จะดี จะได้ดูไม่แข็ง

: ถาม ลูกๆ อยากทราบสุขภาพของพ่อท่าน

: ตอบ สุขภาพของอาตมาก็เป็นไปตามวัย ไม่มีอะไร ปีนี้จะเต็ม ๖๖ จะขึ้น ๖๗ แล้ว ในเดือนมิถุนายนนี้ มันเป็นเรื่องวัยเท่านั้น เอง ส่วนไหนจะเสื่อมก็เป็นไป อย่างหนึ่งที่อาตมาว่า ก็คือเป็นเรื่องของการใช้พลังงานข้างในไม่สมดุล มันมากไปหน่อย อาตมาว่า วันนี้ทำให้กลายเป็นภูมิคุ้มกันอ่อนแอ นอกนั้น ก็ไม่มีอะไร อวัยวะทุกอย่างแข็งแรงดีด้วยซ้ำ มีแต่ตากับคอ อาตมาใช้มากก็เสื่อมเป็นธรรมดา ซึ่งไม่ใช่โรคที่เกิดจากเชื้ออะไร หรือ เกิดจากอวัยวะที่ไม่ดีอะไร มันเป็นจริงตามเหตุปัจจัยที่แท้จริง มีแต่พลังงานที่เป็นการหมุนเวียนของความสมดุลในร่างกาย ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เราใช้มันเกิน หรือ พลังงานไม่สมดุลเป็นคราวๆ อยู่

เหตุนี้แหละ ทำให้ภูมิคุ้มกันเราต่ำพอเกิดอะไรนิดหน่อย ก็จะเวียนหัว มีอาการคล้ายจะเป็นลม หมดแรง ปวดๆ ที่หัวคิ้ว แถวหน้า ตรงดั้งจมูก และ ข้างในก็มีอาการป่วนๆ แก้โดยวิธีนอนพักผ่อนสัก ๒-๓ ชั่วโมง ก็หายทุกที ไม่ต้องไปรักษาอะไร

: ถาม ตรงการรักษาจุดสมดุลนี้ พ่อท่านจะทำได้ไหมคะ

: ตอบ ทำได้ แต่ก็มีความจำเป็นที่อาตมารู้อยู่ ต้องดันทำไป ถ้าไม่ทำจะทำยังไงได้ ก็อย่างนี้แหละเดี๋ยวคนนั้น คนนี้มาจุ๊กจิ๊กๆ อยู่ตลอดเวลา มันสุดวิสัย ซึ่งเป็นความจำเป็นของพวกเรา ถ้าจะไปตัดเสีย มันก็ดูไม่ดี บางครั้งจะผลักจะผัดจะผ่อนอะไรไปบ้าง ก็พอได้อยู่ แต่มันก็ยังไม่หมดหรอก

อาตมาก็พยายามประมาณอยู่แต่หลายอย่างมันสุดวิสัยเท่านั้น เอง ก็พยายามปรับให้มันได้สัดส่วนที่สมดุล ไม่ให้เกินไป ไม่ให้มากไป หรือ ไม่ให้น้อยไป ไม่ทรมานตน ซึ่งทำได้ยาก บางทีก็เอาเวลามาทำโน่นๆ นี่ๆ เช่นว่า จะต้องออกกำลังกาย ซึ่งก็รู้อยู่ว่าตัวเองนั่งมากไป ทำงานอยู่กับที่มากไป ไม่ได้เคลื่อนไหว ไม่ได้ออกกำลังกาย ก็รู้อยู่เห็นอยู่ พยายามทำ ซึ่งถ้าเราเอาเวลาไปออกกำลังกาย ก็ต้องหยุดงาน อีกอย่าง เขียนหนังสือก็คือเขียนหนังสือ หยุดเขียนหนังสือไปออกกำลังกาย หนังสือก็ไม่เสร็จ มันจะทำได้ยังไง ทำนองนี้ หรือ จะต้องรับแขก โอภาปราศรัยกัน เรื่องนั้น เรื่องนี้ จะมายืนออกกำลังกายก็กระไรอยู่ มันก็ทำไม่ได้ เป็นต้น