บันทึกจากปัจฉาสมณะ
อายุพ่อผ่านมานานแล้ว
ลูกๆจะขอสานฝันของพ่อสืบต่อไป
อโศกเพื่อมวลมนุษยชาติ


สารอโศก
อันดับ 242
พฤศจิกายน 2544
หน้า 1/3


กันยายน ๒๕๔๔
กันยายนปีนี้เป็นช่วงปลายของการเข้าพรรษา เป็นครั้งแรกในชีวิตสมณะเพศที่พ่อท่านขาดพรรษา เนื่องจากต้องผ่าตัดตา อย่างกระทันหัน และต้องพักฟื้นรักษาตา อยู่ที่ปฐมอโศกกว่าครึ่งเดือน ไม่สามารถเดินทาง กลับไปจำพรรษา ที่ราชธานีอโศกได้ ด้วยหมอเห็นว่า จะเป็นอันตราย ต่อตาที่ผ่าตัด ซึ่งใช้แก๊สช่วยดันเลือด, น้ำเหลืองที่เหลือค้างอยู่ ให้ออกไป ให้พ้นจาก บริเวณตรงกลาง จอประสาทตา เพื่อให้ร่างกายดูดซึมกลับไป การที่ยังมีแก๊สอยู่ในลูกตา จึงเป็นอันตราย ไม่ควรขึ้นเครื่องบิน หรือเดินทางไกล โดยรถยนต์

ช่วงครึ่งเดือนแรก จึงเป็นการพักรักษาตา ขณะที่สื่อสารมวลชนทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ก็ยังสนใจสนทนา สัมภาษณ์ พ่อท่าน เรียบเรียงเรื่องราว เกี่ยวกับพ่อท่าน และผลงาน นำเสนอสู่ประชาชน

กรณีตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ และตึกเพนตากอนของอเมริกาถูกวินาศกรรม ก็มีพวกเราหลายคนสนใจ ถามไถ่พ่อท่าน ว่าคิดอย่างไร จะเกิดสงครามโลกหรือไม่

การที่พักอยู่ปฐมอโศกกว่าครึ่งค่อนเดือน ทำให้พ่อท่านรับทราบข้อมูลในหลายๆส่วนของปฐมอโศกมากขึ้น รวมถึง ปัญหาความขัดแย้ง...ความเป็นอยู่ ความหย่อนยานในทุกฐานะ...ความไม่เป็นแบบอย่างอันดีของสมณะ คุรุ และผู้ใหญ่ ในชุมชนบางท่าน... นักเรียนขาดระเบียบวินัย ขาดความประณีตประหยัด รุ่นพี่ไม่เอาภาระ ดูแลน้องๆ รุ่นน้องขาดความเชื่อฟังพี่ๆ... ทำให้พ่อท่านต้องหาเวลา พูดแบบ "แตกหัก" ถึงขั้นใครรักจะอยู่ ต้องปรับปรุงตัว หากยังคิด ที่จะเอาแต่ใจตัวเอง ขอจงออกไป

ส่วนปลายเดือนไปร่วมงาน"ฉลองน้ำ" ๒๕-๓๐ ก.ย. ที่บ้านราชฯ เนื่องจากน้ำท่วมสูง มากกว่าปีที่แล้ว ๖๐-๗๐ ซม. เป็นการท่วม ๒ ปีติดกัน โดยที่หลายคนไม่คาดคิดว่า จะท่วมมากติดต่อกันขนาดนี้ พ่อท่านเอง ก็ไม่คาดคิดเช่นกัน แรกทีเดียว ก็ไม่คิดที่จะจัดงาน "ฉลองน้ำ" ในปีนี้ ด้วยงานอบรม ทั้งที่บ้านราชฯ และพุทธสถานอื่นๆ ก็ยังคงมีอยู่ พอดีเป็นจังหวะ ที่พ่อท่านตั้งใจ จะกลับไปออกพรรษา ที่ราชธานีอโศกอยู่แล้ว เพื่อเป็นแบบอย่างอันดี ในการยัง ขนบธรรมเนียม ประเพณี ของพุทธศาสนาในไทย ที่มีมาแต่โบราณ อีกทั้งเป็นจังหวะที่บ้านราชฯ ก็ปลอดงานอบรม จึงคิดดำริกันที่จะจัดงาน ก่อนวันงาน เพียงอาทิตย์เดียว เมื่อทางบ้านราชฯ พร้อมที่จะจัด พ่อท่านก็ไม่ติดขัด


๑.ตาบอดครึ่งหนึ่ง เป็นวิบากอาตมาเอง ไม่โทษใคร
๑ ก.ย.๔๔ ที่ร.พ.รามาธิบดี ตึก ๑ แผนกตา ชั้น ๖ ห้อง ๙ เช้านี้พ่อท่านมีน้ำมูกเล็กน้อยๆ พยาบาลนำเครื่องพ่น ขยายหลอดลมมาด้วย บอกหมอสิทธิเทพ ให้เอามาทำให้ ขณะพยาบาล กำลังจัดเตรียมอุปกรณ์ ต่อกับท่อ OXYGEN "เคยใช้แล้วรู้สึกไม่ดี เหมือนกับทำให้เบื่ออาหาร" พ่อท่านเปรยด้วยท่าที ไม่ยินดีกับการใช้ยาพ่นนี้ ทำให้พยาบาล หยุดการจัดเตรียม และเก็บอุปกรณ์ทั้งหมด กล่าวอย่างสุภาพ นอบน้อมว่า "งั้นเดี๋ยวหนูจะไปเรียน ให้คุณหมอสิทธิเทพ ทราบนะคะ"

๗ นาฬิกาเศษ คณะจากสันติอโศกนำอาหารและอุปกรณ์ของใช้มาถวาย คุณแรงผาได้มาช่วยกดจุด นวดฝ่าเท้า ดังเช่นที่เคยทำมา เมื่อกดไปที่จุด ซึ่งมีผลไปถึงลูกอัณฑะ พ่อท่านมีอาการเจ็บ คุณแรงผาบอก อาจจะเกิดจาก การที่พ่อท่าน ต้องอยู่ในอิริยาบถ นั่งก้มคว่ำหน้านานๆ เกิดการกดทับ บริเวณลูกอัณฑะ ซึ่งไม่ใช่อาการที่พ่อท่าน เจ็บประจำเมื่อกด จุดที่กดแล้วพ่อท่านมีผลตอบรับว่า เจ็บประจำ ก็คือตาและจมูก

๙.๑๒ น.ไปที่ห้องตรวจตาพบหมอหญิงและชาย ดูอายุยังน้อยเป็นผู้ตรวจ ได้ตรวจเกือบสุดท้าย เนื่องจากไปทีหลัง หมอหญิง ๒ คน ทำท่าจะเกี่ยงกัน ในการตรวจดูพ่อท่าน คล้ายๆคณะพยาบาลวันก่อน ที่ดูเกรงๆ ในรูปแบบฐานะนักบวช
หมอชายกล่าว หลังจากตรวจดูตาพ่อท่านเสร็จว่า "ลิ่มเลือดดูน้อยลงกว่าวันก่อน" ฟังแล้วรู้สึกสบายใจ แม้จะไม่ค่อย ประสีประสา ในเรื่องการแพทย์นัก

ขณะฉัน หมอนก (พ.ญ.ทิชา) หลานพ่อท่านแวะมาเยี่ยม และบอกเล่าว่า ช่วงนี้อาจมีอาการ ระคายเคืองตา เพราะไหม เย็บแผลยังอยู่ อีก ๒-๓ อาทิตย์ ก็คงหายระคายเคือง ตอนแรก หมอสุขุมาคิดว่า จอปประสาทตา ของพ่อท่าน คงเป็นรูแล้ว ดีที่ยังไม่ถึงขั้นเป็นรู ไม่เช่นนั้น ตาของพ่อท่าน จะเสื่อมเสียมากกว่านี้
        คืนนี้สมณะแก่นหล้า วัฑฒโน มาช่วยดูแลพ่อท่านอีกแรง

๒ ก.ย.๔๔ ที่ร.พ.รามาธิบดี หมอสุขุมาตรวจดูตาพ่อท่าน แล้วถามว่า ฉันยาลดความดันตาหรือเปล่า เมื่อได้รับคำตอบว่าเปล่า ดูหน้าหมอสุขุมา จะขมวดคิ้วนิดๆ หมอสุขุมากล่าวถึงแก๊สที่ให้ ว่าหมดไปเร็วกว่าที่ประมาณให้ไว้
และการให้ยาละลายลิ่มเลือดนั้น ไม่ได้ผลอย่างที่คิด เพราะลิ่มเลือดแข็งตัวกว่าที่คาดไว้ ส่วนการหยุดเลือด ไม่ให้ออกบริเวณ ใต้จอประสาทตานั้น ได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจ ขั้นตอนต่อไป จะใช้เลเซอร์ ช่วงระหว่างที่รอ การใช้เลเซอร์นี้ จะนิมนต์พ่อท่าน กลับไปพักที่วัด แล้วค่อยนัดมาใหม่จะดีกว่า

๓ ก.ย.๔๔ ที่ร.พ.รามาธิบดี ๗.๐๐ น. พยาบาลมานิมนต์พ่อท่านไปที่ห้องตรวจตา หลังจากตรวจดูตาพ่อท่านแล้ว ได้ยินหมอพูดกันว่า เลือดจางลงไปเยอะเลย วันก่อนยังมีเม็ดนูนๆ อยู่ตรงกลาง

๑๐.๐๐ น. พยาบาลบอกหมอสุขุมา นิมนต์พ่อท่านไปที่ห้องตรวจ พบหมอชายอีกคน พูดภาษาอังกฤษกัน กับหมอสุขุมา
เข้าใจว่า จะเป็นชาวอินโดนีเชีย หรือมาเลเซีย หมอสุขุมาให้หมอชายต่างชาติ ตรวจดูตาพ่อท่าน จากกล้องตรวจด้วย เสร็จจากตรวจดู หมอสุขุมานิมนต์พ่อท่าน ทดลองใช้ตาข้างขวาดูภาพ พ่อท่านบอก การมองเห็นภาพดีขึ้น ตรงกลาง มองเห็นได้บ้าง จากเดิมมองไม่เห็นเลย ด้านข้างก็มองเห็นได้ไกลขึ้น เดิมจะเห็นได้ในระยะห่าง ๑ ฟุต ตอนนี้มองเห็น พยาบาล ที่อยู่ห่างประมาณ ๓-๔ เมตรได้บ้าง

เมื่อกลับมาที่ห้องพัก คุณเพ็ญเพียรธรรมเล่าว่า หมอสุขุมาบอก ที่บริเวณใต้จอประสาทตา ยังมีน้ำเหลืองอยู่ ขั้นตอนต่อไป จะใช้เลเซอร์ แต่หมอสุขุมาไม่มั่นใจว่า การใช้เลเซอร์ ขณะที่น้ำเหลืองยังมีอยู่ ที่บริเวณนี้ จะได้ผลดี

หลังฉัน พยาบาลนิมนต์พ่อท่านไปที่ห้องตรวจตาอีก หมอรุ่งเรืองตรวจดูตาซ้าย ตามที่หมอสุขุมาฝากไว้ และแจ้งว่า ไม่พบสิ่งผิดปกติ หมอสุขุมานิมนต์ให้พ่อท่าน กลับไปพักที่วัดวันนี้ได้เลย

กลับมารออยู่ที่ห้องพักครู่ต่อมา หมอสิทธิเทพ มาตรวจซักถามอาการไอของพ่อท่าน และบอกผลที่พบจากฟิล์ม X-RAY
ที่ปอดข้างขวา พบความผิดปกติ สรุปว่า พ่อท่านเคยรับเชื้อวัณโรค ทำให้ปอดมีแผลเป็น หรือร่องรอยของการติดเชื้อ แต่พ่อท่าน ไม่มีอาการโรคให้เห็น คุณกิ่งรัก น้องสาวพ่อท่าน อดีตหัวหน้าพยาบาล รพ.ราชวิถี อยู่ในห้องด้วยพอดี จึงบอกเล่าว่า คุณแม่มีเชื้อวัณโรค อาจติดมาจาก คุณแม่ก็ได้ หมอสิทธิเทพ ซักถามและให้คำแนะนำ อีกเล็กน้อย ก่อนออกจากห้องไป

หลังจากเก็บของในห้องพักเสร็จ พ่อท่านกำลังจะเดินลงไปชั้นล่าง เพื่อขึ้นรถกลับไปพักที่ปฐมอโศก มีเสียงญาติโยม นิมนต์ให้พ่อท่าน นั่งรถเข็นของโรงพยาบาล จะสะดวกกว่า พ่อท่านมีท่าทีปฏิเสธ เดินไปเองก็ได้ ไม่ได้เป็นอะไรมาก มีเสียงบอกเหตุผล ที่น่ารับฟังว่า วันนี้วันจันทร์ มีคนป่วยมาโรงพยาบาลมาก นิมนต์พ่อท่าน นั่งรถเข็นจะดีกว่า คนเห็นแล้ว จะหลีกทางให้ ไม่อย่างนั้น พ่อท่านจะต้องก้มหน้าเดินด้วย แล้วจะต้องคอย หลบหลีก คนอื่นด้วย เดี๋ยวจะโดนชน เป็นเหตุผล ที่ฟังขึ้น พ่อท่านจึงยอมนั่งรถเข็น ตามคำแนะนำ ของญาติโยม

ถึงปฐมอโศก ๑๖ นาฬิกาเศษ ขึ้นไปห้องทำงานชั้น ๖ ตึกสัมมาสิกขา ชาวปฐมอโศก ทั้งสมณะ สิกขมาตุ และญาติโยม ตามขึ้นไปดูพ่อท่าน หลายคนขวนขวาย ช่วยทำความสะอาด ทั้งพื้น และกระจกหน้าต่าง ช่วยกันเช็ดถู หลายคนมีท่าที อยากจะทำอะไร ให้มากกว่านี้ หลายคนก็ยืนจ้องดูพ่อท่าน ด้วยความห่วงใย แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ในสภาพตาอย่างนี้

สักครู่ใหญ่ๆต่อมา ข้าพเจ้าติดต่อไปยังสันติอโศก เพื่อให้พ่อท่าน พูดผ่านโทรศัพท์ ส่งข่าวไปยังพุทธสถานต่างๆ ว่าตอนนี้
พ่อท่านมีอาการอย่างไร ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ได้มาพักรักษาตัวที่ปฐมอโศก สมณะบินก้าว อิทธิภาโว เล่าว่า ตอนที่พ่อท่านพูด ๒ ครั้ง ผ่านโทรศัพท์อย่างนี้ ช่วงอยู่โรงพยาบาล เสียงถ่ายทอดมามันซ่าๆ แต่บรรยากาศเงียบกริบมาก ทุกคนตั้งใจฟัง เมื่อรู้ว่าพ่อท่าน พูดจากโรงพยาบาล ข้าพเจ้ารับรู้ได้ ถึงความห่วงใย ที่มีต่อพ่อท่าน น่าซาบซึ้ง ประทับใจ ถึงความศรัทธา ที่พวกเรามี

ค่ำพ่อท่านเริ่มใช้สายตา อ่านนสพ. เราคิดอะไรและตรวจดูวิดีโอ

๔ ก.ย.๔๔ ที่ปฐมอโศก พ่อท่านลุกตื่นสรงน้ำแล้ว สมณะแก่นหล้า วัฑฒโน ช่วยทำความสะอาด แผลผ่าตัดที่ตา ตามวิธีการ ที่พยาบาลแผนกตาแนะนำ ก่อนออกจากโรงพยาบาล

หลังฉันพ่อท่านเดินจงกรม อย่างสำรวม ถือเป็นการออกกำลังกายเบาๆไปในตัว อีกทั้งเพื่อแก้อาการ ท้องอืดด้วย ที่ระเบียงชั้น ๖ ปฐมอโศกนี้ อากาศดีกว่า ที่โรงพยาบาลมาก

หมอพจน์โทรมาสอบถามอาการตา อาการท้องอืด ของพ่อท่าน อาการตา นั้นพ่อท่านรู้สึกว่า การมองเห็นภาพ ดีขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนท้องอืดนิดหน่อย แต่พ่อท่าน ไม่ยอมฉันยาช่วยย่อย

คุรุต้นกล้า จากศาลีอโศก ในฐานะที่เคยเป็นพยาบาล แผนกตา ที่ร.พ.สวนดอก เชียงใหม่ โทร.มาบอก สภาพโรคตา ที่พ่อท่านเป็น และอยากจะนิมนต์พ่อท่าน งดการใช้สายตาในช่วงนี้

สม.มาลินี โทร.มาแจ้งว่า จะขอคอลัมน์ของพ่อท่าน ในนสพ. เราคิดอะไร ในช่วงนี้ ที่พ่อท่านยังต้องรักษาตา โดยจะนำเอาเรื่อง ที่พ่อท่าน เคยเทศน์ หรือเขียนเอาไว้ มาสรุป แล้วลงพิมพ์แทน พ่อท่านจะได้พัก การใช้สายตา เมื่อเรียนให้พ่อท่านทราบ ท่าทีพ่อท่านไม่ได้เห็นด้วย กับข้อเสนอนั้น "ไม่ได้ลำบากอะไร ก็ใช้สายตาข้างซ้ายได้ ซึ่งไม่ได้เป็นอะไร"

ค่ำโทร.ไปบอกสม.บุญจริง ให้จัดเตรียมหนังสือ สรรค่าสร้างคน เอาไว้แจก วันที่พ่อท่านจะไปบรรยาย ที่มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์

๕ ก.ย.๔๔ ที่ปฐมอโศก โทรศัพท์คุยกับ อ.ขวัญดี ยืนยันว่า ๑๖ ก.ย.นี้ สามารถไปบรรยายกับนักศึกษา ปริญญาโท ที่มธ. ได้ ช่วงนี้พ่อท่าน อ่านตรวจดูเอกสาร ที่จะนำไปแจกนักศึกษา ประกอบการบรรยาย ดูพ่อท่านตั้งใจ จะไปบรรยายมาก

คุณเพ็ญเพียรธรรม ส่งโทรสาร ข้อความห่วงใย นิมนต์พ่อท่าน งดการใช้สายตา เพื่อการรักษาตา โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ ของดการใช้ก่อน ขณะที่หมอพจน์ โทร.สอบถามอาการพ่อท่านโดยทั่วๆไป ท้องไม่อืดไม่มีอาการไอ

๖ ก.ย.๔๔ ที่ปฐมอโศก ๒ นาฬิกาเศษ พ่อท่านมีอาการคันคอไอ และเจ็บคอเวลาไอ เสียงเหมือนหวัดลงคอ

คณะจากสันติอโศก นำงานที่พ่อท่าน จะใช้ประกอบการบรรยาย กับนักศึกษาปริญญาโท มธ. มาให้พ่อท่านตรวจ พ่อท่านบอกเล่า และวาดภาพ อาการของตา ที่ดีขึ้น มองเห็นภาพได้มากขึ้น เดิมก่อนการผ่าตัด หลังผ่าตัดแล้วตอนนี้

พ่อท่านใช้สายตา กับการอ่าน หนังสือพิมพ์มากขึ้น สลับการพักตาในท่าก้มคว่ำหน้า

ค่ำ ได้รับจ.ม.จากผู้ช่วยงานในๆด้วยข้อมูลผิดๆว่า พ่อท่านใช้สายตากับเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้ว จึงมีสำนวนว่า พ่อท่าน "ดื้อ" เป็นการกระทุ้งกระแทกของศิษย์ เพื่อให้พ่อท่านงดการใช้สายตา กับเครื่องคอมพิวเตอร์

๘ ก.ย.๔๔ ที่ปฐมอโศก คุณพรศรี ยกอาหารมาถวาย พร้อมกับให้คำแนะนำว่า ผักบุ้งแดงนึ่ง ใช้น้ำตาลทรายแดงนิดหน่อย จะช่วยขับ ละลายลิ่มเลือด สำหรับมะเขือทุกชนิด ไม่ว่ามะเขือพวง มะเขือเปาะ หรือ มะเขือยาว จะทำให้คันตาทั้งนั้น เป็นเกร็ดความรู้ เล็กๆน้อยๆ ที่พลอยทำให้ข้าพเจ้า ได้เรียนรู้ไปด้วย

๙ ก.ย.๔๔ พบหมอสุขุมาที่ ร.พ. ตา หู คอ จมูก คุณต้นกล้า อดีตพยาบาล แผนกตา ร.พ.สวนดอก ได้เข้าไป ในห้องตรวจ ของหมอสุขุมาด้วย กลับออกมาบอกเล่าว่า ต้องรีบทำเลเซอร์วันนี้เลย เพราะมีจุดที่เลือดซึมออกมามากขึ้น จุดที่พ่อท่านเป็นนั้น อยู่ตรงกลางพอดี ตอนนี้มีหลายจุด ที่กำลังจะแตก การใช้เลเซอร์ เพื่อป้องกันไม่ให้แตกมากขึ้น ส่วนล่างของตาที่พ่อท่านบอก มีอาการเห็นได้นั้น เพราะลิ่มเลือดได้ถูกขับสลายไปได้ เส้นเลือดฝอยบริเวณนั้น เลือดหยุดไหล ส่วนบน ที่พ่อท่านมองไม่เห็น เหมือนมีอะไรมาบังนั้น พบเลือดฝอย ที่แตกแขนงใหม่ออกมามาก และกำลังแตก

ครู่ต่อมา (ก่อน ๑๕ นาฬิกา) เจ้าหน้าที่หน้าห้อง นำเอกสาร ให้พ่อท่านเซ็นรับ การใช้เลเซอร์ของแพทย์

หลังจากพ่อท่านเข้าห้อง เพื่อการทำเลเซอร์ คุณต้นกล้า หน้าตาไม่ค่อยจะดี บอกเล่าจากประสบการณ์ว่า การใช้เลเซอร์
จะทำให้เซลล์บริเวณนั้นตาย ซึ่งหมายถึงจอประสาทตา ในบริเวณนั้นตายไปด้วย การมองเห็นภาพ จะไม่มีโอกาส ที่จะเห็นได้ ดังเดิม

เมื่อพ่อท่านออกมาจากห้องเลเซอร์ พ่อท่านบอกเล่าว่า "...ครั้งก่อนใช้เลเซอร์ ยังรู้สึกว่า แสงมันจ้ามากเลย ยิ่งกว่ามองแสง สปอตไลท์ แล้วก็รู้สึกเจ็บ แต่เลเซอร์ครั้งนี้ มันไม่จ้าเหมือนครั้งนั้น และไม่รู้สึกเจ็บ..." ขณะนั้น พ่อท่านทดลอง การใช้ตาข้างขวา โดยหลับตาซ้าย แล้วบอกเล่าต่อไปว่า "...เห็นภาพได้เพียง หนึ่งในสามของตา และภาพ ก็ไม่ชัดคม เหมือนเดิม อย่างด้านข้างนี่ ถ้าเป็นคนใหม่ หน้าใหม่ๆ จะไม่รู้เลย ส่วนคนที่เคยเห็น รู้จักกันแล้ว หน้ามองเห็นไม่ชัดเลย อาศัยสัญญาความจำเก่าๆ ในบุคคลิก ท่าทางเท่านั้น ทำให้รู้ว่าเป็นใคร..."

ท่ามกลางความเสื่อมของอวัยวะ ในบรรยากาศที่น่าตกใจ น่าห่วงใย กับสภาพตา ที่พ่อท่านบอกเล่านี้ พ่อท่านยังคงมี อารมณ์ขัน พูดติดตลกว่า "วันนี้มาถูกยิง ๓ ครั้ง ได้สำลีมาหนึ่งก้อน" (สำลีไว้ใช้เช็ดน้ำยา ที่ไหลออกจากตา หลังจากหยอดยา ขยายม่านตา ก่อนเข้าห้องตรวจ)

กลับจากร.พ. ตา หู คอ จมูก มาถึงปฐมอโศกแล้ว คุณเพ็ญเพียรธรรมโทรมาบอกเล่าว่า ได้ปรึกษาหมอนก หลานพ่อท่าน เกี่ยวกับการปฏิบัติตัว ในช่วงนี้ เนื่องจากหมอสุขุมา ไม่ได้แนะนำอะไร หมอนกได้ให้ข้อปฏิบัติมา ๕ ข้อ ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อท่าน และพวกเราที่ดูแล ได้ปฏิบัติอยู่แล้ว ที่ถือเป็นความรู้ใหม่ ก็คือ ผลที่เกิดขึ้น ภายหลังการผ่าตัดตาครั้งนี้ รวมถึง การใช้เลเซอร์ ก็คือ อาการแทรกซ้อน ทำให้เกิดอาการ ต้อกระจกมากขึ้นได้ เนื่องจากเดิมพ่อท่าน ก็มีต้อกระจกอยู่แล้ว ซึ่งหากมีต้อกระจกมาก ก็ต้องผ่าตัดอีก

๑๐ ก.ย.๔๔ ที่ปฐมอโศก ๙.๑๑ น. พ่อท่านพูดทางโทรศัพท ์กับชาวสันติอโศก และให้บันทึกเสียง ส่งไปยัง พุทธสถาน อื่นๆด้วย โดยพ่อท่าน บอกเล่าอาการ หลังการทำเลเซอร์ และก่อนทำการผ่าตัด ทั้งชี้แจง ทำความเข้าใจ ข้อกล่าวหา ที่มีพวกเราไปโทษว่า ที่ตาของพ่อท่านเสื่อมถึงขนาดนี้ ก็เพราะไปรักษาแผนโบราณ กับคุณเหมือนพร อีกทั้ง การกล่าวโทษว่า พ่อท่าน "ดื้อ" และการใช้สายตาทำคอมพิวเตอร์ กับดูวิดีโอ มีผลเสีย ทำให้ตาเสื่อมอย่างนี้ พ่อท่านเห็นอย่างไร กับความคิดเห็นนี้ เนื่องจากพวกเราหลายคนคิด และมองอย่างนี้จริง จึงวิพากษ์วิจารณ์กัน แล้วกับเรื่อง อาหารเสริมสุขภาพ ที่จัดทำถวายพ่อท่าน เห็นอย่างไร พ่อท่านใช้เวลาเกือบ ๕๐ นาที บอกเล่าชี้แจง อธิบายประเด็น ข้อกล่าวหาทั้งหมด ขอนำบางส่วน มาสรุปดังนี้

"...เมื่อวานนี้อาตมาได้ไปหาหมอที่โรงพยาบาล ตา หู คอ จมูก หมอตรวจแล้ว ก็เสนอแนะว่า ควรจะต้องยิงเลเซอร์ อาการของตา ที่ไปรักษาตอนนี้ก็ได้เท่านี้ จอรับภาพตรงกลางพอดีเลย มีจุดที่บอด หรือจุดที่เสีย เรียกว่าตาบอดไปครึ่งหนึ่ง หมอเขาบอกว่า มันคงได้เท่านี้ แก้ไม่ได้อีกแล้ว หมอบอกว่า เพราะอาตมาไม่เชื่อเค้า ไม่ไปปีที่แล้ว ตามที่หมอนัด คือตอนนั้น อาตมาก็ไป ๓ เดือนครั้ง ๖ เดือนครั้ง รักษาแล้ว ก็เห็นว่า มันไม่ดีขึ้น มีรอยบังตรงกลางตาพอดี มันเห็นภาพเอียงๆ ต่อมาก็เห็นเป็นจุดดำๆ หมอแนะนำให้ยิงเลเซอร์ เหมือนผ้าขี้ริ้ว ที่มันรุ่งริ่ง ควรจะยิงเลเซอร์ เพื่อจะเก็บไรรุ่งริ่งๆออก

อาตมาก็เห็นว่า มันเป็นเรื่องของความแก่ มันก็เสื่อมโทรมไป รักษามันก็ไม่ได้ดีขึ้น ไปยิงเลเซอร์แล้วก็เกิดจุด ตอนที่ยิงเลเซอร์ตอนแรก สว่างจ้า ตาแสบมากเลย น้ำตาไหล ปวดทั้งดวงตาเลย กว่าจะยิงเลเซอร์เสร็จ ตอนแรกไม่มีจุด ตอนหลังมาเป็นจุดมาก หมอก็แนะนำว่า น่าจะยิงเลเซอร์อีก เพื่อที่จะยับยั้งไว้ ไม่ให้โตกว่านี้ สรุปแล้วคือ อาตมาไม่ศรัทธาเลเซอร์แล้ว ยิงเลเซอร์แล้วก็เป็นอย่างนี้ ในวันนัดต้นปี ๒๕๔๓ อาตมาจึงไม่ไป เมื่อไม่ไป เกิดความเสื่อม มากขึ้น มีจุดโตขึ้นๆ จนกระทั่งถึง ๑ ปี ๓ เดือน

ในระหว่างที่ไม่ได้ไปนี่ เหมือนพรเขาพยายามช่วยรักษา ก็มีคนไปโทษว่าเหมือนพร เพราะรักษากับเหมือนพร จึงเกิดพลาด เสื่อมขึ้นมามาก คนที่คิดอกุศลแบบนี้นี่นะ ไม่มีหมอคนไหน ที่เขาจะรักษาคนให้มันเสื่อมลง ไม่ใช่ไปโทษ ว่าเขาทำให้เสื่อม อาตมาสมัครใจให้เขาทำ จะไปโทษเขาได้อย่างไร เขาก็ปรารถนาดี ถ้าจะโทษ ต้องโทษอาตมาโง่ ที่ไปให้เขารักษา ไปเชื่อเขา เราจะไปโทษ คนที่ปรารถนาดีนั้น เป็นจิตอกุศล ที่อาตมาว่าร้ายแรง แม้หมอที่ทำนี่ อาตมาก็ไม่ได้ไปโทษหมอ หาว่าหมอทำไม่ดี หมอก็รักษาเต็มที่ อาตมาว่า เป็นความเสื่อม ของสังขารอาตมามากกว่า คือเสื่อมไปจริงๆ จะเป็นแผนไทย แผนปัจจุบัน ก็พยายามช่วยเต็มที่แล้ว มันก็ช่วยได้เท่านี้ ไม่มีใครเจตนาร้ายหรอก

ถ้าจะพูดกันให้ลึก ถึงขั้นวิบาก เรามีอกุศลวิบาก ได้สังขารขันธ์ มาขนาดนี้ ใช้งานอย่างนี้ มีเท่านี้ เป็นไปอย่างนี้ มันบกพร่อง มันเสื่อมมันทรุด ไปตามกาลเวลา หรือ การใช้งาน เป็นไปตามธรรมชาติของมัน สุดท้าย ทางด้านเหมือนพร ได้ช่วย ก็ไม่ได้ดีขึ้น ไม่มีทางอื่น จึงไปหาหมอปัจจุบัน ตรวจไปตอนแรก ก็นัดวันผ่าตัดเลยวันที่ ๓๐ ส.ค.ก็เลยผ่าตัด ใช้วิธีแผนปัจจุบัน ใช้ก๊าซสลายไปบ้าง ปรากฏว่า เมื่อทำออกมาแล้ว ลองเปิดตาดู ลดลงไป จากที่มีมาก จุดดำลดลงไป ๑/๓ เห็นด้านข้าง ตรงกลางเป็นจุดดำ จนถึงวันนี้ ก๊าซเหลือนิดเดียว จะหมดแล้ว

เมื่อวานนี้ ๙ ก.ย. หมอนัดไปตรวจอีก ตรวจแล้วก็บอก ได้เท่านี้ ไม่ดีกว่านี้ สรุปแล้ว ตาข้างขวาบอดไปครึ่งหนึ่ง ว่างั้นเถอะ อีกครึ่งหนึ่ง รับแสงได้ รับรู้สภาพโครงสร้างได้ ความละเอียดลออไม่ได้ หมอก็แนะนำว่า ควรจะต้องยิงเลเซอร์ เพื่อสกัด ให้ทรงไว้เท่านี้ รักษาส่วนอื่นๆ ไม่ให้มากขึ้นกว่านี้

อาตมาก็ไม่มีทางเลือกแล้ว ยอม ไปเมื่อวานนี้ เขายิงเลเซอร์เลย ยิงเลเซอร์ ๓ จุด ใช้เวลานานพอสมควร แต่มันไม่พร่า เพราะมองไม่เห็น แสงเลเซอร์ ขนาดจ้าๆ ก็ไม่รู้สึกมีแสงอะไร เข้าตาสักเท่าไรเลย หมอทำจวนจะเสร็จ ตารู้สึก ปวดนิดหน่อย คงมีผลกระทบแน่นอน หมอบอกว่า เพื่อที่จะสกัดไม่ให้เลือด เข้ามาคั่งเพิ่มอีก หรือจะช่วย ไม่ให้เส้นเลือดแตก แต่ก็ไม่ได้ รับประกันว่า จะไม่เป็นอีก อาตมาไม่มีทางเลือกแล้ว ก็ต้องทำยิงเลเซอร์แล้ว ๒๔ ชม. เขาให้พักตามากที่สุด ห้ามอ่านหนังสือ ก็มองปกติธรรมชาติได้

มีคนบอกว่า อาตมาใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ และดูวิดีโอมาก จึงทำให้ตาเสีย ก็วิเคราะห์กันบ้างว่า การดูวิดีโอของอาตมา ไม่ได้ดูวิดีโอ เหมือนหลายผู้หลายคน คือดูวิดีโอแล้วเขาก็จ้อง เขม็งเครียด และมีความรู้สึกไปกับวิดีโอ แต่อาตมา ไม่ได้ดูอย่างเพ่ง อาตมาดูวิดีโอ ดูเหมือนธรรมชาติ คือ ทุกคนที่ลืมตาเห็นโน่นเห็นนี่ เป็นปกติธรรมดา ที่จะใช้ชีวิต บางทีก็ใช้สมาธิ หรือใช้ concentrate ใช้ความเพ่งกับอันนั้น อันนี้ไปบางครั้งบางคราว ตามควร ตามระยะเวลา ที่ต้องทำงาน เป็นการออกกำลัง ของกล้ามเนื้อเซลล์ร่างกาย ตามธรรมดา เป็นธรรมชาติ สรุปแล้ว อาตมาดูวิดีโอ ขอรับรองว่า วิดีโอไม่ได้ทำลาย ประสาทตาอาตมาเลย แม้น้อย ต่อให้อาตมาดูวิดีโอ ตลอดทั้งวัน เชื่อว่าจะไม่มีผล ทำให้ตาเสียแน่นอน แต่อาตมาไม่ได้ดูทั้งวันดอกนะ ที่พูดนี่สมมุติ

ส่วนคอมพิวเตอร์ อาตมาเพ่งแน่ เป็นผลบ้าง ก็มาจากคอมพิวเตอร์ คนที่เขาทำงานคอมพิวเตอร์ ที่เพ่งยิ่งกว่าอาตมา มากมาย ยิ่งคนดูหุ้นนี่นะ ดูจากตัวเลข โอ้โห! ยิบเลยนะ ใช้การเพ่งรู้มากกว่าอาตมา อาตมาทำงานกับคอมพิวเตอร์นี่ เพียงเขียนตัวหนังสือ ถ้าอาตมาจะใช้มือเขียน อาตมาจะต้องเพ่งต้องปั้นตัว ใช้ความสามารถ ทั้งมือสัมพันธ์กับตา สัมพันธ์กับความรู้สึก กับปัญญาของอาตมา ที่จะถ่ายทอดออกมา ต้องคุมนิ้วคุมมือ เพราะฉะนั้น การเขียนด้วยมือ อาตมาจะใช้พลังงานมากกว่า อาตมาจะใช้กับคอมพิวเตอร์ เพราะคอมพิวเตอร์ ตัวหนังสือมีแล้ว แป้นก็พอเข้าใจแล้วว่า ตรงไหนตัวอะไร เคาะปุ๊บๆๆๆ ตัวหนังสือคมชัด ดูง่าย จะลบก็สะดวก อาตมาใช้ความเคร่ง มาทำงานกับคอมพิเตอร์นั้น น้อยกว่าการเขียนด้วยมือมหาศาล

อีกประเด็นหนึ่ง ที่ว่า รังสีของคอมพิวเตอร์ เข้ามาทำลายตาของอาตมา อันนี้ก็เข้าใจผิดอีก คนโดยทั่วไป เขาทำคอมพิวเตอร์ ในระยะห่างประมาณฟุต สองฟุตอย่างมาก แต่สำหรับอาตมานี่เมตร เมตรกว่าทุกแห่งเลย ทั้งที่สันติอโศก ทั้งที่ปฐมอโศก ทั้งที่ราชธานีอโศก design โต๊ะ design แท่น ให้อาตมาทำงานกับตัวคอมพิวเตอร์นี่ ห่างเมตรกว่า ถ้าผลรังสี ของคอมพิวเตอร์มี คนทั้งหลายทั้งแหล่นี่ ตาบอดหมดก่อนอาตมาแล้ว เพราะเขาทำงาน มากกว่าอาตมานั้นหนึ่ง สองเขาใช้ความเพ่ง มากกว่าอาตมา สามรังสีคอมพิวเตอร์ จะเข้าตาเขามากกว่าอาตมา เพราะว่า เขาห่างประมาณ ๒ ฟุต เท่านั้นเอง อย่างมาก ส่วนอาตมานั้น ตั้งเมตรกว่า อาตมาก็ว่าผลกระทบ ที่จะทำให้ตา ของอาตมาเสื่อม นี่น้อยมาก ไม่ใช่ว่า อาตมาดื้อด้าน หรือว่าทรมานตัวเอง ใครห้ามก็ไม่ฟัง ดื้อดึงดัน อะไรไม่ใช่ อาตมา ทำงานกับคอมพิวเตอร์ ไม่ได้หนักไปกว่า การใช้สายตาธรรมชาติ กับการทำงานอื่นๆ ก็ยอมรับนิดหนึ่งว่า มันอาจจะจำเจ อยู่ตรงนี้ มากไปหน่อยเท่านั้นเอง

นอกจากนี้ มีญาติโยม หวังดีกับอาตมา เอายามาให้ เอาอาหารเสริมมาให้ คนที่เอาอาหารเสริมมาให้อาตมา ทำให้อาตมา ทรมาน ต้องกินเข้าไปมาก กินเข้าไปแล้ว ระบบท้องจะเสีย ระบบท้องจะเกิน เพราะอาตมา รับประทานอาหาร อาตมา ประมาณว่าขนาดนี้ จะช่วยร่างกายชีวิตไปแล้ว จะรักษาร่างกายไปได้ ใช้พลังงานวันต่อวัน ไม่เคยเปลี้ยเพลีย บางคนก็ว่า ใจอาตมาไม่เพลีย แต่ร่างกายโทรม มันโทรมยังไง ตรวจร่างกายโดยรวม มีแต่บอกว่า หนุ่มกว่าอายุ สมองตรวจก็หนุ่ม หัวใจก็หนุ่ม เซลล์ร่างกายหน้าตา เนื้อตัวก็หนุ่มกว่าอายุ อย่างนี้ไม่ถือว่า อาตมาประมาณดีแล้ว นี่จะให้ว่าอย่างไร อาตมาเข้าใจ คนที่อยากให้อาตมาแข็งแรง ความคิดง่ายๆ ของแต่ละคน คือจะต้องป้อน อาหารดีๆ วิตามินดีๆ มาให้ อาตมาก็พ้อไปเมื่อกี้นี้เอง จะเอานิวทริไลต์มาให้ ถ้าให้อาตมาไปอีกนี่ ท้องไส้ อวัยวะจะรับนี่ เป็นส่วนเกิน ขึ้นไปอีก ร่างกายไม่สมดุล อาตมาจึงพ้อ เพราะอาตมามานอนที่นี่ ท้องไม่ดีหลายทีแล้ว มันอืด อาตมาว่า กินอาหารนี่ ครบแล้ว แต่ก็ยังเชื่อว่ามันขาด ขาดก็เอามาให้ อาตมาก็ต้องฉลองศรัทธาบ้าง แล้วบางครั้งก็บ่นไป..."

๒.วินาศกรรม เวิร์ลเทรดฯ และเพนตากอน พ่อท่านเห็นอย่างไร
๑๑ ก.ย.๔๔ ที่ปฐมอโศก วันนี้พ่อท่านนอนดึกกว่าทุกวัน เนื่องจากสนใจ การรายงานข่าวของโทรทัศน์ กรณีตึก เวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ และเพนตากอนของอเมริกา ถูกเครื่องบินโดยสารพุ่งชน เป็นข่าวดังไปทั่วโลก ขณะดูการรายงานข่าว พ่อท่านยังไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์อะไร ได้แต่รับฟังข้อมูลไปเรื่อยๆ

อ่านต่อหน้า ๒/๓

 
สารอโศก อันดับ ๒๔๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๔ บันทึกจากปัจฉาสมณะ ๑